จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1036-1040
บทที่ 1036 : กรุ่นไอยาเทพเจ้า (4)
ฟู่…ควันสีฟ้าปรากฏขึ้นในเตาหลอมยา ภายในเวลาไม่กี่นาทีส่วนผสมทั้งหมดก็แปรเปลี่ยนเป็นของเหลวสีเขียวอมฟ้าที่ก้นเตา …
สีหน้าของไป๋หยานเคร่งขรึมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นางพลิกนิ้วมือพลันพืชสมุนไพรอีกสองสามอย่างก็ถูกโยนเข้าเตาหลอมยา ก่อนจะหลอมรวมเข้ากับของเหลวที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ …
ด้านนอกประตูทุกคนต่างนั่งขัดสมาธิจดจ่ออยู่กับการฝึกฝน กระทั่งไม่สามารถสลัดตนเองออกจากการหมกมุ่นนี้ได้
ลมปราณของเกาะศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็ยังสลายไม่หมดเช่นนั้นจึงเหลือเพียงพอสำหรับทุกคนที่จะบุกทะลวง
ณขณะนี้…
พายุฝนฟ้าคะนองพลันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่าฟ้าลั่นเปรี้ยงปร้าง จากนั้นก็มาถึงฟ้าร้องครืนคราง สายฟ้าสีม่วงเงินฟาดลงมาที่ห้องปรุงยาของไป๋หยาน ห้องนั้นระเบิดออกเป็นส่วน ๆ ทันที
อย่างไรก็ตาม…
ดูเหมือนว่าไป๋หยานจะไม่สังเกตเห็นการระเบิดของห้องนี้นางยังคงจดจ่ออยู่กับการปรุงยา
ยาเม็ดนี้ส่งกลิ่นหอมไม่ว่ากลิ่นหอมนี้จะลอยผ่านไปที่ใด ลมปราณที่อยู่โดยรอบ ก็จะเฟื่องฟูอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาก ดูเหมือนว่าจะแทรกซึมเข้าไปในร่างของพวกเขาอย่างไม่อาจควบคุมได้
”นี่มัน…”
ครั้งแรกที่ฮัวหลัวรู้สึกได้ถึงพลังลมปราณนั้นนางก็เบิกตาโตอย่างตื่นตะลึง นางหันไปมองไป๋หยานด้วยความตกใจ
คนอื่นๆ ในหอบุปผา และพรรคสัตว์อสูรนั้นก็มีอาการเฉกเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างก็ตกใจกับวิธีการของ ไป๋หยาน …
”อะแฮ่ม”
ไป๋ฉางเฟิ่งกระแอมเล็กน้อย”พวกเจ้าทุกคน โอกาสดี ๆ เช่นนี้หาได้ยากยิ่ง พวกเจ้าควรรีบใช้ช่วงเวลานี้ฝึกฝน หากพวกเจ้าพลาด ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะเสียใจภายหลังได้นะ”
ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำของไป๋ฉางเฟิ่งคนเหล่านั้นต่างก็รีบโคจรพลังเริ่มฝึกฝน
แม้แต่ไป๋ฉางเฟิ่งเองก็ไม่ลืมที่จะเข้าสมาธิเพื่อรวบรวมความแข็งแกร่งหลังจากการพัฒนาครั้งก่อน
เวลาเดินไปเรื่อยๆ เหนือเกาะศักดิ์สิทธิ์ปรากฏแสงรัศมีจากการพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่อง
ไม่นานนักเมฆทะมึน และฝนฟ้าคะนองบนท้องฟ้าก็สลายหายไป ทว่าเนื่องจากพลังลมปราณยังคงพลุ่งพล่านไม่ลดลงเลย พวกเขาจึงไม่สนใจไป๋หยาน ต่างยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น
เนื่องด้วยกระบวนการฝึกฝนต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อไม่ให้ลมปราณที่ปลดปล่อยออกมาในระหว่างการปรุงกลั่นยาเทพเจ้าเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ไป๋หยานจึงไม่ได้ปรุงแต่งยาเม็ดที่สอง ทว่ากลับนั่งเงียบ ๆ รอการฝึกฝนของพวกเขาแทน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าการสร้างยาเม็ดเทพเจ้านี้จะทำให้ลมปราณทวีความแข็งแกร่งขึ้น ทว่าหลังจากการกลั่นยาเม็ดเทพเจ้าสำเร็จแล้ว ลมปราณก็จะค่อย ๆ อ่อนกำลังลง สุดท้ายก็จะค่อย ๆ สลายไปภายในเวลาสามวัน
ช่วงเวลาสามวันนับว่ามากเพียงพอสำหรับหลายคนที่จะก้าวหน้าศิษย์ของพรรคสัตว์อสูรเกือบทั้งหมดพัฒนากระทั่งถึงระดับหวังเจี่ย (ราชา) ส่วนหัวหน้าพรรคสัตว์อสูรนั้นยังทะลุไปถึงระดับซุนเจี่ย (นักบุญ)
มังกรแก้วที่พรรคสัตว์อสูรนำมาด้วยนั้นเดิมก็มีพลังแข็งแกร่งอยู่แล้ว เช่นนั้นหลังจากการฝึกครั้งนี้ มันก็ขึ้นไปถึงระดับสูงของระดับราชา กระทั่งห่างจากระดับนักบุญเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น
ศิษย์ของหอบุปผานั้นด้อยกว่าพรรคสัตว์อสูรทว่าส่วนใหญ่ก็ยังก้าวไปถึงระดับราชา ซึ่งหากใช้การฝึกแบบธรรมดาของหอบุปผาย่อมไม่มีทางก้าวมาถึงระดับนี้ได้
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือฮัวหลัวสามารถบุกทะลวงได้เร็วกว่าหัวหน้าพรรคสัตว์อสูร หลังจากผ่านสามวันของการฝึกฝนมาได้ นางก็มาถึงขั้นสูงของระดับนักบุญแล้ว
ความแข็งแกร่งระดับนี้เพียงพอที่จะเย้ยโลกทั้งใบ
อย่างไรก็ตามไป๋หยานกลับไม่แปลกใจเลย ฮัวหลัวสามารถเป็นหัวหน้าหอบุปผาได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ความสามารถของนางย่อมไม่ควรมองข้าม ตราบใดที่นางมีเวลาก็ย่อมสามารถเหนือกว่าผู้ใด
”ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะทะลุระดับได้แล้ว เช่นนั้นมาต่อกัน”
ไป๋หยานยักไหล่พลางก้าวไปทางบ้านซึ่งยามนี้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว
มาต่อกันกระนั้นรึ?
ทุกคนผงะพวกเขาไม่เข้าใจว่ามาต่อกันของไป๋หยานหมายความว่ากระไร ?
ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นว่าไป๋หยานหยิบส่วนประกอบทางยาออกมาอีก จากนั้นนางก็เริ่มต้นปรุงยาใหม่…
บทที่ 1037 : กรุ่นไอยาเทพเจ้า (5)
ณภูเขาศักดิ์สิทธิ์
บริเวณเชิงเขา
ร่างอ้วนท้วนราวกับลูกบอลของเด็กชายตัวอ้วนเปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อเขายังคงหายใจหอบฟืดฟาด ยามนี้ใบหน้าอวบอ้วนของเขาสั่นระริก
“ท่านพ่อพวกเราเดินมานานจนเหนื่อยแทบจะคลานแล้ว นี่เราจะไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์เมื่อไหร่ ? ข้าเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว”
ผวัะ!
ฝ่ามือตบมาจากด้านข้างฟาดเข้าที่หน้าผากของเด็กชายอ้วนอย่างแรง
“เจ้าต้องเดินต่อไปแต่หากเจ้าเดินไม่ไหว ต่อไปก็อย่าได้บอกใคร ๆ ว่าเจ้าเป็นบุตรชายของหวังตี้จวินอีก !”
หวังตี้จวินจ้องมองเด็กชายอ้วนที่อยู่ข้างกายด้วยความโกรธ
เด็กชายอ้วนลูบหลังศีรษะที่ถูกตบพลางมองหวังตี้จวินด้วยแววตาเศร้า ๆ
”ท่านพ่อ”
จู่ๆ แขนเล็ก ๆ ที่บอบบางราวกับรากบัวก็ยื่นออกมาจากด้านข้าง พร้อมด้วยเสียงของเด็กหญิงที่แสนน่ารักน่าเอ็นดู เสียงนั้นทำให้หัวใจของหวังตี้จวินอ่อนยวบลงทันที
“ข้าเองก็เดินไม่ไหวแล้วอยากให้ท่านอุ้ม … ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นใบหน้าที่จริงจังของหวังตี้จวินก็หันไปมองเด็กหญิงตัวน้อยที่อยู่ข้างกาย เขาหัวเราะออกมาทันที แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็อ่อนลงโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ได้สิมา…พ่อจะอุ้มเจ้าเอง เจ้าจะได้ไม่เหนื่อยนะ ถงเอ๋อ”
หลังจากที่เขากล่าวจบเขาก็อุ้มหวังเสี่ยวถงขึ้นมาจากพื้น การแสดงออกของเขาช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับตอนที่เขาเผชิญหน้าหวังเสี่ยวผางเมื่อครู่
แน่นอนว่านี่เพราะลูกสาวเป็นลูกแท้ ๆ ของเขาที่คลอดออกมา ส่วนลูกชาย … ก็แค่เด็กที่เก็บมาเลี้ยง
หวังเสี่ยวผางกล่าวอย่างเสียใจ”ท่านพ่อ ท่านลำเอียง”
หวังตี้จวินจ้องมองเขา”เจ้านี่ช่างพูดมากเสียจริง ประเดี๋ยวข้าก็ทิ้งเจ้าไว้ที่นี่เลย !”
ครั้นประโยคนี้หลุดออกมาหวังเสี่ยวผางก็ไม่กล้ากล่าวคำใดอีก เขายังคงพึมพำเบา ๆ
“หากข้าเป็นลูกชายของพี่ไป๋หยานได้ก็ดีสิ…”
นางไม่เพียงแต่สวยเท่านั้นทว่านางยังอ่อนโยนกับเฉินเอ๋อมาก ซึ่งแตกต่างจากบิดาของเขาที่เอาแต่ทุบตีเขาเสมอมา
หวังเสี่ยวผางจึงคิดเสมอว่าเขาเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง
”เจ้างึมงำอะไร?” หวังตี้จวินหันไปมองหวังเสี่ยวผาง พลางเอ่ยถาม
”ไม่มีอะไร”
ใบหน้าอ้วนๆ ของหวังเสี่ยวผางกระตุกสองสามครั้ง เขาเพียงคิดเรื่องนี้ในใจ หากเขาพูดออกมาจริง ๆ เกรงว่าบิดาของเขาจะต้องทุบตีเขาจนตายอย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็รีบเดินต่อเถอะ พวกเขาทั้งหมดไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเราก็ควรไปด้วย ข้าได้ยินมาว่าไป๋หยานก็มาแล้ว…”
แท้จริงแล้ว…ตอนที่เหวินหวู่เหว่ยนำศิษย์ของตำหนักเซียนพยับหมอกมาลี้ภัยที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เขาก็พิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหวัง และไป๋หยานด้วยเช่นกัน เขาต้องการที่จะรับพวกตระกูลหวังมาที่นี่ด้วย ทว่าหลังจากตามหาอยู่เป็นเวลานาน เขาก็ไม่พบร่องรอยสามคนพ่อลูกเลย
เนื่องจากไม่มีเวลาเช่นนั้นเหวินหวู่เหว่ยจึงทิ้งจดหมายถึงตระกูลหวัง จากนั้นก็เร่งรีบเดินทางออกจากตำหนักเซียนพยับหมอกในทันที
ทว่า…
หากตระกูลหวังมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ล่าช้าก็อาจเป็นการยากที่จะเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นเขาจึงบอกให้ตระกูลหวังไปหลบภัยที่ป่าสัตว์อสูรก่อน จากนั้นค่อยออกเดินทางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลังจากได้รับสัญญาณ …
นี่คือเหตุที่ตระกูลหวังไม่ได้มาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทันที
หวังเสี่ยวผางกระหืดกระหอบตามมาร่างอ้วนท้วนของเขาอุดมไปด้วยไขมัน เช่นนั้นทุกย่างก้าวจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก
ส่วนหวังตี้จวินก็เดินเร็วมากหากเด็กชายต้องการตามเขาให้ทัน คงหมดแรงเสียก่อนเป็นแน่ …
”ท่านพ่อเราไม่รอพี่ชายหน่อยหรือ ?” หวังเสี่ยวถงกระพริบนัยน์ตากลมโต นางดึงแขนเสื้อของหวังตี้จวินพลางเอ่ยถาม
หวังตี้จวินยิ้มพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของ หวังเสี่ยวถง “จะไม่เป็นการดีสำหรับพี่ชายของเจ้าที่จะปล่อยให้เขาอ้วนเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ดังนั้นพ่อจึงไม่ใช้พาหนะในการเดินทางครั้งนี้ พ่อต้องการให้เขาละลายไขมันเสียบ้าง”
หวังเสี่ยวถงพยักหน้าแม้นางจะไม่เข้าใจว่าบิดาหมายถึงอะไร หากแต่นางรู้ ไม่ว่าบิดาของนางจะทำอะไร เขาก็ไม่มีวันผิด…
บทที่ 1038 : ทะลุระดับเทพเจ้ากันเป็นกลุ่ม (1)
“กรร!”
ในขณะที่ครอบครัวทั้งสามคนเข้าไปใกล้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงคำรามก็ดังแหวกอากาศที่ว่างเปล่า
ทันใดนั้นมังกรตัวใหญ่ก็ถลาออกมาอย่างรวดเร็วมายืนตรงหน้าหวังตี้จวินและลูก ๆ ทันที
เสียงคำรามนี้ทำให้หวังตี้จวินตัวสั่นกระทั่งเข่าเกือบทรุด เขาเงยหน้าขึ้นอย่างสั่น ๆ เอ่ยถามว่า “ท่านมังกร ไม่ทราบท่านต้องการสิ่งใดกระนั้นหรือ ?”
มีประกายแสงคมชัดในดวงตาของมังกรยักษ์มันกวาดตามองสามพ่อลูกจากหัวจรดเท้า พลันรูจมูกของมันก็พ่นละอองหมอกสีขาวอันเย็นเยือก จนทำให้หวังตี้จวินต้องถอยหลัง
”เจ้าเป็นใครเจ้ามีป้ายผ่านทางหรือไม่ ? หากไม่มีป้ายผ่านทางก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ !”
ขณะที่หวังตี้จวินกำลังนิ่งอึ้งหวังเสี่ยวผางก็รีบก้าวออกมา “ท่านมังกร ไป๋เสี่ยวเฉินเป็นลูกพี่ของข้า”
”องค์ชายกระนั้นรึ?” มังกรตะคอก “แค่เจ้าอ้างว่ารู้จักกับองค์ชาย เจ้าก็คิดว่าข้าจะเชื่อเจ้ากระนั้นรึ ? ไม่สำเร็จหรอก”
หวังเสี่ยวผางหัวเราะพลางกล่าวว่า “หากท่านไม่เชื่อข้า ก็พาข้าไปหาพี่ไป๋หยานสิ พี่ไป๋หยานเป็นคนอยากเจอข้าเองนะ”
”หึ…เจ้าเรียกองค์ชายว่าลูกพี่เช่นนั้นราชินีของเราจะไปเป็นพี่สาวของเจ้าได้อย่างไร ?”
หวังเสี่ยวผางไม่คาดคิดว่ามังกรตัวนี้จะจริงจังถึงเพียงนี้เขากระพริบตาด้วยความงุนงง “ก็เพราะว่าพี่ไป๋หยานทั้งสาวทั้งสวย เช่นนั้นข้าจึงไม่อยากเรียกนางว่าป้า ให้ข้าไปพบพี่ไป๋หยานเถอะ”
มังกรยักษ์ลดหัวลงกระทั่งเขามังกรของมันเกือบจะสะกิดใบหน้าของหวังเสี่ยวผาง นั่นทำให้หวังเสี่ยวผางตกใจกลัวจนถอยหลังไปสองสามก้าว
หวังตี้จวินรีบดึงหวังเสี่ยวผางออกมาเพราะเกรงว่าจะทำให้มังกรยักษ์โกรธ หลังจากมังกรยักษ์ไม่เชื่อว่าพวกเขารู้จักไป๋หยาน
”เฮ้…นี่มันเพื่อนตัวน้อยของเฉินเอ๋อไม่ใช่หรือ?”
จู่ๆ เสียงนี้ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง หวังเสี่ยวผางรีบหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว เขาเห็นเด็กสาวสามคนยืนอยู่ด้านหลังเขา
“องค์หญิง”
ครั้นมังกรมองเห็นหนึ่งในใบหน้าที่สวยงามและบอบบางในหมู่สาวทั้งสาม มันจึงรีบก้มหัวลง “องค์หญิง รู้จักเด็กชายอ้วนคนนี้ด้วยหรือ ?”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นพยักหน้า”อืม เขาเป็นคู่หูของเฉินเอ๋อ ข้าเคยเห็นเขาในอาณาจักรหลิวฮั่ว ปล่อยพวกเขาเข้าไปเถิด เราเองก็จะกลับไปด้วย”
“ขอรับองค์หญิง”
เพียงคำพูดของตี้เสี่ยวอวิ๋นมังกรที่ขวางทางอยู่ก็ผละจากทันที พลันหนทางข้างหน้าก็ไร้อุปสรรคอีกครั้ง
ความกดดันอย่างหนักหน่วงรอบๆ ตัวหวังตี้จวิน และลูก ๆ พลันสลายหายไปพร้อมกับการจากไปของมังกร …
“ตูม!”
ขณะที่ตี้เสี่ยวอวิ๋นกำลังจะเดินเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเสียงฟ้าร้อง และฟ้าผ่าก็ฟาดลงมาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงดังอึกทึกครึกโครม
ตี้เสี่ยวอวิ๋นผู้ซึ่งไม่ทันตั้งตัวก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นใบหน้าของนางเหยเกเกือบจะร้องไห้ “เกิดอะไรขึ้น ? ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถูกฟ้าผ่ากระนั้นหรือ ?”
ฉู่อีอี้รีบวิ่งออกมาจากด้านหลังตี้เสี่ยวอวิ๋นนางมองไปในระยะไกล ๆ ครั้นเห็นชัดว่าทิศทางที่ฟ้าผ่าพุ่งเป้าไปที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ นางก็ตกใจ
”ไม่…ฟ้าผ่าที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ทั้งไป๋หยานก็ยังอยู่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์ !”
นั่นมันฟ้าผ่านะฟ้าผ่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ยิ่งฟ้าผ่าร่าง มนุษย์คนไหนจะทานทนได้ มีแต่ร่างสลายไปเท่านั้นสิ !
ฉู่อีอี้รีบวิ่งไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ถ้อยคำของนางทำให้ตี้เสี่ยวอวิ๋น และหลานเสี่ยวหยุนตกใจ พวกนางไม่สนใจคนอื่น ๆ ต่างก็รีบวิ่งไปยังทางสู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ …
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีครอบครัวของหวังตี้จวินทั้งสามก็ตามมาหวังเสี่ยวผางที่เคยเดินหนึ่งก้าวหยุดสามก้าว ตอนนี้เขากำลังวิ่งด้วยความเร็วจี๋ ไปในทิศทางที่ตี้เสี่ยวอวิ๋น และคนอื่น ๆ หายตัวไป …
เพียงพริบตาทุกคนก็หายไปจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 1039 : ทะลุระดับเทพเจ้ากันเป็นกลุ่ม (2)
ตี้เสี่ยวอวิ๋นและคนที่เหลือต่างก็รีบไปที่เกาะศักดิ์สิทธิ์แต่ครั้นพวกนางไปถึงเกาะศักดิ์สิทธิ์ พวกนางก็ต้องตกตะลึงกับฉากตรงหน้า
ผู้คนนับไม่ถ้วนนั่งสมาธิอยู่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์อย่างใจจดใจจ่อกับการฝึกฝนไม่ไกลกันนักภายในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่แปรเปลี่ยนเป็นซากปรักหักพัง ไป๋หยานกำลังกลั่นยาเม็ดที่อยู่ในเตาหลอมตรงหน้า โดยใช้พลังอัคคีจากฝ่ามือของตน
สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังฟาดลงมาจากท้องฟ้าทว่ากลับไม่ส่งผลกระทบต่อนางเลย สายตาของนางยังคงจับจ้องมองเตาหลอมยาอย่างใจเย็น
“ท่านพ่อเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ ?”
ฉู่อีอี้กัดริมฝีปากด้วยความงงงวยขณะเอ่ยถาม
ครั้นเห็นฉู่อีอี้และสหายของนางกลับมาแล้วฉู่หรานก็รู้สึกโล่งใจ “ในเวลานั้นที่พลังลมปราณของเกาะศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไปก็เพราะแม่นางไป๋กลั่นยาเม็ดเทพเจ้านี้ ตอนนี้เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว เราจะได้ฝึกฝนไปพร้อมกัน”
ฉู่อีอี้ตกตะลึงในวันนั้น … เหตุที่ผู้คนจำนวนมากทะลุทะลวงระดับได้ เพียงเพราะไป๋หยานกลั่นยากระนั้นรึ ?
ทันใดนั้นเองสายตาของนางก็หันไปจับจ้องไป๋หยานที่กำลังปรุงยาอยู่ในห้องแววตาของนางส่องประกายขณะจ้องมองไป๋หยาน ไม่ต่างจากหมาป่าที่หิวโหย
“เสี่ยวหยุน…ไปฝึกเถอะ”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นที่สุดนางก็โล่งใจ นางยิ้มพลางกล่าวกับหลานเสี่ยวหยุนที่อยู่ด้านหลัง
”เจ้าไม่ไปฝึกด้วยกันหรือ?” หลานเสี่ยวหยุนหันหน้าไปถามอย่างสงสัย นางมองเด็กสาวที่แลดูบอบบางและสวยงาม
ตี้เสี่ยวอวิ๋นส่ายศีรษะ”ข้าไม่จำเป็นต้องฝึกฝนแล้ว ที่มีอยู่นี่ก็เพียงพอแล้วสำหรับข้า ข้าจะคอยดูพวกเจ้าอยู่ที่นี่ … ”
นางเป็นองค์หญิงแห่งแดนอสูรนางไม่จำเป็นต้องฝึกฝน ขอเพียงผนึกในร่างของนางแตกออก นางก็จะแข็งแกร่งมาก
”อืม”
หลานเสี่ยวหยุนรับคำพลางรีบหาสถานที่ลงนั่งขัดสมาธิและเริ่มโคจรพลัง
ในเวลาเดียวกันครอบครัวของหวังตี้จวินทั้งสามก็รีบวิ่งมาพวกเขาต่างก็ตกตะลึงเมื่อรับรู้ได้ถึงลมปราณอันแข็งแกร่ง
ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ฉู่หรานพูดเขาก็ลงนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบ ๆ และเริ่มดูดซับลมปราณพร้อมกับกลุ่มคนเหล่านี้ ….
การฝึกฝนนี้ใช้เวลาครึ่งเดือนและภายในครึ่งเดือนนี้ ความแข็งแกร่งของทุกคนก็ได้รับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้าอย่างสั่นสะท้านโลก
เริ่มจากอาจารย์ทั้งห้าของไป๋หยานได้บุกเข้าถึงระดับนักบุญทีละคน ๆ จากนั้น มังกรแก้ว ฮัวหลัว และหัวหน้าพรรคสัตว์อสูรก็บรรลุตามมาติด ๆ ที่ทำให้ไป๋หยานตกใจก็คือ แม้แต่เหวินหรู่เด็กหนุ่มผู้ดูแลห้องปรุงยาในหอบุปผาก็ทะลุไปถึงระดับนักบุญด้วย
นางรู้เพียงว่าเหวินหรู่มีพรสวรรค์ด้านการปรุงยาเช่นนั้นในวันนั้นนางจึงใช้เดิมพัน เพื่อให้เหวินหรู่ยอมศิโรราบ จากนั้นเมื่อหอบุปผาได้ก่อตั้งห้องปรุงยา นางจึงให้เหวินหรู่เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ
หากแต่นางไม่คาดคิดว่าพรสวรรค์ในการฝึกฝนของเหวินหรู่จะทรงพลังพอๆ กับการปรุงยา แม้เขาจะเคยอยู่รั้งท้ายแต่กลับมาถึงระดับนักบุญได้ …
ไป๋หยานลูบคางพลางครุ่นคิดสักพักก่อนที่นางจะรู้แจ้ง
เหวินหรู่ใช้พลังทั้งหมดไปกับการปรุงยาแน่นอนว่าเขาไม่สนใจด้านการฝึกฝนความแข็งแกร่ง จึงทำให้ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ทว่าตอนนี้เมื่อต้องฝึกฝนภายใต้การถูกบังคับเช่นนี้ จึงทำให้เขารุดหน้ายิ่งกว่าทุกคน …
ทว่าเป็นที่น่าเสียดายที่พลังลมปราณซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการกลั่นยาเทพเจ้านั้นหากใช้กับผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าระดับนักบุญก็จะไม่ได้ผลดีนัก เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาก้าวไปถึงระดับนักบุญโดยใช้เวลาเพียงครึ่งเดือน
แต่ครั้นไปถึงจุดสูงสุดของระดับนักบุญแล้วก็ไม่มีประโยชน์ใดอีก …
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ทำให้ไป๋หยานมีความคิดว่า หากมีส่วนประกอบทางยาเพียงพอที่จะใช้ปรุงยาเม็ดเทพเจ้า ก็ไม่เป็นการยากที่จะสร้างกองทัพระดับเทพ
”ท่านอาจารย์ทั้งห้าและผู้ที่บรรลุระดับนักบุญทั้งหมดเชิญก้าวออกมาด้านหน้า”
ครั้นอาจารย์ทั้งสามแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์และอาจารย์ทั้งสองจากตำหนักเซียนพยับหมอก ได้ยินคำพูดของไป๋หยาน พวกเขาก็ก้าวออกมาด้านหน้าสองก้าว พลางมองนางด้วยสายตางงงวย
ฮัวหลัวและคนอื่นๆ ต่างก็ลุกขึ้นยืนตรงหน้าไป๋หยานเพื่อรอรับคำสั่งของนาง
บทที่ 1040 : ทะลุระดับเทพเจ้ากันเป็นกลุ่ม (3)
เหวินหรู่ผู้เย่อหยิ่งและเจ้าชู้ไก่แจ้เสมอมา ยามนี้กลับไม่เข้ามาวุ่นวายกับไป๋หยาน มีเพียงความอยากรู้อยากเห็นสะท้อนอยู่ในแววตาที่สดใสของเขา
”ทุกคนยกเว้นคนกลุ่มนี้ให้ออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปรออยู่บนเขา”
ไป๋หยานไม่ได้หยิบยาเม็ดออกมาทันทีทว่าออกคำสั่งคนที่เหลืออย่างเย็นชา
ฉู่หรานย่อมเข้าใจว่าไป๋หยานต้องการทำสิ่งใด เขาไอแห้ง ๆ ในลำคอ ก่อนจะเอ่ยกล่าวว่า “ทุกคนตามข้ามา นับจากนี้ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีก”
“พี่สะใภ้…ข้าอยากอยู่ต่อ”
ครั้นตี้เสี่ยวอวิ๋นเห็นว่าไป๋หยานต้องการที่จะขับไล่นางมุมปากของนางพลันกระตุก นางกล่าวด้วยความน้อยใจ
ท่าทีของไป๋หยานอ่อนลงเล็กน้อย”เจ้าออกไปรอข้าด้านนอกก่อน หาไม่หากอยู่ที่นี่เจ้าอาจได้รับบาดเจ็บจากอัสนีบาตได้”
”ไม่”ตี้เสี่ยวอวิ๋นส่ายศีรษะ “ข้าไม่กลัวฟ้าผ่า พี่สะใภ้ให้ข้าอยู่เถอะ”
นัย์ตากลมโตสวยงามของนางจับจ้องมองไป๋หยานอย่างน่าสงสารมือเล็ก ๆ ของนางดึงรั้งแขนเสื้อของไป๋หยาน น้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนหวานนั้น ทำให้ไม่มีผู้ใดปฏิเสธคำขอของนางได้
นัยน์ตาของไป๋หยานหรี่ลงเล็กน้อยนางมองสำรวจตี้เสี่ยวอวิ๋น ทันใดนั้นม่านตาของนางก็หดตัวอย่างกะทันหัน ใบหน้าของนางพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
”ตกลงเจ้าอยู่ต่อได้”
หลังจากนั้นไม่นานไป๋หยานก็พยักหน้ารับ “เว้นแต่ตี้เสี่ยวอวิ๋นแล้ว ทุกคนที่ต่ำกว่าระดับนักบุญจงออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เสีย หาไม่ก็อย่าหาว่าข้าไม่ใส่ใจ หากเจ้าต้องมาตายที่นี่ก็อย่าโทษข้าที่ไม่กล่าวเตือนเจ้า”
สิ่งที่นางกล่าวออกมานั้นฟังดูจริงจังมากผู้คนที่ยังลังเลอยู่ต่างก็รีบออกจากเกาะศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว
ไม่นานบนเกาะศักดิ์สิทธิ์ก็เหลือเพียงผู้ที่เพิ่งทะลุระดับนักบุญกับตี้เสี่ยวอวิ๋นเท่านั้นที่คอยเฝ้าดูอยู่
”พวกเจ้าคงรู้แล้วว่าก่อนหน้านี้ได้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าผ่าฟ้าร้องในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งที่ข้าสามารถบอกพวกเจ้าได้ในตอนนี้ก็คือฟ้าร้องฟ้าผ่าเหล่านั้น … ” ไป๋หยานเว้นจังหวะก่อนจะกล่าวต่อ “เกิดขึ้นเมื่อพวกท่านตาของข้าทะลุระดับเทพเจ้า”
นี่เป็นทัณฑ์อัสนีบาตที่น่าหวาดหวั่นทำให้ทุกคนตกตะลึง
ครั้งที่เจิ้งฉีบอกว่าอัสนีบาตเกิดจากใครบางคนกำลังฝ่าด่านเทพเจ้า…
พวกเขาก็คิดว่าคนผู้นั้นคงจะเป็นไป๋หยาน
ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นไป๋ฉางเฟิ่งและคนอื่นๆ !
”ศิษย์รัก… ” ปากของเหรินอี้กระตุกสองสามครั้ง “ดูเหมือนข้าจะจำได้ว่าท่านเจ้าสำนักไป๋เพิ่งบรรลุระดับนักบุญไปนี่ ?”
ความหมายก็คือไป๋ฉางเฟิ่งเพิ่งบรรลุระดับนักบุญ เขาจะเข้าถึงระดับเทพอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร ?
ไป๋หยานนิ่งนางหยิบขวดยาออกมาสองสามขวด พลางยิ้มมุมปาก “เมื่อครู่นี้พวกท่านก็ได้เห็นผลกระทบจากการที่ข้าปรุงยาแล้ว ท่านตาและคนอื่น ๆ ต่างก็พึ่งยาเทพเจ้าเหล่านี้เพื่อทะลุทะลวงสู่ระดับเทพ”
เสียงของเหรินอี้สั่นสะท้าน”นี่เจ้าหมายความว่า พวกเราสามารถฝ่าด่านเทพเจ้าได้เช่นกันกระนั้นรึ ?”
”ใช่…ผู้ใดก็ตามที่ก้าวมาถึงระดับนักบุญย่อมสามารถทะลวงผ่านไปสู่ระดับเทพเจ้าได้โดยใช้ยาเม็ดเทพเจ้าหลังจากคนอื่น ๆ ออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว พวกท่านก็กินยาเม็ดนี้ได้”
ไป๋หยานแจกยาเม็ดให้แก่ทุกคนๆ ละเม็ด
ฮัวหลัวกำยาในมือแน่นนางเงยหน้าขึ้นจ้องมองไป๋หยาน พลางสะอื้นฮัก มีประกายน้ำชื้น ๆ ในดวงตาที่มีเสน่ห์ของนาง
ในวันนั้นนางได้รับบาดเจ็บสาหัส และได้รับการช่วยเหลือจากไป๋หยาน นางจึงมอบหอบุปผาให้ไป๋หยาน และสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อไป๋หยานชั่วชีวิต
หากแต่นางไม่คาดคิดเลยว่าวันหนึ่งนางจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งระดับเทพได้ !
นี่มันระดับเทพเลยนะ!
ในสายตาชาวโลกระดับเทพจัดได้ว่าเป็นตำนาน ผู้ใดจะเชื่อว่านางเองก็มีวันนี้