จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1026 -1030
บทที่ 1026 : ปรุงยาสำเร็จแล้ว (6)
”ดีจัง”
นัยน์ตาของตี้เสี่ยวอวิ๋นพลันสว่างไสวขึ้น”ข้าอยากกินไก่ที่เขาพูดถึงเมื่อครู่”
เทียบกับอาหารแล้วนางสนใจฉู่อีอี้น้อยกว่าเยอะ สำหรับนางไม่มีสิ่งใดจะสำคัญไปกว่าอาหาร …
ยิ่งไปกว่านั้น…นางลืมไปว่าเหตุที่นางให้ชิงอี้ตามเสี่ยวมี่ไป ก็คือ นางต้องการให้ไป๋หยานเห็นนางเป็นผู้แรก ทันทีที่ออกมาจากแดนปาฏิหารย์
”อย่างไรก็ตาม…ข้ายังคิดถึงขนมที่เจ้าพาข้าไปกินเมื่อครั้งไปเยือนอาณาจักรหลิวฮั่ว ว่าแต่เราจะกลับไปที่นั่นกันอีกเมื่อไหร่ดี ?”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นกัดนิ้วนางรู้สึกเสมอว่าขนมอบที่นางได้กินหลังจากนั้นเทียบไม่ได้เลยกับขนมที่นางได้ลิ้มรสที่นั่น
”เอาไว้โอกาสหน้านะ… ”
ฉู่อีอี้จับมือตี้เสี่ยวอวิ๋นจากนั้นก็ดึงตัวหลานเสี่ยวหยุนมาพลางรีบก้าวออกจากเกาะศักดิ์สิทธิ์
ฉู่หรานจ้องมองไปยังทิศทางที่เด็กสาวทั้งสามบ่ายหน้าจากไปอย่างงงๆ เขาเอ่ยกล่าวเสียงสั่น ๆ ว่า “เหตุใดข้าจึงรู้สึกเหมือน … กำลังจะมีบางอย่างเกิดขึ้น”
ไป๋ฉางเฟิ่งเงียบ
ฉู่หรานอาจจะไม่รู้อะไรนักทว่าเขาเองกระจ่างดีว่าความสามารถในการสร้างปัญหาของตี้เสี่ยวอวิ๋นนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าฉู่อีอี้เลย หากสองสาวนี้ไปด้วยกันไม่มีสิ่งใดจะรับประกันได้ว่าจะเกิดอะไรเกิดขึ้น
”ตี้เสี่ยวอวิ๋นเป็นถึงองค์หญิงของแดนอสูรคงไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรอกน่า”
แม้ว่าในใจของไป๋ฉางเฟิ่งจะคิดเช่นนั้นทว่าเขาก็ไม่ได้กล่าวออกมา เขาได้แต่ปลอบใจฉู่หรานเท่านั้น
ครั้นได้ยินเช่นนี้ฉู่หรานก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก “ก็ดีแล้ว เพราะทุกครั้งที่อีอี้ไม่อยู่ในสายตาข้า มักจะเกิดปัญหาเสมอ เช่นนั้นตอนนี้ข้าจึงไม่กล้าให้นางอยู่ไกลตา… ”
อย่างไรก็ตามครั้งนี้มีองค์หญิงแห่งอาณาจักรอสูรอยู่ด้วยอย่างน้อยอีอี้ก็คงจะเกรงใจบ้างไม่มากก็น้อย เขาคงไม่ต้องร้อนใจ
”ในเมื่อเรื่องราวก็คลี่คลายลงแล้วเช่นนั้นทุกคนก็สบายใจกันได้ องค์หญิงแห่งแดนอสูรกล่าวว่าอาจมีคนจากแดนวิญญาณมาอีก ดังนั้นพวกเจ้าก็ควรพักอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์กันก่อนจะดีกว่า ข้าจะให้คนเตรียมจัดห้องพักรับรองให้”
ฉู่หรานหายจากอาการตกใจเขาเผยรอยยิ้มบนใบหน้า เอ่ยกล่าวด้วยทีท่าเป็นมิตรและสุภาพ
คนอื่นๆ ก็ย่อมไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ เพราะที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ซึ่งปลอดภัยที่สุด
“เจ้าบ้านหลาน”ไป๋ฉางเฟิ่งยิ้มพลางมองไปที่เจ้าบ้านหลาน “ท่านไม่จำเป็นต้องพักอยู่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์นี้แล้ว จะให้ข้าจัดส่งคนไปที่ป่าสัตว์อสูรเพื่อไปรับคนของตระกูลหลานออกมาตอนนี้เลย จะดีหรือไม่ ?”
”ดี”เจ้าบ้านหลานป้องหมัด พลางกล่าวอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณ ท่านเจ้าสำนักไป๋ยิ่งนัก”
“ฮ่าฮ่า…ไม่ต้องขอบคุณข้าสำนักเวชโอสถของข้าได้รับความเอื้อเฟื้อจากตระกูลหลานมาโดยตลอด และเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งสมควรทำแล้ว”
ไป๋ฉางเฟิ่งหัวเราะ
“ข้าไม่รู้ว่า…อีกเมื่อไหร่กว่าหยานเอ๋อจะกลับออกมา… ”
ทันใดนั้นเอง…สายตาของทุกคนก็หันไปมองประตูทองสำริดที่อยู่ไม่ไกลด้วยความคาดหวังเล็กๆ
ไม่รู้ว่าหลังจากที่ไป๋หยานกลับออกมาในครั้งนี้ความแข็งแกร่งของนางจะเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด …
ขณะเดียวกันนี้อีกด้านของประตูทองสำริดท้องฟ้าเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า สายฟ้าที่ทรงพลังได้ฟาดลงมากระทบร่างของไป๋หยานซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อัสนีบาตที่เกิดขึ้นในระหว่างการปรุงยาเปี่ยมด้วยพลังรุนแรงยิ่งกว่าอัสนีบาตในการพัฒนาทะลุระดับการฝึกฝน
ยิ่งขั้นยาเม็ดที่กลั่นยิ่งมีคุณภาพสูงกว่าปกติอัสนีบาตบนท้องฟ้าก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะอยู่ในระดับเดียวกันก็ตามที …
น่าเสียดายที่ยาเม็ดเทพเจ้าซึ่งไป๋หยานกำลังปรุงนี้เป็นยาเม็ดที่มีคุณภาพสูงกว่าปกติมากพอสมควร
พลังของอัสนีบาตจึงรุนแรงเกินจินตนาการ
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าร้องกึกก้องกัมปนาทสายฟ้าฟาดกระหน่ำลงบนเตาหลอมยา เตาหลอมยาสั่นสะท้าน ก่อนจะกลับคืนสู่ความสงบในทันที
”โชคดีที่เตาหลอมยาของข้าได้รับการขัดเกลาด้วยวัสดุชนิดพิเศษเพื่อให้ทนทานต่ออัสนีบาต หาไม่หากเป็นเตาหลอมยาธรรมดา ๆ คงจะถูกแรงระเบิดภายใต้ความหายนะของสายฟ้านี้ทำลาย กระทั่งกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้เพียงไม่ช้านานยาเม็ดนี้ย่อมจะถูกปรุงแต่งเสร็จสิ้น … ”
บทที่ 1027 : หนึ่งยาเทพ หนึ่งคนระดับเทพ (1)
สายตาไป๋หยานจับจ้องจดจ่ออยู่ที่เตาหลอมยาซึ่งยามนี้กำลังสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลาสีหน้าของนางยังคงสงบนิ่งเช่นเคย แม้จะซีดลงเล็กน้อย ทว่านัยน์ตาสีดำขลับของนางกลับสว่างไสวกว่าที่เคย
ตูม!
อัสนีบาตฟาดกระหน่ำลงบนศีรษะของนางครั้งแล้วครั้งเล่าร่างของไป๋หยานสะท้านเล็กน้อย ปรากฏรอยเลือดไหลออกมาจากมุมปากของนาง ทว่าสายตาของนางก็ไม่ได้ละไปจากเตาหลอมยา หากแต่กลับเคลื่อนตัวเข้าใกล้เตาหลอมยาอย่างช้าๆ … …
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดไป๋หยานเองก็ไม่รู้ว่าสายฟ้าฟาดลงมาบนตัวนางกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กระทั่งเมื่อนางรู้สึกว่ามีกลิ่นหอมจาง ๆ แผ่ออกมาจากเตาหลอมยาเช่นที่นางเคยได้กลิ่น …
นัยน์ตาของไป๋หยานก็ยิ่งสว่างไสวขึ้นและเมื่อนางยื่นฝ่ามือออกไปเหนือเตาหลอม ยาเม็ดพลันลอยขึ้นมาในทันใด ชั่วขณะนั้นเม็ดยาใส ๆ หลายเม็ดที่ด้านล่างของเตาหลอมยาก็พลันตกลงบนฝ่ามือของนาง
”แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกของการกลั่นทว่าก็ยังผลิตยาได้ตั้งห้าเม็ดในการหลอมคราเดียว นับว่าประสบความสำเร็จดีทีเดียว…ไม่เลวเลยจริง ๆ”
ไป๋หยานเก็บเตาหลอมจากนั้นนางก็เหลือบมองไปที่บ่อน้ำซึ่งเต็มไปด้วยหมอกควันสีดำ ก่อนจะผละออกจากประตู
บนเกาะศักดิ์สิทธิ์แสงสีขาวสว่างวาบออกมาทันใดนั้นเองร่างของไป๋หยานก็ร่อนลงสู่พื้น
ครั้นนางก้าวพ้นประตูประตูทองสำริดด้านหลังของนางก็เลือนหายไป ลูกกุญแจสามดอกพลันตกลงบนฝ่ามือของนางอีกครั้ง
ไป๋หยานเก็บลูกกุญแจนางรู้สึกว่ากุญแจปาฏิหาริย์นี้ต้องมีประโยชน์อย่างอื่นอีก เพียงแต่ในตอนนี้นางยังไม่รู้เท่านั้น
“หยานเอ๋อ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกดังมาจากด้านหน้า
ไป๋หยานเงยหน้าขึ้นนางเห็นไป๋ฉางเฟิ่งผู้ซึ่งมีเรือนผมขาวโพลนทั่วศีรษะ
ใบหน้าชราของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเขาค่อย ๆ เดินเข้าไปหาไป๋หยาน
“ท่านตา…”
เมื่อเห็นไป๋ฉางเฟิ่งก้าวมาข้างหน้าริมฝีปากของไป๋หยานพลันยกโค้งนางเอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “นี่ท่านยังไม่ไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกกระนั้นรึ ?”
ไป๋ฉางเฟิ่งถอนหายใจ”หลังจากที่เจ้าเข้าสู่แดนปาฏิหาริย์ ข้าพร้อมด้วยเหวินหวู่เหว่ยก็เดินทางออกจากที่นี่ทันที ทว่าน่าเสียดายที่ … วันนี้มีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้นบนแผ่นดินนี้”
ทันทีที่เห็นท่าทางของไป๋ฉางเฟิ่งไป๋หยานก็เอ่ยถามออกมาอย่างเคร่งขรึม : “เกิดเรื่องใดขึ้น ? ”
ไป๋ฉางเฟิ่งยิ้มอย่างขมขื่นพลางกล่าวว่า “เมื่อไม่นานมานี้ ทาสเจ้าที่ชื่อหลิวชิงหยูส่งคนมาแจ้งข่าวแก่เราว่าคนจากแดนวิญญาณต้องการโจมตีแผ่นดินใหญ่ของเรา ทั้งยังคิดจะสังหารผู้คนทั้งแผ่นแดน”
นัยน์ตาของไป๋หยานหรี่ลงเล็กน้อยประกายแสงเย็นวาบผ่านดวงตาของนาง
อาณาจักรวิญญาณ… เริ่มลงมือแล้ว !
”แล้วจากนั้นล่ะ?” นางยังคงเอ่ยถามต่อพร้อมประกายแสงอันตรายในแววตา
”หลังจากนั้นฉู่หรานก็บอกให้ทุกคนมาที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงตระกูลหลาน เราก็ไปรับพวกเขามาด้วยเช่นกัน เราใช้ค่ายกลปกป้องเกาะศักดิ์สิทธิ์ เพื่อต่อต้านยอดฝีมือระดับเทพ ทว่าน่าเสียดาย … ที่ฉู่หรานไม่อาจพึ่งพาสิ่งนั้นได้มากนัก ค่ายกลไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไร”
“หากแต่… ขณะที่กำแพงเวทเริ่มสั่นคลอน ตี้เสี่ยวอวิ๋นก็ปรากฏตัวพร้อมด้วยสัตว์อสูรจำนวนหนึ่ง”
ตี้เสี่ยวอวิ๋น?
ไป๋หยานตกใจพลางเอ่ยถามว่า”เช่นนั้นตี้คังล่ะ..?”
”ตี้เสี่ยวอวิ๋นกล่าวว่าตี้คังเข้าสู่ดินแดนลับเพื่อตามหาเฉินเอ๋อ นั่นเป็นเหตุให้ให้เขาไม่ได้อยู่ในแดนอสูร เช่นนั้นเขาจึงไม่ได้รับข่าวสารว่าพวกแดนวิญญาณกำลังโจมตีแผ่นดินของเรา”
ไป๋หยานฟังคำบอกเล่าจากไป๋ฉางเฟิ่งแล้วก็นิ่งเงียบไปชั่วขณะ
ตี้คังเข้าสู่ดินแดนลับเพื่อตามหาเฉินเอ๋อ ? หรือเป็นได้ว่า … เฉินเอ๋อกำลังพบกับอันตราย ?
หัวใจของนางสั่นสะท้านกระทั่งนางต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอกแน่น
เขาสัญญากับนางว่าจะไม่ปล่อยให้เฉินเอ๋อประสบเหตุร้ายใด ๆ เช่นนั้นนางควรที่จะเชื่อเขา !
บางทีอาจเป็นเพราะความไว้วางใจในตัวตี้คังอารมณ์ของไป๋หยานจึงดีขึ้นเล็กน้อย นางหันมองไป๋ฉางเฟิ่งอีกครั้ง พร้อมกับแย้มยิ้มเล็กน้อย “ท่านตา เช่นนั้นตี้เสี่ยวอวิ๋นและคนอื่น ๆ เล่า ?”
บทที่ 1028 : หนึ่งยาเทพ หนึ่งคนระดับเทพ (2)
ครั้นไป๋ฉางเฟิ่งนึกถึงตี้เสี่ยวอวิ๋นและฉู่อีอี้มุมปากของเขาก็กระตุกสองครั้ง “น่าจะ … ออกไปเล่น”
“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าไปสนใจพวกนางเลย ท่านตา … นี่ท่านผ่านระดับเชิงเจี่ยได้แล้วกระนั้นหรือ ?” ไป๋หยานหรี่ตามองสำรวจระดับทักษะของไป๋ฉางเฟิ่งเพียงแวบเดียว นางก็ต้องประหลาดใจ
ไป๋ฉางเฟิ่งหัวเราะร่วนเอ่ยกล่าวว่า”หนึ่งชั่วยามที่แล้ว (2 ชั่วโมง) พลังลมปราณของเกาะศักดิ์สิทธิ์เกิดการผันผวน จู่ ๆ ลมปราณก็ไหลท่วมท้นออกมา ทั้งข้า ทั้งฉู่หราน, เหวินหวู่เหว่ย … และท่านย่าจุนเทียนเยว่ของเจ้า ต่างก็ได้อาศัยโอกาสนี้ บรรลุถึงระดับเชิงเจี่ยกันทีละคน”
ไป๋หยานถึงกับผงะ
หนึ่งชั่วยามที่แล้ว?
หากนางจำไม่ผิดเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนนางกำลังหลอมยาเทพเจ้าให้กลายเป็นเม็ดยา กระทั่งเกิดปรากฏการณ์อัสนีบาตรุนแรง
หรือว่า… การเปลี่ยนแปลงของลมปราณบนเกาะศักดิ์สิทธิ์นั้นเกี่ยวข้องกับการปรุงยาเม็ดเทพเจ้านี่ ?
”ท่านตา”ไป๋หยานลูบคางพลางครุ่นคิดอยู่เป็นนาน “ทั้งท่าน ทั้งประมุขฉู่หราน ท่านย่าของข้า … และ … ”
เมื่อมาถึงเหวินหวู่เหว่ยเสียงของไป๋หยานพลันหยุดลงก่อนจะเอ่ยต่อว่า “เอ่อ ท่านปู่ด้วย ท่านตาช่วยเรียกพวกเขามาหน่อย ข้ามีบางอย่างจะให้พวกเขา”
มุมปากของไป๋ฉางเฟิ่งโค้งงอแม้ว่าไป๋หยานจะรู้สึกไม่สบายใจที่จะเอ่ยชื่อของเหวินหวู่เหว่ย ทว่าก่อนหน้านี้ในช่วงเวลาวิกฤตที่สุด เหวินหวู่เหว่ยก็เสนอแบ่งโควต้าของตำหนักเซียนพยับหมอกให้กับตระกูลหลาน
แม้ว่า…เขาจะไม่พอใจชายคนนั้นมากเพียงใดก็ตามด้วยเรื่องนี้ เขาก็ไม่ควรตั้งแง่นัก
”หลานสาวที่รักตาไม่คัดค้านที่เจ้าจะเรียกเขาว่าท่านปู่ หากแต่ … ตราบใดที่ยังหาหนิงเอ๋อไม่พบ ตาก็ไม่อาจให้อภัยเขาจากก้นบึ้งของหัวใจของตาได้”
ไป๋หนิงคือความเจ็บปวดในหัวใจของเขาหากจะขจัดความเจ็บปวดนั้นออกไปอย่างสมบูรณ์ ก็มีเพียงต้องให้ไป๋หนิงกลับมาหาเขาอีกครั้งเท่านั้น
“แน่นอนว่าท่านปู่คิดผิดจริงๆ ที่แยกคู่สร้างคู่สม การตายของท่านแม่ ท่านปู่เองก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ทว่าเขาก็ไม่ได้ทำร้ายท่านแม่ เช่นนั้นหลานจึงไม่อาจแค้นเคืองเขาด้วยเหตุนี้ได้”
มีคนลงมือทำร้ายไป๋หนิงจนตาย! ทว่าเหวินหวู่เหว่ยเพียงแค่ทำให้ไป๋หนิงเป็นอันตรายทางอ้อมเท่านั้น นางจึงไม่อาจนับได้ว่าเขาเป็นผู้บงการในเรื่องนี้ !
“ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเหตุนี้ท่านปู่ก็ต้องทนทุกข์ทรมานมากเช่นกัน แม้ว่าหัวใจของหลานจะไม่ได้ผูกพันกับเขามากนัก ทว่าหลานก็ไม่อยากให้ท่านพ่อและท่านย่าไม่สบายใจมากไปกว่านี้”
ใช่…ไป๋หยานเรียกเขาว่าท่านปู่ก็เพื่อเหวินหยุนเฟิงที่หลงรักมารดาของนางมาก อีกทั้งจุนเทียนเยว่เองก็เอ็นดูนางยิ่งนัก
ที่นางเรียกขานว่าท่านปู่หาใช่เพราะตัวของเหวินหวู่เหว่ยเองไม่
แน่นอนว่าหลังจากได้ยินสิ่งนี้ไป๋ฉางเฟิ่งก็อารมณ์ดีขึ้นมากรอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าชราภาพของเขา
“เจ้ารู้ดีว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ไม่เป็นไรขอเพียงคนสำคัญที่สุดในใจเจ้า คือตาเฒ่าอย่างข้าก็พอ ส่วนตาแก่นั่นก็แค่อันดับรั้งท้าย”
เขาทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชาต่อให้ไป๋หยานเรียกเหวินหวู่เหว่ยว่าปู่แล้วไงล่ะ ? อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านตาคนสนิทของหยานเอ๋อเสมอ
ครั้นเห็นทีท่าขี้อิจฉาของชายชราแล้วไป๋หยานก็หัวเราะ นางตบไหล่ไป๋ฉางเฟิ่งพร้อมรอยยิ้ม พลางเอ่ยกล่าวว่า
”ท่านตาตำแหน่งของท่านในใจข้านั้นไม่มีผู้ใดแทนที่ได้หรอก”
แท้ที่จริงท่านตาของนางย่อมมีเพียงคนเดียวอยู่แล้วไม่มีผู้ใดสามารถแทนที่ได้ ที่นางพูดไปก็ไม่ผิดอะไรนี่
ไป๋ฉางเฟิ่งไม่ทันสังเกตน้ำเสียงในคำพูดของไป๋หยานเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ “ฮ่าฮ่า แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับข้า ส่วน…เหวินหวู่เหว่ยต่อให้พยายามเพียงใดก็ไม่สามารถเอาชนะใจเจ้าได้ เขาไม่มีทางชนะข้าได้ หาไม่ข้าคงรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ !”
ยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาก็ยิ่งสดชื่น นอกจากนี้เขายังจินตนาการเห็นสีหน้าท่าทางเจ็บปวดของเหวินหวู่เหว่ยในอนาคต …
”ท่านตาท่านไปตามพวกเขามาก่อนเถิด”
ใบหน้าของไป๋หยานเผยรอยยิ้มกว้างแววตาของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ไป๋ฉางเฟิ่งไม่ได้กล่าวคำใดอีกเขาหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะเดินออกไปจากเกาะศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 1029 : หนึ่งยาเทพ หนึ่งคนระดับเทพ (3)
รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋หยานค่อยๆ จางหายไป ขณะมองร่างที่กำลังลับตาไปของไป๋ฉางเฟิ่ง แววตาของนางเต็มไปด้วยประกายแสงอันตราย ใบหน้าของนางทั้งเย็นชา ทั้งเคร่งขรึม
“แดนวิญญาณ…เฮอะ… ”
ในเมื่อพวกเจ้ากล้ามาทำเรื่องชั่วร้ายบนแผ่นดินใหญ่นี้ข้าก็ … ไม่จำเป็นที่จะต้องละเว้นอาณาจักรวิญญาณนี้อีก !
ขณะที่ไป๋หยานกำลังครุ่นคิดไป๋ฉางเฟิ่งเหวินหวู่เหว่ยและภรรยาของเขาก็เดินมาหาทีละคน และผู้ที่เดินตามมารั้งท้ายสุดก็คือฉู่หราน ทุกคนเดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ
รอยยิ้มปรากฏในดวงตาของฉู่หรานสามารถกล่าวได้ว่าเขาเฝ้าดูไป๋หยานที่ค่อย ๆ พัฒนาไปทีละก้าว กระทั่งตอนนี้นางประสบความสำเร็จเช่นนี้ เขาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
”แม่นางไป๋ขอแสดงความยินดีด้วย ในที่สุดเจ้าก็ได้ปาฏิหาริย์แล้ว เจ้าคงจะได้ของดีมาอย่างแน่นอน”
”ถือว่าได้ผลกำไรงดงามจริงๆ ” ไป๋หยานยกยิ้มน้อย ๆ “ข้าเพิ่งได้ยินท่านตาบอกว่า พวกท่านต่างก็บรรลุระดับเชิงเจี่ยแล้วนี่ ?”
”ฮ่าฮ่า!” ฉู่หรานหัวเราะร่า “ต้องขอบใจปาฏิหาริย์ของเจ้า พวกเราทุกคนล้วนก้าวเข้าถึงระดับเชิงเจี่ยแล้ว”
”ถูกต้อง…ข้ามียาอยู่ที่นี่ด้วยพวกท่านสามารถกินได้คนละเม็ด”
ยาเม็ดระดับเทพสามารถกินได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในระดับเชิงเจี่ยหนึ่งเม็ดจะทะลุทะลวงหนึ่งระดับเทพโดยไม่ต้องเสียเวลาฝึกปรือแต่อย่างใด…
“ยานี่คือยาอะไร?”
ไป๋ฉางเฟิ่งเอื้อมมือหวังจะหยิบเม็ดยาที่ไป๋หยานมอบให้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นแต่ครั้นใกล้จะคว้าเม็ดยาได้ ก็ถูกมือเรียวงามหยุดไว้เสียก่อน
”ท่านตารอสักครู่ ยาเม็ดนี้มีฤทธิ์แรงมาก ก่อนกินยาเม็ดนี้ ท่านต้องให้คนทั้งหมดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แยกย้ายไปห่าง ๆ ก่อน”
ฉู่หรานตกใจมากหากไป๋หยานกล่าวเช่นนั้น ย่อมพิสูจน์ชัดว่าประสิทธิภาพของยาเม็ดนี้ทรงพลังจริงๆ
เขากระแอมออกมาสองครั้ง”ข้าจะจัดการเอง ข้าจะขับทุกคนรอบตัวข้าออกไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อพวกเขา”
หลังจากกล่าวจบฉู่หรานก็เดินออกจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ เพียงชั่วอึดใจก็หายไปต่อหน้าต่อตาไป๋หยาน
ไป๋หยานไม่ได้กล่าวคำใดมากนางรอการกลับมาของฉู่หรานอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองไป๋ฉางเฟิ่ง และเหวินหวู่เหว่ย นางไม่ได้อธิบายคำใดอีก
หลังจากกินยานี้แล้วพวกเขาก็จะรู้กันเองว่ามันมีประโยชน์เพียงใด นั่นดีกว่าคำอธิบายของนางเสียอีก
หลังจากนั้นเพียงไม่นานฉู่หรานในชุดเสื้อคลุมประมุขก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ไป๋หยานโค้งริมฝีปากของนาง พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มในดวงตา “ท่านประมุข คนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปหมดแล้วหรือ ?”
”ข้าให้พวกเขาทั้งหมดไปรออยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้พื้นที่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ว่างเปล่า ไม่ทราบว่าพอจะใช้ได้หรือไม่ ?”
ฉู่หรานหัวเราะร่าขณะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
”ได้…”ไป๋หยานยืดอกอย่างเกียจคร้าน “พวกท่านกินยาได้แล้ว ข้าจะพักผ่อนก่อน”
นางไม่สนใจคนเหล่านี้อีกนางเดินเข้าไปในศาลาก่อนจะเอนกายลงบนเก้าอี้นอนอย่างเกียจคร้าน พร้อมกันนั้นนางก็เหล่ตามองกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้า
ไป๋ฉางเฟิ่งไม่อาจทนต่อความอยากรู้อยากเห็นในใจของเขาได้อีกต่อไปเขากลืนเม็ดยาลงไปในอึกเดียว คนอื่น ๆ ต่างก็ทำเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างหย่อนเม็ดยาเข้าปากโดยไร้ซึ่งอาการลังเล
ทันใดนั้นพลังอันรุนแรงก็จู่โจมผ่านเส้นเมอริเดียนทั้งหมดของพวกเขาทำให้ร่างของพวกเขาสั่นสะท้านอย่างกะทันหัน ราวกับว่าพลังอันไม่มีที่สิ้นสุดกำลังถูกระบายออกมา ร่างของพวกเขาสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุมได้
ชั่วขณะนั้นเองเสียงของไป๋หยานก็ดังขึ้น “พวกท่านยังมัวงง มัวรีรออะไรอยู่อีก รีบนั่งลงและเข้าสมาธิสิ”
เข้าสมาธิ?
ทุกคนตัวสั่นต่างก็รีบลงนั่งขัดสมาธิ เปลี่ยนพลังที่หมายทำลายร่างของเขาให้แปรเป็นประโยชน์ พวกเขาต่างรวบรวมพลังนั่นเข้าสู่จุดตันเถียน
ไม่ห่างกันนัก…ไป๋หยานยกมือไพล่ประสานกันรองศีรษะสายตาของนางมองเหม่อ ริมฝีปากสีแดงของนางยกขึ้นน้อย ๆ เป็นส่วนโค้งที่สวยงามโดดเด่น นางยิ้มขณะมองดูผู้ที่กำลังฝึกฝน
บทที่ 1030 : หนึ่งยาเทพ หนึ่งคนระดับเทพ (4)
ตูม!
จู่ๆ …ก็เกิดเสียงฟ้าร้องกึกก้องขึ้น ท้องฟ้าพลันสว่างวาบ พร้อมกันนั้นสายฟ้าก็ฟาดลงบนศีรษะของคนหลายคนที่กำลังเข้าสมาธิ พวกเขาต่างก็ตกตะลึงไปกับสายฟ้าฟาดราวกับพวกเขาไม่รู้ว่ามันเกิดเหตุใดขึ้น
ทว่าพวกเขาก็ไม่มีเวลาคิดมากนักสายฟ้าก็ผ่าลงมาอีกครั้ง พวกเขาทำได้เพียงกัดฟันทนรับสายฟ้าที่ฟาดลงมาจากท้องฟ้า
เปรี้ยง!
เปรี้ยง! เปรี้ยง !
ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมไปด้วยเสียงฟ้าร้องสายฟ้าแลบแปลบปลาบตลอดเวลา
ทว่า…
ศาลาที่อยู่ไม่ไกลกลับดูเหมือนจะอยู่ในที่กำบังทุก ๆ ครั้งที่ฟ้าผ่าลงมา ศาลาก็ถูกปิดกั้นด้วยพลังที่มองไม่เห็น
ศาลากลายเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงอยู่ได้ภายใต้สายอัสนีบาต
ณภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลายคนต่างก็แหงนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเมฆฝนและฟ้าคะนองต่อหน้าต่อตาพวกเขา นัยน์ตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และตกตะลึง
”นี่… มันเกิดอะไรขึ้น? ท้องฟ้าคะนองสายฟ้าเป็นสีม่วง ข้าไม่เคยเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย”
ยิ่งไปกว่านั้นการที่สายฟ้าฟาดกระหน่ำอย่างหนักในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่หยุดไม่หย่อนเช่นนี้ นับเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากในรอบพันปี …
เจิ้งฉีขมวดคิ้วมุ่นเมื่อมองไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ประกายแสงแห่งความประหลาดใจพลันสว่างวาบในดวงตาของเขา
”แมื่อครู่นี้ท่านประมุขบอกให้พวกเราออกไป คาดว่า … น่าที่จะเป็นเพราะฟ้าร้อง และฟ้าผ่าที่เห็นอยู่นี่ ด้วยกำลังของเรา หากเรายังอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าเกรงว่า เราคงจะถูกสายฟ้าฟาดตายเป็นแน่”
”พี่ใหญ่”เหรินอี้หันไปมองเจิ้งฉีโดยไม่รู้ตัว “ก็แล้วเหตุใดฟ้าร้อง และสายฟ้านี้ถึงได้โจมตีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เช่นนี้ท่านประมุขและคนอื่น ๆ จะไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ?”
ฉิวชู่หรงและคนอื่น ๆ ต่างก็หันไปมองใบหน้าชราของเจิ้งฉี
เพราะในหมู่พวกเขาแล้วเจิ้งฉีเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุด หากแม้แต่เจิ้งฉียังไม่สามารถอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ก็ไม่มีผู้ใดรู้อีกแล้ว
“เจ้ายังจำเหตุการณ์ฟ้าร้องฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งหยานเอ๋อกลั่นยาเม็ดระดับแปดในวันนั้นได้หรือไม่ ? หากข้าเดาไม่ผิดมันน่าจะเป็นอัสนีบาต… เพียง … ”
เจิ้งฉีหยุดก่อนจะกล่าวต่อว่า “ทัณฑ์อัสนีบาตนี้จะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อมีใครบางคนกำลังบุกทะลวงสู่ระดับเทพ !”
ระดับเทพ!
ตูม!
ถ้อยคำเหล่านี้ไม่ต่างจากสายฟ้าฟาดลงมาท่ามกลางฝูงชน
”ระดับเทพกระนั้นหรือ? ผู้ใดกันที่สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับเทพได้ ? อาจจะเป็นหยานเอ๋อก็ได้ เพราะประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์บอกว่า หยานเอ๋อออกมาแล้ว … ”
ท่าทีของฉิวชู่หรงแลดูตื่นเต้นมากเพราะไป๋หยานเป็นศิษย์ของเขา
เขาจะภาคภูมิเพียงใดที่มีศิษย์ระดับเทพ?
เจิ้งฉีไม่ได้กล่าวคำใดเขาขมวดคิ้ว ขณะมองสายฟ้าบนท้องฟ้าที่ฟาดลงมาไม่ไกลกันนัก จากนั้นเขาก็จมอยู่กับความคิดของตนเอง
”หยานเอ๋อ…จะต้องเป็นหยานเอ๋อแน่”เหรินอี้ยิ้ม “หยานเอ๋อก้าวมาถึงระดับเชิงเจี่ยขั้นสูงแล้ว หากนางจะก้าวเข้าสู่ระดับเทพได้ก็ไม่น่าแปลก”
ไม่ว่าคนอื่นๆ จะคิดเช่นไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดถึงฉู่หราน กับพวกของเขา
ระดับของพวกเขาเพิ่งมาถึงระดับเชิงเจี่ยต้นๆ แม้ว่าพวกเขาต้องการที่จะก้าวเข้าสู่ระดับเทพ ทว่าก็คงไม่อาจรวดเร็วถึงเพียงนี้ …
เช่นนั้นหลังจากคิดใคร่ครวญดูแล้วก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว
เกาะศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายใต้สายฟ้าและเสียงฟ้าร้องก้องกัมปนาท ไม่งดงามเฉกเช่นเคยอีกต่อไป เว้นแต่ศาลาซึ่งยังคงสภาพสมบูรณ์แล้ว ทุกสิ่งนอกเหนือจากนั้นได้แปรสภาพกลายเป็นเศษธุลีที่ไหม้เกรียม
ร่างของจุนเทียนเยว่สั่นสะท้านภายใต้สายฟ้าฟาดกระหน่ำนางกัดริมฝีปากเลือดทะลักออกมาจากมุมปาก ใบหน้าของนางซีดเผือดราวกับว่านางจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
ครั้นเห็นท่าทีของจุนเทียนเยว่แล้วไป๋หยานก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากศาลา นางก้าวเข้าไปหาจุนเทียนเยว่อย่างช้าๆ
ทันทีที่นางพ้นจากศาลาเสียงโครมครามก็ตกลงบนศาลา ภายใต้อัสนีบาต ศาลาก็เปลี่ยนเป็นซากปรักหักพังกองอยู่เบื้องหลังนาง
ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกๆ ก็คือไป๋หยานเดินมาอย่างง่าย ๆ โดยไร้ซึ่งอุปสรรคใด ครั้นอัสนีบาตฟาดใส่นาง ก็ดูเหมือนว่าอัสนีบาตนั้นจะถูกปิดกั้นด้วยสิ่งกีดขวางบางอย่าง ไม่ว่าอัสนีบาตจะแข็งแกร่งสักเพียงใด ก็ไม่อาจทำร้ายนางได้