จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1131 -1135
บทที่ 1131 : ฝ่ายอาณาจักรสวรรค์ (1)
”ตี้คังอย่าเพิ่งลงมือ ข้ามีบางอย่างอยากจะถามนาง” ไป๋หยานยกมุมริมฝีปากของนางขึ้นอย่างแผ่วเบา พลางเดินช้า ๆ ไปข้างหน้าสองก้าว นางจับจ้องมองร่างหญิงผู้นั้นไม่วางตา
แม้ตี้คังจะไม่รู้ว่าไป๋หยานต้องการทำสิ่งใดหากแต่เขาก็หยุดการกระทำทุกอย่าง อย่างไรก็ตามกลิ่นอายเย็นเยือกบนร่างของเขายังคงไม่ลดลง ทั้งเจตนาสังหารก็ยังอบอวลอยู่ในอากาศ
“ตอนนี้…เจ้าอายุเกือบห้าสิบหรือหกสิบปีแล้วใช่หรือไม่?”
ไป๋หยานเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
ในบรรดาผู้ฝึกฝนการรักษารูปลักษณ์ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่บางคนไม่เต็มใจที่จะเสียเวลา เพื่อปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้อ่อนเยาว์
เช่นนั้นแม้ว่าหญิงผู้นี้จะดูเหมือนอายุยี่สิบแต่แท้จริงแล้วนางอายุหกสิบกว่าแล้ว
”ไม่เลว”
หญิงผู้นั้นเม้มริมฝีปากอย่างภาคภูมิใจแม้แต่ในแดนสวรรค์ หากผู้ใดสามารถบุกทะลวงเข้าสู่ระดับเทพได้ก่อนอายุหกสิบปีก็จัดได้ว่าเป็นอัจฉริยะมากแล้ว เกรงว่าแม้จะผ่านเวลานับร้อยปีอาณาจักรสวรรค์ทั้งหมดก็จะไม่ได้พบคนเก่งอย่างนาง
ดังนั้นนางจึงภูมิใจในความสามารถและอายุที่เยาว์วัยของนางมาโดยตลอด
“ในเมื่อเจ้าเข้าถึงระดับเทพได้ตอนอายุหกสิบเจ้าจะกล่าวว่าข้าเป็นขยะจะถูกต้องได้อย่างไร ?” เสียงของไป๋หยานดังและทรงอำนาจ สีหน้าของนางเปลี่ยนจากที่เฉยเมยเมื่อครู่ กลายเป็นเย็นชา “ข้าเริ่มฝึกฝนตอนอายุสิบห้าปี ตอนนี้ข้าเข้าถึงระดับเทพขั้นต้นโดยใช้ระยะเวลาเพียงเจ็ดปี ขณะที่เจ้าใช้เวลามากกว่า 50 ปีในการฝ่าฟันกว่าจะได้ฐานะที่เจ้าภาคภูมิใจได้น่ะนะ ?”
ทุกถ้อยคำของไป๋หยานเสมือนคลื่นที่โหมกระหน่ำสาดซัดเข้าใส่ฝูงชน
ใบหน้าของหญิงสาวแปรเปลี่ยนไปแววตาของนางแสดงถึงความไม่พอใจนางกำลังจะพูด หากแต่กลับถูกเสียงเย้ยเยาะของไป๋หยานขัดจังหวะเสียก่อน
”ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าหลายคนก็เข้าถึงระดับเทพขั้นต้นก่อนอายุสามสิบอีกไม่นานพวกเขาก็จะทะลวงเข้าสู่เทพชั้นสูง เจ้ามีพรสวรรค์เพียงแค่นี้ ยังกล้าภาคภูมิใจอีกงั้นหรือ ?”
เจ้าสามารถดูถูกข้าว่าเป็นขยะได้แต่ไม่อาจดูถูกแดนอสูรได้ !
นางจะไม่ยอมให้ผู้ใดมองว่าราชินีแห่งแดนอสูรเป็นขยะที่ไร้ประโยชน์
ถ้อยคำของหญิงจากแดนสวรรค์สร้างความหงุดหงิดให้กับสัตว์อสูรที่อยู่ณ ประตูเมือง ดวงตาที่โกรธเกรี้ยวคู่หนึ่งพลันหันมาที่นางพร้อมประกายแสงที่โหดร้าย
“ชายาของข้าเป็นสตรีเพียงผู้เดียวในโลกนี้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะยืนอยู่ข้างข้า”
ตี้คังลงมือ
เขารวดเร็วมากเพียงพริบตาเขาก็ปรากฏตัวต่อหน้าหญิงจากแดนสวรรค์ สายลมพัดกระโชกรอบตัวเขา หลังจากรับรู้ถึงกระแสลม สีหน้าของหญิงผู้นั้นพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เจ้าก็อยู่ระดับเทพขั้นสูงด้วยงั้นหรือ?”
น่าเสียดายจริงๆ ที่ชายผู้นี้มาอยู่กับนางขยะ
ใช่…ในตอนนี้ความคิดของนาง ผู้ใดก็ตามที่มีความแข็งแกร่งต่ำกว่านางก็เป็นได้เพียงขยะ
“ราชินี…จะทรงทำกระไรพ่ะย่ะค่ะ?”
เดิมทีผู้อาวุโสใหญ่ได้แต่เฝ้าดูการต่อสู้หากแต่ชั่วขณะนั้นเขาก็เห็นไป๋หยานวางก้อนหินลงบนพื้น ในใจเขาจึงเกิดความสงสัย
ไป๋หยานยกยิ้มน้ำเสียงของนางมั่นคงขึ้น ยามนี้แววตาของนางลุกโชน ทว่าน้ำเสียงกลับยังราบเรียบ
”ข้าเพียงอยากให้ทุกคนรู้ว่าภรรยาของตี้คังไม่ใช่ขยะ”
จะเป็นอย่างไรหากนางไม่สามารถเอาชนะผู้ที่มารุกรานได้ ?
การจัดการกับคนเหล่านี้นางไม่จำเป็นต้องอาศัยพละกำลังรุนแรง
”นี่… ” ผู้อาวุโสใหญ่ผงะนัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “นี่มัน…ค่ายกลมิใช่หรือ ?”
ราชินีสามารถสร้างค่ายกลได้ด้วยกระนั้นรึ?
ไป๋หยานเพิกเฉยต่อท่าทางตกตะลึงของผู้อาวุโสใหญ่นางยังคงเขย่าก้อนหินในมือของนางอย่างจริงจัง จากนั้นก็หยิบพู่กันแต้มชาดออกมาเขียน และวาดลงบนพื้น
หลังจากนั้นไม่นานไป๋หยานก็ถอยหลังไปสองสามก้าว นางเช็ดหยาดเหงื่อออกจากหน้าผาก ขณะมองตี้คังที่อยู่ข้างหน้า
ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีม่วงต่อสู้ได้อย่างน่าอัศจรรย์การโจมตีของเขารุนแรงมาก ทั้งกลิ่นอายของเขาก็เย็นยะเยือก กระทั่งบริเวณโดยรอบประตูเมืองทั้งหมดมืดมนราวตกอยู่ในขุมนรก
บทที่ 1132 : ฝ่ายอาณาจักรสวรรค์ (2)
สัตว์อสูรที่อยู่โดยรอบต่างก็กระจัดกระจายออกเป็นสองแถวสองฟากพื้นด้านหน้าของพวกเขากลับกลายเป็นพื้นดินที่ไหม้เกรียมดำสนิท
เห็นได้ชัดว่าหญิงผู้นั้นแข็งแกร่งไม่เท่าตี้คังทั้งนางก็รับมือเขาอย่างยากลำบาก ใบหน้าของนางซีดเซียว เหงื่อเย็นไหลลงมาจากหน้าผาก
“ตี้คัง!”
จู่ๆ เสียงเรียกเบา ๆ ก็ดังมาจากด้านหลัง
ครั้นตี้คังหันหน้าไปมองเขาก็เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของไป๋หยาน
”ส่งพลังของท่านมาที่ค่ายกลของข้าจากนั้นก็โยนนางเข้ามาในค่ายกล”
ตี้คังไม่มีรีรอเขารีบอ้อมไปด้านหลังของหญิงผู้นั้นจากนั้นก็เตะนางทันที ร่างของหญิงผู้นั้นพลันลอยละลิ่วไปตกลงในใจกลางค่ายกล
ในเวลาเดียวกันตี้คังก็มาหยุดที่ด้านข้างของค่ายกล เขาถ่ายเทลมปราณจากร่างลงสู่ค่ายกล ส่งผลให้ค่ายกลที่เคยมืดสลัวพลันแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีแดงลุกโชติช่วงขึ้นทันที
”อะไร!”
ครั้นแสงสีแดงลุกโชนขึ้นสตรีในค่ายกลก็หวีดร้องโหยหวน
เสียงร้องนี้โหยหวนรุนแรงมากราวกับถูกทรมานอย่างโหดร้าย
…
ทุกคนต่างรู้สึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าว!
ความเจ็บปวดนี้เสียดแทงถึงไขกระดูกส่งผลให้ร่างของหญิงนางนั้นสั่นสะท้าน
นางลุกขึ้นจากพื้นพยายามรีบวิ่งหนีออกจากค่ายกลอย่างบ้าคลั่งทว่าเบื้องหน้าของนางกลับเป็นกำแพงโปร่งใส ทันทีที่กระแทกเข้ากับกำแพงโปร่งใสนางถึงกับกระดอนถอยหลัง
”ปล่อยข้าออกไปปล่อยข้าออกไป !” นัยน์ตาของนางเป็นสีแดงก่ำ นางกระแทกร่างใส่กำแพงไม่หยุด
ทว่าทำอย่างไรกำแพงนั้นก็ไม่แตกนางจึงไม่สามารถหลบหนีจากค่ายกลได้ ยามนี้ร่างของนางเต็มไปด้วยรอยแผล
ผู้อาวุโสใหญ่มองไป๋หยานด้วยความประหลาดใจ”ราชินี…นี่พระองค์สามารถใช้ค่ายกลดักจับระดับเทพชั้นสูงได้กระนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ?”
เทพชั้นสูงขนาดนี้ในแดนอสูรนี้นับว่าสุดยอดมากแล้ว
ไป๋หยานยักไหล่”ด้วยความแข็งแกร่งของข้า แน่นอนว่าข้าไม่สามารถจัดการยอดฝีมือระดับเทพได้ เช่นนั้นข้าจึงต้องหยิบยืมพลังของตี้คังอย่างไรเล่า”
พร้อมรอยยิ้มในแววตานางมองจ้องสตรีที่มีสภาพน่าหดหู่ภายในค่ายกล
”ว่ายังไงยังจะเรียกข้าว่าขยะอีกหรือไม่ ? ยามนี้เจ้ารู้สึกเช่นไรกับค่ายกลของขยะเยี่ยงข้า ?”
หญิงผู้นั้นกัดริมฝีปากของตนพลางจ้องมองไป๋หยานด้วยสายตาขุ่นเคือง “เจ้าก็ดีแต่อาศัยพลังจากผู้ชายของเจ้า หากเป็นตัวเจ้าเอง เจ้าจะทำอะไรข้าได้ ?”
“อย่างน้อยข้าก็มีผู้ชายให้พึ่งพาล่ะ”
อย่างน้อยข้าก็มีผู้ชายให้พึ่งพา…
หากเป็นในอดีตไป๋หยานจะไม่มีวันกล่าวเช่นนี้ ตี้คัง…ทำให้นางเปลี่ยนไปอย่างมาก โดยนางเองก็ไม่ทันรู้ตัว …
ทว่าถ้อยคำของนางก็ทำให้ตี้คังพอใจมากริมฝีปากแดงของเขาปรากฏรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ไร้ผู้ใดเปรียบโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
หญิงสาวตัวสั่นงันงกนางขดตัวกลม นัยน์ตาของนางแสดงชัดถึงความหวาดกลัว หากนางรู้แต่แรกว่าราชาอสูรมีพลังมากถึงเพียงนี้ นางจะไม่มาที่นี่คนเดียวเป็นแน่
”ข้าไม่ได้ใช้ค่ายกลเช่นนี้มานานหลายปีแล้วที่ผ่านมาข้าจะใช้มันเพื่อจัดการกับคนทรยศ” แววตาของไป๋หยานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้เจ้ารู้สึกเป็นเกียรติหรือไม่ที่ข้าใช้ค่ายกลนี้กับเจ้า ?”
หญิงสาวกัดริมฝีปากไม่เอ่ยกล่าวคำใด
”ค่ายกลนี้เรียกว่า…ค่ายกลทรมานต่อไปเมื่อข้าถามเจ้า เจ้าต้องตอบข้าตามความเป็นจริง หากเจ้าโกหก ค่ายกลนี้จะแสดงฤทธิ์”
ไป๋หยานยิ้มพลางมองสตรีที่นั่งอยู่กับพื้น
”เจ้าชื่ออะไร?”
หญิงสาวทำเสียงฮึดฮัดไม่ยอมตอบคำถาม
ทันใดนั้นเอง…สายฟ้าก็ปรากฏขึ้นภายในค่ายกล พร้อมกันนั้นก็ฟาดลงบนไหล่ของหญิงผู้นั้นทันที
”อ๊ะ!”
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้นางกรีดเสียงร้องลั่นนางหันไปมองไหล่ที่ถูกกระแทก จึงเห็นว่าบริเวณผิวหนังที่ไหล่มีควันสีดำ และสีขาวกำลังลอยกรุ่นออกมาอย่างช้า ๆ
บทที่ 1133 : ฝ่ายอาณาจักรสวรรค์ (3)
ในที่สุดแววตาของนางก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวังนางมองกลุ่มสัตว์อสูรที่จับจ้องมองนาง พลันร่างของนางก็สั่นสะท้านมากขึ้นเรื่อย ๆ
”ข้าจะถามอีกครั้ง…เจ้ามีชื่อว่าอะไร? อ๋อ…ข้าลืมบอกเจ้า หากเจ้าไม่ตอบคำถามของข้า เจ้าก็จะถูกลงโทษเช่นกัน และทุกครั้งการลงโทษก็จะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ครั้งนี้ฟ้าผ่า ครั้งหน้าอาจเป็นไฟคลอก”
หญิงสาวตัวสั่นนางกัดริมฝีปากพลางกล่าวว่า “มู่เม่ย !”
”คำถามที่สองเหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ ?”
มู่เม่ยกำหมัดแน่น”ข้าได้รับแจ้งมาว่าแดนอสูรกำลังโจมตีอาณาจักรสวรรค์ และเจ้าเมืองทุกคนในอาณาจักรสวรรค์ต้องมาที่นี่ เพื่อท้าทายพวกเจ้า”
“เจ้าเมืองกระนั้นรึ?”
”เจ้าเมืองเป็นตัวแทนของเทพชั้นสูงในอาณาจักรสวรรค์เมื่อได้ตำแหน่งเจ้าเมือง ก็จะได้รับปันอาณาเขตให้ปกครอง”
ครั้นได้ยินถ้อยคำอธิบายของมู่เม่ยไป๋หยานก็พยักหน้า “ผู้ใดเป็นคนแจ้งเรื่องนี้แก่เจ้า และในอาณาจักรสวรรค์นี่มีเจ้าเมืองทั้งหมดกี่คน ?”
”ผู้ที่แจ้งเรื่องนี้แก่ข้าก็คือหยุนรั่วซีจากพระราชวังสวรรค์เจ้าเมืองเทพในอาณาจักรสวรรค์ของเรามีจำนวนมากมาย อาจประมาณสี่สิบหรือห้าสิบคนเลยทีเดียว”
ไป๋หยานตกใจเล็กน้อย
สี่สิบหรือห้าสิบระดับเทพชั้นสูง? เกรงว่าการต่อสู้กับอาณาจักรสวรรค์ครั้งนี้จะไม่ง่ายนัก …
“คำถามสุดท้ายเจ้ารู้จักไป๋หนิงหรือไม่ ?”
คำว่าไป๋หนิง ทำให้ดวงตาของมู่เม่ยตื่นตระหนก เห็นได้ชัดว่าทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ นางก็บังเกิดความกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ
แววตาของไป๋หยานเย็นชา”เจ้ารู้จัก ไป๋หนิง ใช่หรือไม่ ?”
”ผู้ที่เจ้ากำลังพูดถึงก็คือ…ไป๋หนิงผู้ซึ่งกล้าล่วงเกินเทวาคารอย่างโจ่งแจ้งทั้งยังกล้าบุกเข้าไปในเทวาคารอีกทั้งยังหลบหนีไปได้อย่างลอยนวลกระนั้นรึ ?”
”ใช่แล้วข้ากำลังพูดถึงนาง เจ้ารู้หรือไม่ว่านางอยู่ที่ใด” หัวใจของไป๋หยานบีบรัดแน่นขึ้น นางเอื้อมมือเข้าไปในค่ายกล คว้าจับสาบเสื้อของมู่เม่ยพร้อมกับเอ่ยถามอย่างกังวล
“หยานเอ๋อ”
ตี้คังกลัวว่าอารมณ์ของไป๋หยานจะปั่นป่วนจนเกินไปเขารีบพาร่างของนางออกห่างจากค่ายกล ทั้งพยายามให้นางสงบสติอารมณ์
“ข้า… ข้าไม่รู้ … ” มู่เม่ยกล่าวอย่างสั่น ๆ
นางไม่รู้จริงๆ ว่าไป๋หนิงอยู่ที่ใด
น่าจะกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ใดในอาณาจักรสวรรค์รู้ว่าไป๋หนิงไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใด
พวกเขารู้เพียงว่าหญิงผู้นี้บุกเข้าไปในเทวาคารก่อนจะหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย หลังจากนั้นเทวาคารก็ยอมลงทุนลงแรงมหาศาล เพื่อค้นหานาง ทว่าจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่พบตัว
ดูเหมือนนางจะหายไปในอากาศเบาบางราวกับว่าไม่เคยมาเยือนสถานที่แห่งนี้มาก่อน
ไป๋หยานปล่อยมือจากสาบเสื้อของมู่เม่ยนางก้าวถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นก็ค่อย ๆ หายใจออก และสงบสติอารมณ์
”ตี้คัง…ไม่ต้องกังวลข้าสบายดี”
ข้าเพียงอยากเจอนางมากก็เท่านั้น…
”ข้าจะช่วยเจ้าตามหานางเอง”ตี้คังโอบไหล่ของไป๋หยานอย่างเป็นทุกข์ คิ้วของเขาขมวดแน่น
ไป๋หยานพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะหันกลับไปจับจ้องมองมู่เม่ยอีกครั้ง “มู่เม่ย…ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่ ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปง่าย ๆ ไม่มีผู้ใดสามารถแก้ค่ายกลของข้าได้”
มู่เม่ยตัวสั่นนางลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงของนางฟังดูเป็นกังวล “ข้าตอบคำถามของเจ้าไปหมดแล้ว เจ้ายังต้องการอะไรอีก ?”
ไป๋หยานยิ้มเยาะเอ่ยกล่าวว่า “แค่เจ้าแอบมองสามีข้า ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดได้แล้ว ! ค่ายกลนี้สามารถอยู่ได้สี่สิบเก้าวัน หลังจากพ้นสี่สิบเก้าวันไปแล้ว เจ้าก็จะถูกกำจัด !”
ในโลกนี้ไม่มีใครหึงหวงได้เท่าตี้คัง…
ยกเว้นไป๋หยาน…
มู่เม่ยตกตะลึงนางจ้องมองใบหน้าที่งดงามของไป๋หยานอย่างงงงวย ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะหันหน้าผละจากไป นางก็รีบวิ่งไปที่สุดขอบค่ายกล
บทที่ 1134 : ฝ่ายอาณาจักรสวรรค์ (4)
”อย่าเพิ่งไปได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด อย่าเพิ่งไป”
ไป๋หยานเดินผ่านเข้าประตูเมืองโดยไม่ฟังถ้อยคำของมู่เม่ยอีก
ด้านนอกเมือง…เนื่องจากการจับกุมมู่เม่ยได้เสร็จสิ้นลงแล้วความเงียบสงบจึงกลับคืนมาดังเดิม …
…
คฤหาสน์ของเจ้าเมืองหลังจากได้รับการปรับปรุงจนกลายเป็นของใหม่ทั้งหมด
ไป๋หยานเดินเข้าไปในลานบ้านที่พำนักของนางอย่างช้าๆ ทันทีที่นางปิดประตู นางก็ตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่น
ชายหนุ่มลดสายตาลงพลางจูบริมฝีปากของนาง จุมพิตของเขาแนบแน่นและประทับใจมิรู้ลืม
“ตี้คัง”
ไป๋หยานผลักชายหนุ่มออกพลางขมวดคิ้วน้อยๆ “กองทัพอาณาจักรสวรรค์แข็งแกร่งกว่าที่ข้าคาดคิดไว้มาก หากเราต้องการยึดอาณาจักรสวรรค์นี้ ข้าเกรงว่า … เราคงต้องคิดเรื่องนี้ให้ยาว ๆ ”
น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนางยังไม่เพียงพอ! หาไม่นางคงไม่อยู่นิ่งเฉย …
ตี้คังนั่งลงก่อนจะรั้งตัวไป๋หยานขึ้นมานั่งบนตักของตน
เขาลูบท้องของนางเอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หยานเอ๋อ เจ้าควรอุ้มครรภ์อย่างสบายใจ หลังจากที่ทารกเกิด ก็ยังไม่สายเกินไปหรอกที่เจ้าจะมาต่อสู้เคียงข้างข้า”
ไป๋หยานยิ้มอย่างขมขื่น”แทนที่เด็กคนนี้จะมาในเวลาที่เหมาะสม หากมาช้ากว่านี้อีกสักปีสองปี ข้าอาจสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้”
หากมิใช่เพื่อเด็กคนนี้บางทีนางอาจจะผละจากตี้คังชั่วคราว เพื่อไปฝึกฝนให้ทะลวงขึ้นสู่ระดับต่อไปแล้ว
ทว่าตอนนี้เพื่อลูกนางไม่อาจเสี่ยงได้ …
”หยานเอ๋อ…อย่าได้คิดมากเลยนางมาในเวลาที่นางควรมา อย่าได้กล่าวเช่นนี้ … ” ตี้คังหรี่ตาพลางจับมือของไป๋หยานไว้แน่น “ข้าจะปกป้องความปลอดภัยของพวกเจ้าแม่ลูกเอง”
ไป๋หยานเงียบไปเป็นนานก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตี้คัง
”ตี้คัง…มู่เม่ยบอกว่า คนที่ชื่อ…หยุนรั่วซี…เรียกเจ้าเมืองทั้งหมดมารวมตัว ข้าไม่รู้ว่าข้าเคยได้ยินชื่อหยุนรั่วซีจากที่ใด ? ไยข้าจึงรู้สึกคุ้นเคยมาก”
ทว่าหลังจากครุ่นคิดครู่ใหญ่นางก็จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินมาจากที่ใด ?
”อย่าคิดมากเลยหยานเอ๋อ เจ้าเหนื่อยมากแล้ว พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปปรึกษาเรื่องบางอย่างกับผู้อาวุโสใหญ่”
ตี้คังโอบเอวไป๋หยานพานางไปนอนบนเตียงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ฉวยผ้านวมขึ้นห่มให้นาง พลางจูบเบา ๆ
ไป๋หยานรู้สึกเหนื่อยมากนางจึงไม่กล่าวคำใดอีก หลังจากเห็นตี้คังจากไปแล้ว นางก็หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า …
สายลมพัดผ้าม่านบังตาพลิ้วเบาๆ
แสงอาทิตย์สาดส่องมาจากประตูตกกระทบลงบนขนตางอนงามราวกับพัดของหญิงสาวนางหลับตาลงอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้สายลมพัดล้อเส้นผมดำสลวยของตน …
…
ณเมืองเล็ก ๆ
บนหลังคาโรงเตี๊ยมหยุนรั่วซียืนนิ่งท่ามกลางสายลมยามเย็น สายลมพัดกระโปรงสีขาวของนางสะบัดพริ้ว ดูราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์
ในขณะนั้น…
ร่างหลายร่างร่อนลงมาจากอากาศว่างเปล่ามายืนรวมตัวกันด้านหลังหยุนรั่วซี
หยุนรั่วซีหันศีรษะไปมองผู้คนที่อยู่ด้านหลังพร้อมรอยยิ้มในดวงตา “พวกท่านมากันแล้วหรือ ?”
“แม่นางหยุนเจ้าเรียกพวกเรามาจัดการกับพวกแดนอสูรด้วยกันใช่หรือไม่?” ชายวัยกลางคนก้าวไปข้างหน้าสองก้าว พลางเอ่ยถาม
หยุนรั่วซีพยักหน้านัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่า นิสัยของสัตว์อสูรนั้นโหดร้ายมาก คนโหดร้ายเช่นพวกเขาไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ ทว่าตอนนี้พวกแดนอสูรกำลังมา ผู้อาวุโสในเทวาคารของเราสั่งให้ข้าจัดการกับพวกแดนอสูรเหล่านี้ ได้โปรดร่วมมือกับข้า”
”ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ชายวัยกลางคนหัวเราะร่วน”เหตุใดแม่นางหยุนถึงต้องเกรงใจเช่นนี้ เป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้วที่จะต้องฆ่าสัตว์อสูรที่ต้องการทำร้ายแดนสวรรค์ แม้ว่าแม่นางหยุนจะไม่ขอร้องเรา พวกเราก็ต้องทำ”
บทที่ 1135 : ฝ่ายอาณาจักรสวรรค์ (5)
“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณพวกท่านทุกคน”
หยุนรั่วซียิ้มเล็กน้อย“จากนี้ไปพวกท่านทุกคนจะเป็นดั่งวีรบุรุษของ อาณาจักรสวรรค์ เมื่อใดที่ข้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด ข้าจะไม่ลืมพวกท่านอย่างแน่นอน”
ทุกคนต่างรอคำมั่นจากหยุนรั่วซีภายหลังจากได้ยินถ้อยคำดังกล่าว พวกเขาก็หัวเราะเสียงดังด้วยความยินดี แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุข
“ตกลงข้าหวังว่าแม่นางหยุนจะไม่ลืมสิ่งที่ท่านพูดไว้ในวันนี้ หลังจากทำลายพวกแดนอสูรจนสิ้นซาก พวกเราจะกลับมาหาท่านอีกครั้ง”
ชายวัยกลางคนยิ้มเขาหันหลังกลับ จากนั้นก็พุ่งตัวหายไปพร้อมกับความมืดมิดในยามราตรี
คนอื่นๆ ต่างก็ติดตามไป ท้ายสุดก็เหลือนางเพียงผู้เดียวที่ยืนอย่างไม่แยแสต่อสิ่งใด ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี
หยุนรั่วซีกำลังจะหันหลังกลับทว่าจู่ ๆ นางก็หยุด
นางเห็นชายผู้หนึ่งยืนสงบนิ่งท่ามกลางอากาศว่างเปล่าใบหน้าหล่อเหลายากจะหาผู้ใดเทียบของเขา เผยให้เห็นความโดดเดี่ยว และความหยิ่งยโส
ภายใต้แสงจันทราเขาหล่อเหลาไม่ต่างจากเทพบุตร เรือนผมสีขาวของเขาพร่างพราวท่ามกลางแสงจันทร์นวล
“ท่าน…” ใบหน้าของหยุนรั่วซีเปลี่ยนจากความตกใจ มาเป็นความสุข นัยน์ตาที่เปี่ยมด้วยความรักใคร่ของนางจับจ้องมองชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางอากาศว่างเปล่า “ท่านกลับมาแล้วหรือ ?”
ในที่สุดเขาก็กลับมาแล้ว!
ความตื่นเต้นท่วมท้นหัวใจของหยุนรั่วซีใบหน้าของนางเป็นสีชมพูเปล่งปลั่งราวเด็กสาวอายุสิบแปดปี นางมองชายผู้เป็นที่รักอย่างเขินอาย
“เจ้า…กลับไปที่เทวาคาร”
ถ้อยคำแรกของเฟิงลี่เฉินทำให้หัวใจของหยุนรั่วซีแทบหยุดเต้น
“เหตุใด?” ลำคอของนางแห้งผาก “เหตุใด…ท่านถึงให้ข้ากลับเทวาคาร แดนอสูรบุกมาเข่นฆ่าเทพสวรรค์แล้ว ข้าไม่ควรจัดการเรื่องนี้หรอกหรือ ?”
“กลับไป”
เสียงของชายหนุ่มยังคงออกคำสั่ง
หัวใจของหยุนรั่วซีค่อยๆ สงบลงนางกำหมัดแน่น พลางหลับตาลงช้า ๆ
ในวันที่พบกันครั้งแรกชายผู้นี้กำลังเอาใจหญิงสาวโดยการพยายามหยิบดอกท้อออกจากเรือนผมของนาง
รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนมากทั้งดวงตาของเขาก็แลดูน่าหลงใหล
บางทีเฟิงลี่เฉินอาจไม่เคยรู้เลยว่าเพียงแว่บแรกที่เห็น นางก็แอบชอบรอยยิ้มที่อ่อนโยนของเขา และนับจากนั้นมานางก็ไม่อาจถอนใจจากเขาได้อีก
แต่เหตุใด…เขาถึงมีแต่หญิงผู้นั้นในสายตาเหตุใดจึงไม่เคยให้ความสนใจนางเลย ?
แม้ว่า… หญิงผู้นั้นจะตายไปแล้ว เขาก็ไม่เคยลืมนาง
และเป็นเพราะนางทำให้เรือนผมของเขาขาวในชั่วข้ามคืน
“เฟิงลี่เฉิน”หยุนรั่วซีกำหมัดนางแน่น กระทั่งกลายเป็นสีชมพู พลางก้าวย่างอย่างช้า ๆ เข้าไปหาเฟิงลี่เฉิน เสียงของนางแผ่วเบา นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “หรือนางยัง … นางยังไม่ตายใช่หรือไม่ ?”
ใบหน้าของเฟิงลี่เฉินนิ่งสงบมือข้างหนึ่งไพล่หลัง ทีท่ายังคงเฉยเมย
จากการแสดงออกของเขาไม่มีผู้ใดรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจได้เลย
“เพราะนางยังมีชีวิตอยู่ท่านจึงไม่ต้องการให้ข้าสร้างปัญหาให้กับอาณาจักรอสูรใช่หรือไม่ ?” หยุนรั่วซียิ้ม
รอยยิ้มของนางไม่ต่างจากคนเสียสติน้ำตาไหลพรากลงมาจากดวงตาของนาง นางจ้องมองใบหน้าที่หล่อเหลานั้นอย่างเศร้าสุดพรรณนา
“เหตุใด…ข้ารักท่านมานานหลายปีข้ารอท่านนับเป็นพันปี หากแต่ท่านปฏิบัติกับข้าเช่นนี้หรือ ? ข้าด้อยกว่านางที่ใด ? เพียงเพราะท่านพบนางก่อนงั้นหรือ ?”
เฟิงลี่เฉินชายตามองหยุนรั่วซีอย่างไม่แยแส
สายตาที่กวาดมาอย่างรวดเร็วนี้ทำให้หยุนรั่วซีรู้สึกราวตกอยู่ในห้องใต้ดินน้ำแข็ง นางหนาวสั่นไปทั้งร่าง
หยุนรั่วซีหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด
นางรู้ดี…ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดในหัวใจของเขาสถานะของนางก็ยังคงด้อยกว่าหญิงผู้นั้น
“ข้าเข้าใจแล้ว… “ หยุนรั่วซียิ้มอย่างขมขื่น “ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้กับอาณาจักรอสูร หากแต่ถึงข้าไม่ไป บรรดาผู้อาวุโสในเทวาคารก็จะไปอยู่ดี”