จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1166 -1170
บทที่ 1166 : เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน (1)
”ไปกันเถอะ”
เป็นเวลานานก่อนที่ไป๋เสี่ยวเฉินจะค่อยๆ กล่าวออกมาช้าๆ น้ำเสียงเด็กน้อยของเขาเต็มไปด้วยความหดหู่ และเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว ผู้ใดได้ยินก็เป็นต้องเศร้าตาม
ทว่า…
นัยน์ตาของเด็กชายตัวน้อยกลับแน่วแน่
ตราบใดที่สัตว์อสูรสองตัวข้างๆ เขายังมีชีวิตอยู่ หม่ามี้ของเขาก็ต้องตามหาเขาแน่ ๆ !
”นอกจากนี้…”ไป๋เสี่ยวเฉินมองหลงหยันอย่างใจเย็น “สภาพของเจ้าตอนนี้ หากไปกับข้าอาจจะเตะตาผู้คนจนเกินไป แปลงร่างเป็นมนุษย์ดีกว่า”
”อืม”
หลงหยันงอปากร่างของเขาค่อย ๆ ปกคลุมไปด้วยแสงสีเหลืองอ่อน ๆ ทันใดนั้นเองก็ปรากฏภาพชายชราในชุดคลุมสีเหลืองยืนอยู่ด้านหลังไป๋เสี่ยวเฉิน
แม้ว่าชายชราจะมีเส้นผมสีดอกเลาหากแต่ใบหน้าของเขากลับไม่มีริ้วรอย เขายังแลดูหล่อเหลา หากมิใช่เพราะน้ำเสียง อาจไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาเป็นคนแก่
ไป๋เสี่ยวเฉินไม่ได้มองคนทั้งสองอีกต่อไปเขาจับมือเล็ก ๆ ของเสี่ยวหลงเอ๋อ จากนั้นก็ก้าวช้า ๆ ออกไปนอกหุบเขา
…
ในเวลาเดียวกันบนยอดเขาสูงร่างของไป๋หยานก็โผล่ขึ้นมาจากพื้น นางลูบท่อนแขนที่เจ็บปวด ขณะที่นางกำลังจะลุกขึ้นนั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงดังโครมครามขึ้นในระยะไกล ๆ
เสียงดังสนั่นพลันพื้นดินก็สั่นสะเทือนสองสามครั้ง
ไป๋หยานขมวดคิ้วน้อยๆ สายตาของนางจับจ้องไปยังสถานที่ที่ซึ่งไม่ไกลนัก ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดควันคละคลุ้งไปบนท้องฟ้าต่อหน้าต่อตานาง จากนั้นเสียงแก่ ๆ ก็ดังเข้ามาในหูของนาง
“ครานี้ต่อให้เจ้าหนีไปจนสุดขอบโลก คนในเทวาคารของเราก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน !”
เทวาคาร?
ไป๋หยานครุ่นคิดเล็กน้อยดูเหมือนว่าผู้ที่จัดการกับแดนอสูรในตอนนั้นคือคนที่มาจากสถานที่ที่เรียกว่าเทวาคาร …
นางลุกขึ้นยืนจากนั้นก็หายตัววับ เพียงพริบตาก็ปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยควัน
บนยอดเขาเบื้องหน้าสตรีในอาภรณ์สีน้ำเงินยาวยืนอยู่ท่ามกลางอากาศว่างเปล่า นางจ้องมองผู้คนด้านล่างอย่างเฉยเมย มุมปากสีชมพูอ่อนของนางยกโค้งน้อย ๆ
”คนในเทวาคารแล้วไง? พวกเจ้ามีความสามารถพอที่จะจับตัวข้ากระนั้นรึ ?”
ตูม!
สตรีในอาภรณ์สีน้ำเงินเคลื่อนไหวทันที
นางก้าวย่างอย่างแผ่วเบาราวกับสายลมไปหาคนที่อยู่ใกล้นางที่สุดอย่างรวดเร็วจากนั้นกำปั้นสีชมพูก็อัดลงมาอย่างแรง คนผู้นั้นถึงกับถอยหลัง และล้มลงกับพื้นมีเลือดไหลออกมาจากปากเขาไม่หยุด
ครั้นเห็นเช่นนี้คนที่เหลือต่างก็ไม่ลังเลอีกต่อไปต่างชักอาวุธของตนขึ้น จากนั้นก็พุ่งเข้าหาสตรีในอาภรณ์สีน้ำเงินผู้นั้นทันที …
นัยน์ตาของหญิงสาวในอาภรณ์สีน้ำเงินยังคงเฉยเมยยามนี้นางดูราวกับเทพธิดาที่สูงส่งเหนือมนุษย์ทั่วไป นางจ้องมองผู้คนที่ปิดล้อมนางอย่างเย็นชา ใบหน้าของนางไร้สิ้นซึ่งอาการหวาดกลัว แลดูปกติมาก
ตูม!
ชั่วขณะนั้นกลิ่นอายของหญิงผู้นั้นก็พุ่งออกมาราวกับคลื่นที่พลุ่งพล่านแปรเปลี่ยนผืนฟ้าให้กลายเป็นสีเทา
ต้นไม้โดยรอบถูกคลื่นพลังลูกใหญ่นี้ถอนรากถอนโคนขึ้นมาจนสิ้น
ผู้คนที่วิ่งเข้าหาหญิงผู้นั้นพลันถูกคลื่นพลังขนาดใหญ่ซัดกระทั่งตกลงสู่พื้นพวกเขาต่างมองหญิงสาวในอาภรณ์สีน้ำเงินที่ยืนอยู่ท่ามกลางอากาศว่างเปล่าด้วยความประหลาดใจ
…
บริเวณใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ห่างไกลกันนักไป๋หยานหยุดอยู่ที่นั่น
ใบหน้าของหญิงผู้นั้นตราตรึงอยู่ในสายตาของนางหัวใจของนางพลันเต้นไม่เป็นส่ำ
หญิงสาวในอาภรณ์สีน้ำเงินจัดการกลุ่มคนเหล่านั้นกระทั่งล้มระเนะระนาด จากนั้นนางก็หันหลังกลับ และผละจากไป
“ไม่นะ! อย่าเพิ่งไป !”
ครั้นหญิงในอาภรณ์สีน้ำเงินที่อยู่ต่อหน้าต่อตาไป๋หยานกำลังจะผละจากไปหัวใจของไป๋หยานพลันสั่นสะท้านทันที นางรีบไล่ติดตามหญิงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว หากแต่ฝ่ายตรงข้ามก็เร็วมากเหลือเกิน เพียงพริบตาหญิงในอาภรณ์สีน้ำเงินก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากที่หญิงสาวในอาภรณ์สีน้ำเงินหายตัวไปไป๋หยานก็หยุดวิ่งไล่ นางกุมหัวใจตนเองไว้แน่น พลางหลับตาลงเล็กน้อย
***จบบทเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน (1)***
บทที่ 1167 : เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน (2)
“เป็นนางงั้นหรือ”
แต่นอกจากจะเป็นนางแล้วยังจะมีใครอีกที่ … ดูเหมือนตัวนางมากเพียงนี้
ใบหน้าของไป๋หยานซีดลงเล็กน้อยนางใช้เวลาครู่ใหญ่ ก่อนที่จะยกมุมปากขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ขมขื่น
”จะเป็นนางหรือไม่ก็ตามข้าจะต้องหานางให้เจออีกครั้ง ! ตราบใดที่นางยังอยู่ในอาณาจักรสวรรค์นี้ สักวันเราก็จะได้พบกันอีก !”
เราทั้งคู่ต่างก็เป็นศัตรูกับเทวาคารเช่นนั้นไม่ว่าจะอย่างไร พวกเราจะต้องได้พบเจอกันอีกครั้งเป็นแน่ !
…
ในป่าแห่งนี้มีลานกว้างที่มีสายน้ำโอบล้อมและบริเวณลานนั้นถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ นอกจากนี้ยังมีค่ายกลอยู่โดยรอบ เช่นนั้นจึงเป็นการยากที่จะถูกค้นพบ
สตรีในอาภรณ์สีน้ำเงินร่อนลงมาจากอากาศที่ว่างเปล่านางสะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะก้าวย่างอย่างแช่มช้า เข้าไปยังลานบ้านอีกด้านหนึ่ง
ทันทีที่นางเดินเข้าไปเด็กสาวอายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีก็กล่าวทักทายนางพร้อมยิ้มรับ เด็กสาวเกี่ยวแขนของสาวอาภรณ์สีน้ำเงินไว้
“ท่านอาหนิงในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว พวกเทพสวรรค์ในเทวาคารนั่นรบกวนใจท่านใช่หรือไม่ ?”
ไป๋หนิงจ้องมองหญิงสาวที่ร่าเริงมีชีวิตชีวาผู้ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้านางด้วยแววตาที่อ่อนโยนพร้อมกับยิ้มให้น้อยๆ
”ไม่ต้องห่วงตาแก่พวกนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เพียงแต่อย่าบอกบิดาของเจ้านะว่าข้ากลับมาแล้ว”
”อืม”
หญิงสาวตอบรับอย่างว่าง่ายนางเกี่ยวแขนของไป๋หนิงอย่างสนิทสนม รอยยิ้มที่ไร้เดียงสา และมีชีวิตชีวาพลันปรากฏบนแก้มสีชมพูของนาง
“ป้าหนิง…ท่านพ่อรักท่านส่วนท่านก็ชอบท่านพ่อมากแล้วเหตุใดท่านไม่ยอมแต่งงานกับท่านพ่อของข้าเสียทีล่ะ?”
ไป๋หนิงตัวสั่นพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าของนางค่อย ๆ เปิดเผยความรู้สึกราวกับทำอะไรไม่ถูก
”มีบางอย่างที่ข้าไม่อาจตัดสินใจได้ทั้งเจ้าก็ยังเด็กเกินไป หากเจ้ามีเวลากังวลเกี่ยวกับเรื่องของข้าและบิดาของเจ้า เจ้าก็ควรมองหาบุรุษที่เจ้าปรารถนาจะแต่งงานด้วยจะดีกว่า”
แก้มสีชมพูของหญิงสาวแดงระเรื่อนางเขย่าแขนของไป๋หนิงอย่างเขินอาย
“ท่านอาหนิง…ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรเยี่ยเอ๋อจะอยู่กับท่านพ่อกับท่านอาหนิงไม่แต่งงานตลอดไป”
ไป๋หนิงยิ้มไม่กล่าวคำใดอีก นางเงยหน้าขึ้นจึงเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากลานหน้าบ้าน
ชายคนนี้มีใบหน้าที่หล่อเหลาเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มของเขาแลดูภูมิฐานและสุภาพ
”เยี่ยเอ๋อพ่อมีเรื่องจะพูดกับท่านอาหนิง เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
”ได้สิ”
หนิงเยี่ยแลบลิ้นสีชมพูของนางออกมานางยิ้มพลางปล่อยมือของไป๋หนิง นางแอบแสดงท่าทางให้กำลังใจชายผู้นั้น จากนั้นก็ถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ
ทันทีที่ไป๋หนิงเห็นชายคนนี้ปรากฏตัวนางก็ชะงัก
ชายคนนั้นก็ไม่ได้กล่าวคำใด
ชั่วขณะหนึ่งบรรยากาศในลานหน้าบ้านทั้งหมดแลดูอึมครึมและน่าอึดอัด
สุดท้าย…ไป๋หนิงก็เป็นผู้ที่ทำลายความเงียบสงบในช่วงเวลานี้ขึ้นก่อน
“พี่หยวนพี่มาหาข้า … มีเรื่องใดกระนั้นหรือ ?”
หนิงหยวนจ้องไป๋หนิงด้วยสายตาที่ลึกซึ้งเสียงของเขาลุ่มลึก และแหบห้าว
”หนิงเอ๋อ…เรารู้จักกันมาก็นานหลายปีแล้วเจ้าน่าที่จะเข้าใจความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้า … เหตุใดเจ้าถึงได้ลังเลที่จะยอมรับข้า ?”
ไป๋หนิงสะดุ้งคิ้วของนางขมวดน้อย ๆ “ข้ามักจะรู้สึกว่าข้าลืมอะไรบางอย่าง…ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังรอข้าอยู่ ข้าจะต้องหาสิ่งที่ข้าสูญเสียไปคืนมา ขอโทษ…พี่หยวน ข้ารู้ว่าท่านห่วงใยข้า ทว่าข้าไม่อาจจะตอบรับท่านได้ ”
หลังจากที่นางกล่าวเช่นนี้แล้วนางก็ทำท่าจะผละจากหนิงหยวน
หากแต่นางก้าวออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าวมือใหญ่ ๆ ก็ยื่นออกมาจากด้านหลัง คว้าจับมือของนางไว้แน่น
แววตาของไป๋หนิงเย็นชา”ปล่อย !”
น้ำเสียงของนางเช่นนี้หนิงหยวนไม่เคยได้ยินมาก่อน เช่นนั้นร่างของเขาจึงแข็งค้าง เขาค่อย ๆ ปล่อยมือของนาง
***จบบทเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน (2)***
บทที่ 1168 : เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน (3)
”หนิงเอ๋อข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่…เยี่ยเอ๋อชอบเจ้ามาก นางอยากเป็นบุตรสาวของเจ้า เช่นนั้นข้าจึงกังวลมาก หากทำให้เจ้าไม่พอใจ ข้าก็ต้องขอโทษด้วย”
ไป๋หนิงหันหลังให้หนิงหยวนนางใช้เวลาครู่ใหญ่ กว่าจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมยฝากผ่านสายลมไปถึงหูของหนิงหยวน
“พี่หยวนท่านช่วยข้ามาก็หลายครั้งหลายคราแล้ว ข้ารู้สึกขอบคุณท่านมาก ทว่าท่านไม่สามารถบังคับหัวใจผู้ใดได้ หากท่านต้องการรับข้าเป็นน้องสาวของท่าน ข้าก็ย่อมยินดี แต่หากท่านมีความคิดอื่น … ท่านได้โปรดอย่าเข้ามาที่พำนักของข้าอีกเลย”
ร่างของหนิงหยวนเริ่มแข็งค้างเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสตรีที่มักจะเจรจาอ่อนหวานอยู่เสมอ จะใจร้ายกับเขามากถึงเพียงนี้
”สำหรับเยี่ยเอ๋อ… ” น้ำเสียงของไป๋หนิงอ่อนลงเล็กน้อย “ข้าชอบนางมาก ทว่าน่าเสียดายที่นางไม่สามารถเป็นบุตรสาวของข้าได้ แม้แต่เป็นบุตรบุญธรรมก็ไม่ได้ด้วย”
”ทำไม?”
หนิงหยวนขมวดคิ้ว
หากไป๋หนิงไม่ชอบเขาการที่นางไม่เต็มใจที่จะเป็นแม่เลี้ยงของเยี่ยเอ๋อก็นับเป็นข้อแก้ตัวที่ดี หากแต่ … เห็นได้ชัดว่านางรักเยี่ยเอ๋อมาก ก็แล้วเหตุใดนางถึงไม่เต็มใจที่จะรับเยี่ยเอ๋อเป็นบุตรสาวบุญธรรมล่ะ
ไป๋หนิงส่ายศีรษะพลางหัวเราะน้อยๆ “ข้าเองก็ไม่รู้ ข้ามักจะรู้สึกว่าภายในใจของข้าไม่มีความสุขเลย ข้ามักรู้สึกเสมอว่า ข้ามีบุตรสาวอีกคน ราวกับว่า … ตำแหน่งนี้มีผู้ครอบครองไปแล้ว พี่หยวนข้าจะปฏิบัติต่อเยี่ยเอ๋อเฉกเช่นปฏิบัติกับหลานสาว ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยที่ไม่อาจเป็นมารดาของนางได้”
หนิงหยวนตกตะลึง
เขาจ้องมองร่างของไป๋หนิงด้วยสายตาพร่าเลือนกระทั่ง นางเดินลับตาไป ใบหน้าของเขาซีดลงเล็กน้อย
เขาใช้ความพยายามเนิ่นนานหลายปีทั้งอยู่กับนางมานานมากแล้ว เขายังมิอาจทำให้หัวใจของนางหวั่นไหวได้อีกกระนั้นหรือ ?
แม้แต่เยี่ยเอ๋อก็ไม่สามารถก้าวเข้าไปในหัวใจของนางได้เช่นกันกระนั้นรึ?
หญิงผู้นี้ใจแข็งเพียงไหนกัน? นางสามารถปฏิเสธพวกเขาได้งั้นหรือ ?
”ท่านพ่อ”
เสียงดังมาจากด้านหลังหนิงหยวนดึงสติของเขาให้กลับคืนมา
เขาหันหน้าไปมองสาวสวยที่ยืนอยู่ด้านหลังพลางเอ่ยถามเสียงแข็ง “เมื่อกี้นี้เจ้าได้ยินทุกอย่างหรือไม่ ?”
หนิงเยี่ยพยักหน้านางเม้มปากพลางกล่าว “ท่านพ่อ…ท่านบอกว่าท่านอาหนิงไม่ยอมรับข้าเป็นบุตรสาว เพราะนางมีบุตรสาวอีกคนใช่หรือไม่ ?”
หนิงหยวนเงียบทำให้หนิงเยี่ยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะเอ่ยกล่าวขึ้นว่า “อาจจะเป็นเช่นนั้น”
”ท่านพ่อ”หนิงเยี่ยตะคอก ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “นับแต่ข้าเกิดมา มารดาผู้ให้กำเนิดข้าก็เสียชีวิตไปแล้ว สตรีคนแรกที่ข้ารู้จักก็คือท่านอาหนิง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ท่านอาหนิงไม่มีครอบครัว ไร้ซึ่งญาติพี่น้องคอยดูแล มีแต่เราสองพ่อลูกที่อยู่เคียงข้างนาง”
“ในเมื่อบุตรสาวของท่านอาหนิงยังไม่เคยทำหน้าที่ลูกกตัญญูเช่นที่ควรจะทำในฐานะบุตรสาวนี่นางยังไม่ยอมให้ท่านอาหนิงมีความสุขกับการเลี้ยงดูบุตรสาวของตนเองอีกกระนั้นรึ ? เหตุใดบุตรสาวเช่นนี้ถึงยังมีตำแหน่งในใจของท่านอาหนิงได้อีกล่ะ ?”
หนิงเยี่ยโกรธมาก
พวกนางต่างหากที่คอยอยู่เคียงข้างท่านอาหนิงเหตุใดคนอื่นถึงขโมยหัวใจท่านอาหนิงของนางไปได้
หนิงหยวนหน้าซีดเขาตวาดด้วยความโกรธ “เยี่ยเอ๋อ อย่าพูดไร้สาระ !”
”ข้าไม่ผิดข้าเพียงรู้สึกเสียใจกับท่านอาหนิง นางต้องหงุดหงิดกับการสูญเสียความทรงจำ เหตุต้องเกิดจากสามีของนางทอดทิ้งนาง เพราะหลงใหลหญิงคนใหม่ที่สาวกว่า ส่วนบุตรสาวของนางก็ต้องเป็นเด็กอกตัญญู หาไม่ท่านอาหนิงจะเป็นเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ?”
ในขณะที่นางเอ่ยกล่าวเช่นนี้หนิงเยี่ย ไม่ได้สังเกตว่าใบหน้าของหนิงหยวน ซีดลงเรื่อย ๆ นางยังคงเอ่ยกล่าวต่อไปด้วยความโกรธ “ท่านอาหนิงช่างน่าสงสารจริงๆ นางสูญเสียความทรงจำ หากแต่กลับจำได้ว่าตนเองมีบุตรสาว บุตรสาวคนนี้ไม่คู่ควรให้ท่านอาหนิงจดจำเลย !”
***จบบทเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน (3)***
บทที่ 1169 : เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน (4)
หนิงเยี่ยคว้าแขนเสื้อของหนิงหยวนเอ่ยกล่าวอย่างน่าสงสารว่า “ท่านพ่อ ข้าชอบท่านอาหนิงมาก ท่านหาทางให้ท่านอาหนิงแต่งงานกับท่านได้หรือไม่ ? ข้าอยากเป็นบุตรสาวของนาง”
หนิงหยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่”เจ้าก็รู้ดีว่าท่านอาหนิงคิดต่อข้าเช่นไร ? นางปฏิบัติกับข้าในฐานะพี่ชายเท่านั้น ทั้งเมื่อข้าบอกกล่าวความในใจออกไป นางก็เย็นชาต่อข้ามาก”
”แต่… ” หนิงหยวนหันมาสบตา “แม้ว่าท่านอาหนิงปฏิเสธที่จะรับเจ้าเป็นบุตรสาว ทว่านางก็ชอบเจ้ามาก ยามที่เจ้าอยู่กับนาง เจ้าก็พยายามหว่านล้อมนางบ่อย ๆ ด้วยวิธีนี้ข้าเชื่อว่าอาจจะมีโอกาส”
หนิงเยี่ยยิ้มรอยยิ้มของนางเผยให้เห็นเขี้ยวเสือสองซี่ที่น่ารัก รอยยิ้มของนางสดใสราวกับดวงตะวัน
”เอาล่ะท่านพ่อไม่ต้องห่วง ข้าจะต้องเป็นบุตรสาวของท่านอาหนิงให้ได้ ภายหน้าข้าจะขับไล่เงาบุตรสาวของนางให้หมด จากนั้นข้าก็จะกลายเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของนาง !”
นางพิจารณาแล้วว่าการที่ไป๋หนิงสูญเสียความทรงจำน่าที่จะเกิดจากความเสียใจอย่างมากนางจึงจินตนาการสร้างเรื่องราวในใจขึ้นมา และในละครเรื่องนี้นั้นบุตรสาวผู้ซึ่งไป๋หนิงให้กำเนิด ก็ดูเหมือนจะเป็นคนอกตัญญูที่ชั่วร้าย
ซึ่งไม่คู่ควรให้ไป๋หนิงจดจำ!
”แค่ก!” หนิงหยวนไอแห้ง ๆ “อย่าได้พูดเช่นนี้ต่อหน้าท่านอาหนิงของเจ้าล่ะ นางอาจถูกทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรงจากพวกเขาก็จริง หากแต่ก็เป็นการยากที่จะรับประกันได้ว่าหลังจากที่เจ้าพูดออกไปแล้วท่านอาหนิงจะไม่โกรธเจ้า”
นางสามารถเพิกเฉยต่อเขาได้เพราะเขาสารภาพรักกับนาง ทว่าก็เป็นการยากที่จะรับประกันได้ว่า แม้แต่เยี่ยเอ๋อก็อาจจะถูกนางเย็นชาใส่เพราะถ้อยคำเหล่านี้
ทว่า…
ด้วยเหตุนี้หนิงหยวนจึงพบว่าสถานะของพวกเขาสองพ่อลูกในหัวใจของนางไม่ได้แข็งแกร่งเช่นที่เขาคิด!
เหตุผลที่นางรักเยี่ยเอ๋อมากอาจเป็นเพราะนางแสดงความรู้สึกที่มีต่อบุตรสาวของนางมากกว่า หากวันหนึ่งเยี่ยเอ๋อพูดไม่ดีถึงบุตรสาวของนางต่อหน้านาง ก็อาจจะทำให้นางโกรธได้ …
”ท่านพ่อไม่ต้องเป็นกังวลข้ารู้ว่าสิ่งใดควรพูด และสิ่งใดไม่ควรพูด” หนิงเยี่ยยิ้มอย่างน่ารัก “ยิ่งไปกว่านั้น…ข้าเป็นเด็กดีของท่านอาหนิงมาโดยตลอด หาไม่ท่านอาหนิงคงจะไม่ชอบข้ามากถึงเพียงนี้”
ในที่สุดรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนิงหยวนเขาตบไหล่หนิงเยี่ย เอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เยี่ยเอ๋อ เจ้าเป็นที่พึ่งคนเดียวของพ่อ”
ตอนนี้ไป๋หนิงทำตัวเหินห่างจากเขาความรักของไป๋หนิงที่มีต่อหนิงเยี่ยเป็นหนทางเดียวที่เขาจะสามารถแต่งงานกับไป๋หนิงได้ …
เขาเพียงหวังว่าเยี่ยเอ๋อจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง
…
ภายในห้องสายลมพัดผ่าน ม่านบังเตียงพริ้วไหวตามแรงลม
ไป๋หนิงนั่งอยู่บนโต๊ะในมือถือเอี๊ยมกันเปื้อนสีแดงนางใช้นิ้วมือลูบไล้ไปตามลวดลายเอี๊ยม
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานางพยายามตามหาอดีตของตนเอง หากแต่นอกเหนือจากชื่อไป๋หนิงแล้ว นางก็ไม่รู้อะไรอีกเลย
เอี๊ยมกันเปื้อนเด็กถูกนำออกจากถุงเก็บของที่นางถือมานี่ต้องเป็นของที่นางตระเตรียมไว้
กระทั่งถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เต็มใจที่จะทิ้งมัน …
”เหตุใดเหตุใดข้าถึงจำอะไรไม่ได้เลย ?”
นางขมวดคิ้วแน่นพยายามครุ่นคิดค้นหาเศษเสี้ยวของอดีตที่อยู่ในใจอย่างสิ้นหวัง เมื่อใดก็ตามที่นางต้องการหวนนึกถึงอดีต ความเจ็บปวดก็จะถาโถมเข้าใส่ ทำให้นางต้องกุมศีรษะแน่น บางทีก็ถึงกับโขกศีรษะที่รวดร้าวนั้นเข้ากับโต๊ะอย่างแรง
ปัง!
หนิงเยี่ยต้องการมาหาไป๋หนิงแต่ครั้นได้ยินเสียงโป๊ก ๆ ดังออกมาจากห้อง นางก็รีบกระแทกประตูเข้าไป
“ท่านอาหนิงเกิดอะไรขึ้น? ท่านอาหนิง”
***จบบทเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน (4)***
บทที่ 1170 : เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน (5)
นางโอบกอดไหล่ของไป๋หนิงแน่นน้ำตาแห่งความห่วงใยของนางแทบจะร่วงหล่น
ไป๋หนิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
วิสัยทัศน์ของนางพร่ามัวภาพของหญิงสาวที่ปรากฏเบื้องหน้านางนั้นช่างเลือนลาง
“ลูกสาวข้าเป็นเจ้าใช่หรือไม่ ?”
ร่างของหนิงเยี่ยแข็งขืนไป๋หนิงไม่ต้องการเป็นมารดาของนาง นางก็รู้ดี เช่นนั้นบุตรสาวที่ไป๋หนิงเรียกขานย่อมไม่ใช่นางเป็นแน่
ไป๋หนิงกุมศีรษะของตนเองแน่นขึ้นอีกนางเอ่ยกล่าวด้วยความเจ็บปวด “ข้าจำได้ว่าข้ามีลูกสาว หากแต่ข้ากลับจำไม่ได้ว่านางอยู่ที่ใด ? แม้แต่ชื่อของนางข้าก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้าจำอะไรไม่ได้เลย”
ครั้นหนิงเยี่ยเห็นไป๋หนิงยังคงห่วงแต่นางลูกอกตัญญูผู้นั้นความอิจฉาในใจของหนิงเยี่ยก็ยิ่งคุกรุ่น
กว่าสิบปีแล้วที่นางอยู่กับท่านอาหนิงเหตุใดคนอื่นกลับช่วงชิงความรักของท่านอาหนิงไปได้ ?
“ท่านอาหนิงข้าเป็นบุตรสาวของท่านนะ และข้าจะดูแลท่านไปตลอดชีวิต”
เสียงของหนิงเยี่ยนั้นแจ่มชัดอีกทั้งไพเราะ หากแต่สิ่งที่นางพูดทำให้ไป๋หนิงหลุดจากสถานการณ์นี้ออกมาจนได้
นางค่อยๆ ลดมือลง พลันสายตาที่พร่ามัวของนางก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ใบหน้าที่เป็นกังวลสะท้อนชัดในดวงตาของนาง ทำให้นางแข็งขืนขึ้นเล็กน้อย
”เยี่ยเอ๋อเป็นเจ้านั่นเอง ขอโทษด้วย เมื่อครู่ข้าขาดสติไปหน่อย”
”ท่านอาหนิง!” นัยน์ตาของหนิงเยี่ยเต็มไปด้วยความกังวล นางกัดริมฝีปากแน่น “ท่าน…จำอะไรได้บ้างหรือไม่ ?”
ไป๋หนิงยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายศีรษะ”อดีตของข้าว่างเปล่า ข้าจดจำสิ่งใดไม่ได้เลย”
ครั้นได้ยินเช่นนี้หนิงเยี่ยก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกโดยไม่รู้ตัว
โชคดีที่อาหนิงจำอะไรไม่ได้แม้ว่านางจะไม่อยากเป็นมารดาของข้าก็ตาม อย่างน้อย … คนที่อยู่เคียงข้างนางมาตลอดก็คือพวกเราสองพ่อลูกเท่านั้น
”ท่านอาหนิงไม่เป็นไร ท่านอย่าได้คิดถึงมันอีกเลย ท่านอยู่กับข้า ข้าก็จะอยู่กับท่านอาหนิงตลอดไป” แววตาของหนิงเยี่ยสดใส และไร้เดียงสา นางจ้องมองสตรีผู้ซึ่งนั่งตรงหน้าด้วยสายตาแน่วแน่
ไป๋หนิงสะดุ้งนางไม่กล่าวคำใดอีก
ครั้นเห็นทีท่าของไป๋หนิงหนิงเยี่ยก็รู้สึกราวหัวใจถูกกระชากอย่างรุนแรงอีกครั้ง
นางอยู่กับไป๋หนิงมานานหลายปีแล้วหากแต่กลับไม่อาจเทียบบุตรสาวแท้ ๆ ของไป๋หนิงได้เลยกระนั้นรึ ? นี่ช่างไม่ยุติธรรมกับนางเลยจริง ๆ
”เยี่ยเอ๋อข้าอยากออกไปเดินเล่นไม่ต้องบอกท่านพ่อของเจ้า ข้าไม่อยากเจอเขาในตอนนี้”
ไป๋หนิงถอนหายใจอย่างโล่งอกนางลุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่าว
”ท่านอาหนิงข้าจะไปเป็นเพื่อนท่าน” หนิงเยี่ยเกี่ยวแขนไป๋หนิงพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้ออกจากที่นี่นานแล้ว ปกติท่านพ่อของข้าก็ไม่อนุญาตให้ข้าออกไปข้างนอก ตอนนี้ข้าไปกับอาหนิง เขาคงจะรู้สึกโล่งใจ”
ไป๋หนิงหันไปมองใบหน้ายิ้มแย้มของหนิงเยี่ยนางไม่อาจใจร้ายปฏิเสธหนิงเยี่ยได้
”เอาล่ะ…เช่นนั้นก็ตามข้ามา”
หนิงเยี่ยกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข”ท่านอาหนิง ข้ารู้ว่าท่านดีกับข้าที่สุด ท่านพ่อของข้าสิไม่ยอมพาข้าออกไปข้างนอกเลย”
”เจ้า…นี่มัน”
ไป๋หนิงบีบจมูกเล็กๆ ของหนิงเยี่ย รอยยิ้มที่มุมปากของหนิงเยี่ยพลันยกขึ้นเล็กน้อย
เมื่อใดก็ตามที่ไป๋หนิงมองนางด้วยแววตาหลงใหลก็มักจะทำให้นางรู้สึกอึดอัดมากเสมอ
ดูเหมือนว่าไป๋หนิงจะมองเห็นใครอีกคนผ่านนาง…
หนิงเยี่ยเม้มริมฝีปากนางมีเวลาอยู่กับท่านอาหนิงเยอะแยะ วันหนึ่งนางจะขับไล่บุตรสาวผู้ซึ่งท่านอาหนิงให้กำเนิดออกไปจากหัวใจนาง !
…
ในช่วงเวลานี้ทุกคนในแดนสวรรค์ต่างกำลังตื่นตระหนกเหตุเพราะการโจมตีของอาณาจักรอสูร
***จบบทเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน (5)***