จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1096-1100
บทที่ 1096 : ก่อนสงคราม (6)
ประกายแสงเย็นยะเยียบกระพริบไปทั่วนัยน์ตาของหยุนรั่วซีนางค่อย ๆ หันมองโดยรอบ ก่อนจะไปหยุดลงที่สาวใช้ตัวเตี้ย ซึ่งอยู่ข้างกายนาง พลันกลิ่นอายของความรังเกียจก็เพิ่มขึ้นในแววตาของนาง
เดิมทีสาวใช้คนนี้ติดตามหญิงผู้นั้นหากแต่นางบังคับแย่งชิงสาวใช้คนนี้มา เช่นนั้นทุกครั้งที่นางเห็นหน้าสาวใช้ นางจึงอดไม่ได้ที่จะอารมณ์เสีย
“ตามข้ากลับไป!”
แววตาของนางเย็นชาลงขณะตวาดอย่างรุนแรง
สาวใช้คอหดเมื่อได้เห็นแววตาที่ดุร้ายของหยุนรั่วซี นางรู้ดีว่า เมื่อกลับไปนางจะต้องถูกทุบตีอย่างแน่นอน
เป็นแบบนี้มาหลายพันปีกระทั่งนางชินเสียแล้ว …
หยุนรั่วซีนั้นสวยงามและใจดีเสมอในสายตาของคนนอก เช่นนั้นแม้ว่าสาวใช้ของนางจะปรากฏตัวพร้อมรอยแผลเป็น ก็จะไม่มีผู้ใดสงสัยว่าหยุนรั่วซีเป็นผู้กระทำ
ณเกาะศักดิ์สิทธิ์
ในบ้านไม้หลังเล็กๆ ไป๋หยานนอนอยู่ในอ้อมแขนของตี้คัง แสงแดดสาดส่องเข้ามาจากลานนอกบ้านจับต้องบนใบหน้าที่งดงามของนาง
คิ้วของนางขมวดเป็นปมเผยให้เห็นความเจ็บปวดบนใบหน้าที่งดงาม
ในความฝัน
ภายใต้ท้องฟ้าสลัวไป๋หยานยืนอยู่เชิงเขา สีหน้าของนางมึนงง นางมองภาพฉากที่คุ้นเคยด้วยความประหลาดใจ
นับตั้งแต่นางร่วมห้องกับตี้คังเป็นต้นมานางก็ไม่เคยเห็นภาพจากชีวิตก่อนหน้านี้อีกเลย ทว่าตอนนี้ไม่รู้ว่า ด้วยเหตุใด นางจึงเห็นภาพในจินตนาการนั้นอีกครั้ง …
ในภาพนั้นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีรูปลักษณ์งดงามราวกับแกะสลักด้วยหยกสีชมพู นางกำลังพยุงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อีกคนด้วยความยากลำบาก พาเดินไปข้างหน้าด้วยความอดทน
“สถานที่แห่งนี้น่าจะปลอดภัยทั้งจะไม่มีผู้ร้ายไล่ติดตามมาอีก” เด็กหญิงตัวเล็กถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะหยิบยาออกมา และกำลังจะป้อนให้เด็กหญิงที่อยู่ข้างกาย
ครั้นเห็นภาพฉากนี้หัวใจของไป๋หยานพลันรู้สึกหวิวไหว นางรีบก้าวไปข้างหน้าพยายามฉกฉวยขวดยาจากมือของเด็กหญิงตัวน้อย
“ไม่อย่าช่วยนาง อย่าช่วยนาง !”
น้ำเสียงของไป๋หยานสั่นระริกอาจจะเป็นความรู้สึกที่ซุกซ่อนไว้ลึก ๆ ในใจ นางเชื่อตลอดมาว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีอายุไล่เลี่ยกันที่นางช่วยชีวิตไว้จะคอยปองร้ายนางตลอด
ทว่าน่าเสียดาย…
มือของไป๋หยานเคลื่อนผ่านขวดยาราวเคลื่อนผ่านอากาศธาตุ
ใช่…นางไม่ได้อยู่ในสถานที่แห่งนี้ทั้งไม่สามารถหยุดยั้งสิ่งใด ๆ ได้
เด็กหญิงตัวเล็กๆ กินยา พลันใบหน้าของนางก็ค่อย ๆ ดีขึ้น นางเปิดนัยน์ตากลมโตสีฟ้าที่สวยงามของนาง พลางจ้องมองเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อีกคนที่อยู่เบื้องหน้านาง
“ไป๋เอ๋อขอบใจเจ้าที่ช่วยข้าอีกครั้ง”
แววตาของเด็กหญิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาและสดใส “เราต่างก็ช่วยเหลือจุนเจือกันมานานหลายปีแล้ว เป็นการสมควรแล้วที่ข้าจะต้องช่วยเจ้า หากแต่เจ้าก็ไม่น่าจะได้รับบาดเจ็บมากมายถึงเพียงนี้”
นางขมวดคิ้วอย่างน่ารักพลางครุ่นคิดก่อนจะถอดเครื่องรางออกจากตัว ส่งให้เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อีกคน
เครื่องรางนี้อยู่ในรูปจันทราแลดูสวยงามมากนางยัดเครื่องรางลงในมือของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ พลางกล่าวว่า “เสี่ยวรั่วซี เครื่องรางนี้อยู่กับข้ามาตั้งแต่เกิด ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะใช้งานมันยังไง แต่ … มันก็ปกป้องข้าหลายต่อหลายครั้งแล้ว และตอนนี้ข้าขอมอบมันให้กับเจ้า”
ไป๋หยานยืนอยู่ข้างกายเด็กน้อยทั้งสองครั้นเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ มอบเครื่องรางให้คนอื่น หัวใจของนางก็สั่นไหวมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ให้สิ่งนี้กับคนอื่นไม่ได้นะ!”
“อะไร?”
จู่ๆ เด็กหญิงก็เงยหน้าขึ้น นางหันมองโดยรอบด้วยความสับสน “เจ้าได้ยินเสียงใครพูดกับข้าบ้างหรือไม่ ?”
เสี่ยวรั่วซีส่ายศีรษะ“ไม่…อาจเป็นภาพลวงตาของเจ้า … “
“ก็อาจเป็นเช่นนั้น”
บทที่ 1097 : ก่อนสงคราม (7)
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเด็กหญิงตัวเล็กนางช่วยพยุงเสี่ยวรั่วซีขึ้นจากพื้น “ที่นี่ยังค่อนข้างไม่ปลอดภัย เราเดินทางกันต่อเถอะ”
ครั้นเห็นว่าเด็กทั้งสองกำลังจะจากไปไป๋หยานก็เป็นกังวล นางวางแผนที่จะติดตามไป ทว่าชั่วขณะนั้นเองก็มีเสียงเรียกเบา ๆ เข้าหูของนาง
“หยานเอ๋อ… ”
เสียงเข้ามาในหูของนางทำให้นางตื่นจากการหลับใหล
ครั้นนางลืมตาใบหน้าที่งาม ไร้ที่ติพลันปรากฏต่อสายตา ชั่วขณะนี้ชายหนุ่มกำลังจ้องมองนางด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย
“หยานเอ๋อเป็นอะไรไปรึ? เหตุใดสีหน้าของเจ้าจึงแลดูไม่ดีเลยล่ะ ?”
ไป๋หยานสะดุ้งนางลูบใบหน้า เพียงเพื่อจะพบว่าแก้มของนางเย็นเฉียบ อีกทั้งใบหน้าของนางก็น่าเกลียดมาก
“ตี้คังข้าได้เห็นภาพชีวิตในชาติภพก่อนอีกแล้ว … ”
เดิมทีนางไม่รู้ว่าสนามรบนองเลือดนั้นคือสิ่งใด หากแต่เป็นเพราะนางเห็นมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว นางจึงเข้าใจได้ว่าทุกครั้งที่เห็น นั่นคือชาติภพก่อนของนาง
นางไม่รู้ว่าในชีวิตก่อนหน้าของนางนางเคยพบเจอสิ่งใดมาบ้าง เหตุใดนางจึงมีความแค้นอันใหญ่หลวงนัก
ตี้คังกระชับกอดรอบเอวของไป๋หยานแน่น
“สิ่งที่ข้าเห็นในครั้งนี้คือเด็กน้อยเพื่อนสนิทตัวเล็ก ๆ สองคน จากบทสนทนาของพวกนาง ข้าเห็นชัดว่า พวกนางสนิทสนมพึ่งพาอาศัยกัน และกันมานานหลายปี หากแต่ข้าไม่รู้ว่าไยข้าถึงเกลียดเด็กอีกคนมาก ?”
เรียกได้ว่าเป็นความเกลียดชังชนิดฝังเข้ากระดูกดำ
“เช่นนั้นข้าขอเดาว่านางอาจทำอะไรให้ข้าเสียใจ” ไป๋หยานหันศีรษะไปมองตี้คัง
แววตาของนางสดใสกว่าที่เคยทั้งยิ่งพร่างพราวกว่าดวงดาวบนฟ้าเสียอีก
ตี้คังกอดร่างของไป๋หยานแน่นขึ้น“อย่าคิดมากเลย ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าเป็นแน่ !”
ไป๋หยานลดสายตาลงพลางเอนตัวซุกกายในอ้อมกอดของตี้คัง ราวกับว่าอยู่ในอ้อมแขนของเขาแล้ว นางรู้สึกสบายใจ
จากนั้นไม่นานนางก็กล่าวเบาๆ ว่า “อืม … “
ไม่ว่าชาติภพก่อนจะเกิดอะไรขึ้นนางรู้เพียงว่าชั่วชีวิตนี้ขอแค่ได้อยู่กับเขาก็พอแล้ว …
บนเกาะศักดิ์สิทธิ์ไป๋เสี่ยวเฉินกำลังนั่งอยู่ริมทะเลสาบ เท้าเล็ก ๆ ของเขาห้อยลงบนพื้นผิวน้ำทะเลสาบ ทำให้น้ำที่เคยสงบแต่เดิมเกิดการไหวกระเพื่อม
“เสด็จพี่…”
ไม่รู้ว่าเสี่ยวหลงเอ๋อปรากฏตัวขึ้นข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?นางนั่งลงข้าง ๆ เขา พลางมองไป๋เสี่ยวเฉินด้วยดวงตาที่แสนสดใสพร้อมเอ่ยถามว่า “พี่กำลังทำอะไรอยู่ ?”
“น้องหลงเอ๋อหม่ามี้ และป๊ะป๋าของข้ากำลังจะเริ่มโจมตีอาณาจักรสวรรค์แล้ว” ไป๋เสี่ยวเฉินส่ายศีรษะ ใบหน้าของเขาแลดูล้ำลึกไม่เข้ากับอายุของเขาเลย
“เมื่อถึงตอนนั้นข้าอาจจะต้องไปกับพ่อแม่ข้า ทั้งข้าก็จะต้องปกป้องน้องสาวตัวน้อยในท้องหม่ามี้อีกด้วย เจ้ากลับไปรอพวกเราที่แดนอสูรจะได้หรือไม่ ?”
“ทำไมล่ะ?” เสี่ยวหลงเอ๋อกระพริบนัยน์ตากลมโตอย่างไม่เข้าใจ “ข้าอยากไปกับเจ้าด้วย ข้าไม่อยากกลับไปแดนอสูรนี่”
“เสี่ยวหลงเอ๋อ…เรื่องนี้อันตรายเกินไปด้วยนิสัยของหม่ามี้ข้า นางย่อมไม่อยากให้เจ้าเข้าร่วมสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้แน่” ไป๋เสี่ยวเฉินกล่าวด้วยใบหน้าบึ้งตึง “เช่นนั้น…เจ้าควรเชื่อฟังข้า กลับไปรอที่แดนอสูรซะ”
เสี่ยวหลงเอ๋อก้มหัวลงพร้อมกับหยุดพูด นัยน์ตากลมโตของนางกลอกไปมา นางจะลอบตามพวกเขาไป ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองแน่
แน่นอนว่าไป๋เสี่ยวเฉินไม่ทันสังเกตเห็นความคิดในใจของเสี่ยวหลงเอ๋อเขาลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หันไปมองบุรุษรูปงาม และสตรีสาวสวยที่เดินมาจากด้านหลัง
“ป๊ะป๋าวายร้ายหม่ามี้”
“เฉินเอ๋อเสี่ยวหลงเอ๋อ พวกเจ้าเตรียมตัวได้แล้ว หลังจากที่ร่ำลาท่านตาทวดและคนอื่น ๆ เรียบร้อย พวกเราจะออกเดินทางกลับแดนอสูรกัน”
ไป๋หยานเลิกคิ้วพลางเอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
บทที่ 1098 : ก่อนสงคราม (8)
“ได้เลย”
ไป๋เสี่ยวเฉินวิ่งเข้าไปหาไป๋หยานพลางจับมือของนางพร้อมกับยิ้มให้อย่างไร้เดียงสา
“หม่ามี้ไปบอกลาท่านตาทวดกับท่านตาเสียตอนนี้เลย”
ไป๋หยานลูบศีรษะไป๋เสี่ยวเฉินพลางยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปมองตี้คัง “เราไปกันเถอะ”
ตี้คังพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ
การอำลาไป๋ฉางเฟิ่งและคนอื่นๆ เป็นไปอย่างเรียบง่าย แม้พวกเขาจะลังเลเมื่อต้องแยกทางกับไป๋หยาน หากแต่พวกเขาก็รู้ว่านางมีเรื่องสำคัญกว่าที่จะต้องกระทำ
เช่นนั้นพวกเขาต้องไม่ขวางนาง
ทันทีที่ไป๋หยานก้าวออกมาจากห้องของไป๋ฉางเฟิ่งใบหน้าหล่อเหลาก็ผ่านเข้ามาในคลองสายตาของนาง หยุดฝีเท้าของนางไว้
ชายผู้นั้นหล่อเหลาอย่างหาตัวจับได้ยากทั้งยังอ่อนโยนราวกับสายลมบางเบา
“ตี้คัง…ข้าต้องการคุยกับเขาท่านช่วยพาเฉินเอ๋อและเสี่ยวหลงเอ๋อไปรอข้าที่ด้านหน้าจะได้หรือไม่ ?”
สายตาของไป๋หยานยังคงจับจ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าทว่าถ้อยคำของนางเจาะจงบอกกล่าวคนที่อยู่ข้าง ๆ
ตี้คังขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองฉู่อี้เฟิงอย่างระมัดระวัง เขาลดสายตาลง พลางกระซิบข้างหูของนาง
“ได้…ข้าจะไปรอเจ้าข้างนอก”
ตี้คังดึงไป๋เสี่ยวเฉินออกจากข้างกายไป๋หยานจากนั้นก็นำตัวเด็กน้อยทั้งสองไปรอด้านหน้า
หลังจากร่างของพวกเขาลับหายไปจากสายตาไป๋หยานก็หันมามองฉู่อี้เฟิงอีกครั้ง
บรรยากาศเงียบลงชั่วขณะสายลมพัดผ่านระหว่างคนทั้งสอง ทำให้นัยน์ตาของไป๋หยานงงงวยเล็กน้อย ราวกับว่าพวกเขาได้หวนคืนกลับไปอยู่ในช่วงเวลาที่พวกเขาพบกันครั้งแรก
ที่สุดก็เป็นนางที่ทำลายบรรยากาศแปลก ๆ นี้ลง
“อี้เฟิงหลายวันที่ผ่านมานี้ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง …?”
ฉู่อี้เฟิงยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มของเขาราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิเช่นเคย
“ตราบใดที่ข้ายังได้พบเจอเจ้าข้าก็รู้สึกสบายดีเสมอ”
ตราบใดที่ข้ายังได้พบเจอเจ้าข้าก็รู้สึกสบายดีเสมอ …
หัวใจของไป๋หยานสั่นสะท้าน“อี้เฟิง…เหตุใดท่านถึงได้ทำเช่นนี้ ข้าแต่งงานแล้วไม่เพียงแต่มีเฉินเอ๋อ ทว่าข้ายังท้องอีกด้วย ท่าน … “
“หยานเอ๋อข้าเข้าใจดี แม้ว่าข้าจะมอบทุกอย่างให้เจ้า เจ้าก็ไม่มีวันหวนกลับมาหาข้า เช่นนั้นข้าจะไม่บังคับเจ้า ข้าเพียงขอมองดูเจ้าไปเรื่อย ๆ เช่นนี้ ข้าก็พอใจแล้ว”
ฉู่อี้เฟิงยกยิ้มยามนี้รอยยิ้มของเขาทั้งเศร้าทั้งขมขื่น ซึ่งนั่นทำให้หัวใจของไป๋หยานแทบทนไม่ได้
น่าเสียดายที่ตี้คังได้ครอบครองพื้นที่ในหัวใจของนางไปแล้วและนางก็ไม่อาจมีใจให้บุคคลที่สองได้อีกต่อไป …
แม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นฉู่อี้เฟิงที่อยู่กับนางมานานหลายปีก็ตามที
“ชั่วชีวิตนี้…ผู้ที่ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจที่สุดก็คือท่าน”
เขาทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อนางทว่านางก็ยังไม่อาจหวั่นไหวไปกับเขาเลย
บางทีนางและตี้คังอาจถูกลิขิตไว้แล้วนับแต่ครั้งบรรพกาลทำให้นางไม่สามารถตกหลุมรักใครอื่นได้นอกจากเขา
เช่นนั้นนางจึงรู้สึกผิดเล็กๆ ต่อฉู่อี้เฟิง
“หยานเอ๋อเจ้าไม่ต้องละอายต่อข้า ข้าเคารพการตัดสินของเจ้า…” ฉู่อี้เฟิง ยังคงยืนนิ่งท่ามกลางสายลม สายลมโบกสะบัดเสื้อผ้าของเขาปลิวไสว ช่างหล่อเหลาราวกับเทพบุตร
“บางทีชาติที่แล้วอาจเป็นข้าที่ติดค้างเจ้าเช่นนั้นในชีวิตนี้ ข้าจึงต้องชดเชยให้เจ้า”
บางทีชาติที่แล้วอาจเป็นข้าที่ติดค้างเจ้าเช่นนั้นในชีวิตนี้ ข้าจึงต้องชดเชยให้เจ้า …
ไป๋หยานสะดุ้ง
ชั่วขณะนั้นใบหน้าของคนอีกผู้หนึ่งพลันปรากฏขึ้นในความคิดของนาง
ใบหน้านั้นเหมือนกับฉู่อี้เฟิงทุกประการแตกต่างก็เพียง ฉู่อี้เฟิงมีเรือนผมสีดำราวกับน้ำหมึก หากแต่เรือนผมของคนผู้นั้นสีขาวราวใยไหม
“อี้เฟิง…เมื่อไม่นานมานี้ข้าเคยพบชายผู้หนึ่ง เขามีชื่อว่าเฟิงลี่เฉิน เขาแลดูคล้ายกับท่านมาก มากจนแทบจะเรียกได้ว่าพิมพ์เดียวกัน ท่านพอจะรู้จักเขาหรือไม่ ?”
บทที่ 1099 : ก่อนสงคราม (9)
ฉู่อี้เฟิงขมวดคิ้วมุ่นเขาครุ่นคิดอยู่เพียงครู่ ก่อนจะส่ายศีรษะเอ่ยกล่าวว่า : “ข้าไม่รู้จัก ข้าไม่เคยได้ยินนามนี้มาก่อน ?”
“จริงหรือ…? “ ไป๋หยานถอนหายใจเบา ๆ “เช่นนั้นอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ ท่านกับเขามีความคล้ายคลึงกันมากเหลือเกิน ข้าเลยคิดว่าท่านอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเขา”
บางทีนางอาจจะคิดมากเกินไปในโลกนี้อาจมีคนที่หน้าตาเหมือนกันได้
“อี้เฟิง…”ไป๋หยานก้าวช้า ๆ เข้าไปหาฉู่อี้เฟิง พลางยกยิ้มน้อย ๆ “ไม่ว่าอย่างไรท่านก็เป็นพ่อบุญธรรมของเฉินเอ๋อ ทั้งยังเป็นพี่ชายของข้า ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งเนื้อคู่ของท่านจะต้องปรากฏตัว อย่าเอาแต่มองตามข้าเลย”
ตอนนี้นางไม่มีคำขออื่นใดแล้วหวังเพียงว่า ฉู่อี้เฟิงจะตัดใจจากนางแล้วออกไปตามหาเวลาแห่งความสุขของตนเองบ้าง
ฉู่อี้เฟิงจ้องมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของไป๋หยานแล้วเขาก็หัวเราะ
“อืม”
นับแต่วันที่ข้ารู้จักเจ้าข้าก็ไม่เคยปฏิเสธคำขอของเจ้าได้เลย ? ขอเพียงเจ้าร้องขอ ข้าก็จะตกปากรับคำเจ้าเสมอ …
ติดก็เพียงว่าสำหรับเรื่องนี้นั้นข้าเกรงว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่อาจทำให้เจ้าได้เท่านั้น
รอยยิ้มของฉู่อี้เฟิงเต็มไปด้วยความขมขื่นเมื่อเขาได้พบหญิงผู้นี้ เขาก็ไม่สามารถยอมรับหญิงใดได้อีกต่อไป
ไป๋หยานยิ้มนางตบไหล่ฉู่อี้เฟิง
“นี่ก็สายมากแล้วข้าควรจะไปหาตี้คังได้แล้ว อย่าทำให้ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นห่วงท่านนักเลย … เขาเป็นบิดาที่ดีมากนะ”
หลังจากกล่าวจบนางก็แสดงทีท่าอำลาฉู่อี้เฟิง จากนั้นก็บ่ายหน้าไปยังสถานที่ที่ซึ่งตี้คังและเด็ก ๆ กำลังรออยู่
นางรู้ว่าเป็นเรื่องยากที่ฉู่อี้เฟิงจะปล่อยวางหากแต่นางเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะถอดใจจากนาง เพื่อไปไล่ตามความสุขของตัวเองได้ !
นี่คือ…ความใฝ่ฝันตลอดชีวิตของนาง
น่าเสียดายที่สิ่งนี้ไม่เคยเป็นเช่นที่นางหวังชะตาชีวิตช่างโหดร้ายเกินไปสำหรับฉู่อี้เฟิง …
นางทำได้เพียงรอให้เขาปล่อยวางนางอยากให้เขาได้สานสัมพันธ์กับหญิงอื่นบ้าง
ไป๋หยานเดินไปที่ประตูและพบตี้คังกำลังรอนางอยู่ นางยิ้มเล็กน้อย ขณะเดินเข้าไปหาเขา
“จบแล้วหรือ”ตี้คังมองไป๋หยานผู้ซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาเขาพร้อมรอยยิ้ม
ไป๋หยานยักไหล่“สิ่งใดที่ข้าควรพูด ข้าก็ได้พูดไปหมดแล้ว จากนี้ก็ขึ้นกับว่าเขาจะปล่อยวางได้หรือไม่ ทว่า…เหตุใดครานี้ท่านไม่ห้ามข้าไม่ให้คุยกับเขาเพียงลำพังล่ะ ?”
ตี้คังโอบไป๋หยานเข้ามาสู่อ้อมแขนพลางใช้นิ้วของเขาลูบเรือนผมดำสลวยราวแพรไหมของนาง เขาคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ตอนนี้…เจ้าเป็นชายาของราชาไม่มีผู้ใดสามารถเอาตัวเจ้าไปได้อีก !”
เดิมทีสาเหตุที่เขาเป็นศัตรูกับฉู่อี้เฟิงนั้นเป็นเพราะไป๋หยานไม่ยอมรับเขา หากแต่นางกลับให้ความใกล้ชิดสนิทสนมกับฉู่อี้เฟิงมากกว่า
ทว่าในตอนนี้…
ไป๋หยานเป็นชายาของเขาแล้วหากฉู่อี้เฟิงสามารถช่วงชิงตัวนางไปได้ เขาก็คงชิงนางไปนานแล้ว คงไม่รั้งรอกระทั่งถึงตอนนี้หรอกใช่หรือไม่ ?
“ไปกันเถอะกลับไปที่แดนอสูรกัน เรายังคงต้องคิดเกี่ยวกับแผนการระยะยาวที่จะโจมตีแดนสวรรค์อีก”
ไป๋หยานยิ้ม
ก่อนจากไปนางยังเหลียวมองย้อนกลับไปยังทิศทางที่นางเพิ่งจากมา แววตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล …
หากจะบอกว่านางไม่มีความรู้สึกใดต่อฉู่อี้เฟิงเลยก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ หลังจากหลายปีที่คบกัน ชายผู้นั้นมีความสำคัญเทียบเท่ากับญาติสนิทในใจของนาง
อย่างไรก็ตามนางก็ไม่สามารถตกหลุมรักเขาได้
ตอนนี้ฉู่อี้เฟิงยังคงไม่อาจปล่อยวางจากนางจะไม่ให้นางกังวลใจได้อย่างไร ? หากแต่ตอนนี้นางไม่สามารถพูดอะไรกับฉู่อี้เฟิงได้มากนัก เพราะเกรงว่านางจะ … ทำให้เขาเข้าใจผิดไปอีก
“หม่ามี้”ไป๋เสี่ยวเฉินดึงแขนเสื้อของไป๋หยาน “พ่อบุญธรรมเป็นยังไงบ้าง ?”
ไป๋หยานลดสายตาลงพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของไป๋เสี่ยวเฉิน “พ่อบุญธรรมของเจ้าจะสบายดีไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
บทที่ 1100 : ก่อนสงคราม (10)
“อ้อ”
ไป๋เสี่ยวเฉินลดศีรษะลงพลางงุ้มปากเล็กน้อย
เสียดายที่หม่ามี้มีแค่คนเดียวและนางก็เป็นของป๊ะป๋าเขาไปแล้ว…พ่อบุญธรรมเลยไม่มีโอกาสอีก
น่าเสียดายก่อนหน้านี้เขาเองก็ยังอยากให้พ่อบุญธรรมของเขาเป็นพ่อเลี้ยงด้วยซ้ำ
“ไป๋เสี่ยวเฉิน!”
ตี้คังสังเกตเห็นใบหน้าเล็กๆ ของไป๋เสี่ยวเฉินแล้ว ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นหม่นดำ “เจ้าคิดว่าน่าเสียดายที่เขาไม่ใช่บิดาของเจ้าใช่หรือไม่ ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินทำหน้าตาบูดบึ้งใส่ตี้คังก่อนจะไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังไป๋หยาน
เขาไม่มีวันบอกป๊ะป๋าวายร้ายว่าเขารู้สึกสงสารพ่อบุญธรรมของเขาหรอกหาไม่จะเกิดอะไรขึ้น หากวายร้ายนี่ไม่ให้เขาเลี้ยงดูน้องสาวเล่า ?
หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วไป๋เสี่ยวเฉินก็ยังคงรู้สึกว่าแม่และน้องสาวของเขาสำคัญที่สุดอยู่ดี
พระราชวังอสูร
ผู้อาวุโสใหญ่ยืนอยู่ในสวนมือข้างหนึ่งของเขาไพล่หลัง ขณะมองท้องฟ้าสีเลือด ทันใดนั้นเองเงาร่างที่คุ้นเคยของคนสองสามคนพลันปรากฏต่อสายตาของเขา ทำให้นัยน์ตาของเขาสดใสขึ้นทันที
“ราชาราชินี องค์ชาย องค์หญิงเสี่ยวหลง พวกท่านกลับมาแล้วหรือ ?”
สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่แสดงชัดถึงความสุข และตื่นเต้นยินดี
ตี้คังกับไป๋หยานร่อนลงมาจากอากาศว่างเปล่าลงมายืนเบื้องหน้าผู้อาวุโสใหญ่
“ผู้ที่ข้าให้เจ้าจัดการเป็นเช่นไรบ้าง?”
คนเหล่านั้นที่ตี้คังกล่าวถึงก็คือสัตว์อสูรระดับเทพที่ออกมาจากดินแดนลับ
“กราบทูลราชา…กระหม่อมได้จัดคนที่ทรงรับสั่งถึงให้ไปประจำอยู่ที่เมืองชายแดนแล้วพวกเราสามารถโจมตีแดนสวรรค์ได้ทุกเมื่อ”
ผู้อาวุโสใหญ่ยกยิ้มขณะกล่าวอย่างช้า ๆ
“อืม”ตี้คังพยักหน้าอย่างเฉยชา “ราชครูกลับมาหรือยัง ?”
“เอ่อ…”ผู้อาวุโสใหญ่สะดุ้ง ก่อนจะตอบตามความเป็นจริง “ท่านราชครูยังไม่กลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้แล้วเจ้าไปก่อนเถอะ ไปรวบรวมผู้คนในแดนอสูร ที่อยู่เหนือระดับเทพมา ให้พวกเขาติดตามราชาองค์นี้ไปยังเมืองชายแดน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ผู้อาวุโสใหญ่เพียงรับคำสั่งก่อนจะผละจากไป จากนั้นเสียงอ่อนโยนของไป๋เสี่ยวเฉินก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“อาวุโสใหญ่…เสือดาวน้อยเป็นไงบ้าง?”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ผู้อาวุโสใหญ่ก็หยุดก้าว เขาหันหน้ามาป้องหมัดให้ไป๋เสี่ยวเฉิน “กราบทูลองค์ชาย กระหม่อมได้ส่งสาวใช้หลายคนไปดูแลเสือดาวน้อยแล้ว เขาสบายดี องค์ชายสบายพระทัยได้”
“ก็ดีแล้ว”
ไป๋เสี่ยวเฉินถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเอ่ยกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผู้อาวุโสใหญ่ เสือดาวน้อยเป็นเพื่อนที่ดี ที่ข้าได้พบในดินแดนลับ ทั้งเขายังเคยช่วยชีวิตข้าไว้ ท่านต้องหาคนไปดูแลเขาอย่างดี และอย่าปล่อยให้ผู้ใดรังแกเขาได้ด้วย”
“ไม่ต้องห่วงองค์ชายจะไม่มีผู้ใดรังแกเสือดาวน้อยได้หรอก”
“เอาล่ะเช่นนั้นข้าก็สบายใจ ไปทำงานที่ป๊ะป๋าสั่งเถอะ”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินขณะที่เอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ก ๆ
ผู้อาวุโสใหญ่ป้องหมัดอีกครั้งจากนั้นก็ถอยไปด้านหลัง
นับจากที่ไป๋หยานให้เหล่าผู้อาวุโสกินยาเทพเจ้าเข้าไปความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสเหล่านี้ก็ทะลุทะลวงไปถึงระดับเทพขั้นต้น ยิ่งควบคู่ไปกับการฝึกฝนอย่างไม่ละเลยในช่วงเวลาที่ผ่านมา พวกเขาก็ยิ่งพัฒนาความแข็งแกร่งสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
เพียงเวลาไม่นานร่างของเหล่าผู้อาวุโสก็มาปรากฏเบื้องหน้าสายตาของไป๋หยาน
นางเงยหน้าขึ้นน้อยๆ ขณะใช้นิ้วลูบคาง “ไม่จำเป็นต้องให้คนจำนวนมากไปที่เมืองชายแดน แดนอสูรนี้ยังต้องการคนคอยปกป้อง นอกจากนี้ผู้อาวุโสสี่ยังต้องอยู่ เพื่อส่งคนไปช่วยหาวัตถุดิบปรุงยาให้ข้าด้วย”
“เพคะ…ราชินี”
ผู้อาวุโสสี่ลดสายตาลงเอ่ยตอบด้วยความเคารพ
“นอกเหนือจากผู้อาวุโสใหญ่ผู้อาวุโสสามและผู้อาวุโสห้าแล้ว ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ให้รั้งอยู่ในอาณาจักรอสูร หากไม่มียอดฝีมือระดับเทพขั้นต้นคอยดูแลปกป้องอยู่ที่นี่เลย เกิดอาณาจักรสวรรค์ยกพลเข้ามาโจมตีเรา เราอาจเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“รับคำสั่งราชินี”
ผู้อาวุโสทุกคนต่างคุกเข่าลงกับพื้นเสียงแสดงความเคารพของพวกเขาดังก้องไปทั่วหล้า
“พี่สะใภ้พี่สะใภ้ !