จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1146 -1150
บทที่ 1146 : ไป๋เสี่ยวเฉินได้รับบาดเจ็บ (7)
”แต่น่าเสียดาย… เพราะอิทธิพลของเครื่องรางนั้น เฉินเอ๋อจึงกลายเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ” ไป๋เสี่ยวเฉินลูบนัยน์ตาสีแดง พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
ใบหน้าของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นซีดนางรีบแผ่พลังจิตของนางสำรวจทั่วร่างของไป๋เสี่ยวเฉิน
”เป็นไปไม่ได้ร่างกายของเจ้าจะถูกผู้อื่นควบคุมได้อย่างไร?ข้าตรวจสอบแล้วมีวิญญาณเพียงดวงเดียวในร่างของเจ้า ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้น”
ไป๋เสี่ยวเฉินส่ายศีรษะ”เฉินเอ๋อก็ไม่รู้ เฉินเอ๋อรู้แค่ว่า ตอนนั้นจิตใจของเฉินเอ๋อว่างเปล่า มีเพียงความคับแค้นใจ เฉินเอ๋ออยากจะเข่นฆ่าทุกผู้คน เฉินเอ๋อควบคุมตัวเองไม่ได้ !”
โชคดีที่เสี่ยวหลงเอ๋อถูกเขาขับไล่ไปหาไม่ด้วยสภาพของเขาในตอนนั้น เขาอาจทำร้ายเสี่ยวหลงเอ๋อโดยไม่ตั้งใจ …
ไป๋หยานกอดร่างของไป๋เสี่ยวเฉินแน่นน้ำเสียงของนางสั่นเครือเล็กน้อย “เฉินเอ๋อ เชื่อแม่นะ แม่จะไม่ปล่อยให้เจ้าเจ็บปวดเช่นนั้นอีก … ”
“หม่ามี้เฉินเอ๋อกลัวว่าจะทำร้ายหม่ามี้” ไป๋เสี่ยวเฉินกอดไป๋หยานด้วยสองมือเล็ก ๆ “เฉินเอ๋อรู้สึกว่า วันนี้เฉินเอ๋อควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ถ้าหากวันนั้นมาถึง หม่ามี้อย่าใจอ่อนกับเฉินเอ๋อนะ ป๊ะป๋าก็ห้ามออมมือกับเฉินเอ๋อด้วย”
ไป๋หยานตัวแข็ง”เฉินเอ๋อ … ”
”เพราะหม่ามี้เป็นคนที่เฉินเอ๋อรักที่สุดเฉินเอ๋อไม่อยากทำให้หม่ามี้เจ็บปวด”
ไป๋เสี่ยวเฉินแย้มยิ้มอย่างน่ารักและไร้เดียงสา
รอยยิ้มนี้ทำให้ไป๋หยานเสียใจมากนางจะตัดใจทำร้ายเด็กที่มีเหตุผล ทั้งน่ารัก และน่าเอ็นดูเช่นนี้ได้อย่างไร ?
”เฉินเอ๋อทุกเรื่องย่อมต้องมีทางออกเสมอ เชื่อแม่ แม่จะหาทางแก้ไขเอง”
นางลุกขึ้นยืนจากพื้นพร้อมกับอุ้มไป๋เสี่ยวเฉินไว้ในอ้อมแขน พลางประทับจูบลงบนหน้าผากของเขา
“ยิ่งไปกว่านั้นหากตอนนั้นไม่มีเฉินเอ๋อ ก็จะไม่มีแม่ในเวลานี้ บางทีแม่อาจจะยอมแพ้ชะตาชีวิตไปนานแล้ว … ”
ไป๋เสี่ยวเฉินหลุบตาลงไม่เอ่ยกล่าวคำใดอีก เขารู้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมารดาของเขาจะไม่มีวันทำร้ายเขา
เช่นนั้น…
เขาต้องขอร้องบิดาของเขาให้เป็นผู้ลงมือในเรื่องนี้
ป๊ะป๋ารักหม่ามี้ของเขามากและเพื่อความปลอดภัยของหม่ามี้ ป๊ะป๋ายอมทำได้ทุกอย่าง แต่นี่อาจจะทำให้ป๊ะป๋าวายร้ายถูกหม่ามี้เกลียดไปชั่วชีวิต …
“เสด็จพี่…”
เสี่ยวหลงเอ๋อยืนอยู่ข้างๆ อย่างขลาด ๆ นางยื่นมือออกไปดึงตัวไป๋เสี่ยวเฉิน “ข้าก็จะช่วยท่านด้วย … ”
ไป๋เสี่ยวเฉินส่งยิ้มสดใส
หม่ามี้จะไม่ต้องอยู่อย่างเดียวดายนางยังมีหลงเอ๋อและน้องสาวของเขาที่อยู่ในครรภ์ …
”เฉินเอ๋อหลงเอ๋อ พวกเราไปกันเถอะ ไปหาทางออกจากที่นี่กัน”
ไป๋หยานหรี่ตาลงใบหน้าของหยุนรั่วซีพลันปรากฏขึ้นในความคิด
นางรู้สึกว่าดูเหมือนนางจะเคยเห็นหญิงผู้นี้ที่ไหนสักแห่งโดยเฉพาะเครื่องรางที่ห้อยคอนั้น นางรู้สึกคุ้นเคยมาก …
…
ณเมืองสัตว์อสูร
ณบริเวณทางเข้าประตูเมือง ชายหนุ่มยืนอย่างสง่างามในอากาศที่ว่างเปล่า เขามองผู้ที่มาบุกรุกสถานที่ของเขา อย่าว่าแต่จะทำร้ายเขาเลย แค่จะแตะชายเสื้อของเขาก็ยังมิอาจทำได้
อย่างไรก็ตามขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ยามนี้อยู่นั้น ความวิตกกังวลในใจของชายหนุ่มกลับยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่ามีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้น …
“หยานเอ๋อ?”
ชายหนุ่มหลับตาลงใบหน้าของเขาพลันซีดเซียวทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับกำหมัดแน่น
”อาวุโสใหญ่…จัดการกับคนเหล่านี้ตามต้องการได้เลย! ข้าต้องไปจัดการเรื่องบางอย่าง ทางนี้ฝากเจ้าด้วย !”
ผู้อาวุโสใหญ่ผงะเขาเงยหน้าขึ้นมองตี้คัง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความงงงวย
ให้เขาจัดการกับคนพวกนี้กระนั้นรึ?
เขาจะจัดการกับเทพมากมายถึงเพียงนี้ได้เช่นไร?
“ราชา… พระองค์ … จะเสด็จไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ?”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสสั่นขณะเอ่ยถาม
บทที่ 1147 : ไป๋เสี่ยวเฉินได้รับบาดเจ็บ (8)
”ราชินีหายตัวไป!”
หลังจากกล่าวจบร่างของตี้คังก็สว่างวาบจากนั้นก็หายออกไปนอกประตูเมือง
“ราชินีหายตัวไป?”
ผู้อาวุโสใหญ่อุทานเขาเกือบจะล้มลงกับพื้น ใบหน้าของเขาซีดเผือด แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
ราชินีหายตัวไป? เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่มีผู้ใดมาแจ้ง ?
”คิดหนีงั้นรึ?”
ครั้นเห็นตี้คังกำลังจะผละจากไปอีกฝ่ายก็พุ่งเข้าจู่โจมเขาอย่างรวดเร็ว คนผู้นั้นพุ่งเข้าโจมตีเขาจากด้านหลัง
”ไปให้พ้น!”
เสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวพลันดังก้องตี้คังเริ่มส่งพลังกดดันเพิ่มขึ้น สายลมพัดโหมรุนแรง กวาดพาผู้คนที่วิ่งตามหลังเขาพลัดตกลงสู่พื้น
ผู้คนเหล่านั้นต่างก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของตี้คังร่างของพวกเขาลอยหายไปทันที ก่อนจะตกลงห่างไปไกลประมาณ 100 จ้าง เห็นเป็นรอยลากทอดยาวไปบนพื้น
ครั้นเห็นว่าตี้คังกำลังจะจากไปผู้อาวุโสใหญ่ก็หน้าหมอง เขาหันไปมองผู้คนที่หนาแน่นบนท้องฟ้า ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก
“ผู้อาวุโสพวกเราควรทำเช่นไรดี ?”
จะทำอะไร? จะทำอะไรได้อีกเล่า ?
เขาหัวเราะหึๆ “ดูเหมือนว่าคงต้องใช้เครื่องรางช่วยชีวิตเท่านั้น”
”เครื่องรางช่วยชีวิตคืออะไร?”
”ท่านวิหคอัคคีมอบเครื่องรางนี้ให้แก่ข้าท่านรู้ว่าเรากำลังจะมายังอาณาจักรสวรรค์ ท่านเกรงว่าเราจะตกอยู่ในอันตรายจึงให้เครื่องรางอัญเชิญนี้แก่ข้า ทว่าน่าเสียดายที่เครื่องรางอัญเชิญนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะหึๆ อีกครั้ง ก่อนจะบรรจงหยิบเครื่องรางสีเหลืองออกมาจากถุงเก็บของ
ช่วงเวลาที่แผ่นยันต์ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ก็บังเกิดเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ชั่วขณะนั้นเองเปลวไฟก็เปลี่ยนเป็นวิหคอัคคีขนาดใหญ่บนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
ร่างของวิหคอัคคีถูกห้อมล้อมไปด้วยเปลวเพลิงเสียงของวิหคที่ร้องออกมานั้นดังชัดเจน ก้องกังวานและไพเราะ ทว่าก็เต็มไปด้วยแรงกระแทกที่หนักหน่วง
”ท่านวิหคอัคคียามนี้ราชินีหายตัวไป องค์ราชาเสด็จออกติดตามหาราชินี หากแต่คนกลุ่มนี้กลับมาสร้างปัญหาที่นี่ ท่านวิหคอัคคีโปรดหยุดพวกเขาด้วย”
ตี้คังรู้ดีว่าวิหคอัคคีได้มอบเครื่องรางอัญเชิญให้ผู้อาวุโสใหญ่ เช่นนั้นเขาจึงสามารถออกไปติดตามหาไป๋หยานได้อย่างสบายใจ…
อย่างไรเสียท่านวิหคอัคคีก็ต้องออกมาปกป้องพวกเขาเพียงแต่เครื่องรางอัญเชิญนี้ สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
วิหคอัคคีกระพือปีกและทุกครั้งที่กระพือปีก เปลวไฟร้อนแรงจะพวยพุ่งลงมาจากฟากฟ้า ราวกับดวงอาทิตย์ตกลงสู่พื้นพสุธา ผืนหญ้าต่างแหลกราญเหลือเพียงเศษดินที่ไหม้เกรียม
เบื้องล่างมีเพียงเสียงร้องโหยหวนพวกอาณาจักรสวรรค์ต่างพยายามหลบหลีกเปลวไฟเหล่านั้นกันอย่างเต็มที่
หลังจากนั้นพวกเขาก็พบช่องโหว่พวกเขารีบลุกขึ้นพร้อมดาบคมในมือ ต่างก็เล็งไปที่ดวงตาของวิหคอัคคี …
วิหคอัคคีเหลือบมองพวกเขาเล็กน้อย
รูปลักษณ์นี้เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและเย้ยหยัน ราวกับว่าในสายตาของนางแล้ว คนพวกนี้ไม่ต่างอะไรจากมด
ตูม!
ทันทีที่ปีกของวิหคอัคคีวาดออกไปเจ้าเมืองที่ความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพชั้นสูง ซึ่งพุ่งเข้าหาก็ถูกกวาดล้มลงกับพื้นอย่างแรง กระทั่งเกิดหลุมขนาดใหญ่บนพื้น
อย่างไรก็ตามยังมีเทพอีกมากมายในอาณาจักรสวรรค์เช่นนั้นหลังจากที่คนนี้ล้มลง ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากดาหน้าเข้ามาจากทุกด้าน
โดยทั่วไปแล้วภายใต้สถานการณ์ที่ถูกศัตรูโอบล้อมเช่นนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัย
ทว่าวิหคอัคคีกลับไม่หลบหนีเปลวเพลิงบนร่างของนางยิ่งร้อนระอุมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังร้อนเร่ารุนแรงยิ่งกว่าหินหนืด มันย้อมท้องฟ้าให้อาบไปด้วยแสงสีแดงราวกับตกอยู่ภายใต้ปล่องภูเขาไฟ
แม้แต่ผู้คนจากแดนอสูรเองก็ยังสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่ร้อนระอุนี้ …
“แย่แล้ว!”
หนึ่งในคนเหล่านั้นตกใจเมื่อเห็นปีกของวิหคอัคคีโบกสะบัดรุนแรงยิ่งขึ้น เขาพยายามหลีกหลบ ทว่าก็สายเกินการ เปลวเพลิงพุ่งออกมาจากปีกของนาง ตรงเข้าปะทะร่างของเขา
ในระยะกระชั้นชิดเช่นนี้สายเกินกว่าที่จะหลบได้ทัน …
บทที่ 1148 : ไป๋เสี่ยวเฉินได้รับบาดเจ็บ (9)
เปลวเพลิงกระแทกหน้าอกของเขาอย่างแรงพร้อมกันนั้นคนผู้นี้ก็ร่วงหล่นจากอากาศที่ว่างเปล่า ก่อนจะตกลงไปกองข้าง ๆ ผู้ที่ตกลงมาก่อนหน้า
หน้าอกของเขาดำคล้ำเขาคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด
“พวกเราถูกแม่นางหยุนวางกับดัก!”
ที่สุดชายชราก็มีปฏิกิริยาตอบสนองร่างชราของเขาสั่นสะท้านด้วยความโกรธ
“เหตุใดนางจึงส่งพวกเรามาจัดการกับอาณาจักรอสูรเห็นได้ชัดว่านางจงใจให้พวกเรามาหาที่ตาย เราทำให้นางขุ่นเคืองเรื่องใดหรือ ? ไยนางถึงปฏิบัติต่อเราเช่นนี้”
พวกเขาต่อสู้กับราชาอสูรอยู่เป็นนานไม่เพียงแต่จะสูญเสียไปมากมาย ทว่าพวกเขายังไม่สามารถแม้แต่จะเข้าใกล้ชายผู้นั้นได้เลย
ในที่สุดหลังจากราชาอสูรจากไปแล้ววิหคอัคคีก็ปรากฏตัวขึ้นอีก ?
พวกเขาไม่เชื่อว่าหยุนรั่วซีจะไม่รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของอาณาจักรอสูร
นางจึงโกหกพวกเขาให้มาที่นี่เพื่อจุดประสงค์เดียว นั่นก็คือส่งพวกเขามาตาย
ไม่รู้ว่านางจะได้ประโยชน์ใดจากการกระทำเช่นนี้!
“จะมัวสู้อะไรอยู่อีกเล่าจะสู้อย่างไรต่อไป ? ในเมื่อคนที่ข้าพามาต่างก็ล้มตายกันหมดแล้ว หากขืนสู้ต่อไป ข้าเกรงว่าอาจรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยความโกรธ
ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างก็หันมองหน้ากันพลันคำหนึ่งก็ดังขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
”หนี!”
ช่วงเวลาที่ถ้อยคำดังกล่าวหลุดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจทุกผู้คนต่างก็กลับหันหลังพร้อมโกยอ้าวทันที
ครั้นผู้ใต้บังคับบัญชาที่พวกเขาพามาด้วยเห็นว่าเจ้านายของพวกเขาเผ่นหนีกันไปหมด พวกเขาก็ไม่สนใจที่จะต่อสู้ ยิ่งผู้คุ้มกันแห่งแดนอสูรมาหยุดตรงหน้า พวกเขาต่างก็หันหลังวิ่งหนี บางคนก็ทิ้งอาวุธเพียงหวังว่าจะวิ่งได้เร็วขึ้น
ในไม่ช้าบริเวณประตูเมืองก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบเหลือเพียงซากศพกระจัดกระจายไปทั่วพื้นดิน พิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อครู่ มีการต่อสู้ที่ดุเดือดเกิดขึ้นที่นี่ …
วิหคอัคคีไม่ได้ไล่ติดตามคนที่หนีไปนางลดสายตาลงมองคนจากแดนอสูรที่อยู่เบื้องล่าง ร่างสีแดงเพลิงค่อย ๆ เลือนหาย เหลือเพียงแสงสีแดงที่ยังคงอยู่อีกเป็นเวลานาน …
…
ลึกเข้าไปในหุบเขา
ร่างสีม่วงปรากฏออกมาจากอากาศว่างเปล่าก่อนจะร่อนลงบนสถานที่ที่ซึ่งไป๋หยานหายตัวไป
เขาขมวดคิ้วพร้อมกำหมัดแน่นนัยน์ตาเรียวคมของเขามืดมนราวกับพายุกลางทะเล
”ราชา…”
ด้านหลังตี้คังองครักษ์สองคนที่ได้รับคำสั่งให้ปกป้องไป๋หยานคุกเข่าลงกับพื้นเนื้อตัวสั่นเทา บางทีพวกเขาอาจสังเกตเห็นเจตนาสังหารที่แผ่ออกจากร่างของตี้คัง จึงทำให้ร่างของพวกเขาสั่นเทามากขึ้นเรื่อย ๆ
”ข้าสั่งให้เจ้าปกป้องราชินีเจ้าปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้เยี่ยงไร ?”
”ราชาองค์ชายน้อยประสบอุบัติเหตุ ผู้น้อย … ผู้น้อยไม่อาจหยุดราชินีได้”
ตี้คังหันกลับมามองผู้คุ้มกันที่คุกเข่าอยู่ทั้งสองคนด้วยสายตาเย็นชา
“แล้วเหตุใดเจ้าไม่รีบมาแจ้งข้า”
องครักษ์ผู้ที่อยู่ด้านซ้ายก้มศีรษะลงแนบพื้น”กระหม่อม… กระหม่อมคิดว่าพระองค์กำลังต่อสู้กับผู้คนจากแดนสวรรค์ ไม่เป็นการสมควรที่จะรบกวนพระองค์ … อีกทั้งพระองค์ก็ทรงเตรียมการที่จะพิชิตอาณาจักรสวรรค์นี้มานานแล้ว เช่นนั้น … เช่นนั้น กระหม่อมจึง … ”
“ตูม!”
ตี้คังปล่อยกระแสลมแรงฟาดหน้าอกขององครักษ์อย่างหนักหน่วงร่างขององครักษ์พลันลอยละลิ่วออกไป ก่อนจะตกลงกับพื้นอย่างงง ๆ เขาถึงกับอาเจียนเป็นเลือด
”เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดราชาผู้นี้ถึงต้องการยึดครองแดนสวรรค์ เพราะนี่เป็นสิ่งที่ราชินีมีพระประสงค์ หากราชินีประสงค์สิ่งใด ราชาผู้นี้ก็จะไขว่คว้าหามาให้นาง”
“หากไม่มีนางข้าจะต้องการอาณาจักรสวรรค์นี้ไปเพื่ออะไร ?”
”ไม่ต้องพูดถึงแดนสวรรค์ในหัวใจของข้าแม้แต่อาณาจักรอสูรก็ไม่สำคัญเท่าราชินี การจากไปของราชินีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เจ้ากล้าที่จะไม่แจ้งข้า !”
ความโกรธเกรี้ยวของตี้คังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เจตนาสังหารพลันเพิ่มขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงที่เย็นชาของเขา
“หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับราชินีข้า … จะไม่มีวันให้ความปรานีต่อเจ้า !”
บทที่ 1149 : ขุดถึงแกนโลก ก็จะหาเจ้าให้พบ (1)
หน้าผากขององครักษ์ทั้งสองปกคลุมไปด้วยหยาดเหงื่อเย็นเหงื่อออกท่วมกระทั่งเปียกเสื้อผ้า สายลมยามเย็นพัดผ่านมา ความเย็นยิ่งทำให้พวกเขาสั่นสะท้าน พวกเขารู้สึกหนาวสั่นจากฝ่าเท้าขึ้นสู่หัวใจ
ชายหนุ่มหันหลังให้องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังมือที่ทิ้งลงข้างลำตัวของเขากำหมัดแน่น ใบหน้าของเขามืดหม่น เต็มไปด้วยความน่ากลัว ภายใต้สายลมที่พัดกระโชก เรือนผมสีเงินของเขาเต้นเร่าราวกับอสูรร้ายที่หยิ่งผยอง
จากระยะไกลผู้อาวุโสใหญ่เดินปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็วเขาคุกเข่าลงต่อหน้าตี้คัง เอ่ยถามด้วยความเคารพ “ราชา ทรงพบราชินีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?”
น้ำเสียงของตี้คังเย็นชา”ข้ารับรู้ผ่านพันธะสัญญา..ราชินีน่าจะยังอยู่ที่นี่”
ผู้อาวุโสใหญ่ถึงกับผงะ
ราชามีรับสั่งว่าราชินีประทับอยู่ที่นี่ก็แล้วเหตุใดพวกเขาถึงไม่เห็นราชินี ?
“ราชินี…พระองค์… ” ผู้อาวุโสใหญ่ครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนจะเอ่ยถาม
ทว่าก่อนที่เขาจะทันกล่าวจบเขาก็ถูกตี้คังขัดจังหวะเสียก่อน
”ขุด! ต่อให้ต้องขุดลึกถึงแกนโลก ข้าก็ต้องหานางให้พบ !”
ตี้คังสะบัดแขนเสื้อท่ามกลางสายลมยามราตรี แววตาล้ำลึกของเขาจับจ้องมองไปยังผืนดินที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยประกายแสงแน่วแน่
”พ่ะย่ะค่ะ!” ผู้อาวุโสใหญ่ส่งสายตาให้องครักษ์ทั้งสองที่คุกเข่าอยู่ด้านหลัง ใบหน้าของเขาเยือกเย็น ขณะตวาดออกมาอย่างรุนแรง “พวกเจ้าไม่ได้ยินรับสั่งขององค์ราชาอีกกระนั้นหรือ? ยังไม่รีบไปเตรียมตัวอีก !”
องครักษ์ทั้งสองรีบลุกขึ้นยืนพลางกล่าวลา พวกเขารีบผละจากตี้คังและผู้อาวุโสใหญ่
ทันทีที่พวกเขาออกจากหุบเขาแห่งนี้มาได้พวกเขาถึงตระหนักว่าร่างของพวกเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ กระทั่งพวกเขาสามารถบีบน้ำออกมาได้หนึ่งกำมือเลยทีเดียว
…
ยามนี้ในป่ามืดมิดมือของไป๋หยานข้างหนึ่งจับจูงไป๋เสี่ยวเฉิน ในขณะที่มืออีกข้างก็จับจูงเสี่ยวหลงเอ๋อ นางพาเด็กทั้งสองก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เต็มไปด้วยความระมัดระวัง
”หม่ามี้เราหายตัวมาอย่างนี้ ป๊ะป๋าจะตามหาเรามั้ย ?” ไป๋เสี่ยวเฉินกระพริบนัยน์ตากลมโต พลางหันไปมองหญิงสาวข้าง ๆ พร้อมกับขมวดคิ้วอย่างรู้สึกผิด
หากมิใช่เพราะเขายืนกรานที่จะตามมาหาแม่บางทีแม่ของเขาอาจจะไม่ถูกลากลงมาที่นี่
ไป๋หยานจับมือไป๋เสี่ยวเฉินแน่น”บิดาของเจ้าจะต้องมาตามหาเจ้าอย่างแน่นอน ทว่าเราไม่ควรรอพึ่งบิดาของเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว เราต้องใช้พละกำลังของเราหาทางออกจากที่นี่เองให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลายปีที่ผ่านมาพวกเราก็อยู่มาได้โดยไม่มีบิดาของเจ้า แม่ไม่เชื่อว่าจะออกจากที่นี่ไม่ได้”
”แต่…”
ไป๋เสี่ยวเฉินก้มศีรษะลง
พวกเขาทั้งหมดอยู่ในสถานที่แห่งนี้มานานแล้วยังไม่พบทางออกเลย หากเขาตกลงมาที่นี่เพียงคนเดียวก็ไม่เป็นไร ตอนนี้แม่ของเขากำลังตั้งท้องน้องสาวของเขา เขาไม่อยากให้นางต้องตกระกำลำบากเพราะเขา
”หม่ามี้เฉินเอ๋อขอโทษ … ” นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวเฉินเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เขากัดริมฝีปาก “เฉินเอ๋อไม่ควรดื้อรั้น ทั้งไม่ควรพาหลงเอ๋อมาที่นี่ ทั้งหมดเป็นความผิดของเฉินเอ๋อเอง … ”
ร่างของไป๋หยานแข็งค้างเมื่อครู่นางเอาแต่มองหาทางออก กระทั่งดูเหมือนจะลืมใส่ใจอารมณ์ของไป๋เสี่ยวเฉิน
ยามนี้เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดนางก็รู้สึกผิดเล็ก ๆ
”เฉินเอ๋อแม่ไม่ได้ตำหนิเจ้า เจ้ามาหาแม่ แม่ก็มีความสุขมากที่จะมีเวลาอยู่กับเฉินเอ๋อมากขึ้น”
นางกอดเด็กชายตัวน้อยพลางยิ้มอย่างงดงามรอยยิ้มของนางราวกับดอกไม้ที่เบ่งบาน “เชื่อแม่นะ เราจะออกไปได้อย่างแน่นอน อย่าดูแคลนน้องสาวของเจ้า นางเข้มแข็งมากนะ … ”
ไป๋เสี่ยวเฉินเงยหน้าขึ้น
นัยน์ตาของเขาแจ่มแจ๋วสดใสและไร้เดียงสา
“อืมเฉินเอ๋อเชื่อหม่ามี้”
เขาบอกแล้วว่าเขาต้องปกป้องหม่ามี้ เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดทำร้ายนาง !
บทที่ 1150 : ขุดถึงแกนโลก ก็จะหาเจ้าให้พบ (2)
ไป๋เสี่ยวเฉินก้มศีรษะลงอีกครั้งทว่าครั้งนี้นัยน์ตาสีดำขลับของเขาแลดูแน่วแน่
ซวบ!
จู่ๆ ด้านหน้าก็เกิดการเคลื่อนไหว ไป๋หยานดึงไป๋เสี่ยวเฉิน และเสี่ยวหลงเอ๋อเข้ามากอดอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันนางก็จ้องมองไปข้างหน้าอย่างระแวดระวัง
ที่นี่เป็นป่าลึกอีกทั้งภายในป่าลึกนี้ ก็ดูเหมือนจะมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่ไป๋หยาน
สายตาคู่นี้ทำให้ไป๋หยานอึดอัดมากราวกับถูกงูพิษรัดกระทั่งหายใจแทบไม่ออก
เสี่ยวหลงเอ๋อขดร่างของนางในอ้อมแขนของไป๋หยานด้วยความหวาดกลัวนางมองไปข้างหน้าอย่างขลาด ๆ พลางกัดริมฝีปากสีชมพูแน่นใบหน้าของนางซีดเผือด
“ท่านแม่… ที่นั่นน่ากลัวจัง เราไม่เข้าไปไม่ได้หรือ ?”
นางดึงแขนเสื้อของไป๋หยานขณะเอ่ยถามอย่างน่าสงสาร
”นั่นเป็นวิธีเดียวที่เราจะออกไปจากที่นี่ได้เฉินเอ๋อ…เจ้าและหลงเอ๋อรอแม่อยู่ที่นี่ แม่จะไปดูเอง” ไป๋หยานปล่อยมือจากเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสอง คิ้วของนางขมวดแน่น
ไป๋เสี่ยวเฉินตกตะลึงอยู่เพียงครู่เขารีบจับมือไป๋หยาน นัยน์ตาที่สดใสของเขาแน่วแน่ “หม่ามี้ เฉินเอ๋ออยากไปด้วย”
“หลงเอ๋อก็ไปด้วย”
เสี่ยวหลงเอ๋อรีบบอกความต้องการของตน
ไป๋หยานรู้ดีว่าแม้นางจะไม่เห็นด้วย ทว่าเด็กน้อยทั้งสองก็คงรั้นตามนางอยู่ดี เช่นนั้นนางจึงพยักหน้า
”เอาล่ะพวกเจ้าตามแม่มา แล้วดูสิว่าผู้ใดซ่อนตัวอยู่ที่นั่น”
หลังจากกล่าวจบไป๋หยานก็จับจ้องมองป่าข้างหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง และตื่นตัว
“นั่น… นั่นมัน … ”
ไป๋หยานหยุดทันทีนางจ้องมองเบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ
ที่ด้านหน้าไม่ไกลกันนักมีแท่นบูชาบนแท่นบูชามีสัตว์อสูรตัวใหญ่ถูกกักขัง
สาเหตุที่กล่าวว่านั่นเป็นสัตว์อสูรก็เพราะสัตว์อสูรตัวนี้เป็นเทพเจ้างูที่มีหัวเป็นแกะ ทั้งมีเกล็ดมังกรขนาดใหญ่งอกขึ้นมาบนลำตัว น่าเสียดายก็แต่ว่าบนร่างของมันยามนี้ถูกหอกสองสามเล่มปักอยู่ ซึ่งนั่นทำให้มันถูกตรึงไว้บนแท่นบูชา
เลือดบนร่างของมันแห้งเหือดไปนานแล้วทว่านัยน์ตาคู่นั้นยังคงเฉียบคม และมืดมน มันจ้องมองไป๋หยานผู้ซึ่งเป็นแขกไม่ได้รับเชิญอย่างเย็นชา
แต่…
สายตานี้แตกต่างจากที่ไป๋หยานรู้สึกเมื่อครู่กล่าวคือนี่ไม่ใช่สัตว์อสูรตัวนั้น
“มนุษย์…ในเมื่อเจ้าเข้ามาถึงสถานที่แห่งนี้ได้นั่นก็แปลว่าพวกข้าถูกกำหนดไว้แล้ว หากเจ้าปล่อยข้าให้เป็นอิสระ ข้าจะให้ผลประโยชน์มหาศาลแก่เจ้า !” สัตว์อสูรเทพงูหัวแกะเอ่ยช้า ๆ
น้ำเสียงของเขาราวคนชราภาพที่อ่อนแอไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
ทว่าสายตาที่จับจ้องมองมาของเขายังทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุกไปทั้งร่าง
ความรู้สึกเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไป๋หยานไม่เคยสัมผัสมาก่อน
”ปล่อยเจ้าไปงั้นรึ?” ไป๋หยานยิ้มเยาะ “หากข้าปล่อยเจ้าจริง ๆ เจ้าอาจจะจัดการข้าในภายหลัง เจ้าคิดว่าข้าจะโง่ถึงเพียงนั้นเลยรึ ?”
สัตว์อสูรตกใจไม่คาดคิดว่าจะมีผู้ใดในโลกนี้ปฏิเสธข้อเสนอของเขา
”มนุษย์…เจ้าไม่รู้รึว่าข้าเป็นใคร? ข้าคือเทพมังกร หากเจ้าช่วยข้า เจ้าจะได้รับประโยชน์มากมายมหาศาล !”
“เทพมังกรกระนั้นรึ?” ไป๋หยานลูบคาง พลางกวาดตามองสัตว์อสูรที่อ้างตัวว่าเป็นเทพมังกรขึ้น ๆ ลง ๆ จากนั้นนางก็จิกปาก “รูปลักษณ์ของเจ้าจะเป็นแกะก็ไม่ใช่แกะ จะเป็นงูก็ไม่ใช่งู ข้ามองยังไงเจ้าก็ดูไม่เป็นมังกร เจ้าเหมือนมังกรที่ใด ? แค่ตัวยาวงั้นรึ ?”
ท่าทีของสัตว์อสูรตัวนั้นแข็งขืนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
มนุษย์คนนี้… ไม่รู้จักเขากระนั้นหรือ ? ดูเหมือนว่าเขาจะถูกกักขังอยู่ที่นี่เป็นเวลานานมาก หรือว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตำนานของเขาจะหายสาบสูญไปจากแผ่นดินใหญ่เสียแล้ว ?
***จบบทขุดถึงแกนโลก ก็จะหาเจ้าให้พบ (2)***