จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1076-1090
บทที่ 1076 : การตายของจุนห่าว (5)
เสียงดังปัง…พร้อมกับที่กำปั้นของชายชราจากแดนอสูรพุ่งเข้าปะทะหมัดเบื้องหน้า ชั่วขณะนั้นหมัดของเขาก็ระเบิดออก ระเบิดเป็นรูขนาดใหญ่บนอก พลันเลือดก็ไหลทะลัก
สายเสียแล้วที่ชายชราอีกสองคนจะหยุดการกระทำของชายชราจากแดนอสูรพวกเขาทำได้เพียงเฝ้าดูชายชราจากแดนอสูรกางกรงเล็บที่แหลมคมของตนออก เพียงไม่ช้าก็ฉีกหน้าท้องของพวกเขาพร้อมกับแหวะออก ส่งผลให้ลำไส้ของพวกเขาทะลักออกมากองบนพื้น …
ครั้นเห็นคนทั้งสามกลายเป็นกองเลือดเละเทะหัวใจที่หวั่นวิตกของหลิวชิงหยูพลันสงบลง ที่สุดนางก็ป้องหมัดให้ชายชรา “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ช่วยข้า”
“เจ้าบอกว่า…เจ้าเป็นข้ารับใช้ราชินีของพวกเราใช่หรือไม่?” ชายชราขมวดคิ้ว“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่โกหกหลอกลวงข้า หาไม่ข้าจะให้เจ้าได้พบสิ่งเลวร้ายยิ่งกว่าคนเหล่านี้อีก !”
หลิวชิงหยูพยักหน้า”ขอเพียงท่านผู้อาวุโสได้พบนายหญิง ท่านก็จะรู้ว่าข้าไม่ได้โกหก”
ทีท่าของชายชราค่อยๆ ผ่อนคลายลง “อย่าเรียกข้าว่า ผู้อาวุโส ข้าเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของแดนอสูร เจ้าต้องเรียกข้าว่าท่านผู้อาวุโสใหญ่ เอาล่ะ ครานี้บอกข้าหน่อยสิว่า เหตุใดคนพวกนี้ถึงไล่ล่าเจ้า ?”
หลิวชิงหยูตัวสั่นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ข้าเป็นบุตรสาวของเจ้าแดนวิญญาณแห่งอาณาจักรวิญญาณเมื่อไม่นานมานี้ข้าถูกนายหญิงบังคับให้กินยาพิษ เช่นนั้นข้าจึงต้องยอมศิโรราบให้เจ้านายของข้า ข้าจึงเป็นทาสรับใช้ของนายหญิง”
ในครั้งนั้นหลิวชิงหยูรู้สึกไม่พึงใจอย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้ขอเพียงนางสามารถทำลายอาณาจักรวิญญาณได้ ต่อให้นางต้องเป็นทาสรับใช้ นางก็พร้อมมอบกายถวายชีวิตด้วยความเต็มใจ
“อย่างไรก็ตามนายหญิงสั่งให้ข้ากลับไปยังอาณาจักรวิญญาณ ทั้งยังให้ข้าช่วยเป็นสายลับคอยติดตามชายผู้นั้น”
ชายผู้นั้นที่นางพูดถึงก็คือเหอเฟยเสียงสำหรับนางในเวลานี้ การเรียกเขาว่าพ่อเป็นเรื่องที่ทรมานใจมาก
“ทันทีที่ข้ารู้ว่าชายผู้นั้นจะมาจัดการกับแผ่นดินใหญ่ด้วยตนเองข้าจึงร่วมมือกับลุงจุนหมายจะไปที่แผ่นดินใหญ่ เพื่อแจ้งให้นายหญิงรับทราบ หากแต่ชายผู้นั้นล่วงรู้แผนการของเราเสียก่อน ลุงจุนยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องข้า ”
หลิวชิงหยูย่อตัวลงคุกเข่าต่อหน้าผู้อาวุโสใหญ่ร้องไห้น้ำตาไหลพราก”ท่านอาวุโสใหญ่ ช่วยพาข้าไปพบนายหญิงด้วยเถิด หากช้าไป ข้าเกรงว่าจะไม่ทันการ … ”
ผู้อาวุโสใหญ่ช่วยพยุงหลิวชิงหยูขึ้นจากพื้นด้วยท่าทางสงบ”ราชินีไม่ได้อยู่ในแดนอสูร ทั้งนางก็ไม่ได้อยู่บนแผ่นดินใหญ่ด้วย ยามนี้เจ้ายังไม่อาจที่จะพบนาง หากแต่เจ้าสามารถติดตามข้ากลับไปรอราชินีที่แดนอสูรได้”
แววตาของหลิวชิงหยูตื่นตระหนก”แล้วข้าจะทำเช่นไร กับเรื่องที่จะเกิดขึ้นบนแผ่นดินใหญ่ หากบิดาของข้ารู้ว่าข้าหนีรอดไปได้ เขาจะต้องรีบไปที่แผ่นดินใหญ่อย่างแน่นอน และหากเขาไปถึงแผ่นดินใหญ่ ที่นั่นย่อมจะกลายเป็นทะเลเลือด”
ผู้อาวุโสเงียบไปครู่”เจ้ากลับไปพร้อมข้าก่อน รอให้ข้ากลับไปที่แดนอสูรก่อนเถิด ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
”ได้”
หลิวชิงหยูกัดริมฝีปากแน่นตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้น
นอกจากนี้ญาติของไป๋หยานล้วนอยู่บนแผ่นดินใหญ่ อาณาจักรอสูรย่อมจะไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องผจญเรื่องร้ายตามลำพังเป็นแน่ !
ผู้อาวุโสใหญ่มองหลิวชิงหยูก่อนจะหันหลังกลับเดินไปที่ประตูแดนอสูร
หลิวชิงหยูกัดริมฝีปากพลางรีบสาวเท้าก้าวตามไป
แม้ว่าจะมีผู้คนรออยู่ที่ประตูแดนอสูรทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ขัดขวางใด ๆ เนื่องจากมีผู้อาวุโสใหญ่เดินนำมา เพียงไม่ช้าทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในวังแห่งอาณาจักรอสูร
ผู้อาวุโสใหญ่ให้หลิวชิงหยูไปพักผ่อนก่อนภายหลังจากหลิวชิงหยูผละจากไป เขาก็กระซิบสั่งผู้คุ้มกันข้าง ๆ เขาสองสามคำ
“จับตาดูนางให้ดี”
ถึงอย่างไรหญิงผู้นี้ก็เป็นคนของอาณาจักรวิญญาณมาก่อน ก่อนที่ไป๋หยานจะกลับมา เขาไม่อาจมั่นใจในตัวตนของนางได้
เฝ้าดูนาง…ระวังไว้หากมีสิ่งใดผิดปกติ
“ครับอาวุโสใหญ่”
ผู้คุ้มกันป้องหมัดพลางถอยกลับไป
ในขณะที่เขากำลังจะก้าวออกจากประตูน้ำเสียงเฉยเมยของผู้อาวุโสใหญ่ก็ดังขึ้นจากด้านหลังอีกครั้ง
บทที่ 1077 : การตายของจุนห่าว (6)
”ช้าก่อนเจ้าไปเชิญผู้อาวุโสทั้งหมดของเรามาพบข้าที่นี่ ข้ามีเรื่องที่จะต้องสนทนากับพวกเขา !”
”ขอรับ”
หลังจากตอบรับแล้วผู้คุ้มกันก็ถอยออกไป
จากนั้นไม่นานผู้อาวุโสทั้งหมดของอาณาจักรอสูรก็เดินผ่านประตูเข้ามา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ใบหน้าของพวกเขายังคงยิ้มแย้ม
“อาวุโสใหญ่เรียกพวกเรามาที่นี่มีธุระใดกับพวกเรากระนั้นหรือ ?”
ผู้อาวุโสใหญ่กวาดตามองทุกคนที่มาพร้อมเพรียงกันในที่นี้พลางถอนหายใจเบา ๆ “มีบางอย่างเกิดขึ้น”
ประโยคนี้ทำให้ผู้อาวุโสทั้งหมดตกใจสีหน้ายินดีของพวกเขามลายหายไปทันที
”ท่านอาวุโสใหญ่ทำให้พวกเรากลัวนะ หรือจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับแดนอสูร เป็นไปได้หรือไม่ว่าเผ่าเทพกำลังมาโจมตีพวกเรา”
ผู้อาวุโสเจ็ดเป็นคนที่กล้าหาญน้อยที่สุดทันทีที่เขาได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่พูด น้ำเสียงของเขาก็สั่นสะท้าน ร่างของเขาพลันสั่นระริก
“ไม่ใช่แดนอสูรหากแต่เป็นแผ่นดินใหญ่ว่ากันว่าเจ้าแดนวิญญาณตั้งใจจะกระทำการบางอย่างบนแผ่นดินใหญ่ และบรรดาญาติของราชินีก็อยู่บนแผ่นดินใหญ่ เช่นนั้นข้าจึงเรียกพวกเจ้ามาที่นี่ เพื่อเตรียมความพร้อม”
ผู้อาวุโสใหญ่หยุดก่อนจะกล่าวต่อว่า “จากนี้เราจะออกเดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่กัน !”
พวกเขาสามารถเพิกเฉยต่อชีวิตหรือความตายของผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ได้ ทว่าพวกเขาต้องดูแลเหล่าญาติของไป๋หยาน หาไม่หากราชาและราชินีเสด็จกลับมาพวกเขาอาจจะถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็เป็นได้ ?
”รับทราบ”
ผู้อาวุโสสี่เป็นคนแรกที่พูด”ผู้อาวุโสใหญ่ พวกเราจะออกเดินทางตอนนี้เลยหรือไม่ ?”
”ใช่…เดินทางตอนนี้เลย”
นัยน์ตาของผู้อาวุโสใหญ่มืดมนลงเล็กน้อยเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “อย่าให้องค์หญิงน้อยรู้เรื่องนี้ หาไม่องค์หญิงจะต้องขอติดตามพวกเราไปแผ่นดินใหญ่ด้วยอย่างแน่นอน ข้าไม่อาจปล่อยให้องค์หญิงต้องเผชิญกับอันตรายเช่นนี้ได้”
ความแข็งแกร่งขององค์หญิงยังไม่ฟื้นกลับมาดังเดิมตอนนี้แม้เพียงเล็กน้อยนางก็ไม่อาจช่วยได้ มีแต่จะเอาชีวิตไปทิ้งโดยเปล่าประโยชน์
เช่นนั้น…
เรื่องนี้ต้องไม่ให้นางรู้เด็ดขาด
ชั่วขณะนั้นเองใบหูของผู้อาวุโสใหญ่พลันกระดิก ราวกับว่าเขาสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง เขารีบเงยหน้าขึ้น แววตาของเขาดูมีความสุข
“อาวุโสใหญ่เกิดอะไรขึ้นอีกหรือ?”
ทุกคนไม่เข้าใจที่จู่ๆ อารมณ์ของผู้อาวุโสใหญ่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง จึงรีบเอ่ยถามกันออกมา
”ประตูแห่งดินแดนลับเปิดแล้วน่าที่จะเป็นองค์ราชา และพรรคพวก !”
ในแดนอสูรนี้นอกเหนือจากราชาที่สามารถเปิดประตูสู่ดินแดนลับได้ ก็มีเพียงราชครูกับเขาเท่านั้นที่ทำได้ ทว่าราชครูไม่ได้อยู่ในแดนอสูร
การเปิดประตูลับพิสูจน์ได้ว่าองค์ราชาเสด็จกลับมาแล้ว…
“เยี่ยมมากราชาเสด็จกลับมาแล้ว !”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็มีท่าทียินดีเช่นกัน หากราชาเสด็จกลับมา สิ่งที่คนในอาณาจักรวิญญาณปรารถนาจะทำย่อมไม่มีวันสำเร็จ
”พวกเจ้ามานี่!” ผู้อาวุโสใหญ่กระแอม เพื่อล้างลำคอ พลางสั่ง “พาแม่นางหลิวไปรอที่ห้องโถงด้านข้าง ไว้ข้าจะพบแม่นางหลิวในภายหลัง”
ผู้อาวุโสสี่ตะลึง”แม่นางคนนั้นเป็นใคร ?”
”บุตรสาวของคนที่อยู่ในอาณาจักรวิญญาณนางบอกว่า นางเป็นข้ารับใช้ของราชินี ข้าไม่เชื่อใจนางนัก เช่นนั้นจึงสั่งให้คนเฝ้าจับตาดูนางอย่างใกล้ชิด และรอให้ราชินียืนยันตัวตนของนาง”
ผู้อาวุโสใหญ่สะบัดแขนเสื้อ”ไปเถอะ…ไปรับเสด็จองค์ราชากับราชินี … ”
ผู้อาวุโสคนอื่นไม่ได้เอ่ยถามคำถามใดอีกต่างก็รีบวิ่งตามหลังผู้อาวุโสใหญ่ไปที่ประตูดินแดนลับ
ยามนี้บนหุบเขาปรากฏแสงสว่างไสว ประตูทองสำริดที่ปิดอยู่พลันเปิดออกพร้อมกับลำแสงที่ส่องตรงลงมา
จากนั้นภาพครอบครัวที่แสนงดงามสามคนก็ปรากฏต่อสายตาของทุกคน
ชายหนุ่มมากด้วยเสน่ห์ยากจะหาผู้ใดเทียบแลดูโดดเด่นอีกทั้งสง่างาม ในขณะที่สตรีผู้ซึ่งสวมอาภรณ์สีแดงสะกดโลก ในอ้อมแขนของนางคือเด็กน้อยน่ารักน่าเอ็นดูผิวสีชมพูนุ่มนิ่มราวกับหยกเนื้อดี นัยน์ตาของเขากลมโตสดใสราวกับดวงดารา รอยยิ้มไร้เดียงสาและสดใสบนใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาทำให้ผู้คนที่พบเห็นต่างรู้สึกทั้งรักทั้งเอ็นดู
”ยินดีต้อนรับองค์ราชา องค์ราชินี และองค์ชาย”
ผู้อาวุโสคุกเข่าลงบนพื้นเสียงแสดงความเคารพของพวกเขาดังก้องฟ้า
ตี้คังโบกมืออย่างเฉยเมย
ชั่วขณะนั้นราวกับว่ามีพลังบางอย่างรั้งร่างของพวกเขา กระทั่งทำให้พวกเขายืดตัวตรง
“เกิดอะไรขึ้นกับแดนอสูรในช่วงเวลาที่ราชาไม่อยู่?”
ผู้อาวุโสลังเลอยู่เพียงครู่ก่อนจะกล่าวว่า “หญิงสาวมีนามว่า หลิวชิงหยูมาที่นี่ นางอ้างว่าเป็นทาสรับใช้ของราชินี นางมาเพื่อขอเข้าเฝ้าราชินี”
”หลิวชิงหยูมาที่นี่งั้นหรือ?” ไป๋หยานตกใจ “เกิดอะไรขึ้นกับอาณาจักรวิญญาณ…ไปเจ้าพาข้าไปพบนางเดี๋ยวนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ…ราชินี”
ครั้นเห็นว่าหญิงสาวผู้นั้นรู้จักราชินีจริงผู้อาวุโสใหญ่จึงถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ เขาเกรงว่าจะช่วยคนผิดอีก หากราชา และราชินีผิดใจกันอีกครั้งก็นับเป็นความผิดของเขา
ไป๋หยานปล่อยมือไป๋เสี่ยวเฉินก่อนจะหันไปมองไปตี้คัง แล้วรีบไปยังพระราชวังอสูร
“เสือดาวน้อย…เจ้าไม่ต้องกลัวนะ”ไป๋เสี่ยวเฉินอยากจะติดตามไป แต่ครั้นเห็นเสือดาวตัวเล็กที่ขลาดกลัว เขาก็ยิ้มพลางจับมือไว้ “ข้าเป็นองค์ชายแห่งแดนอสูร อยู่กับข้าไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเจ้าหรอก”
เสือดาวน้อยพยักหน้าเขาคุ้นเคยกับการอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เล็ก ครั้นมาถึงแดนอสูรพร้อมกับเจอผู้คนมากมายอย่างกะทันหัน ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
“ไปกันเถอะข้าจะพาเจ้าไปเล่นกับท่านน้าหญิงวิหคอัคคี นางชอบเด็ก ๆ”
เว้นแต่ผู้อาวุโสใหญ่แล้วผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ยังไม่ได้ตามไปด้วย
ครั้นพวกเขาได้ยินว่าไป๋เสี่ยวเฉินต้องการพาเสือดาวไปหาวิหคอัคคีพวกเขาก็กลัวกระทั่งหน้าซีดหน้าเซียว พวกเขารีบร้องห้ามไว้
“องค์ชายไม่ควรเสด็จไปที่นั่น ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านวิหคอัคคีเกลียดคนภายนอก บางทีท่านวิหคอัคคีอาจทำร้ายพระสหายขององค์ชายได้ … ”
ไป๋เสี่ยวเฉินจีบปากจีบคอเล็กๆ เอ่ยกล่าว “ไม่มีทางท่านน้าหญิงวิหคอัคคีใจดีจะตาย นางจะต้องชอบเสือดาวน้อยแน่ เสือดาวน้อย…พวกเราไปกันเถอะ”
”อืม”
เสือดาวน้อยเดินตามไป๋เสี่ยวเฉินไปอย่างว่าง่าย
ในเมื่อไป๋เสี่ยวเฉินบอกว่าท่านน้าวิหคอัคคีจะไม่ทำร้ายเขาเขาก็เชื่อสนิทใจ …
เมื่อผู้อาวุโสเห็นว่าไป๋เสี่ยวเฉินไม่ฟังคำเตือนมุมปากของพวกเขาก็กระตุกสองสามครั้ง พวกเขาปาดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผาก ทว่าก็ทำได้เพียงแค่ปล่อยผ่านไป
จะห้ามองค์ชายน้อยเยี่ยงไรผู้ใดจะกล้า …?
ในห้องโถง…พระราชวัง
หลิวชิงหยูเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายสีหน้าของนางเต็มไปด้วยความวิตก ยามนี้นางเหงื่อออกชื้นด้วยความเป็นกังวล พลันเสียงฝีเท้าก็ดังมาจากนอกประตู
นางรีบหันหน้าไปมองชั่วขณะนั้นบุรุษ และสตรีคู่หนึ่งก็เดินผ่านประตูเข้ามา ภาพของทั้งสองพลันปรากฏต่อสายตานาง
บุรุษผู้นั้นหล่อเหลางดงามแลดูโดดเด่นเฉกเช่นเคย ส่วนสตรีที่อยู่เคียงข้างเขาก็งามสง่าน่าทึ่งไม่แพ้กัน
ภาพคู่สร้างคู่สมนี้สมบูรณ์แบบราวกับภาพวาดอันวิจิตร
”นายหญิง”
ฟุบ!
หลิวชิงหยูคุกเข่าลงกับพื้นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ไหล่ของนางสั่นสะท้านเล็กน้อย
“ที่สุดท่านก็กลับมา…”
ไป๋หยานมองหลิวชิงหยูผู้ซึ่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพลางเอ่ยถามว่า”เกิดอะไรขึ้น ?”
หลิวชิงหยูกัดริมฝีปากแน่น”ชายคนนั้นรีบไปที่แผ่นดินใหญ่แล้ว พร้อมกันนั้นเขาก็นำยอดฝีมือระดับเทพจำนวนมากจากอาณาจักรวิญญาณติดตามไปด้วย นายหญิงหากท่านไม่รีบไป ข้าเกรงว่าจะสายเกินไป … ”
”ว่าไงนะ?”
ไป๋หยานตัวสั่นนางเซถอยหลังไปสองสามก้าว
โชคดีที่ตี้คังคว้าไหล่ของนางไว้ได้ทันทำให้นางไม่ล้มลงกับพื้น
บทที่ 1078 : การตายของจุนห่าว (7)
หลังจากนั้นไม่นานนักไป๋หยานก็สูดลมหายใจเข้าลึก เมื่อได้ยินการสรุปข่าวที่น่าตกใจนั้น
”ตี้คัง…ข้าต้องกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
”ได้สิข้าจะกลับไปพร้อมเจ้า”
ตี้คังตอบเบาๆ
นัยน์ตาเรียวคมของเขาแสดงเจตนาสังหารทั้งน้ำเสียงของเขาก็เย็นยะเยือก “อาณาจักรวิญญาณกล้าที่จะโจมตีพ่อตาของข้า รวมถึงญาติคนอื่น ๆ ด้วยเช่นนั้นจึงไม่จำเป็นต้องละเว้นอาณาจักรวิญญาณนี้แล้ว”
“ท่านกล่าวถูกต้องอาณาจักรวิญญาณไม่จำเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไปแล้ว… ”
ไป๋หยานยกยิ้มอย่างเย็นชานางกำหมัดแน่น
ในขณะนี้ผู้อาวุโสอีกหลายคนก็รีบเข้ามายืนอยู่ข้างหลังพวกเขาด้วยความเคารพ
“ผู้อาวุโสใหญ่”ไป๋หยานสั่งอย่างเย็นชา “ท่านพาคนอื่น ๆ ในแดนอสูรของเราบุกอาณาจักรวิญญาณ หากผู้ใดเต็มใจยอมทำสัญญาทาสกับเราก็ละเว้นชีวิต หากผู้ใดไม่เต็มใจที่จะยอมจำนนก็อย่าได้เก็บไว้ !
แดนวิญญาณหากเจ้ากล้าที่จะทำเจ้าก็ต้องเตรียมรับผลที่จะตามมา !
“นอกจากนี้ยาเทพเจ้าที่ข้าปรุงก็สามารถทำให้เหล่าผู้อาวุโสเลื่อนขั้นเป็นยอดฝีมือระดับเทพได้”
ปรุง… ปรุงยาเม็ดเทพเจ้า ?
ผู้อาวุโสใหญ่สะดุ้ง”ยาเม็ดเทพเจ้าคืออะไร ?”
“ยาเม็ดเทพเจ้าสามารถทำให้ผู้ที่อยู่เหนือระดับนักบุญสามารถทะลุขึ้นไปสู่ระดับเทพได้โดยไม่ต้องเสียเวลาฝึกฝน”
หลังจากที่ไป๋หยานกล่าวจบนางก็ต้องการที่จะหันหลังกลับและผละจากไป ทว่า จู่ ๆ เสียงของหลิวชิงหยูก็ดังขึ้น
“หากท่านต้องการไปอาณาจักรวิญญาณได้โปรดพาข้าไปด้วยจะได้หรือไม่ ?”
ไป๋หยานหยุดชะงักทว่ายังไม่กล่าวคำใด
หลิวชิงหยูกัดฟันเอ่ยกล่าวต่อว่า “ลุงจุนตายแล้ว เขายอมสละชีวิตเพื่อปกป้องข้า เขาช่วยให้ข้าหนีออกมาจากอาณาจักรวิญญาณ ข้าต้องการล้างแค้นให้ลุงจุน !
”ได้”ไป๋หยานครุ่นคิดเพียงครู่ ก่อนจะกวาดตามองเหล่าผู้อาวุโส “ยามที่พวกเจ้าไปอาณาจักรวิญญาณก็ให้พานางไปด้วย”
ไป๋หยานไม่คาดคิดว่าจุนห่าวจะตายไปแล้ว
แม้ว่าจะเคยโต้เถียงกันหากแต่นางก็ไม่เคยรู้สึกไม่ดีต่อชายชราผู้นั้น
อีกทั้ง…
ความตายของชายชรายังน่าที่จะเกี่ยวข้องกับนาง
หลิวชิงหยูและจุนห่าวต้องพยายามแจ้งเรื่องนี้ให้นางทราบอย่างแน่นอนทว่าเหอเฟยเสียงกลับรู้เรื่องนี้โดยบังเอิญ จุนห่าวจึงยอมตายเพื่อส่งหลิวชิงหยูออกมา
แน่นอนว่านางย่อมต้องการที่จะตอบสนองความต้องการครั้งนี้ของหลิวชิงหยู …
“ตี้คังเราไปกันเถิด”
หลังจากจบประโยคนี้แล้วไป๋หยานก็เดินออกจากห้องโถงด้านข้างโดยไม่หันกลับมามองอีก …
เมื่อไป๋หยานและคนอื่นๆ จากไป ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็กลับคืนสู่ความสงบสุข
ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ยังคงไม่ละเลยการฝึกฝน พวกเขาต่างตกอยู่ในความเครียด เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คนในอาณาจักรวิญญาณจะกลับมาตามเข่นฆ่าพวกเขาอีก
วันนี้จู่ ๆ มังกรยักษ์ก็พุ่งตัวลงมาจากยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับส่งเสียงร้องคำรามดังลั่น กระทั่งทุกคนที่กำลังฝีกฝนบำเพ็ญตบะเกิดอาการกระวนกระวายใจ ต่างผลักประตูออกมาดูอย่างรวดเร็ว
“ไม่ดีเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว ! คนในแดนวิญญาณกลับมาที่นี่อีกครั้งแล้ว ทุกคนรีบซ่อนตัวเร็วเข้า !”
ทันทีที่ถ้อยคำของมังกรจบลงสัตว์อสูรที่ออกลาดตระเวนบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ก็รีบผ่านเข้าประตูดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว เพื่อหาที่หลบซ่อนตัว
สัตว์อสูรก็กลัวความตายเฉกเช่นกันแรงกดดันจากคนในอาณาจักรวิญญาณ ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในกรณีนี้พวกมันจะไม่ยอมตายอย่างไร้ประโยชน์อย่างแน่นอน! พวกมันต้องรีบหาที่หลบซ่อน !
ฉู่หรานตกใจ“มากันกี่คน ?”
”ประมาณยี่สิบกว่าคน”
ยี่สิบกระนั้นรึ? โชคดีที่จำนวนคนไม่มากนัก ยังพอมีโอกาสรับมือได้
”แต่…” มังกรยักษ์เอ่ยกล่าวอย่างกังวล “คนพวกนั้นแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งกว่าพวกที่มาครั้งที่แล้วมากนัก !”
“กระไรนะ?”
ฉู่หรานตกใจจนตัวสั่น”เจ้าหมายถึงทั้งยี่สิบกว่าคนนั่นอยู่ในระดับเทพทั้งหมดเลยกระนั้นหรือ ?”
บทที่ 1079 : การตายของจุนห่าว (8)
มังกรพยักหน้าลำคอของมันเต็มไปด้วยความขมขื่น มีเหล่ายอดฝีมือระดับเทพมากมาย พวกเขาจะต้านทานได้อย่างไร ? แม้ว่าจะมีปรมาจารย์เสี่ยวมี่ และปรมาจารย์ชิงอี้ ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจหยุดการโจมตีของยอดฝีมือระดับเทพจำนวนมากถึงเพียงนั้นได้
ฉู่หรานเงียบไปชั่วขณะเขาหันหน้าไปมองไป๋ฉางเฟิ่ง และคนอื่น ๆ พลางกล่าวว่า “ในเมื่อเราเองก็อยู่ระดับเทพ เราก็ต้องแบกรับเรื่องนี้ไว้เอง ต่อไปเราจะต้องต่อต้านศัตรูเหล่านั้น ตราบเท่าที่เรายังคงอยู่ จนกว่าหยานเอ๋อจะกลับมา…”
บางทีเมื่อไป๋หยานกลับมาถึงพวกเขาอาจยังรอดชีวิตอยู่
”ดี”
ไป๋ฉางเฟิ่งเหลือบมองคนข้างหลังพลางกล่าว”พวกเจ้าทุกคนรออยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามที พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากที่นี่ !”
หลังจากจบถ้อยคำเหล่านี้เขาก็ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังประตูดินแดนศักดิ์สิทธิ์ …
เสี่ยวมี่ส่ายหัว”ชิงอี้…เจ้าตามข้ามา เราจะไปสกัดคนพวกนั้นด้วยกัน”
ชิงอี้กระโดดขึ้นยืนบนหลังของเสี่ยวมี่โดยไม่กล่าวคำใด
ทันใดนั้นเสี่ยวมี่ก็เปลี่ยนเป็นสายลมแรงพัดไปที่ประตู
พวกเขาทั้งหมดรวดเร็วมากเพียงพริบตาพวกเขาก็หายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน…
ณประตูดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ยามสองคนที่เฝ้าประตูยังคงยืนตัวสั่นงันงก แม้จะหวาดกลัว ทว่าเมื่อไม่ได้รับคำสั่งจากฉู่หรานพวกเขาก็ไม่กล้าละทิ้งสถานที่แห่งนี้
ชั่วขณะนี้เมื่อยามทั้งสองหันหน้ามา พวกเขาก็เห็นฉู่หรานและกลุ่มคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
ไม่รู้ว่ากลัวกระทั่งเห็นภาพลวงตาหรือไม่ ? ทว่าครั้นเห็นสีหน้าของผู้ที่กำลังมาแล้ว พวกเขาก็รู้สึกว่าพวกฉู่หรานกำลังเผขิญหน้ากับความตาย
“ประมุขท่านประมุข … ” ยามอุทานเสียงสั่นสะท้าน
ฉู่หรานพยักหน้าเอ่ยกล่าวว่า “พวกเจ้าไปได้ จำไว้…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้มาปรากฏตัวที่นี่อีก”
”ขอรับ”
ราวกับถูกนิรโทษกรรมยามทั้งสองรีบบ่ายหน้าวิ่งไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ราวกับจะกลัวว่าพวกเขาจะตายเสียที่นี่ หากวิ่งช้าเกินไป
ครั้นเห็นทุกคนจากไปแล้วฉู่หรานก็แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามเช้าตรู่ เอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มบิดเบี้ยว “ข้าไม่เคยคิดว่าพวกเราจะมีวันที่ต้องมาต่อสู้ร่วมกัน … ”
“ฮ่าฮ่า…ข้าเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าเหวินหวู่เหว่ยกับข้าจะกลายเป็นญาติกัน”ไป๋ฉางเฟิ่งหัวเราะ “แม้ว่าข้าจะไม่พอใจตาเฒ่าคนนี้มาก ทว่าตอนนี้เขาก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดเชย หากหนิงเอ๋อกลับมา การได้หยุนเฟิงเป็นเขยก็ไม่เลวนะ”
บางทีอาจจะเป็นเพราะวิกฤติถึงตายทำให้เขาพูดจาดี ในตอนนี้ไป๋ฉางเฟิ่งลืมความบาดหมางที่มีกับเหวินหวู่เหว่ยในอดีตไปแล้ว น้ำเสียงของเขาปรากฏร่องรอยความเสียใจเจืออยู่
เหวินหวู่เหว่ยเหลือบมองไป๋ฉางเฟิ่งพลางถอนหายใจเบา ๆ “หนิงเอ๋อจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน หยุนเฟิงเองก็ยังรอนางเสมอ ไม่ช้าก็เร็ว … นางจะต้องกลับมาที่นี่ !”
เมื่อคำกล่าวเหล่านี้จบลงเหวินหวู่เหว่ยก็หันมาจ้องมองจุนเทียนเยว่อีกคน แววตาของเขาอ่อนโยนลง “เยว่เอ๋อ…เจ้ากลัวหรือไม่ ?”
จุนเทียนเยว่ส่ายหน้า”ข้าไม่กลัว ข้าเพียงเป็นห่วงหยุนเฟิงและน้องชายของเขา ก็ยังดีที่อาณาจักรวิญญาณกำหนดเป้าหมายมาที่เรา เช่นนี้ก็คงไม่เป็นไร เพราะตอนนี้หยุนเฟิงก็ได้ออกจากที่นี่ไปแล้ว แต่หากอาณาจักรวิญญาณต้องการฆ่าล้างแผ่นดินใหญ่อีกครั้ง ข้าเกรงว่าเขาเองก็อาจจะมีอันตรายเช่นกัน … ”
เหวินหวู่เหว่ยต้องการกล่าวปลอบใจจุนเทียนเยว่สักสองสามคำทว่าเขาก็ไม่รู้จะกล่าวอย่างไร ?
หัวใจของเขายังเต็มไปด้วยความกังวล
เปรียบเทียบกับฮัวหลัวและคนอื่นๆ แล้วคนที่เหลือกลับไม่ได้กล่าวคำใดเลย พวกเขาเพียงแต่รอคอยการมาถึงของอาณาจักรวิญญาณที่แข็งแกร่งนั้นอย่างเงียบ ๆ
บางทีผ่านพ้นวันนี้ไปอาจจะไม่มีหอบุปผา ไม่มีพรรคสัตว์อสูรในโลกนี้อีกต่อไป ทว่าพวกเขาก็ไม่เคยนึกเสียใจเลยที่ติดตามไป๋หยาน
ทันใดนั้นกลิ่นอายหนักหน่วงนับไม่ถ้วนก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ภายใต้กลิ่นอายอันทรงพลังเหล่านั้น สีหน้าของไป๋ฉางเฟิ่งและคนอื่น ๆ พลันเปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่อยู่ไม่ไกลนักพร้อม ๆ กัน …
บทที่ 1080 : การตายของจุนห่าว (9)
บนอากาศว่างเปล่ามีร่างมากกว่ายี่สิบร่างยืนประจันหน้ากับสายลม
ที่อยู่หน้ากลุ่มคนเหล่านั้นคือเหอเฟยเสียง
บนท้องฟ้าสีครามปกคลุมไปด้วยเมฆดำกลิ่นอายกดดันของพวกเขามากมายท่วมท้น
“เขาอยู่ในระดับเทพขั้นกลาง!”
ใบหน้าของชิงอี้เปลี่ยนไปอย่างมาก
“เทพขั้นกลางแล้วไง?” ไป๋ฉางเฟิ่งหันหน้าไปมองชิงอี้ด้วยความสับสนพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
”ตัวอย่างเช่นท่านที่ก้าวเข้าสู่ระดับเทพ ก็คือเทพระดับต้น จากนั้นก็มีเทพระดับกลาง เทพระดับสูง เทพระดับปกครอง และเทพเจ้าแท้จริง”
ไป๋ฉางเฟิ่งและคนอื่นๆ ผงะเล็กน้อย พวกเขาไม่คาดคิดว่าระดับเทพจะมีขั้นมากมายถึงเพียงนี้ และที่ชิงอี้กล่าวถึงระดับขั้นความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นก็สูงกว่าพวกเขามาก ?
การต่อสู้กันในสนามยุทธ์ที่ต้องข้ามขั้นถึงเพียงนี้จะเป็นเช่นไร?
พวกเขาไม่มีโอกาสชนะเลย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะไม่มีโอกาสชนะอย่างน้อยก็ต้องประวิงเวลา!
“เจ้าเป็นคนสังหารบุตรชายของข้าใช่หรือไม่?” เหอเฟยเสียงมองผู้คนที่อยู่ด้านล่างตาจ้องเขม็ง เขาหรี่ตาเล็กน้อยเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่โหดเหี้ยม
เสี่ยวมี่สะบัดร่างอันใหญ่โตของมันพลางลุกขึ้นยืน “ข้าสังหารบุตรชายของเจ้าเองแล้วไง ? ก็ไอ้สารเลวนั่นกล้ารังแกญาติของนายข้า เขาสมควรตายแล้ว !”
ตูม!
เหอเฟยเสียงโกรธจัดแรงกดดันไม่ต่างกับภูเขาลูกใหญ่กดทับเสี่ยวมี่
ภายใต้กลิ่นอายอันหนักหน่วงนี้เสี่ยวมี่รู้สึกเพียงว่ากระดูกของเขาแทบแหลกสลาย เขากัดฟันแน่น ทุกครั้งที่เขาเกือบจะทรุดหมอบลงกับพื้น เขาก็พยายามหยัดกายขึ้นมา …
“เสี่ยวมี่!”
ชิงอี้ตกใจมากนางรีบก้าวไปยืนข้างกายเสี่ยวมี่ พลางโอบกอดร่างของมันไว้
นางจ้องมองบนท้องฟ้ามองไปที่เหอเฟยเสียงในชุดเสื้อคลุมสีขาว
”ฮึ่ม!” เหอเฟยเสียงตะคอกอย่างเย็นชา “บุตรชายของข้า ทำอะไรผิดนัก ? เจ้าถึงได้คร่าชีวิตของเขาโดยไร้สิ้นสำนึก ! วันนี้ข้าจะล้างแค้นให้บุตรชายของข้า !”
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เหอเฟยเสียงไม่คาดคิดก็คือมียอดฝีมือระดับเทพมากมายในดินแดนแห่งนี้ ไม่น่าแปลกใจที่บุตรชายของเขาจะต้องมาจบชีวิตที่นี่
ดูเหมือนว่าในครั้งนั้นเขาจะประเมินที่นี่ต่ำไปมากมิเช่นนั้นเขาจะไม่มีวันส่งบุตรชายของตนเองให้ต้องมาจบชีวิตที่นี่
“บุตรชายของเจ้าเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมากหนำซ้ำยังต้องการสังหารคนทั้งแผ่นดิน เขาไม่ผิดงั้นหรือ ?”
ชิงอี้หัวเราะเยาะเสียงหัวเราะของนางเต็มไปด้วยความขบขัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เหอเฟยเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเสียงหัวเราะที่ราวกับบ้าคลั่งนั้น ดังก้องไปทั่วทุกมุมของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่เป็นเวลานาน
“ชีวิตของพวกมดเหล่านั้นคู่ควรนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตของบุตรชายข้ากระนั้นรึ? เป็นคำสั่งของข้าเองที่ให้บุตรชายของข้ามาฆ่าล้างแผ่นดินใหญ่นี่ เขาไม่ได้ทำสิ่งใดผิด !
ชีวิตของคนเหล่านี้สมควรถูกเปรียบเทียบกับชีวิตของบุตรชายเขางั้นรึ? แม้ว่าผู้คนทั้งแผ่นดินนี้จะตายสิ้น ก็หาเทียบได้ไม่กับชีวิตบุตรชายของเขา !
”เจ้าแดนวิญญาณ”ชายชราที่อยู่ข้างหลังเขา ป้องหมัด เอ่ยกล่าวกับเหอเฟยเสียงว่า “ข้ารู้สึกว่าคนพวกนี้ต้องการถ่วงเวลา เราไม่จำเป็นต้องเจรจาไร้สาระกับพวกเขา เพียงฆ่าพวกเขาให้สิ้นก็พอ”
เหอเฟยเสียงพยักหน้าอย่างเฉยเมยนัยน์ตาแดงก่ำราวกับเลือดของเขากวาดมองทุกคนที่อยู่ณ ที่นั้น
”วันนี้…ข้าเหอเฟยเสียงจะสังหารคนทั้งแผ่นดินนี้และใช้เลือดของทุกคนบนแผ่นดินนี้เซ่นสังเวยให้กับบุตรชายของข้า !”
ทันทีที่ถ้อยคำของเหอเฟยเสียงจบลงกลุ่มยอดฝีมือระดับเทพที่อยู่เบื้องหลังเขาก็พลันขยับตัว …
ฉู่หรานเห็นว่าการต่อสู้คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แน่เขาสูดลมหายใจเข้าลึก พลางดึงดาบยาวออกจากเอวของตนอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาราวกับสายลมพุ่งเข้าหากลุ่มของเจ้าแดนวิญญาณทันที
สายลมกระโชกแรงฝุ่นธุลีปลิวว่อน