จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1006-1010
บทที่ 1006 : ทะลุระดับเทพ (1)
ณดินแดนศักดิ์สิทธิ์
บนเกาะริมทะเลสาบฉู่หรานไพล่มือหนึ่งไว้ด้านหลัง ขณะยืนอยู่เหนือทะเลสาบ คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย สายตาของเขาจับจ้องมองประตูสำริดที่อยู่ไม่ไกล ใจของเขารู้สึกเศร้าเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสเจิ้งฉี…ข้ารู้สึกไม่สบายใจมาตลอดในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ไม่รู้ว่าจะมีอะไรจะเกิดขึ้นหรือไม่ ?”
เขาหันหลังให้ชายชราที่อยู่ด้านหลังพลางถอนหายใจขณะเอ่ยถาม
เจิ้งฉีขมวดคิ้ว”ท่านประมุข อย่าคิดมากเลย แผ่นดินใหญ่ของเราทุกวันนี้สงบสุขมาก คงจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรอก”
”ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
ฉู่หรานยิ้มอย่างขมขื่นแม้เจิ้งฉีจะกล่าวเช่นนั้น ก็มิได้ทำให้ความกังวลในใจของเขาสลายหายไปได้ มันยังคงเหมือนมีเมฆดำปกคลุมหัวใจของเขาอยู่
ชั่วขณะนี้ผู้พิทักษ์จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เร่งรีบเข้ามา
เขาเดินไปตรงหน้าฉู่หรานก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้นอย่างเคารพ “ท่านประมุขมีชายชราคนหนึ่งชื่อจุนห่าวมาขอพบท่าน ตอนนี้รออยู่ด้านนอก”
จุนห่าว?
ฉู่หรานผงะไปชั่วครู่จุนห่าวคนนี้เองไม่ใช่หรือที่หลิวชิงหยูพาไปที่ตำหนักเซียนพยับหมอก ? ในวันนั้น หลังจากที่หลิวชิงหยูยอมเป็นคนรับใช้ไป๋หยาน เขาก็กลับไปที่อาณาจักรวิญญาณและทำหน้าที่เป็นสายลับ
ตอนนี้จุนห่าวมาที่นี่ทั้งที่ไม่ได้รับเชิญเป็นไปได้หรือไม่ว่า … จะมีอะไรเกิดขึ้นในแผ่นดินใหญ่นี่จริง ๆ ?
ใบหน้าของฉู่หรานค่อยๆ มืดหม่นลง “ให้เขาเข้ามาหาข้าโดยไว”
”ขอรับ”
ผู้คุ้มกันถอยออกไป
ชั่วขณะนี้…จุนห่าวกำลังยืนอยู่นอกประตูเขาเดินไปมาอย่างกระวนกระวาย เขามองไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้มอย่างขมขื่น
เมื่อครั้งอยู่ในแดนวิญญาณแม้ว่าหลิวชิงหยูจะไม่เป็นที่ชื่นชอบ ทว่าเพราะความแข็งแกร่งของเขาจึงมีคนจำนวนไม่มากในอาณาจักรวิญญาณที่กล้าฝ่าฝืนคำพูดของเขา
หากแต่ยามนี้เมื่อเขามาถึงแผ่นดินนี้เขาจำเป็นต้องรายงานตัวต่อประมุขแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ก็ใครใช้ให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นพื้นที่ของไป๋หยานเล่า?เขาย่อมไม่กล้ากระทำสิ่งใดล่วงเกิน..
เพียงเวลาไม่นานนักผู้คุ้มกันที่เพิ่งเข้าไปรายงานก็รีบออกมา พร้อมกับแสดงทีท่าเชิญชวน “ท่านประมุขของเราเชิญท่านเข้าพบ”
จุนห่าวป้องหมัดใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความหงุดหงิด หากแต่กลับยิ้มรับ
เขาก้าวเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างช้าๆ และเมื่อเขาเข้าไป ประตูของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เปิดเมื่อครู่พลันปิดสนิทลงอีกครั้ง ไม่ต้อนรับผู้ใดอีก
ระหว่างทางเต็มไปด้วยศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนทุกคนต่างก็มองมาที่จุนห่าวด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
อย่างไรก็ตาม…
จุนห่าวไม่ได้ให้ความใส่ใจเขายังคงก้าวตามผู้คุ้มกันไปเรื่อย ๆ
จากระยะไกลเขาเห็นชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินกรมท่ายืนอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบ
ชายผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะจ้องมองเขาด้วยสายตาลังเล “ข้าจำได้ว่าไป๋หยานส่งเจ้ากลับไปยังอาณาจักรวิญญาณ ครั้งนี้เจ้ามาตามหาข้าถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แสดงว่าต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในอาณาจักรวิญญาณใช่หรือไม่ ?”
จุนห่าวรีบก้าวไปข้างหน้าสองก้าวพลางป้องหมัด “ท่านประมุข…ครานี้ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของนายหญิงของข้า เพื่อรายงานข่าว”
”ข่าวอะไร?”
หัวใจของฉู่หรานสั่นสะท้านเขากำหมัดแน่นควบคุมความวิตกกังวลในใจ พลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใด ๆ
“คนในอาณาจักรวิญญาณกำลังวางแผนโจมตีแผ่นดินใหญ่และคราวนี้คำสั่งก็คือไม่ไว้ชีวิตคนบนแผ่นดินใหญ่เลยแม้แต่คนเดียว !”
ตูม!
ข่าวนี้เหมือนระเบิดขนาดใหญ่ตกลงบนเกาะใจกลางทะเลสาบแห่งนี้
”นี่เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องใด ?” ท่าทีของเจิ้งฉีเปลี่ยนไปจากที่ไม่แยแสมาเป็นคว้าคอเสื้อของจุนห่าวทันที นัยน์ตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว “ถ้าเป็นเช่นนั้น…เจ้าแดนวิญญาณตั้งใจที่จะเข่นฆ่าผู้คนทั้งแผ่นดินนี้เลยหรือกระนั้น ? เช่นนี้แม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ๆ ก็ไม่มีละเว้นกระนั้นหรือ ?”
ไอ้นี่มัน!
บทที่ 1007 : ทะลุระดับเทพ (2)
บนแผ่นดินนี้ยังคงใช้กฎของป่านั่นคือผู้แข็งแกร่งจะเป็นคนคู่ควรที่จะอยู่รอด คนอ่อนแอก็แค่ตายไป ทว่าก็ไม่มีผู้ใดที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ลำดับต้น ๆ ออกคำสั่งที่โหดเหี้ยมเช่นนี้
ผู้คนบนแผ่นดินใหญ่มีหลายสิบล้านชีวิต!
เขาต้องการสังหารคนทั้งแผ่นดินแม้แต่คนธรรมดา!
“คำสั่งนี้เจ้าแดนวิญญาณแห่งอาณาจักรวิญญาณเป็นผู้ออกคำสั่งด้วยตนเองและจะนายน้อยเหอลู่จะเป็นผู้ดำเนินการ คาดว่าจะใช้กำลังคนที่มีความแข็งแกร่งระดับเทพ เช่นนั้น … พวกท่านต้องเตรียมพร้อมรับมือ
ระดับเทพ?
ร่างของฉู่หรานสั่นสะท้านใบหน้าของเขาแลดูน่าเกลียดมาก
คราก่อนแค่ระดับเชิงเจี่ย(ระดับนักบุญ) มาถึง พวกเขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ ทว่าครานี้ระดับเทพมาเองจะเหลืออะไร ?
อาณาจักรวิญญาณต้องการทำลายแผ่นดินใหญ่ทั้งหมดแล้วจริงๆ !
”จุนห่าวขอบคุณมาที่นำความมาบอก !”
แม้ต้องเผชิญกับข่าวสารเช่นนี้ฉู่หรานก็ยังคงสงบ หมัดที่กำแน่นของเขาก็ค่อย ๆ คลายออก “ข้าจะหาทางจัดการเรื่องนี้เอง ข้าจะบอกข่าวที่เจ้าอุตส่าห์ดั้นด้นมาที่นี่เพื่อแจ้งให้ทราบให้ไป๋หยานรับรู้”
จุนห่าวค่อยๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ถ้อยคำของฉู่หรานคือจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดของเขา
”อย่ากังวลไปเลยท่านประมุขดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าได้ส่งคนไปแจ้งอาณาจักรอสูรแล้ว หากราชาอสูรรู้เขาจะต้องมาช่วยพวกท่านอย่างแน่นอน แต่คงต้องใช้เวลาสักครู่ กว่าที่พวกเขาจะมา … ” ใบหน้าชราของจุนห่าวเผยรอยยิ้ม “ข้ามานานแล้ว เพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย ข้าต้องขอตัวก่อน และท่านจะได้วางแผนรับมือโดยเร็วที่สุด”
เขาป้องหมัดก่อนจะหันหลังเดินออกนอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ครั้นเห็นเงาหลังของจุนห่าวลับตาไปแล้วนัยน์ตาของฉู่หรานพลันหรี่ลงเล็กน้อย “เจิ้งฉีเจ้าไปแจ้งไป๋ฉางเฟิ่งกับเหวินหวู่เหว่ย จากนั้นก็ให้พวกเขามาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อหารือวิธีรับมือกับสถานการณ์นี้ต่อไป”
พวกเขาต้องไม่ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่อาณาจักรอสูรฝ่ายเดียวส่วนไป๋หยานก็ยังอยู่ในพื้นที่ปาฏิหาริย์ หากแดนอสูรมาถึงช้า พวกเขาคงจะตายโดยไร้ที่กลบฝัง
เช่นนั้น…เราจำต้องหาวิธีถ่วงเวลาคนพวกนั้นไว้ก่อน
”ได้…”
เจิ้งฉีพยักหน้าพลางขมวดคิ้วด้วยความกังวล
บางทีครานี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อาจต้องเผชิญกับวิกฤติครั้งใหญ่จริงๆ …
ดังนั้นเขาจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้เช่นกันเขาพุ่งไปที่สำนักเวชศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว ร่างของเขาพลันวาบหายไปบนท้องฟ้า
สำนักเวชโอสถตั้งอยู่ไม่ไกลจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่วนตำหนักเซียนพยับหมอกนั้นอยู่ห่างออกไปอีกเล็กน้อย ถึงกระนั้นสองวันก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับคนเหล่านี้
หลังจากฉู่หรานมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์เขาก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับข่าวสารที่จุนห่าวนำมาบอก เมื่อพวกเขาได้ยินว่าอาณาจักรวิญญาณกำลังจะทำอะไร ใบหน้าชราทั้งสองก็เคร่งขรึม
”จะรังแกกันมากเกินไปแล้ว!” ไป๋ฉางเฟิ่งตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ
ภายใต้ฝ่ามือของเขาโต๊ะยาวในห้องประชุมแตกออกเป็นสองเสี่ยงทันที
ร่างของเขาสั่นสะท้านด้วยความเดือดดาลใบหน้าชราของเขาแดงก่ำ “แดนวิญญาณอันชั่วร้ายนี้เพียงต้องการกุญแจปาฏิหาริย์แล้ว แม้แต่คนธรรมดาก็ไม่ยอมละเว้น ! เรื่องนี้เราไม่อาจยอมรับได้ !”
เหวินหวู่เหว่ยครุ่นคิดชั่วขณะ”เมื่อครู่ ประมุขฉู่กล่าวว่า ครั้งนี้จะมีผู้ที่มีความแข็งแกร่งระดับเทพมาด้วย คิดว่าด้วยพลังของพวกเราจะสามารถต้านทานคนเหล่านั้นได้หรือไม่ ?”
ไป๋ฉางเฟิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
สิ่งที่เหวินหวู่เหว่ยกล่าวไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา เกรงว่าแม้แต่ผมเพียงเส้นเดียวของคนที่มีพลังระดับเทพ พวกเขาก็ยังไม่อาจเด็ดออกมาจากหัวของคนเหล่านั้นได้เลยด้วยซ้ำ
”พวกท่านทั้งสองข้าพอมีวิธี” ฉู่หรานขมวดคิ้วสักพักก็คลายออก “สิ่งที่เราต้องทำก็คืออย่าพยายามใช้กำลังเอาชนะคนในอาณาจักรวิญญาณ เราเพียงตั้งรับ ต้านทานพวกเขาสักพัก ถ่วงเวลารอให้กองกำลังของแดนอสูรมาถึงก็พอ”
บทที่ 1008 : ทะลุระดับเทพ (3)
“ประมุขฉู่มีวิธีแก้ปัญหาเช่นไรโปรดอธิบาย” อารมณ์ของไป๋ฉางเฟิ่งเริ่มคงที่ขึ้น เขาเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้ม ๆ
“พวกท่านเรียกบรรดาศิษย์เอกและบรรดาผู้อาวุโสในสำนักพวกท่านมายังเกาะศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเราเถิด”
“เพื่ออะไร?” ไป๋ฉางเฟิ่งขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
”เนื่องจากเรามีค่ายกลป้องกันเกาะที่บรรพบุรุษของเราทิ้งไว้ในเกาะศักดิ์สิทธิ์นี้ซึ่งค่ายกลนี้จะสามารถต้านทานการเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับเทพได้ เพียงแต่มันสามารถยื้ออยู่ได้แค่ไม่กี่วัน แต่หากรอกำลังเสริมมาแค่สองสามวันก็น่าจะเพียงพอแล้ว … ”
ค่ายกลป้องกันเกาะศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยบอกใครแม้แต่ฉู่อีอี้เองก็ยังไม่รู้
เช่นนั้นเมื่อเขาเสนอมอบเกาะศักดิ์สิทธิ์ให้ไป๋หยานในเวลานั้นนั่นย่อมแสดงให้เห็นชัดถึงความชื่นชอบที่เขามีต่อไป๋หยาน
”แล้วศิษย์คนอื่นๆ ล่ะ ?”
ไป๋ฉางเฟิ่งถอนหายใจ
ไม่ว่าเกาะศักดิ์สิทธิ์จะมีขนาดใหญ่เพียงใดก็ไม่อาจรองรับผู้คนได้มากนัก เช่นนั้นศิษย์คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ยอดฝีมือล่ะ ?
ฉู่หรานกัดฟันเอ่ยกล่าวว่า”ข้าไม่สามารถรองรับผู้คนจำนวนมากเกินไปนัก ข้าจำต้องรักษาขุมพลังที่สำคัญที่สุดของแผ่นดินใหญ่ เพื่อที่จะเก็บไว้ใช้ต่อสู้กับอาณาจักรวิญญาณต่อไป ส่วนคนอื่น ๆ นั้น… ”
เขาหยุดก่อนจะกล่าวต่อว่า “ให้พวกเขาไปซ่อนตัวในป่าสัตว์อสูร”
ครั้นไป๋ฉางเฟิ่งและคนอื่นๆ ได้ยินสิ่งที่ฉู่หรานกล่าวมา พวกเขาก็เข้าใจความหมาย พร้อมทั้งในใจก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง
พวกเขากำลังเดิมพันว่าแดนวิญญาณจะกล้าเผชิญหน้ากับอาณาจักรอสูรหรือไม่!
สัตว์อสูรเป็นส่วนหนึ่งของพลังอำนาจแดนอสูรหากคนเหล่านี้ต้องการสังหารหมู่สัตว์อสูรทั้งป่า ก็ย่อมต้องทำให้แดนอสูรขุ่นเคืองอย่างแน่นอน !
“ข้าเห็นได้จากทัศนคติของหลิวชิงหยูก่อนหน้านี้ว่าแดนวิญญาณนั้นอิจฉาแดนอสูรอย่างมาก เนื่องจากเมื่อหลายพันปีก่อนนั้น แดนอสูรไม่เคยออกมาบนแผ่นดินใหญ่ สัตว์อสูรจึงถูกมนุษย์รังแก แต่ทว่าพันปีที่ผ่านมานี้ เนื่องจากสถานะและการปกป้องจากแดนอสูรจึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าสังหารสัตว์อสูรอย่างป่าเถื่อนอีก”
”นั่นเป็นเหตุที่ข้าอยากจะลองเสี่ยงว่าคนพวกนั้นจะกล้าบุกแดนอสูรหรือไม่ !” ฉู่หรานคลายคิ้ว เอ่ยกล่าวอย่างคมคาย
”ตกลงทำตามที่เจ้าพูด” ไป๋ฉางเฟิ่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “อย่างไรก็ตามข้าคงต้องรบกวนประมุขฉู่ให้ส่งคนไปที่สำนักเวชโอสถเพื่อนำพวกยอดฝีมือมาของข้ามาที่นี่ ส่วนข้ามีสิ่งอื่นที่ต้องไปทำ”
”มีอะไรรึ?”
”ข้าต้องไปรับคนตระกูลหลาน!” ไป๋ฉางเฟิ่งยกยิ้มน้อย ๆ “เมื่อครั้งที่หยานเอ๋อตกต่ำ ตระกูลหลานเป็นเพียงบ้านเดียวที่ไม่ยอมละทิ้งหยานเอ๋อ ข้าไม่ต้องการให้หยานเอ๋อสูญเสียญาติของนางไป จำนวนที่กำหนดไว้ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องรวมตระกูลหลานด้วย โดยหักลบกับจำนวนที่กำหนดไว้ให้สำนักเวชโอสถ”
ฉู่หรานอ้าปากค้างเขามองใบหน้าสงบนิ่งของไป๋ฉางเฟิ่ง พลางส่ายศีรษะ พร้อมกับถอนหายใจเล็กน้อย
เหวินหวู่เหว่ยเองก็เห็นด้วยกับถ้อยคำของไป๋ฉางเฟิ่งเขารีบกล่าวว่า “หากยังไม่พอ ข้าจะขอลดจำนวนคนของตำหนักเซียนพยับหมอกลงด้วย ตระกูลหลานต้องได้เข้าไปซ่อนตัวในเกาะศักดิ์สิทธิ์ !”
ฉู่หรานยิ้มอย่างขมขื่น”พวกท่านไม่ต้องทะเลาะกัน ข้าไม่ใช่ไม่เห็นด้วย ข้าเพียงถอนหายใจ เพราะหากตระกูลหลานไม่ได้ดูแลหยานเอ๋อเสมือนหนึ่งหลานสาว ครั้งนี้พวกเขาคงต้องเผชิญอันตรายอย่างใหญ่หลวง … ”
มีรอยยิ้มในแววตาของฉู่หรานมุมปากของเขาพลันยกโค้งเล็กน้อย
”ไม่ต้องกังวลไม่ต้องอะไรมาก หากพวกเจ้ายืนเบียด ๆ กันหน่อย ไม่นอนราบให้เต็มพื้นที่แล้วล่ะก็ เกาะศักดิ์สิทธิ์สามารถรองรับคนได้ถึงสามพันคน ทั้งคนตระกูลหลานก็มีไม่ถึงหนึ่งโหลซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นไป๋ฉางเฟิ่งและเหวินหวู่เหว่ยต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าครั้งนี้ถ้อยคำของเหวินหวู่เหว่ย ทำให้ไป๋ฉางเฟิ่งรู้สึกรังเกียจเขาน้อยลง
”ทว่า… ” ฉู่หรานหยุดชั่วคราว “เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนไป๋หยาน ห้ามมิใดเข้าใกล้ประตูปาฏิหาริย์ในระยะสิบลี้”
บทที่ 1009 : ทะลุระดับเทพ (4)
ประตูปาฏิหาริย์ที่เขาพูดถึงก็คือประตูสำริดตอนนี้ไป๋หยานยังไม่ออกมา เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดรบกวนนาง
ไป๋ฉางเฟิ่งถอนหายใจเบาๆ “เช่นนั้นก็ทำไปเถอะ ตอนนี้ข้าจะไปบ้านสกุลหลาน เพื่อไปรับพวกเขา … ”
วงศาคณาญาติของตระกูลหลานรวมถึงตระกูลตงของตงรั่วหลานก็มีไม่เกินเก้าคน ทว่าต้องรวมฮองเฮามารดาของฮ่องเต้อาณาจักรหลิวฮั่วอีกหนึ่งคน เช่นนั้นจึงมีเพียงสิบคนเท่านั้น
เกาะศักดิ์สิทธิ์คงไม่มีปัญหาที่จะมีคนเพิ่มอีกสิบคน
ในขณะนี้แผ่นดินใหญ่สงบนิ่งราวกับน้ำไม่มีผู้ใดรู้ว่าหายนะกำลังจะมาถึง
ในบ้านสกุลหลานท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานนั่งเงียบ ๆ บนเก้าอี้ เขามองไป๋ฉางเฟิ่งผู้ซึ่งนั่งอยู่อีกข้าง หลังจากนั้นไม่นาน “สิ่งที่ท่านกล่าวมาเป็นความจริงกระนั้นหรือ ?”
ไป๋ฉางเฟิ่งยิ้มอย่างขมขื่นพลางกล่าวว่า “เรื่องเช่นนี้ ข้าจะเอามาล้อเล่นได้เช่นไร ? ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลาน หากเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหลาน หยานเอ๋อจะต้องเสียใจมาก โปรดตามข้าไปที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ก่อนเถิด”
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานนิ่งเงียบหลังจากนั้นเพียงไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นมองชายชราอย่างหม่นหมอง รอยยิ้มสิ้นหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชราของเขา
”หลายปีที่ผ่านมาตาแก่อย่างข้าได้พบเห็นคลื่นลมทั้งลูกเล็กลูกใหญ่ ข้าจะหวาดกลัวต่อความตายได้อย่างไร ท่านช่วยนำภรรยาของข้าและลูก ๆ ของข้าไปเถิด ข้าอยากอยู่ที่นี่”
”ท่านเจ้าบ้าน?” ไป๋ฉางเฟิ่งขมวดคิ้ว “ท่านหมายความเช่นไร ?”
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานยิ้มอย่างขมขื่น”คนของข้าที่อยู่ในบ้านสกุลหลานเหล่านี้ใช้เวลาอยู่กับข้ามาเนิ่นนาน ช่วงเวลาที่ตระกูลหลานตกต่ำ พวกเขาก็ไม่เคยทิ้งเรา ทว่าในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ จะให้ข้าทอดทิ้งพวกเขาเพื่อเอาชีวิตรอดกระนั้นหรือ ? ”
จู่ๆ คำกล่าวของไป๋ฉางเฟิ่งก็ติดอยู่ในลำคอ เขารู้สึกละอายใจเมื่อเทียบกับท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลาน
ชั่วขณะนั้นประตูพลันถูกผลักเปิดออกหญิงชราถือไม้เท้ารีบสาวเท้าก้าวเข้ามาด้านใน
หลานหยูและคนอื่นๆ ก็ตามนางมา เพราะกลัวว่านางจะโกรธ
”ท่านไม่ไปแต่ท่านกลับไล่พวกเราไปกระนั้นหรือ ? ท่านหมายความเช่นไร หึ..ตาเฒ่า?”
หญิงชราผู้อ่อนโยนและสง่างามมาโดยตลอดนี่เป็นครั้งแรกที่นางโกรธมากไม้ค้ำยันในมือของนางตกลงกับพื้นเสียงดังเคร้ง…
”ฮูหยิน!” ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านลำคอแหบแห้งเล็กน้อย “เจ้าพาหยูเอ๋อกับภรรยาและเฉาหลิงไป ไม่ต้องห่วงข้า ไม่ได้ยินที่ท่านเจ้าสำนักไป๋กล่าวหรือ? ข้าจะพาพวกเขาไปหลบภัยในป่าสัตว์อสูร”
หญิงชราตะคอก”แน่นอนข้าได้ยินสิ่งที่ท่านเจ้าสำนักไป๋พูด แต่ท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่า คนเลวพวกนั้นจะไม่บุกป่าสัตว์อสูร อย่างไรก็ตามข้าไม่สนใจทั้งนั้น ข้าจะไปทุกที่ที่มีท่าน !”
เห็นท่าทีเช่นนั้นแล้วการแสดงออกของท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานก็ดูสับสนเล็กน้อย เขาไม่ต้องการละทิ้งคนคอยติดตามเขาเสมอมา ทว่าเขาก็ไม่ต้องการให้คนที่เขารักตายอย่างไร้ค่า
“ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลาน…โปรดฟังข้า”ไป๋ฉางเฟิ่งกระแอมอย่างแห้ง ๆ “ ข้าคุ้นเคยกับสัตว์อสูรในป่าสัตว์อสูรนั่นดี ข้าจะให้พวกมันช่วยปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน เพื่อหยานเอ๋อแล้ว พวกมันจะดูแลคนของท่านอย่างดี พวกท่านไม่ต้องกังวลมากไปนักเกี่ยวกับความปลอดภัยของพวกเขา”
“จริงรึ?” ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานมองไป๋ฉางเฟิ่งอย่างสงสัย
ดวงตาของไป๋ฉางเฟิ่งกระพริบเขากล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ “หากท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลาน เต็มใจที่จะตามข้าไปเกาะศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็จะปฏิบัติต่อท่านอย่างดี แต่หากท่านไม่ยอมก็อย่าโทษหากข้าไม่สุภาพ เพราะนอกจากวิธีนี้ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่น”
เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปล่อยให้ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานไปผจญภัยในป่าสัตว์อสูรบางทีคนเหล่านั้นอาจจะไม่กลัวอาณาจักรอสูร และสังหารหมู่สัตว์อสูรในป่านั่น ?
เช่นนั้นแม้จะต้องคุกคามเขาก็ต้องจัดการให้ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานตามเขาไปที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นเท่านั้นที่ปลอดภัยที่สุด
บทที่ 1010 : ทะลุระดับเทพ (5)
”ท่านเจ้าบ้าน…หยานเอ๋อย่อมไม่ต้องการเห็นท่านตกอยู่ในอันตรายหากการคุกคามนี้เป็นประโยชน์กับท่าน ข้าก็จะทำ ข้าจะทุบท่านเพื่อพาท่านไป”
ไป๋ฉางเฟิ่งลุกขึ้นจากที่นั่งพลางข่มขู่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
มุมปากของท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานกระตุกสองครั้งเขาไม่คาดคิดว่าเจ้าสำนักเวชโอสถจะทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้
”ข้าได้ยินมาว่าหลานชายคนโตของบ้านสกุลหลานกำลังไล่ติดตามเฟิงหลวน จักรพรรดินีแห่งอาณาจักรเฟิงฉี ตอนนี้ เฟิงหลวนได้เข้าร่วมกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว แม้ว่านางจะไม่ใช่ศิษย์เอกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทว่าข้าก็สามารถขอให้ฉู่หรานส่งนางไปยังเกาะศักดิ์สิทธิ์ได้ ”
ไป๋ฉางเฟิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานมองท่าทีที่สงบของไป๋ฉางเฟิ่งในที่สุดเขาก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ก็ท่านกล่าวเองนี่ว่า แม้ว่าข้าจะไม่เห็นด้วย ข้าก็จะถูกทุบให้สลบ จากนั้นก็จะถูกพาตัวไปอยู่ดี เช่นนั้นความคิดเห็นของข้าก็ไม่มีประโยชน์ใด พูดต่อไปเถอะ ข้ากำลังฟังท่าน”
แค่เขาคิดถึงคนในตระกูลหลานหัวใจของเขาก็หนักอึ้ง เขาเพียงหวังว่าคนของเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ
ไป๋ฉางเฟิ่งย่อมสังเกตเห็นความกังวลของท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานเขายิ้มพลางกล่าวว่า“ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลาน เมื่อถึงเวลานั้นให้คนตระกูลหลานสวมชุดเครื่องแบบไว้ ข้าจะบอกให้บรรดาสัตว์อสูรคอยปกป้องคนในตระกูลหลานเอง”
ป่าสัตว์อสูรเต็มไปด้วยเภทภัยต่างๆ นา ๆ นอกจากนี้ หากมีการต่อสู้เกิดขึ้น ในพื้นที่ป่าสัตว์อสูร สัตว์อสูรเหล่านั้นจะคอยให้การช่วยเหลือเส้นทางการหลบหนีให้คนตระกูลหลาน
ตราบใดที่สามารถใช้ประโยชน์จากภัยอันตรายภายในป่าสัตว์อสูรได้พวกคนบุกรุกเหล่านั้นก็จะไม่สามารถทำอะไรคนสกุลหลานได้
”ท่านเจ้าสำนักไป๋ฉลาดปราดเปรื่องนัก”ชายชราหลานกล่าวพร้อมรอยยิ้มขมขื่น
ครั้นเห็นท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานยินยอมฮูหยินหลานและคนอื่น ๆ ก็พลอยโล่งใจ พวกเขากลัวจริง ๆ ว่าท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านจะดื้อรั้น และไม่ไปกับพวกเขา …
หลังจากกล่าวสิ่งเหล่านี้กับท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานแล้วไป๋ฉางเฟิ่งจึงสั่งให้คนไปบอกกล่าวคนอื่น ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์อันตรายในแผ่นดินใหญ่ ทั้งขอให้พวกเขาไปที่ป่าสัตว์อสูรเพื่อรักษาชีวิต
บางคนที่เชื่อมั่นในสำนักเวชโอสถย่อมไม่สงสัยในคำพูดของคนสำนักเวชโอสถและรีบหนีไปยังป่าสัตว์อสูรพร้อมกับเงินทองติดตัว
หากแต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ไม่เชื่อในคำบอกเล่าเหล่านี้
ผู้ที่อยู่ในป่าสัตว์อสูรอย่างไรเสียก็เป็นสัตว์อสูรในหลายปีที่ผ่านมามีใครที่เข้าไปยังป่าสัตว์อสูรแล้วมีชีวิตรอดกลับออกมาได้บ้าง ?
ตอนนี้จะให้พวกเขาย้ายไปอยู่ในป่าสัตว์อสูรกระนั้นรึ?
นี่ไม่ใช่การช่วยชีวิตหากแต่เป็นการไปหาที่ตายมากกว่า ?
นอกจากนี้…
บางตระกูลสร้างธุรกิจขึ้นมาด้วยความยากลำบากเช่นนั้นพวกเขาจะยอมรามือได้อย่างไร ? ในเวลานี้พวกเขาย่อมไม่เต็มใจที่จะจากไป
แน่นอนว่าผู้ที่ไปถึงป่าสัตว์อสูรเร็วที่สุดเป็นคนของหอบุปผา และสำนักสัตว์อสูร
หอบุปผานี้อยู่ภายใต้การดูแลของไป๋หยานไป๋ฉางเฟิ่งออกคำสั่งผ่านคำพูดของไป๋หยาน ฮัวหลัวก็นำคนหลายพันคนในหอบุปผารวมทั้งหมอปรุงยาที่ไป๋หยานใช้เวลาฝึกฝนไว้นานหลายปีออกไปทันที
สำหรับสำนักสัตว์อสูร…
พวกเขารู้ดีว่าไป๋ฉางเฟิ่งแห่งสำนักเวชโอสถเป็นตาของไป๋หยานและไป๋หยานมีความสามารถเช่นไร ?
บุตรชายของนางสามารถปราบสัตว์อสูรได้แม้แต่มังกรแก้วของสำนักสัตว์อสูรก็ถูกปราบเสียจนเชื่อง แล้วการให้พวกเขาไปป่าสัตว์อสูรแค่นี้ พวกเขาจะไม่เชื่อฟังคำสั่งของสำนักเวชโอสถได้อย่างไร ?
ถึงแม้ว่า… ยามนี้มังกรแก้วจะถูกไป๋เสี่ยวเฉินทิ้งไว้ที่สำนักสัตว์อสูร หากแต่มังกรแก้วตอนนี้ก็ไม่ดุร้ายเฉกเช่นเดิมอีกต่อไป ทว่ากลับเชื่องอย่างผิดปกติ
ดังนั้นสำนักสัตว์อสูรจึงไม่กลัวสัตว์อสูรในป่าสัตว์อสูรโจมตี พวกเขารีบพาทุกคนออกจากสำนักไปหาที่หลบซ่อนตัวในป่าสัตว์อสูรทันที
ภายในประตูสำริด
ไป๋หยานนั่งขัดสมาธิอยู่บนอากาศรัศมีสีฟ้าจาง ๆ กระจ่างอยู่รอบตัวนางร่างกายของนางเปล่งแสงสีฟ้า
ตูม!
ท่ามกลางท้องฟ้าสีขาวสายฟ้าฟาดลั่นโครมครามปรากฏขึ้น ชั่วขณะนั้นมันก็ตกลงบนร่างของไป๋หยาน