จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1031-1035
บทที่ 1031 : หนึ่งยาเทพ หนึ่งคนระดับเทพ (5)
”ท่านย่า”ไป๋หยานคุกเข่าลง ก่อนจะป้อนยาเข้าไปในปากของจุนเทียนเยว่ “ท่านกินยานี้เสีย แล้วท่านจะสามารถทนรับความทรมานนี้ได้”
จุนเทียนเยว่อ้าปากโดยไม่รู้ตัวนางกลืนยาของไป๋หยานลงคอ ร่างกายที่เจ็บปวดของนางก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น ภายใต้ฤทธิ์ของยานั้น
แน่นอนว่าไป๋หยานไม่ได้ขี้เหนียว นางป้อนยาเม็ดนี้ให้ไป๋ฉางเฟิ่งและคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ฤทธิ์ยาส่งผลต่อร่างกายของพวกเขาเป็นอย่างดี พวกเขาฟื้นตัวได้ในช่วงวิกฤติเพราะยาของนาง
และด้วยยาเม็ดนี้อาการเหนื่อยล้าของพวกเขาพลันฟื้นตัวด้วยเช่นกัน ทำให้พวกเขารับมือกับอัสนีบาตได้อีกครั้ง …
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดกว่าที่ฟ้าคะนองบนท้องฟ้าจะค่อย ๆ ลดลง ไม่นานดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบคำราม ก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบเช่นในอดีต
”หยานเอ๋อ…ยาเม็ดที่เจ้าให้เราเมื่อครู่นี้คืออะไร…? ” ไป๋ฉางเฟิ่งลุกขึ้นยืนช้า ๆ น้ำเสียงของเขาสั่นขณะเอ่ยถาม
”ยาเม็ดเทพเจ้า”
ถ้อยคำที่เรียบง่ายดังเข้าหูของพวกเขาราวกับเสียงฟ้าร้อง ทำให้หัวของพวกเขาว่างเปล่าในทันที
ยาเม็ดเทพเจ้า! คุณภาพก็ตามชื่อยา…มันคือยาเม็ดผลิตคนระดับเทพ
หัวใจของจุนเทียนเยว่ขมวดเกลียวนางเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ “เช่นนั้น…ข้าก็ไม่ได้รู้สึกไปเอง พวกเราทะลุทะลวงไปถึงระดับเทพแล้วใช่หรือไม่ ?”
ระดับเทพคือสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝัน! นางไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งนางจะทะลุไปถึงระดับเทพได้
เมื่อเผชิญกับสายตาตื่นเต้นของทุกคนแล้วนัยน์ตาไป๋หยานก็ยิ่งสว่างไสวราวกับดวงดารา “แท้ที่จริง…เพื่อให้ผ่านเข้าสู่ระดับเทพนั้น พวกท่านไม่จำเป็นต้องไปที่อาณาจักรสวรรค์ บนแผ่นดินนี้ก็สามารถสร้างเทพสวรรค์ได้”
”การต่อกรกับแดนสวรรค์ไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไปในเมื่อทุกคนต่างก็รู้แล้วว่ายอดฝีมือระดับเทพสามารถเพิ่มจำนวนขึ้นได้ นับแต่นี้แผ่นดินใหญ่ของเราก็ไม่มีความแตกต่างกันแล้ว เช่นนั้น … ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะสร้างอาณาจักรพระเจ้าขึ้นมาใหม่บนแผ่นดินนี้ และจะให้อาณาจักรสวรรค์ปฏิบัติกับเราด้วยการก้มหัวร้องขอความเมตตา !”
เสียงของหญิงสาวดังสนั่นไม่ต่างกับฟ้าร้องก้องไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ไป๋ฉางเฟิ่งและคนอื่นๆ รู้สึกราวกับเพิ่งได้รู้จักไป๋หยานจริง ๆ เป็นครั้งแรก พวกเขาจับจ้องมองหญิงสาวผู้ซึ่งยากจะหาใครเทียบด้วยความตกใจ
แดนสวรรค์… นั้นเป็นสถานที่ทรงพลัง
การสร้างอาณาจักรสวรรค์ขึ้นมาใหม่นั้นต้องยากเพียงใด?
ทว่า…ในโลกนี้คงมีนางเพียงผู้เดียวที่กล้ากล่าวถ้อยคำยโสโอหังเช่นนี้
”แม่นางไป๋”ฉู่หรานหัวเราะร่า พลางตบไหล่ไป๋หยาน “ช่วงเวลาหกปีที่ผ่านมา ข้าเฝ้าดูเจ้าพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าพัฒนาขึ้นจากความแข็งแกร่งระดับต่ำสุด กระทั่งถึงจุดที่เจ้าเป็นอยู่ตอนนี้ ข้าเชื่อว่า สักวันหนึ่งแผ่นดินนี้จะกลายเป็นดินแดนเทพอีกแห่งหนึ่ง”
ไป๋หยานยิ้มน้อยๆ นางหันไปหาทุกคน เอ่ยกล่าวว่า “ท่านตา หากข้าเดาไม่ผิด ที่ก่อนหน้านี้พวกท่านทะลุระดับเชิงเจี่ยมาได้นั้นเป็นเพราะ ข้ากำลังปรุงยาเทพเจ้า เพราะยาเม็ดนั้นมีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งมาก กระทั่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์”
”เช่นนั้น…” ไป๋หยานกระพริบตาสองสามครั้ง “ข้าคิดว่า…หากให้ยอดฝีมือชั้นสูงของสามสำนักใหญ่อยู่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์ต่อไป นอกจากนี้ก็เรียกคนจากสำนักสัตว์อสูร และหอบุปผามาด้วย ส่วนข้าจะปรุงยาเม็ดเทพเจ้าต่อไป โดยให้พวกเขาอาศัยผลพลอยได้นี้ฝึกฝนอยู่ข้าง ๆ”
อัสนีบาตในระหว่างการปรุงยาแตกต่างจากอัสนีบาตยามทะลุระดับความแข็งแกร่ง
อัสนีบาตในการบรรลุระดับเทพนั้นรุนแรงเพียงพอที่จะทำลายเมืองทั้งเมืองได้ทว่าอัสนีบาตในการปรุงยาจะกระจายไปรอบ ๆ หมอปรุงยาเท่านั้น ทว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อคนอื่นมากจนเกินไป
บทที่ 1032 : หนึ่งยาเทพ หนึ่งคนระดับเทพ (6)
เช่นนั้นอัสนีบาตระดับสิบของการปรุงยาจึงทรงพลังมากกว่าอัสนีบาตระดับสิบของการทะลุระดับขั้น นี่คือสาเหตุที่ไป๋หยานเกือบล้มเหลวในการต้านรับมันกระทั่งนาทีสุดท้าย …
”นอกจากนี้ก็ยังมีตระกูลหลานอีก…” นัยน์ตาของไป๋หยานหรี่ลงเล็กน้อย “ในวันหน้า…ข้าย่อมจะมีศัตรูเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนั้นญาติ ๆ ของข้าต้องมีความสามารถในการป้องกันตนเอง”
ตระกูลหลานเป็นญาติของนางสำนักสัตว์อสูร และหอบุปผาก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนาง เช่นนั้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งจึงสำคัญที่สุด …
”หยานเอ๋อ…ให้ข้าดูแลเรื่องนี้เองดีหรือไม่?” ใบหน้าของเหวินหวู่เหว่ยแสดงรอยยิ้มที่น่าพอใจ ทั้งน้ำเสียงของเขาก็ราวกับเกรงใจ
ไป๋หยานเหลือบมองเหวินหวู่เหว่ยก่อนจะพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
เหวินหวู่เหว่ยดูมีความสุขมากเหมือนเขาจะคลายความตึงเครียดลง
เขาเพียงอยากทำอะไรให้ไป๋หยานบ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็ตามที …
”ท่านประมุข”ไป๋หยานดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก นางหันไปมองฉู่หราน “ท่านช่วยกวาดล้างทำความสะอาดเกาะศักดิ์สิทธิ์นี้ก่อน หลังจากที่ฉู่อีอี้และตี้เสี่ยวอวิ๋นกลับมา ให้พวกนางมาพบข้าทันที”
”ได้”
ฉู่หรานยิ้มพลางพยักหน้า “หากแม่สาวสองคนนั่นรู้ว่า เจ้าออกมาแล้ว พวกนางคงจะไม่ออกไปหาเรื่องผู้ใดอีกเป็นแน่”
ไป๋หยานไม่ได้กล่าวคำใดอีกนางกำลังจะหันหลังกลับ เพื่อผละจากไป ทว่าทันใดนั้นเองก็มีร่างใหญ่ ๆ พุ่งมาจากด้านหลัง
นางรู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดแรงจึงหันขวับกลับไปมองอย่างรวดเร็ว สิ่งที่นางเห็นก็คือพยัคฆ์ขาวตัวใหญ่วิ่งตรงดิ่งเข้ามาหานาง มันกระโจนเข้าใส่อ้อมแขนของนางทันที
อุ้งเท้าทั้งสองข้างของพยัคฆ์ขาวกดลงที่หน้าอกของนางลิ้นของมันเลียทั่วใบหน้าของนาง ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำของมันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมกันนั้นหางของมันก็ส่ายไปมา
“เสี่ยวมี่?” ไป๋หยานผงะ “นี่เจ้าเข้าถึงระดับเทพแล้วกระนั้นหรือ ?”
เสี่ยวมี่พยักหน้าอย่างแรง“ข้ากับชิงอี้เคยไปแดนอสูร ครั้งนั้นไม่รู้ว่าวิหคอัคคีให้พวกเรากินอะไร จู่ ๆ พวกเราก็ทะลุไปถึงระดับเทพ”
”วิหคอัคคีกับชิงอี้ได้พบกันแล้วกระนั้นหรือ?” ไป๋หยานเลิกคิ้ว เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
เสี่ยวมี่กระพริบดวงตากลมโตของมัน”ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนว่าวิหคอัคคีจะไม่มีความสุขเลย หลังจากที่ได้เห็นชิงอี้ นางก็แลดูเศร้าสร้อย อีกทั้งสิ้นหวังมาก ๆ จากนั้นนางก็ไม่เคยมาพบพวกเราอีกเลย …”
มุมปากของไป๋หยานกระตุกก่อนหน้านี้ชิงอี้เคยเป็นเด็กสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นหญิงสาว แน่นอนว่าวิหคอัคคีย่อมรับไม่ได้ไปสักพัก
”ไม่เป็นไรรออีกไม่นาน นางก็จะชินเอง”
ไป๋หยานตบหัวของเสี่ยวมี่ราวกับปลอบประโลม
”แล้วชิงอี้ล่ะตอนนี้อยู่ที่ใด?” ไป๋หยานเอ่ยถามเมื่อไม่เห็นชิงอี้
”นางไปปกป้ององค์หญิงและคนอื่นๆ หลังจากที่ข้าจัดการนายน้อยแห่งอาณาจักรวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ข้าก็รีบกลับมาที่นี่ นายหญิงคิดถึงข้าบ้างหรือไม่ ? ข้าอยากกินหมูตงโพที่ท่านทำจังเลย”
เสี่ยวมี่กวัดแกว่งหางของมันอย่างมีความหวังนัยน์ตาสีน้ำตาลของมันจ้องมองไป๋หยาน การแสดงออกของมันไม่ต่างกับสุนัขตัวน้อยกระดิกหาง
“เอาล่ะรอข้าจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ให้เฉินเอ๋อกลับมาเสียก่อน แล้วข้าจะทำอาหารให้เจ้ากินเองดีหรือไม่ ?”
เสี่ยวมี่เลียใบหน้าของไป๋หยานอย่างตื่นเต้นดวงตาของมันแลดูสดใสขึ้นทันที
“แต่… เสี่ยวมี่ ไม่เป็นการสะดวกที่เจ้าจะอยู่ในรูปลักษณ์เช่นนี้ ตอนนี้เจ้าควรแปลงร่างเป็นมนุษย์ก่อนน่าจะดีกว่า”
สำหรับสัตว์อสูร…จะกลายร่างได้ต้องมีผลกลายร่างจากแดนอสูรจึงจะแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ ตี้คังได้เตรียมผลกลายร่างไว้แล้ว ทว่าเสี่ยวมี่ไม่เต็มใจที่จะกินมัน
ครั้นเสี่ยวมี่ได้ยินว่าให้มันแปลงร่างเป็นมนุษย์ มันก็ย่นจมูกที่น่ารักของมัน “ข้าไม่ต้องการ ข้าคิดว่า ข้ามีพลังและทรงอำนาจอยู่แล้ว ข้าไม่ต้องการกลายร่างเป็นมนุษย์”
บทที่ 1033 : กรุ่นไอยาเทพเจ้า (1)
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ..จะเกิดอะไรขึ้นหากหลังจากแปลงร่างแล้ว เขาเกิดหล่อเหลามากเกินไป กระทั่งทำให้แม่สาวตระกูลหวงนั่นกลับมาเกาะติดเขาอีกครั้งล่ะ ?
เป็นเพราะตอนนี้หัวหน้าตระกูลหวงไม่ยอมปล่อยนางออกมาภายนอกหาไม่บางทีนางอาจตามเขามาอีก ทำให้เขารำคาญเสียจริง ๆ
“หากเจ้าไม่กลายร่างเป็นมนุษย์ก็จะเป็นการไม่สะดวกอย่างยิ่งที่จะพาเจ้าไปไหนต่อไหนด้วยอีกในภายหน้า อย่างไรก็ตามแม้เจ้าจะไม่ได้เป็นแมวตัวน้อยอย่างที่เจ้าเคยเป็นมาก่อนอีกต่อไปแล้ว ทว่าเจ้าก็สามารถกลายร่างเป็นแมวน้อยได้นี่”
เสี่ยวมี่ส่ายหางอย่างสิ้นหวัง”แม้ว่า…ตอนนี้ข้าจะชอบรูปลักษณ์เช่นนี้มากกว่า ทว่าข้าก็สามารถกลายร่างได้ ข้ายังสามารถติดตามเจ้านายในร่างแมวขาวได้”
ใบหน้าของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นดำคล้ำดูเหมือนว่าชายคนนี้ไม่เต็มใจที่จะกลายร่างเป็นมนุษย์เอาเสียเลย
ครั้นเห็นเช่นนี้ไป๋หยานก็ไม่ลังเลใจอีกต่อไป ยังไม่สายเกินไปที่จะมอบสิ่งนี้ให้กับเขา ยามเมื่อเขาต้องการกลายร่าง
”ท่านตาข้ารบกวนท่าน จัดการเรื่องที่เหลือด้วย” ไป๋หยานบิดเอวของนาง ก่อนจะกวักมือเรียกเสี่ยวมี่ “เสี่ยวมี่…มานี่ ให้ข้าเอนหลังหน่อย”
ครั้นเสี่ยวมี่ได้ยินเช่นนั้นมันก็รีบวิ่งตุปัดตุเป๋มาหาไป๋หยานจากนั้นก็เอนตัวลง
ไป๋หยานนอนลงบนร่างที่อ่อนนุ่มของมันกระทั่งเกือบจะฝังอยู่ในขนนุ่ม ๆ ของมัน
ดวงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากฟากฟ้าตกกระทบเรือนร่างของนาง ส่งให้ภาพนั้นแลดูอบอุ่นและสวยงาม
ไป๋ฉางเฟิ่งและคนอื่นๆ ไม่อยู่รบกวนการพักผ่อนของไป๋หยาน พวกเขาเดินทางออกจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ทีละคน ๆ เพื่อไปทำในสิ่งที่ไป๋หยานมอบความไว้วางใจให้กับพวกเขา …
เพียงชั่วพริบตาเหตุการณ์เกี่ยวกับฟ้าร้องฟ้าผ่าอย่างบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ล่ำลือขจรขจายไปทั่วท้องถนนบนแผ่นดินใหญ่
ว่ากันว่าในช่วงเวลาที่ฟ้าร้องฟ้าผ่าสิ้นสุดลงนั้นผู้คนทั่วทั้งทวีปได้เห็นแสงสีทองสองสามดวงพุ่งตรงลงมาจากท้องฟ้าซึ่งนั่นทำให้ผู้คนต่างตื่นตกใจ
ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อนมัสการพวกเขาทำราวกับว่ากำลังต้อนรับเทพขุนพลที่มาพร้อมกับประกายแสงสีทอง ซึ่งจะมาช่วยชุบชีพดินแดนที่หดหู่น่าเวทนาจากการถูกสังหารหมู่นั้น …
ในเวลาเดียวกันภายในอาณาจักรวิญญาณ เหอเฟยเซียงก็ใช้มือกวาดเครื่องเคลือบดินเผาทั้งหมดในบ้านตกลงพื้น นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย ขณะเดียวกันขมับของเขาก็เต้นรุนแรง
หลิวชิงหยูเดินผ่านประตูเข้ามาสิ่งที่นางเห็นก็คือบ้านที่รกระเกะระกะ ทำให้นางคิ้วขมวดโดยไม่เจตนา
ฟิ้ว!
ชั่วขณะนั้นเหอเฟยเซียงก็รีบวิ่งไปข้างหน้าหลิวชิงหยู เขาดึงสาบเสื้อของนางขึ้น พลางตะโกนด้วยความโกรธ “บอกมา เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่แพร่งพรายความลับ ? เจ้าแจ้งแดนอสูร ทำให้บุตรชายของข้าต้องตายบนแผ่นดินใหญ่ใช่หรือไม่ ?”
ภายใต้อารมณ์โกรธเกรี้ยวของเขาใบหน้าของหลิวชิงหยูซีดเซียว รอยยิ้มบิดเบี้ยวพลันปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง
“แม้ว่าท่านจะไม่อยากรับลูกสาวเช่นข้าทว่าข้าก็เป็นคนของอาณาจักรวิญญาณ หากอาณาจักรวิญญาณล่มสลายจะส่งผลดีอะไรกับข้าบ้าง ?”
เหอเฟยเซียงเหลือบมองหลิวชิงหยูอย่างคลางแคลงมือของเขาค่อย ๆ คลายออก
“เจ้าไม่ได้เป็นคนแจ้งข่าวจริงๆ กระนั้นหรือ ?”
”ข้าบอกว่าไม่ใช่ทำไปก็ไม่ได้ดีสำหรับข้าสักหน่อย เหตุใดข้าต้องทำ”
”ฮึ่ม!” เหอเฟยเซียงฮึ่มฮั่มอย่างเย็นชา “ลูกสองคนของข้า ยามนี้ก็ได้ตายไปหมดแล้ว เจ้าเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ หากไม่มีผู้ใดสืบทอดอาณาจักรวิญญาณนี้ เจ้าจะไม่กลายเป็นทายาทของอาณาจักรวิญญาณหรอกหรือ ?”
ถ้อยคำดูถูกไม่ต่างจากหนามแทงลึกเข้าไปในหัวใจของหลิวชิงหยู
นางกำหมัดแน่นหัวใจของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ เพื่อบรรเทาความผันผวนทางอารมณ์ในหัวใจของตน
”ท่านพ่อในเมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก ต่อให้ข้าไม่ชอบพี่ใหญ่ แล้วอย่างไร ? ข้าก็เพียงถกเถียงกับเขาเป็นการส่วนตัวเท่านั้น อย่างที่เขาว่ากัน หนึ่งร่วงทุกคนล่ม หนึ่งโรจน์ทุกคนรุ่ง (หากคนหนึ่งพ่าย พรรคพวกก็ล่มสลายตาม แต่หากคนนั้นเจริญรุ่งเรือง พรรคพวกก็จะเจริญตาม) ข้าไม่จำเป็นต้องทำลายอาณาจักรวิญญาณนี้”
จะเกิดอะไรขึ้นหากนางเป็นคนบอกความลับ? ตาแก่ชั่วคนนี้ไม่เคยคิดว่านางเป็นบุตรสาว แม้ว่าอาณาจักรวิญญาณจะถูกทำลาย นางก็จะปล่อยให้เขาได้ลิ้มรสความขมขื่นนี้บ้าง
บทที่ 1034 : กรุ่นไอยาเทพเจ้า (2)
ทว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่นางจะเปิดเผยตัวตน…
“ก็แล้วเหตุใดเจ้าถึงนำคนจำนวนมากไปสร้างปัญหาให้กับสามสำนักใหญ่ล่ะ…หือ?”
”ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยอธิบายเรื่องนี้ให้ท่านฟังแล้วข้า … ” หลิวชิงหยู กัดริมฝีปากตน “ข้าเพียงอิจฉาราชินีอสูร ข้าต้องการทำให้นางเดือดร้อน ทว่าข้าก็เกือบจะนำหายนะมาสู่อาณาจักรวิญญาณ นี่เป็นความผิดของข้า ทั้งข้าก็เต็มใจที่จะแบกรับความผิดนี้”
ถ้อยคำของนางฟังดูจริงใจมากราวกับนางรู้ว่า นางกระทำผิดพลาดครั้งใหญ่
ครั้นเห็นการแสดงออกของหลิวชิงหยูความสงสัยในใจของเหอเฟยเสียงพลันมลายหายสิ้น เขาทุบกำปั้นลงบนโต๊ะอย่างแรง พร้อมกับกัดฟันด้วยความเกลียดชัง
”ไอ้พวกแดนอสูร! กล้าสังหารบุตรชายข้า พวกมันต้องชดใช้ !”
หลิวชิงหยูหรี่ตาลงประกายแสงวาบผ่านแววตาของนาง “ท่านพ่อประสงค์จะทำการใด หากมีสิ่งใดที่ลูกสาวคนนี้สามารถช่วยได้ ลูกจะพยายามทำให้ดีที่สุด ทั้งจะไม่ลังเลเลย”
ยามนี้เหอเฟยเสียงกำลังโกรธแค้นอาณาจักรอสูรเช่นนั้นเขาจึงไม่พบประกายแสงเย็นที่กระพริบในดวงตาของหลิวชิงหยู
”ชิงหยู…”แววตาของเหอเฟยเสียงอ่อนลง น้ำเสียงของเขาพลันอ่อนโยน “ตอนนี้ข้างกายพ่อเหลือเจ้าเพียงผู้เดียวแล้ว พ่อทำเจ้าลำบากมานานหลายปี จากนี้ไปพ่อจะแต่งตั้งเจ้าขึ้นเป็นผู้สืบทอด และจะเปลี่ยนแซ่ให้เจ้าด้วยจะดีหรือไม่ ?”
ใบหน้าของหลิวชิงหยูแลดูตื่นเต้นขึ้นทันที”ขอบคุณท่านพ่อ”
ดูเหมือนนางจะรอช่วงเวลาเช่นนี้มานานแสนนาน
ทว่า…
ชั่วขณะที่นางลดสายตาลงราวกับเหนียมอายนั้นแววตาของนางกลับเย็นชาขึ้นอีกครั้ง มุมปากของนางก็ยกขึ้นเยาะเย้ย
นับตั้งแต่ไอ้เฒ่าผู้นี้สังหารมารดาของนางซ้ำยังประกาศไม่ให้นางใช้แซ่เหอ ชายผู้นี้ก็ตายจากใจนางไปนานแล้ว !
ที่วันนั้น…นางออกตามหาปาฏิหาริย์ก็เพียงหวังจะกลายเป็นยอดฝีมือระดับเทพเพื่อจะได้ครองอาณาจักรวิญญาณนี่ต่างหาก !
อาณาจักรวิญญาณนี่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง? แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะถูกทำลาย ทว่านางก็ไม่นึกสงสารเลยแม้แต่น้อย
หัวใจของนางเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งไปแล้วนับแต่หลายปีก่อน!
”ชิงหยู…ที่ผ่านมา…พ่อรู้ว่าพ่อปฏิบัติต่อเจ้าเกินไป พ่อหวังว่าเจ้าจะไม่เกลียดพ่อ พ่อยอมรับผิด” เหอเฟยเสียงถอนหายใจเบา ๆ “เอาล่ะ พ่อจะมอบกองกำลังให้เจ้าดูแล”
หลิวชิงหยูเงยหน้าขึ้นมองเหอเฟยเสียงด้วยความประหลาดใจ
ชายผู้นี้วางแผนจะมอบอำนาจให้นางงั้นหรือ?
หากเป็นในอดีตบางทีนางอาจจะหวั่นไหว ทว่าตอนนี้หัวใจของนางมั่นคง และแน่วแน่
“ค่ะท่านพ่อ”
หลิวชิงหยูกลัวว่าชายผู้นี้จะสังเกตเห็นบางอย่างในแววตานางนางจึงรีบแสร้งยิ้มอย่างตื่นเต้น “หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ลูกขอตัวก่อน”
”ไปเถอะ”
เหอเฟยเสียงกล่าวอย่างเหนื่อยล้า
หลิวชิงหยูไม่ได้กล่าวคำใดอีกนางป้องกำปั้น พลางถอยออกไปจากประตู จากนั้นก็ปิดประตูให้
ทันทีที่นางเดินจากไปประกายแสงอ่อนโยนในแววตาของเหอเฟยเสียงพลันหายไปมันถูกแทนที่ด้วยความโกรธ
”เจ้าแดนวิญญาณท่านคิดจะมอบอำนาจให้กับคุณหนูชิงหยูงั้นหรือ ?”
ด้านหลังเขามีชายชราในชุดคลุมสีเทายืนขมวดคิ้วเงียบ ๆ พร้อมกับเอ่ยถาม
”นอกจากทำเช่นนี้แล้วยังมีวิธีอื่นอีกหรือ ?” เหอเฟยเสียงกล่าวอย่างเย็นชา “ลูกของข้าทั้งคู่ต่างก็เสียชีวิตด้วยเงื้อมมือของอาณาจักรอสูร ตอนนี้ก็เหลือเพียงหลิวชิงหยู หาก … หากข้าสามารถมีลูกได้อีก มันย่อมไม่มีทางเป็นของหลิวชิงหยูแน่ !”
ทว่าน่าเสียดายที่เขาไม่สามารถให้กำเนิดบุตรกับภรรยาและนางสนมของเขาได้อีกต่อไปยามนี้เขาเหลือบุตรสาวเพียงคนเดียวก็คือหลิวชิงหยู …
แม้ว่าในใจของเขาจะไม่อยากยอมรับทว่าเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น
ผู้อาวุโสในชุดคลุมสีเทานิ่งเงียบเขามักรู้สึกว่าการแสดงออกด้วยท่าทางตื่นเต้นเขินอายของหลิวชิงหยูนั้นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของนางเลย
เจ้าแดนวิญญาณกำลังเลี้ยงลูกเสือลูกตะเข้อย่างแน่นอน
บทที่ 1035 : กรุ่นไอยาเทพเจ้า (3)
ด้านนอกประตูหลิวชิงหยูหันศีรษะกลับไปมองบานประตูที่ปิดอยู่เบื้องหลังนาง สายตาของนางเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
”คุณหนู”
จุนห่าวซึ่งกำลังรอหลิวชิงหยูอยู่นอกประตูทันทีที่เห็นนางปรากฏตัว เขาก็เอ่ยทักทาย และถามว่า “เป็นเช่นไรบ้าง ?”
”ตาเฒ่านั่นเชื่อมั่นในตัวข้าอย่างสมบูรณ์ครั้งนี้เรารอด … ทว่าอาณาจักรวิญญาณจะรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ได้หรือไม่นั้น มันก็ขึ้นอยู่กับข้าแล้ว”
ใบหน้าของหลิวชิงหยูยังมีร่องรอยเยาะเย้ยนางดูเหมือนจะนึกถึงการตายที่น่าเศร้าของมารดาขึ้นมาอีกครั้ง พลันนัยน์ตาคู่สวยก็เปล่งประกายความโกรธแค้น
นับแต่วันนั้นนางก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า แม้นางจะต้องสูญเสียทุกอย่าง นางก็จะไม่มีวันยอมให้อาณาจักรวิญญาณอยู่ดีมีสุข !
”ลุงจุน…ไปกันเถิดแดนวิญญาณนี้คงจะอยู่ได้อีกไม่นานนักหรอก… ” หลิวชิงหยูสูดลมหายใจเข้าลึก ยับยั้งความเกลียดชังในใจ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ
จุนห่าวมองตามหลังของหลิวชิงหยูพลางถอนหายใจเบา ๆ
คนในแดนวิญญาณไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านคุณหนูของเขาได้ครั้งนั้นคุณหนูของเขาได้วางยาพิษที่ไร้สีไร้กลิ่นให้กับเจ้าแดนวิญญาณ เพื่อไม่ให้เจ้าแดนวิญญาณสามารถมีทายาทคนใหม่ได้อีก
และน่าขันที่กระทั่งถึงตอนนี้เจ้าแดนวิญญาณก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นฝีมือของบุตรสาว…
สิ่งที่คุณหนูต้องการไม่ใช่การเป็นเจ้าอาณาจักรวิญญาณ นางเพียงต้องการล้มล้างอาณาจักรวิญญาณเท่านั้น
ณเกาะศักดิ์สิทธิ์
แม้ว่าจะไม่อาจฟื้นฟูให้กลับมางดงามเฉกแดนสวรรค์เช่นที่ผ่านมาทว่าด้วยความร่วมมือกันของทุกคน ที่นี่ก็ไม่ใช่ดินแดนที่มอดไหม้จากสายฟ้าอีกต่อไป
เวลานั้นผู้คนจากพรรคสัตว์อสูร และหอบุปผาที่เข้าไปหลบซ่อนในป่าสัตว์อสูรก็มาถึง
ทันทีที่เห็นไป๋หยานนั่งนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ฮัวหลัวก็ดีใจมาก นางเดินไปข้างหน้าไป๋หยานช้า ๆ ก่อนจะย่อเข่าลงเล็กน้อย “ฮัวหลัวคารวะนายหญิง”
ไป๋หยานพยักหน้าเล็กน้อย”ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ หอบุปผาเป็นอย่างไรบ้าง ?”
”นายหญิงสบายใจได้ยามนี้ หอบุปผาได้ขึ้นมาเป็นสำนักระดับสอง ทั้งยังอยู่ในระดับเดียวกับพรรคสัตว์อสูร”
ในอดีตที่หอบุปผาสามารถเทียบเคียงสำนักอื่นๆ ได้ก็ด้วยอาศัยไป๋หยานคอยเกื้อหนุน
ทว่าครานี้เมื่อไม่มีไป๋หยานฮัวหลัวก็ใช้ความสามารถของตนในการผลักดัน กระทั่งหอบุปผาขึ้นเป็นสำนักระดับสองได้สำเร็จ
ความแข็งแกร่งที่ฮัวหลัวมีเกิดจากการได้ติดตามไป๋หยานมาแต่แรก ทั้งยังได้ใช้ประโยชน์อย่างมากในเวลาที่ผ่านมานี้
“ในเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้ากันที่นี่แล้วพวกเจ้าก็ควรฝึกฝนทักษะในสถานที่แห่งนี้ ส่วนข้าจะเริ่มปรุงยา … ”
มุมปากของไป๋หยานยกขึ้นนางมองไปที่คนของฮัวหลัว จากนั้นก็หันไปจ้องมองฝูงชนของพรรคสัตว์อสูร เอ่ยกล่าวเบา ๆ
”ช่วงเวลานี้ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ออกจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นโอกาสเดียวของพวกเจ้าแล้ว !”
ฮัวหลัวและคนอื่นๆ ต่างประหลาดใจ พวกเขาไม่เข้าใจว่าไป๋หยานต้องการจะทำอะไร
อย่างไรก็ตามพวกเขาคุ้นเคยกับการรอรับคำสั่งมาโดยตลอด เช่นนั้นจึงไม่สงสัยนัก
”ขอรับนายหญิง”
ไป๋หยานลุกขึ้นยืนด้านหลังนางมีบ้านหลังหนึ่ง นางหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน จากนั้นก็กระแทกประตูบ้านดังปัง
มีส่วนประกอบยาห้าอย่างสำหรับใช้ในการสร้างยาเม็ดเทพเจ้าและส่วนประกอบยาทั้งห้านี้ก็เพียงพอสำหรับนางที่จะสร้างกองทหารระดับเทพ !
ครั้นนึกถึงสิ่งนี้ไป๋หยานก็วาดมือหยิบเตาหลอมยาออกมา จากนั้นนางก็นำวัตถุดิบส่วนหนึ่งออกมาเพื่อกลั่นยาเม็ดเทพเจ้าทันที นางใส่สมุนไพรลงไปทีละชิ้น ๆ
นางสูดลมหายใจเข้าลึกสีหน้าของนางค่อย ๆ เคร่งขรึมขึ้น เรื่อย ๆ …
โชคดีที่เคยมีประสบการณ์ในการกลั่นครั้งแรกมาแล้วทำให้ไป๋หยานไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับการกลั่นยาในครั้งนี้ นางโยนส่วนประกอบยาที่อยู่ด้านข้างเข้าไปในเตาหลอมยาอย่างต่อเนื่อง