จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1011-1015
บทที่ 1011 : ทะลุระดับเทพ (6)
นางยังคงนิ่งสงบราวกับภูเขาและยังคงนั่งอยู่บนพื้นไม่ต่างจากรูปสลักหิน
ตูม!
เสียงฟ้าร้องฟ้าแลบแปลบปลาบถี่ ๆ ต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง สายฟ้าที่ฟาดไป๋หยานรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ฟ้าร้องและฟ้าผ่ากินเวลานานกว่าชั่วยามก่อนที่จะสลายหายไป จากนั้นแสงสีทองก็ลอยขึ้นจากร่างของนางผ่านละไอหมอกสีขาวเป็นชั้น ๆ ลอยขึ้นสู่อากาศที่ว่างเปล่า …
เพราะนางก้าวขึ้นสู่อีกระดับภายในประตูสำริดเช่นนั้นโลกภายนอกจึงไม่พบการเคลื่อนไหวใด ๆ เกรงว่าแม้แต่คนแดนสวรรค์เองก็ยังไม่รับรู้ถึงการพัฒนาของนาง …
หลังจากนั้นไม่นานไป๋หยานก็ลืมตาขึ้นนางมองวิญญาณสัตว์เวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ที่รายล้อมอยู่รอบกายนาง
วิญญาณสัตว์เวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ดูเหมือนจะรู้ว่าพวกมันเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว พวกมันมองไป๋หยานอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะเลือนหายไปในความหม่นมัวของละไอหมอกขาว
หัวใจของไป๋หยานกระตุกวูบแม้นางจะรู้ว่าสัตว์เวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่นั้นเป็นเพียงจิตวิญญาณ พวกมันไม่ได้อยู่ในสถานที่แห่งนี้จริง ๆ ทว่าเมื่อเห็นพวกมันจากไป หัวใจของนางก็ยังคงปวดร้าวอย่างหนัก นางอดไม่ได้ ที่จะบีบฝ่ามือตนเองแน่น
”วันหนึ่ง…ข้าจะรวบรวมพวกเจ้าทั้งสี่แล้วพวกเราจะร่วมมือกันพลิกแดนสวรรค์ให้คว่ำ !”
พลิกแดนสวรรคให้คว่ำแดนสวรรค์จะไม่มีสันติสุข จะไม่ใช่สรวงสวรรค์อีกต่อไป !
ไป๋หยานสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะลุกขึ้นจากพื้น และเข้าสมาธิต่อ
เพียงไม่นานนางก็หยุด…
ไม่ไกลกันนักมีบรรยากาศสีดำหนาลอยอยู่เหนือสระน้ำสีดำเนื่องจากก่อนหน้านี้นางถูกหมอกสีขาวปิดกั้น นางจึงไม่เห็นความไร้เดียงสาสีดำ
ในช่วงเวลาที่ไป๋หยานเห็นความไร้เดียงสาสีดำหัวใจของนางพลันสั่นสะท้าน
”พลังปราณนี้… เหตุใดจึงมีพลังปราณเช่นนี้เป็นไปได้หรือไม่ที่จิตวิญญาณได้สร้างบุคลิกของตัวเอง และต้องการที่จะกลืนกินข้าเพราะอิทธิพลของพลังปราณนี้ ?”
สีหน้าของไป๋หยานค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น นางจับจ้องมองพลังปราณที่วนเวียนอยู่เบื้องหน้านาง ในใจก็รู้สึกลาง ๆ ว่าพลังปราณนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงวิญญาณนั่น …
นางไม่เชื่อว่าวิญญาณจะสามารถสร้างจิตสำนึกของตนเองได้ทั้งยังมีบุคลิกภาพที่ตรงข้ามกับบุคลิกภาพดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นเหตุที่จิตวิญญาณมีปฏิกิริยาเช่นนี้ น่าที่จะเป็นผลมาจากการได้รับผลกระทบจากภายนอก
“อ๋อ?”
สายตาของไป๋หยานไปกระทบเข้ากับม้วนไผ่เก่าๆ ที่วางอยู่ข้างสระน้ำ ร่างของนางพลันหายวับ นางรีบเอื้อมมือไปหยิบม้วนไผ่มา
“ตำรับยาโบราณ?”
หลังจากเห็นเนื้อหาบนม้วนไผ่หัวใจของไป๋หยานพลันสั่นสะท้าน มือของนางจับม้วนไผ่แน่น แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความยินดี
ข้าเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่สองสามตัวที่ด้านหน้าของใบไผ่
ยาเม็ดปรับพลังจิตวิญญาณระดับสิบ
ในชีวิตก่อนหน้านี้เป็นเรื่องยากมากสำหรับนางที่จะปรุงยาระดับแปด นั่นเป็นเพราะนางไม่เคยฝึกถึงระดับเทพ ร่างของนางจึงไม่สามารถต้านทานอัสนีบาตได้
ทว่าตอนนี้นางได้เข้าถึงระดับเทพแล้วเช่นนั้นนางจึงสามารถปรุงยาระดับสิบนี้ นางสามารถสร้างยาเม็ดเทพเจ้า !
ไป๋หยานยังคงมองตัวอักษรที่จารึกวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับยาเม็ดระดับสิบนั่นและสุดท้ายก็คือคำอธิบายเกี่ยวกับการปรุงยา
”การสร้างยาเม็ดเทพเจ้านั้นผู้ปรุงจะต้องเป็นผู้ที่ฝึกฝนอยู่ในระดับเทพ กระบวนการปรุงกลั่นยานี้ยากมาก ทั้งส่งผลกระทบที่รุนแรงมากด้วย เช่นนั้นหมอปรุงยาจึงจำเป็นต้องเข้มงวดในขั้นตอนต่าง ๆ มากกว่าปกติ
นอกเหนือจากความยากลำบากในการหาวัตถุดิบเพื่อสร้างยาเทพเจ้านี่แล้วพลังจิตวิญญาณของหมอปรุงยาก็ต้องแข็งแกร่งมากด้วย ! หากพลังจิตวิญญาณไม่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะปรับแต่งยานี้ ก็จะทำให้เกิดอัมพาต หรืออัมพาตครึ่งซีกอย่างถาวร ”
ไป๋หยานเงียบเมื่อนางอ่านมาถึงตรงนี้
นางเพียงแค่หลอมรวมกับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เมื่อผนวกกับพลังจิตวิญญาณของนางเอง … จะเพียงพอต่อการปรับแต่งยาศักดิ์สิทธิ์นี้หรือไม่ ?
ยาเม็ดเทพเจ้านี้ดูเหมือนจะถูกออกแบบมาเพื่อนาง
ไป๋หยานหยุดชั่วขณะนางยังคงจดจ้องอยู่กับคำแนะนำการปรุงยาเทพเจ้า
”เหตุที่ยาเม็ดนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นยาเม็ดระดับสิบก็เพราะมันสามารถปรุงขึ้นได้ก็เฉพาะผู้ที่ฝ่าทะลุระดับเทพแล้วเท่านั้นข้าหวังว่าผู้ที่สามารถปรับแต่งเม็ดยานี้ได้สำเร็จ จะใช้มันเพื่อประโยชน์ต่อชนรุ่นหลัง ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อสร้างยาเม็ดเทพเจ้านี้อย่างเปล่าประโยชน์”
หลังจากกินยาเม็ดนี้แล้วเจ้าจะสามารถทะลุระดับเทพได้ นี่คงมากพอที่จะอธิบายได้ว่าพลังของยาเม็ดนี้มันไม่ธรรมดา …
บทที่ 1012 : ยาเม็ดเทพเจ้า (1)
”อย่างไรก็ตามวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงแต่งยาเม็ดนี้ค่อนข้างซับซ้อน”
ไป๋หยานวางตำรับยาลงนัยน์ตาของนางเหม่อมองไปยังสระน้ำเบื้องหน้า
ส่วนบนของสระมีกลิ่นอายที่ร้ายกาจไออากาศสีดำรุนแรง ราวกับมีมังกรดำตัวใหญ่กำลังจะผุดออกมาจากในสระ ทำให้ผู้คนที่พบเห็นถึงกับตัวสั่นสะท้าน
ไป๋หยานเหลือบมองไปที่สระน้ำจากนั้นก็ถอนสายตา ก่อนจะลุกขึ้นค่อย ๆ สาวเท้าก้าวเข้าไปเรื่อย ๆ
ยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ความรับรู้ถึงพลังลมปราณของไป๋หยานก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น นางหยุดฝีเท้าทันที สายตาของนางจับจ้องมองสวนสมุนไพรที่อยู่เบื้องหน้า พลันนัยน์ตาของนางก็เปล่งประกายประหลาดใจ
”นั่นมัน…”
นางตกใจมากก่อนจะรีบมุ่งหน้าตรงไปยังสวนสมุนไพร วัตถุดิบล้ำค่าถูกปลูกไว้บนพื้นดิน ไมต่างจากแปลงผักเผยให้เห็นพลังอันน่าทึ่ง
”สมุนไพรที่จำเป็นสำหรับปรุงยาเทพเจ้ามีอยู่ที่นี่แล้วทั้งยังมีสมุนไพรหายากอีกนับไม่ถ้วนด้วย”
นางมองสมุนไพรทั่วลานด้วยความประหลาดใจมุมปากของนางยกโค้ง
ด้วยสมุนไพรเหล่านี้นางสามารถลองปรุงแต่งยาวิเศษได้ภายในวันนี้ …
“อ๋อ?”
จู่ๆ นัยน์ตาของไป๋หยานก็หรี่ลง นางจับจ้องมองต้นไม้เหี่ยวเฉาที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
ต้นไม้นั้นดำมืดราวกับจะไหม้เกรียมส่วนที่เป็นใบก็เหี่ยวเฉา ทว่าทันทีที่ใบไม้ร่วงหล่นลงสู่พื้น มันก็กลายเป็นควันดำโขมงก่อนจะลอยไปทางสระน้ำที่อยู่ไม่ไกลกันนัก …
ไป๋หยานเข้าใจทันที”ข้าก็สงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดน้ำในสระถึงเน่าเสีย ที่แท้ก็เป็นเพราะต้นไม้ต้นนี้นี่เอง ข้าไม่รู้ว่ามันคือต้นอะไร เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นมาก่อน … ”
อย่างไรก็ตามเนื่องจากผู้ที่สร้างกุญแจปาฏิหาริย์นี้ได้ปลูกต้นไม้ต้นนี้ไว้ที่นี่แสดงว่ามันจะต้องมีประโยชน์สำหรับนางทั้งบางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับสระน้ำนั้น
ทว่าน่าเสียดาย…
ตอนนี้นางไม่มีความสามารถพอที่จะตรวจสอบสิ่งเหล่านี้
ไป๋หยานเลิกกังวลนางเก็บสมุนไพรจากสวนสมุนไพร จัดแยกแต่ละชนิดเก็บใส่ในถุงเก็บของของตน กระทั่งเหลือเพียงสมุนไพรที่ต้องใช้ทำยาเม็ดเทพเจ้าเท่านั้นที่นางจัดไว้เพื่อรอปรุงยา
”หากข้าปรุงแต่งยาเม็ดนี้ที่โลกภายนอกข้าเกรงว่ามันจะก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ เช่นนั้นน่าที่จะเป็นการดีกว่าหากข้าจะปรุงยาเสียให้เสร็จสิ้นที่นี่ จากนั้นค่อยกลับออกไป”
ไป๋หยานกระพริบตาเบาๆ สองสามครั้ง รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง
ชั่วขณะนั้นนางก็หยิบเตาหลอมยาที่นางมีไว้ใช้ออกมา
เตาหลอมยาขนาดใหญ่วางลงบนพื้นก่อให้เกิดเสียงดังโครมทั้งทำให้ทั้งพื้นดินสั่นสะเทือนกระทั่งฝุ่นปลิวว่อน
ไป๋หยานสูดลมหายใจเข้าลึกนางหยิบวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับการปรุงแต่งยาเม็ดเทพเจ้าออกมาวางไว้ข้างกาย จากนั้นก็ลงนั่งขัดสมาธิ เปลวเพลิงลุกขึ้นจากฝ่ามือของนางจุดไฟที่ด้านล่างของเตาหลอมยา …
“ย้อนกลับไปตอนที่ข้าอยู่ในประเทศจีนตอนที่ข้ากำลังปรุงแต่งยาเม็ดระดับเก้า ข้าเจอฟ้าผ่าจนกลายเป็นขี้เถ้า ครั้งนี้สิ่งที่ข้ากำลังทำมันท้าทายกว่า เพราะมันคือยาเม็ดขั้นสิบที่แข็งแกร่งกว่ายาขั้นเก้า … ”
”เช่นนั้นข้าจะต้องทำสำเร็จ ไม่ล้มเหลว !”
การแสดงออกของไป๋หยานแลดูเคร่งขรึมนิ้วของนางพลิ้วไปมา พลันวัตถุดิบต่าง ๆ ก็ลอยขึ้นจากพื้นทีละชิ้นตกลงไปในเตาหลอมยา …
บนแผ่นดินใหญ่เลือดไหลนองเต็มเมืองแม้แต่ประตูเมืองก็โชลมไปด้วยเลือดสีแดงสด ท้องฟ้าทั้งหมดพลันแลดูมืดมน เหมือนจะตอบสนองต่อเมฆดำที่ปกคลุมเหนือศีรษะของทุกคน
คนเหล่านั้นไม่เชื่อถ้อยคำของสำนักเวชโอสถจึงไม่ได้พาครอบครัวไปหลบซ่อนตัวในป่าสัตว์อสูร เช่นนั้นภัยพิบัติจึงเข้ามากล้ำกราย โดยไม่มีโอกาสได้หลบหนี
“นายน้อย…อาณาเขตของสัตว์อสูรอยู่ข้างหน้าพวกเราจะโจมตีกันต่อไปหรือไม่ ?”
ชั่วขณะนี้เหอลู่กำลังขี่ม้าตัวใหญ่อย่างอวดโอ่เขาเพลิดเพลินไปกับภาพนองเลือดเบื้องหน้า คำถามพลันดังเข้าหูของเขาอย่างกะทันหัน ทำให้เขายิ้มเยาะ
บทที่ 1013 : ยาเม็ดเทพเจ้า (2)
”คำสั่งของบิดาข้าก็คือไม่ไว้ชีวิตผู้ใดในแผ่นดินนี้ สัตว์อสูรพวกนี้ก็ย่อมอยู่ในเกณฑ์นี้เช่นกัน”
”นายน้อย”ชายชราที่อยู่ข้าง ๆ เหอลู่ขมวดคิ้วเอ่ยกล่าวด้วยเสียงต่ำ ๆ “สัตว์อสูรมักจะรวมตัวกัน ปกป้องภัยจากโลกภายนอกมาโดยตลอด หากท่านทำอะไรกับสัตว์ร้ายในป่าสัตว์อสูร ข้าเกรงว่า…จะเป็นจุดเริ่มต้นสงครามระหว่างเรากับแดนอสูร”
เหอลู่ส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ”ข้าได้ยินมาว่า หลานสาวของสำนักเวชโอสถเป็นภรรยาของราชาแห่งแดนอสูร ในเมื่อพวกเรากล้าที่จะยั่วยุนาง ก็แล้วสัตว์อสูรเหล่านั้นจะมีค่าอะไร ?”
คิ้วของชายชราขมวดมุ่นมากขึ้นเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าเหตุใดชายผู้ซึ่งทรงอำนาจเช่นเจ้าแดนวิญญาณจะให้กำเนิดบุตรชายที่ไร้ค่าเช่นนี้ได้ ?
“เรื่องนี้ไม่อาจนำมากล่าวรวมกันได้ภรรยาของราชาอสูรเป็นเพียงมนุษย์ เมื่อถึงตอนนั้นเราก็อ้างว่าเราไม่รู้ว่านางคือราชินีอสูร ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิดผู้ที่อยู่ในอาณาจักรอสูรไม่ได้โง่เง่า พวกเขาคงไม่อยากเผชิญหน้ากับแดนสวรรค์พร้อมกับต้องรับมือคนจากแดนวิญญาณไปด้วย”
”สำหรับพวกสัตว์อสูร… ” ชายชรายิ้มน้อย ๆ “เมื่อหลายพันปีก่อนอาณาจักรอสูรออกคำสั่งว่า ผู้ใดก็ตามที่สังหารสัตว์อสูรในอาณาจักรอสูรจะต้องถูกอาณาจักรอสูรสาปแช่ง ยิ่งไปกว่านั้นเราได้วางแผนไว้แล้วว่า เราจะจัดการกับภรรยาของราชาอสูรเช่นไร … พวกสัตว์อสูรเหล่านี้ก็ควรถือเป็นของขวัญจากอาณาจักรวิญญาณของเรากำนัลแก่อาณาจักรอสูรก็แล้วกัน”
สิ่งที่พูดหมายถึงหากพวกเขาละเว้นชีวิตของสัตว์อสูรแล้ว แดนอสูรก็จะยอมช่วยเหลือพวกเขา …
”และ… ” ชายชราหัวเราะเบา ๆ “ข้าไม่ได้มีเจตนาที่จะสังหารราชินีอสูร”
“หมายความว่าไง?”
เหอลู่หรี่ตาพลางหันไปมองชายชราในชุดคลุมลายดอกสนที่อยู่ด้านหลังเขา
ตาแก่นี่อาศัยพลังที่แข็งแกร่งระดับเทพของตนมาแสดงอำนาจเหนือกว่าต่อหน้าเขา! ไม่แม้แต่จะฟังคำสั่งของเขาเลย
ยโสนัก!
”แม้เราจะอ้างได้ว่าเราไม่รู้ว่านางเป็นราชินีอสูร ทำให้เราได้รับการอภัยโทษจากอาณาจักรอสูรได้ แต่หาก … ” ชายชราหยุด ก่อนจะกล่าวต่อ “ราชินีอสูรสิ้นพระชนม์ในมือของเรา พวกเขาก็คงจะไม่ปล่อยเราเป็นแน่”
เหอลู่ยิ้มก่อนจะเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะที่ดังก้องไปทั่วพร้อมกับกลิ่นอายที่ดุดัน
”จากที่เจ้ากล่าวมาหมายถึงแม้แต่คนของสามสำนักใหญ่ สำนักเวชโอสถ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และตำหนักเซียนพยับหมอกก็ห้ามฆ่าด้วยกระนั้นรึ ?”
”ไม่”ชายชราส่ายศีรษะ “สัตว์อสูรปกป้องเพียงญาติมิตร คนรัก รวมถึงคนในเผ่าพันธุ์เดียวกัน ท่านเคยเห็นสัตว์อสูรปกป้องมนุษย์ด้วยกระนั้นหรือ ? แม้ว่าราชินีอสูรจะเป็นที่รักของราชาสัตว์อสูร ทว่าญาติของนางก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา สัตว์อสูรนั้นโหดเหี้ยมต่อมนุษย์ เช่นนั้นพวกมันจะไม่แก้แค้นแทนพวกมนุษย์แน่”
อย่างมาก… ราชาอสูรก็อาจเรียกร้องค่าตอบแทนบางอย่างจากอาณาจักรวิญญาณ เพื่อชดเชยให้แก่ราชินีอสูร เมื่อเทียบกับแผ่นดินนี้แล้ว คนพวกนั้นก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก
”อาวุโสหยวน”เหอลู่เดือดดาลแน่นอก “อย่าลืมสิว่า บิดาของข้าได้สั่งไว้ว่า เมื่อมาถึงแผ่นดินใหญ่ให้ท่านทำตามคำสั่งของข้า ข้าขอสั่งท่านเดี๋ยวนี้ว่า ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือสัตว์อสูรก็ต้องตายทุกคน !”
ใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของเขาแดงก่ำน้ำลายของเขาพ่นใส่หน้าผู้อาวุโสหยวน
อาวุโสหยวนเช็ดน้ำลายเปียกๆ บนใบหน้าของตน เอ่ยกล่าวอย่างไม่มีอารมณ์ใด ๆ “หากท่านต้องการทำเช่นนั้น ก็ทำไปคนเดียวเถิด พวกเราจะไม่บุกป่าสัตว์อสูรเพื่อฆ่าสัตว์อสูรเหล่านั้นกับท่าน”
”ท่าน… ” เหอลู่ชี้นิ้วไปที่อาวุโสหยวนอย่างโกรธเกรี้ยว พลางกัดฟัน “ได้…ดีมาก อาวุโสหยวน เมื่อกลับไปถึงอาณาจักรวิญญาณ ข้าจะรายงานการกระทำทั้งหมดของท่านให้ท่านพ่อของข้าทราบ และให้เขาเป็นคนตัดสิน !”
บทที่ 1014 : ยาเม็ดเทพเจ้า (3)
เหอลู่สะบัดแขนเสื้ออย่างแรงพลางเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันหลังกลับ
ครั้นอาวุโสหยวนเห็นว่าเหอลู่ล้มเลิกความคิดที่จะไปป่าสัตว์อสูรแล้ว เขาก็โล่งใจอย่างเงียบ ๆ
อย่างไรเสียแดนอสูรก็มีรากฐานที่แข็งแกร่ง หากแดนอสูรทำสงครามกับพวกเขาขึ้นมาจริง ๆ พวกเขาย่อมไม่สามารถต้านทานได้อย่างแน่นอน
ในเวลาเดียวกัน
บนเกาะใจกลางทะเลสาบไม่หลงเหลือความสงบเงียบอีกต่อไป เสียงดังจ้อกแจ้ก ทั่วทั้งเกาะเต็มไปด้วยผู้คน เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากจึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับพวกเขาที่จะนอนหลับพักผ่อน
ส่วนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ส่งศิษย์ธรรมดาเข้าสู่ป่าสัตว์อสูรเสียก่อนจึงทำให้ไม่มีผู้ใดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลงเหลือพอที่จะช่วยนำทางพวกเขาได้
“นายน้อย… ”
จู่ๆ ผู้อาวุโสก็ยกมือขึ้นขวางทางเหอลู่ คิ้วของเขาขมวดมุ่น ใบหน้าชราของเขาแลดูเคร่งขรึม
“ท่านยังมีปัญหาอะไรอีก?” เหอลู่หันหน้าไปมอง พลางตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
“ท่านไม่ได้สังเกตหรือไรว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ดูแปลกไป ?” อาวุโสหยวนคลายคิ้ว “ที่จริงข้าสังเกตเห็นมาตลอดดูเหมือนว่าคนสำนักใหญ่จำนวนมากไปหาที่หลบซ่อนแล้ว และตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นได้ว่ามีคนเปิดเผยแผนการของเรา ?”
ครั้งนี้เพื่อที่จะรีบมาให้ถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยเร็วที่สุดพวกเขาไม่ได้แวะที่อื่น ทว่าก็ได้จัดส่งกองกำลังแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ออกไปทำการสังหารหมู่ในแต่ละพื้นที่
แม้ว่าสำหรับแดนวิญญาณแล้วคนเหล่านั้นจะไม่ได้ถูกจัดว่าแข็งแกร่งมาก ทว่าพวกเขาก็เป็นยอดฝีมือที่คนบนแผ่นดินใหญ่ไม่อาจรับมือได้
ไม่คาดคิดว่าแผนการของพวกเขาจะถูกเปิดเผยหาไม่เหตุใดดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ถึงร้างผู้คน ?
ในขณะที่อาวุโสหยวนกำลังใช้ความคิดอยู่นั้นจู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นคลื่นความแปรปรวนในอากาศเบื้องหน้า ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้นในสายตาของเขา
“มีคนอยู่ที่นั่น”
เขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยต่อหน้าต่อตาเหอลู่
ใบหน้าของเหอลู่นั้นแลดูน่าเกลียดทว่าก็ต้องอดกลั้นไว้เพราะอาวุโสหยวนนั้นจัดได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดายอดฝีมือระดับเทพที่เขานำมาด้วยในวันนี้
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะมีข้อกังขามากมาย ทว่าในยามนี้เขาไม่อาจพูดอะไรได้อีก เขาทำได้เพียงมุ่งหน้าไปยังทิศทางการจากไปของอาวุโสหยวน …
เกาะศักดิ์สิทธิ์ที่เคยมีเสียงดังจอแจจู่ ๆ ก็ต้องเงียบลงด้วยเสียงตะโกนที่ดังขึ้น
“อาวุโสหยวนแห่งอาณาจักรวิญญาณมาเยี่ยมเยียนพวกท่านทุกคนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์โปรดออกมาพบข้าด้วย”
ถ้อยคำของเขานั้นสุภาพมากทว่าน้ำเสียงนั้นกลับดุดันมาก
ฉู่หรานลุกขึ้นจากพื้นทันทีเขาขมวดคิ้วพร้อมสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเขามากันแล้ว … “
ไป๋ฉางเฟิ่งและเหวินหวู่เหว่ยต่างหันมองหน้ากันทั้งคู่ไม่คาดคิดว่าคนจากอาณาจักรวิญญาณจะมากันเร็วถึงเพียงนี้ โชคดีที่พวกเขาเตรียมตัวมาดี หาไม่พวกเขาอาจตกอยู่ในอันตรายได้
ท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่าปรากฏร่างชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ชายชราคนนี้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นไพล่หลัง เขาสวมเสื้อคลุมลายลูกสนด้วยทีท่าสงบ ขณะส่งสายตากวาดมองผู้คนที่อยู่บนเกาะกลางทะเลสาบอย่างเย็นชา
เหอลู่รีบติดตามมาเช่นกันครั้นเขาเห็นฉู่หรานและคนอื่น ๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “พวกเจ้าซ่อนตัวอยู่ในที่แห่งนี้นี่เอง คิดว่าคนอาณาจักรวิญญาณของเราจะหาพวกเจ้าไม่พบงั้นหรือ ? พวกเราฆ่าคนกลุ่มนี้ให้หมดไม่ต้องละเว้น”
“ขอรับ”
ทันทีที่สิ้นเสียงร่างที่อยู่ด้านหลังเหอลู่ก็พุ่งเข้าหาผู้คนบนเกาะกลางทะเลสาบราวกับสายฟ้า ความเร็วของคนผู้นี้เร็วมาก กระทั่งไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งเขาได้เลย
ปัง!
จู่ๆ ชายคนนั้นก็กระแทกเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นเต็มแรง ราวกับสายฟ้าฟาด ส่งผลให้ร่างของเขากระเด็นกระดอนกลับไปในอากาศ ก่อนจะร่วงลงกับพื้นพร้อมกับกระอักเลือดออกมาจากปาก ใบหน้าของเขาซีดเซียว
บทที่ 1015 : ยาเม็ดเทพเจ้า (4)
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหอลู่ค่อยๆ จางหายไป นัยน์ตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย มีแสงเย็นวาบฉายลอดออกมา
”เกิดอะไรขึ้น?”
อาวุโสหยวนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ”บนแห่งเกาะนี้มีกำแพงเวทป้องกัน และเนื่องด้วยกำแพงเวทนี้ จึงทำให้คนของเราไม่สามารถเข้าถึงได้”
“กำแพงเวทกระนั้นรึ?” เหอลู่กล่าวอย่างเย็นชา “ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าเป็นผู้มีพลังระดับเชิงเจี่ยขั้นกลางแล้ว ค่ายกลชนิดใดกันที่สามารถหยุดเขาได้ ?
ระดับเชิงเจี่ยขั้นกลางอาจไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรวิญญาณทว่าสำหรับแผ่นดินใหญ่นี้ก็ใช่ว่าจะมีผู้ใดสามารถต้านทานพวกเขาได้ง่าย ๆ
เช่นนั้นเหอลู่จึงไม่เชื่อว่าจะมีค่ายกลใดขัดขวางคนของเขาได้
“นายน้อยปกติจะมีผู้คนมากมายป้องกันเกาะศักดิ์สิทธิ์ ทว่าเวลานี้กลับไม่มีผู้ใดเลย ที่แท้ก็เป็นเพราะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีกำแพงเวทป้องกันเกาะนี่เอง” อาวุโสหยวนก้มลงมองเกาะกลางทะเลสาบ “เอาล่ะ ข้าจะไปทดสอบกำแพงเวทนี่ก่อนก็แล้วกัน”
ปัง!
อาวุโสหยวนกำหมัดแน่นจากนั้นก็กระแทกกำปั้นของเขาเข้าไปที่กำแพงเวท ผลก็คือเขาต้องถอยหลังกลับไปสองสามก้าวพร้อมกับมีเลือดไหลออกมาจากปากของเขา
เหอลู่เห็นท่าทางน่าสลดของอาวุโสหยวนแล้วไม่เพียงแต่ไม่ห่วงใย ทว่ายังหัวเราะเยาะเย้ยซ้ำ
“อาวุโสหยวนท่านทำได้หรือไม่ ? ที่ข้าพาท่านมาด้วยในครั้งนี้ เป็นเพราะข้าคิดว่าท่านแข็งแกร่งมากพอ ข้าไม่คิดเลยว่าแค่กำแพงเวทเล็ก ๆ นี้ท่านก็ไม่สามารถทำลายได้”
อาวุโสหยวนถูกแรงสะท้อนกระทั่งกระเด็นกระดอนถอยห่างจากกำแพงเวท ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับบาดเจ็บ ทว่าหัวใจของเขาก็ต้องมาเจ็บช้ำอีก เมื่อได้ยินถ้อยคำของเหอลู่ เขาแทบจะกระอักเลือดออกมาด้วยความโกรธ
โชคดีในที่สุดเขาก็หักห้ามตนเองไม่ให้ใส่ใจถ้อยคำของเหอลู่เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเอ่ยกล่าวว่า “ยอดฝีมือทั้งหลายที่มีระดับสูงเกินกว่าเฉินเจี่ยจงมาช่วยข้าทำลายกำแพงเวทพร้อมกัน”
ทันทีที่สิ้นเสียงยอดฝีมือระดับเทพอีกสองสามคนก็ก้าวออกมาจากฝูงชน คนเหล่านี้แลดูจริงจัง แววตาของพวกเขาเย็นชา พวกเขาก้าวมายืนข้าง ๆ อาวุโสหยวนอย่างสงบ
ในยามนี้ทุกคนต่างก็ใช้ความพยายามเต็มที่เพื่อระเบิดแนวกั้นของกำแพงเวท แม้แต่ฉู่หรานและคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในกำแพงเวทก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของกำแพงเวทที่ป้องกันเกาะ
ไป๋ฉางเฟิ่งเอ่ยถามอย่างกังวล“ประมุขฉู่จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับกำแพงเวทนี้ใช่หรือไม่ ?”
มุมปากของฉู่หรานกระตุก”แน่นอน นี่คือสิ่งที่บรรพบุรุษของเราทิ้งไว้ให้คนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มันย่อมสามารถต้านทานการโจมตีของยอดฝีมือระดับเทพได้ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรอก”
แท้จริงแล้วฉู่หรานเองก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจนักหลังจากที่กำแพงเวทนี้เคยรองรับการโจมตีในอดีตเมื่อหลายปีก่อนที่ผ่านมาแล้ว ก็ยากที่จะบอกได้ว่ามันเสียหายมากหรือไม่ …?
ทว่าตอนนี้เขาย่อมไม่กล้าพูดออกมาหาไม่ คนเหล่านี้มิหวาดกลัวกันหมดหรือ ?
”ท่านพ่อ”
ฉู่อีอี้โน้มกายลงไปข้างๆ ฉู่หราน พร้อมกับความสงสัยบนใบหน้าเล็ก ๆ บอบบางของนาง “มันจะไหวจริง ๆ หรือ เหตุใดข้าจึงคิดว่าสิ่งที่ท่านพูดมา มันไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่เลยล่ะ ?”
ฉู่หรานกระแอมไอสองครั้ง”แม้ว่าค่ายกลนี้จะไม่สามารถปกป้องเราไปตลอด ทว่าเพียงแค่ประวิงเวลารอจนกว่ากำลังเสริมจะมา ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไร”
ครั้นประโยคดังกล่าวจบลงกำแพงเวทก็สั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง และการสั่นสะเทือนในครั้งนี้ก็ดูรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ราวกับจะตบหน้าของฉู่หราน
ใบหน้าของเขาแลดูเขินอายเขากล่าวแก้เก้อ “กำแพงเวทนี่ไม่มีวันถูกทำลายลงได้หรอก … ”
สิ่งที่เขาพูดก็เพื่อเป็นการปลอบใจคนอื่นรวมทั้งปลอบใจตนเองไปด้วย ครั้นเขากล่าวจบ หัวใจของเขาก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
ปัง!
ยอดฝีมือที่มีพลังระดับเทพโจมตีอีกครั้งและครั้งนี้ทำให้พื้นบนเกาะใจกลางทะเลสาบเกิดการสั่นสะเทือน กระทั่งคลื่นซัดสาดขึ้นมาจากทะเลสาบ
ฉู่หรานไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไปใบหน้าของเขาซีดเผือด เขาหันหน้าไปมองยอดฝีมือระดับเทพที่แข็งแกร่งสองสามคนที่พยายามเข้าโจมตีพร้อมกัน …