จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1266-1270
บทที่ 1266 : ถือกำเนิด (2)
แม้ว่าเขาจะเป็นสัตว์อสูร !
ฟิ้ว !
ทันทีที่คำกล่าวของคนผู้นี้จบลง ชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ก็กลายเป็นสายลม และหายไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตาเขา
ณ อาณาจักรอสูร
ใต้กำแพงเมือง
ชายหนุ่มยืนอยู่ท่ามกลางสายลมหนาวถือดาบยาวไว้ในมือ เสื้อคลุมสีฟ้าห่อหุ้มร่างสูงโปร่งของเขา
ชายหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลา ทว่านัยน์ตาสีดำสนิทของเขามีเจตนาสังหารอย่างเย็นชา เขาก้าวช้า ๆ ไปที่ประตูเมือง ทันใดนั้นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็โผล่ออกมาจากประตูเมืองโอบล้อมเด็กหนุ่มไว้ตรงกลาง
ต่อหน้ายอดฝีมือจำนวนมากมายในแดนอสูร เด็กหนุ่มสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือก “เรียกตี้คังออกมาพบข้า !”
“เจ้าเป็นใครกล้าเรียกชื่อองค์ราชาของเราตรง ๆ ได้อย่างไร ?” หัวหน้าเหล่าทหารองครักษ์เอ่ยถามอย่างเย็นชา
ชายหนุ่มยิ้มเยาะ “ข้าเพียงอยากจะถามเขาว่า เขาต้องการรับพระสนมจริง ๆ กระนั้นหรือ ? ให้เขาออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้ !”
พวกทหารองครักษ์ตะลึง
ช่วงนี้แดนอสูรกำลังวุ่นวาย มีข่าวแว่วมาว่าองค์ราชาทรงคัดเลือกพระสนม ทรงมีรับสั่งให้ผู้อาวุโสใหญ่นำสาว ๆ กลับมา หรือพวกนางจะเป็นพระสนมที่องค์ราชาทรงเลือกไว้
แม้สาว ๆ เหล่านั้นบางคนจะอ้างว่า มาที่นี่เพื่อดูแลองค์หญิงน้อย ทว่าเด็กในพระครรภ์ของราชินีก็ยังไม่ประสูติ ผู้ใดจะรู้ว่าจะเป็นองค์หญิงหรือองค์ชาย เรื่องดูแลองค์หญิงน้อยคงไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าข้ออ้าง ทว่าแท้จริงแล้วราชาทรงกำลังดำริที่จะสร้างตำหนักพระสนมมากกว่า
แน่นอน…
ว่านี่เป็นเพราะคนเหล่านี้ ตี้คังนำมาจากดินแดนลับของแดนอสูร ทำให้เมื่อเกิดข่าวลือพวกเขาจึงไม่รู้เรื่องรู้ราวมากนัก และด้วยนิสัยเย่อหยิ่งของตี้คัง พวกเขาก็เชื่อถ้อยคำเหล่านี้โดยปริยาย
พวกเขารู้เพียงว่าราชาทรงรักราชินีมาก หากแต่พวกเขาไม่รู้ว่าทั้งหมดที่ราชาของเขาต้องการในชีวิตนี้คือนางเพียงคนเดียวเท่านั้น
และเนื่องจากตี้คังจากไป ผู้อาวุโสใหญ่จึงรู้สึกเป็นกังวลมาก เขารีบเข้าสันโดษ เพื่อหวังที่จะบุกทะลวงเข้าไปขั้นที่สูงขึ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อปกป้องความปลอดภัยของแดนอสูรก่อนที่ตี้คังจะกลับมา …
“ข้าคิดว่านี่เป็นเพียงข่าวลือ ไม่คาดคิดว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน !”
สายลมกระโชกรอบตัวของเด็กหนุ่ม นัยน์ตาของเขาเยือกเย็นราวกับคมดาบ เขากำดาบยาวไว้ในมือแน่น บางทีอาจเป็นเพราะความโกรธในใจที่ทำให้มือของเขาสั่นระริกขณะที่กำดาบแน่น
“วันนี้ข้าต้องได้พบตี้คัง ข้าอยากถามเขาว่า ตอนนั้นให้สัญญากับข้าไว้ยังไง ? เขาสัญญาว่าจะรักพี่สาวของข้าคนเดียวตลอดไป ทว่าบัดนี้เขากลับอยากคัดเลือกพระสนมกระนั้นหรือ ! เช่นนั้นหากเขารับคนหนึ่ง ข้าก็จะฆ่าคนหนึ่ง หากเขารับสนมสองคน ข้าก็จะฆ่าสอง ! ดูสิว่าเขาจะสามารถมีพระสนมได้หรือไม่ ?”
มุมปากของเด็กหนุ่มยกโค้งอย่างน่ากลัว ใบหน้าของเขายังคงถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายเย็น ๆ อากาศรอบตัวเขาพลันเย็นยะเยือก ส่งผลให้ทหารยามที่อยู่โดยรอบต้องถอยหลังไปสองสามก้าว
“ท่าน … ” นัยน์ตาของหัวหน้าทหารยามเบิกกว้าง เขากัดริมฝีปากเอ่ยถามเสียงสั่น “ท่านเป็นน้องเขยขององค์ราชากระนั้นหรือ ?”
คำเรียกนี้ ทำให้เด็กหนุ่มเอ่ยเยาะอีกครั้ง “น้องเขยกระนั้นหรือ ? เอาเป็นว่าพี่สาวของข้าคือไป๋หยาน หากแต่ … ข้าจำไม่ได้ว่าชายเฮงซวยผู้นั้นเป็นพี่เขยข้า ! ตอนนี้เจ้ารู้แล้วว่าข้าเป็นใคร ก็จงเรียกตี้คังออกมาหาข้า หรือว่าเขาไม่กล้าออกมา ?
องครักษ์ปาดเหงื่อเย็น ๆ บนหน้าผาก เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นน้องชายของราชินีจริงหรือ ? หรือที่เขามาที่นี่เป็นความต้องการของราชินี
แม้ว่าองค์ราชาจะทรงวางแผนเลือกพระสนม ทว่าราชินีก็ทรงเป็นราชินีที่พระราชารักมากที่สุด เช่นนั้นย่อมไม่ควรที่จะทำให้น้องชายของพระนางขัดเคืองใจ
“ที่แท้ก็เป็นนายน้อยไป๋ ข้ามีตาหามีแววไม่ จึงทำให้ท่านขุ่นเคือง ทว่าเวลานี้ น่าเสียดายที่องค์ราชาของเราไม่ได้ประทับอยู่ในแดนอสูร พระองค์เสด็จไปตามหาราชินี”
บทที่ 1267 : ถือกำเนิด (3)
แววตาของไป๋เซียวเริ่มเย็นชาเล็กน้อย “ไอ้บ้านั่นยังกล้าออกตามหาพี่สาวของข้าอีกหรือ ? น่าขันสิ้นดี ! หลังจากที่เขากลับมา เจ้าบอกเขาด้วยว่าข้าไป๋เซียวยินดีที่จะดูแลพี่สาวของข้าด้วยตนเองตลอดไป ! และหากเขาต้องการมีพระสนมจริง ๆ ชีวิตนี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้เขามารบกวนพี่สาวของข้าอีกต่อไป !”
เขาเหลือบมองไปที่ประตูเมืองอาณาจักรอสูรที่เปิดอยู่เป็นครั้งสุดท้าย นัยน์ตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย พลันมีแสงเย็นวาบเปล่งประกายออกมา ชั่วขณะนั้นเขาก็หยุด สะบัดแขนเสื้อ จากนั้นก็หันหลังกลับ
ในขณะที่ เหล่าทหารองครักษ์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยไม่รู้ตัวนั้น จู่ ๆ ประตูเมืองที่อยู่ด้านหลังของเขาก็ดูเหมือนจะได้รับแรงกระแทกอย่างหนักหน่วง พร้อมกันนั้นก็พังทลายลงทันที ฝุ่นละอองหล่นร่วงลงมาที่พื้น
ทหารองค์รักษ์ผงะไปชั่วครู่หนึ่ง พวกเขาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ต่างก็หันไปมองเด็กหนุ่มที่หายตัวไปภายใต้สายลมหนาว แล้วก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
“น้องชายของราชินี … เกรี้ยวกราดมากจริง ๆ”
เขาทำลายประตูเมือง ก็ไม่ต่างจากเหยียบพระพักตร์องค์ราชา ! ดูเหมือนว่าครานี้ หากราชาทรงมีพระประสงค์ที่จะตามราชินีกลับมา เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
…
เทียนซาน
ตั้งตระหง่านท่ามกลางเมฆทะมึน โดยรอบล้วนเต็มไปด้วยภยันตราย
ไป๋หยานใช้ดาบฟาดฟันกิ่งไม้ที่ขวางทางออก จากนั้นก็จูงมือของไป๋เสี่ยวเฉินก้าวข้ามกิ่งไม้ไปอย่างระมัดระวัง
เสียงเหยียบพื้นดังกรอบแกรบดังก้องอยู่ในภูเขาอยู่เป็นเวลานาน
“โอ๊ะ !”
ไป๋หยานรู้สึกเจ็บท้อง นางกุมท้องแน่น ขมวดคิ้วน้อย ๆ ใบหน้าของนางซีดเผือด หน้าผากของนางปกคลุมไปด้วยหยาดเหงื่อเย็น นางกัดฟัน เพื่อกลั้นความเจ็บปวด
“หม่ามี้ หม่ามี้เป็นอะไร ?” ไป๋เสี่ยวเฉินจับมือของไป๋หยานอย่างประหม่าใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาซีดลง หยาดน้ำตาร่วงพรูด้วยความเป็นห่วง
ไป๋หยานส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไร…น้องสาวของเจ้าอาจทนรอไม่ไหวแล้ว นางกำลังอยากจะออกมาดูโลก”
“หม่ามี้ เฉินเอ๋อไม่ดีเอง หากไม่ใช่เพราะเฉินเอ๋อ หม่ามี้ก็คงไม่ต้องมาลำบากทั้ง ๆ ที่กำลังท้องโตเช่นนี้”
หยาดน้ำตาที่เศร้าโศกของไป๋เสี่ยวเฉินร่วงหล่น นัยน์ตากลมโตของเขาแลดูน่าสงสารมาก
ยามนี้ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด หากมิใช่เพราะเขา หม่ามี้ก็คงจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากถึงเพียงนี้
“แม่สบายดี นี่เป็นความปรารถนาของน้องสาวเจ้าเช่นกัน เราจะเดินทางกันต่อ เมื่อเราไปถึงยอดเขาเทียนซาน เราก็จะพบจิ้งจอกฟ้า”
ไป๋หยานยิ้ม พลางวางมือบนศีรษะของไป๋เสี่ยวเฉิน
เพื่อเขาแล้ว แม้ต้องทุกข์ทรมานสักเพียงใด ? นางก็เต็มใจและจะไม่เสียใจเลย !
กับดักบนเทือกเขาเทียนซานนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน ผู้คนที่มาที่นี่ล้วนไม่เคยได้กลับออกไป โชคดีที่ไป๋หยานได้ศึกษารูปแบบกับดักเหล่านี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว สองแม่ลูกจึงสามารถหลีกเลี่ยงภยันตรายต่าง ๆ มาได้
ทว่า…
เทียนซานมีชื่อเสียงมากในเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือทุกครั้งที่ปีนขึ้นไปบนภูเขาแต่ละย่างก้าว ร่างกายของคนผู้นั้นจะหนักขึ้นเล็กน้อย ทว่าท้ายที่สุดก็ราวกับจะแบกน้ำหนักถึงหนึ่งพันจิน (1 จินเท่ากับครึ่งกิโลกรัม)
แน่นอนว่า ข้อจำกัดนี้ส่งผลเพียงมนุษย์เท่านั้น ส่วนไป๋เสี่ยวเฉินซึ่งเป็นสัตว์อสูรแล้ว กลับไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เลย
ภายใต้น้ำหนักถึงเพียงนี้ แผ่นหลังของไป๋หยานก็งองุ้มลงเรื่อย ๆ ร่างของนางสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุมได้ หยาดเหงื่อหลั่งไหลลงมาไม่ต่างกับเม็ดฝนทำให้เสื้อผ้าของนางเปียกชุ่ม
ทว่านางก็ยังคงกัดริมฝีปากแน่น ไม่หยุดก้าวเดิน นางยังคงก้าวต่อไปทีละก้าว ๆ ริมฝีปากบริเวณเนื้อที่นางกัดเกิดอาการชา หยาดเหงื่อพรั่งพรูออกมาปกคลุมนัยน์ตาของนาง ทำให้ทัศนวิสัยของนางพร่ามัว
เห็นได้ชัดว่าอุณหภูมิของภูเขาเทียนซานนั้นต่ำมากไม่ต่างจากภูเขาน้ำแข็ง ทว่านางกลับเหงื่อออกท่วมร่าง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของภูเขาเทียนซาน
ตุ้บ !
ท้ายที่สุดร่างของไป๋หยานก็ไม่สามารถรับความกดดันนี้ได้อีกต่อไป เข่าของนางกระแทกลงกับพื้น นางกุมท้องที่ปวดไว้แน่น ใบหน้าของนางไร้สีเลือด ร่างที่งองุ้มของนางราวจะทรุดลงกับพื้นได้ทุกเมื่อ
บทที่ 1268 : ถือกำเนิด (4)
“หม่ามี้ !”
ไป๋เสี่ยวเฉินก้มลงกอดไป๋หยานร้องไห้เสียงแหบเสียงแห้ง “หม่ามี้ เรากลับกันดีมั้ย ? เฉินเอ๋อไม่ต้องการเลือดของจิ้งจอกฟ้าแล้ว เฉินเอ๋อไม่ต้องการอะไรแล้ว กลับบ้านกันเถอะ … “
“แม่มาถึงที่นี่แล้ว และจะไม่มีวันหันหลังกลับ เฉินเอ๋อที่นี่ห่างจากยอดเขาเทียนซานเพียงร้อยก้าวเท่านั้น แม่ต้องยืนหยัดเพื่อไปถึงที่นั่นให้ได้ แม่ไม่อาจละทิ้งเจ้าได้ !”
ไป๋หยานหลับตาลงเล็กน้อย
ในความคิดของนาง ร่างของไป๋เสี่ยวเฉิน และเด็กน้อยในชุดสีม่วงกอดกันกลมทำให้หัวใจของนางค่อย ๆ มั่นคงขึ้น
แม้ว่านางต้องคลาน นางก็ต้องปีนไปให้ถึงให้จงได้ !
ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งนางจากการช่วยบุตรชายของนางได้ !
มือของไป๋หยานจิกพื้นหิมะแน่น หัวเข่าของนางกดแน่นกระทั่งเกิดรอยบนพื้น นางพยายามปีนขึ้นสู่ยอดเขา …
จิ้งจอกฟ้าจะอยู่บนยอดเขาเท่านั้น หากนางคลอดที่นี่ มันก็คงจะไม่ลงมา เช่นนั้นนางจึงต้องปีนขึ้นไป !
มืออีกข้างของไป๋หยานวางลงบนหน้าท้องของนาง นางรู้สึกว่าเด็กในท้องของนางเตะนางตลอดเวลา นางหลับตาลงเล็กน้อย เพื่อรวบรวมกำลังใจ
ลูกรัก เจ้าต้องปกป้องตนเอง เพื่อพี่ชายของเจ้าแล้ว แม่ทำได้เพียงคอยช่วยเจ้าเท่านั้น !
แม่เชื่อว่าเจ้าจะเกิดมาในโลกนี้ได้อย่างปลอดภัย และอยู่กับแม่ตลอดไป !
ครั้นไป๋เสี่ยวเฉินเห็นไป๋หยานพยายามปีนขึ้นยอดเขา เขาก็ลุกขึ้นเดินตามหลังนางต้อย ๆ พร้อมหยาดน้ำตาเอ่อคลอ เขาติดตามการเคลื่อนไหวของนางไปทีละก้าว ๆ ปีนขึ้นไปบนภูเขา …
เหนือภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยแสงแดดมีเพียงร่างทั้งสอง ร่างหนึ่งใหญ่ ร่างหนึ่งเล็ก กำลังปีนขึ้นสู่ยอดเขาด้วยความงุ่มง่าม ทิ้งเงาทอดยาวไว้ข้างหลังพวกเขา
เทียนซาน…ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว ร่างของไป๋หยานราวถูกแช่แข็ง ทว่าถึงแม้ร่างของนางแทบจะแข็งค้างแล้วก็ตามที หากแต่นางก็ยังไม่หยุดปีนขึ้นยอดเขาทีละก้าว ๆ
เห็นได้ชัดว่าเพียงระยะแค่ 100 ก้าว นางกลับต้องใช้เวลาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ นานกว่าห้าชั่วยามในการปีนขึ้นไปให้ถึงยอดเขา
ทันทีที่นางก้าวขึ้นถึงยอดเขา น้ำหนักที่กดทับไว้แต่ต้นพลันหายไปอย่างกะทันหัน ร่างของนางผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว และเป็นเพราะการผ่อนคลายอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ร่างของนางอ่อนแอกระทั่งทรุดลงกับพื้น
ด้วยเหตุที่ความแข็งแกร่งที่ซึ่งกดทับนางมลายหายไปแล้ว พลังงานอันดุดันที่นางไม่อาจเรียกใช้ก่อนหน้านี้จึงสามารถแผ่กระจายออกมาจากร่างกายของนางได้ ชั่วขณะนั้นความรู้สึกอบอุ่นก็ห่อหุ้มร่างของนางไว้
“หม่ามี้ !”
ไป๋เสี่ยวเฉินปีนขึ้นมาถึงยอดเขา เขาพุ่งเข้าหาไป๋หยาน ทว่าครั้นเข้าถึงตัวนางเขาก็หยุดชะงัก เขาโอบสองแขนรอบร่างของนางอย่างระมัดระวัง
“เฉินเอ๋อ เจ้าเด็กโง่”
ไป๋หยานเหมือนจะหัวเราะ นางใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของไป๋เสี่ยวเฉินเบา ๆ
เนื่องจากไป๋เสี่ยวเฉินเป็นลูกที่เกิดมาเพื่อนางและตี้คัง เขามีเลือดสัตว์อสูรครึ่งหนึ่ง เช่นนั้นคนธรรมดาจึงไม่อาจค้นพบตัวตนของสัตว์อสูรได้ นอกจากนี้เฉินเอ๋อก็ยังสามารถซ่อนกลิ่นอายของสัตว์อสูรได้อีกด้วย
เหตุที่เทือกเขาเทียนซานนี้ไม่ส่งผลต่อสัตว์อสูร นั่นเป็นเพราะกลิ่นอายของสัตว์อสูร ทว่าตอนนี้ไป๋เสี่ยวเฉินกลับซ่อนกลิ่นอายของสัตว์อสูร
ในเมื่อเขาซ่อนกลิ่นอายของสัตว์อสูร แรงกดทับที่เขาได้รับจึงไม่ต่างจากไป๋หยาน
“หม่ามี้” ไป๋เสี่ยวเฉินลูบหน้าท้องของไป๋หยานด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เฉินเอ๋อไม่กลัวความยากลำบาก หม่ามี้กับน้องสาวต้องพยายามอย่างหนักเพื่อเฉินเอ๋อ เช่นนั้นเฉินเอ๋อจึงไม่ต้องการปีนเขาขึ้นมาง่าย ๆ เพียงลำพัง สิ่งสำคัญก็คือแรงกดทับที่มีต่อหม่ามี้หนักเหลือเกิน เฉินเอ๋อยังเด็กเกินกว่าจะอุ้มหม่ามี้ได้ เช่นนั้นเฉินเอ๋อจึงทำได้เพียงยอมทนทุกข์พร้อมกับหม่ามี้เท่านั้น”
บทที่ 1269 : ถือกำเนิด (5)
น้ำเสียงของเขาช่างน่ารักนุ่มนวล บนใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาปรากฏรอยยิ้มสดใสไร้เดียงสา สำหรับเขาแล้วขอเพียงเขาสามารถอยู่ใกล้ไป๋หยานได้ เขาก็จะรู้สึกมีความสุขมาก ไม่สำคัญว่าเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานมากมายเพียงใด
“โอ๊ะ !”
ไป๋หยานกำลังจะพูดอะไรออกมาอีกสองสามคำ ทว่าความเจ็บปวดพลันปะทุขึ้นจากท้องน้อยของนาง นางกุมท้องไว้แน่น ใบหน้าที่เจ็บปวดของนางซีดลง คิ้วของนางขมวดแน่น
“หม่ามี้ หม่ามี้เป็นอะไรไป ?” ไป๋เสี่ยวเฉินยืนอยู่ข้าง ๆ ไป๋หยานอย่างงงงวย “น้องสาวของเฉินเอ๋อจะออกมาแล้วหรือ ?”
ไป๋หยานกัดริมฝีปากแน่น ความเจ็บปวดในช่องท้องทำให้นางกล่าวคำใดไม่ออก
คนที่ไม่เคยสัมผัสกับความเจ็บปวดเช่นนี้จะไม่มีวันเข้าใจ
มันเจ็บยิ่งเสียกว่ายามที่นางได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายเท่านัก
“หม่ามี้”
ครั้นเห็นท่าทางเจ็บปวดของไป๋หยาน หยาดน้ำตาของไป๋เสี่ยวเฉินก็แทบจะร่วงหล่น
เขาอยู่กับแม่มาหลายปีแล้ว ที่ผ่านมานางมักอดทนได้ดีเสมอไม่ว่าจะเจ็บปวดมากเพียงใด ทว่าตอนนี้เพื่อที่จะให้กำเนิดน้องสาวให้เขาแล้ว นางต้องเจ็บปวดถึงเพียงนี้เลย เขาพอจะนึกภาพออกเลยว่ามันเจ็บปวดมากเพียงใด ?
“เฉินเอ๋อ … ช่วยแม่หน่อย … เจ้าเตรียมกรรไกรและ … น้ำร้อนมา … “
“อ้อ อ้อ”
ไป๋เสี่ยวเฉินรีบหยิบกรรไกร และกาต้มน้ำออกจากถุงเก็บของ พร้อมกับหม้อเหล็ก และอ่างน้ำ
ของพวกนี้ไป๋หยานได้เตรียมการไว้ก่อนแล้ว เพื่อการคลอด นางจึงเก็บสิ่งของต่าง ๆ มากมายที่นางจำเป็นต้องใช้ใส่ลงในถุงเก็บของของไป๋เสี่ยวเฉิน เพื่อที่จะหยิบฉวยออกมาใช้งานได้ง่าย ๆ
ไป๋เสี่ยวเฉินวางหม้อเหล็กลงบนเตา ก่อนจะก็เทน้ำเย็นใส่ลงในหม้อเหล็ก จากนั้นชั้นของเปลวเพลิงก็ลุกขึ้นกลางฝ่ามือของเขา เขาจุดไฟลงบนฟืนทันที ภายในเวลาไม่นานน้ำในหม้อเหล็กก็ค่อย ๆ มีควันขาวพวยพุ่งขึ้น
ไป๋หยานนอนลงบนพื้นด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของนางซีดเซียว ครั้งที่นางให้กำเนิดไป๋เสี่ยวเฉิน นางไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากมายถึงเพียงนี้ นางไม่รู้ว่าเหตุใดครั้งนี้นางถึงได้เจ็บปวดมากมายถึงเพียงนี้ได้
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ทว่าเด็กในครรภ์ของนางก็ยังคงไม่ออกมาดูโลก อย่างไรก็ตามเนื่องจากความเจ็บปวด ไป๋หยานก็ไม่สามารถตอบอะไรไป๋เสี่ยวเฉินได้ มือของนางเกาะกุมท้องแน่น
“หม่ามี้” ใบหน้าเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ของไป๋เสี่ยวเฉินซีดลงเรื่อย ๆ ยามนี้น้ำเสียงของเขาเจือสะอื้น “เฉินเอ๋อไม่ต้องการน้องสาวแล้ว ไม่ต้องการน้องสาวอีกต่อไปแล้ว เจ้าไม่ต้องถือกำเนิดแล้ว ข้าไม่ต้องการเจ้าแล้ว”
ไป๋หยานยิ้มกว้าง น้องใกล้คลอดแล้ว เจ้ากลับไม่ต้องการกระนั้นหรือ ?
ยิ่งไปกว่านั้น ที่นางปีนขึ้นภูเขานี่ก็เพื่อเฉินเอ๋อ ยามนี้เพื่อเด็กในท้องแล้วเจ็บปวดแค่นี้จะเป็นไรไป ?
ไป๋เสี่ยวเฉินกัดริมฝีปากตนเองแน่น เขามองท้องของไป๋หยานด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “เจ้าไม่ใช่น้องสาวที่ดีเลย เจ้าทำให้หม่ามี้เจ็บปวดมากเห็นมั้ย หากเจ้ายังไม่รีบออกมาอีก ข้าจะไม่รักเจ้าแล้วนะ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของไป๋เสี่ยวเฉินใช้ได้ผลใช่หรือไม่ ? ไป๋หยานรู้สึกเพียงว่าท้องส่วนล่างของนางคลายออกชั่วครู่ จากนั้นก้อนเนื้อก็กลิ้งตามออกมา พลันสียงร้องก็ดังขึ้นก้องฟ้า
หัวใจของไป๋หยานผ่อนคลายพร้อมสงบลงด้วย นางหอบเสียงหนัก แผ่นพื้นเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ หิมะและน้ำแข็งบนพื้นพลันละลาย
“เฉินเอ๋อ รีบไปอุ้มนางมา ความเย็นบนพื้นจะทำให้นางหนาว”
“เฉินเอ๋อ…ไม่ต้องการนาง”
ไป๋เสี่ยวเฉินวิ่งเข้าไปหาไป๋หยานพลางจับมือของไป๋หยานแน่น ทว่าหลังจากได้ยินถ้อยคำของไป๋หยาน เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย พลางเอ่ยปาก
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ต้องการน้องสาวแล้วล่ะ ? รีบไปรับนางมาเร็ว ๆ เข้า” ไป๋หยานกล่าวอย่างอ่อนแรง
“นางทำให้หม่ามี้เจ็บปวด เฉินเอ๋อไม่ชอบนางแล้ว”
บทที่ 1270 : ถือกำเนิด (6)
ในความคิดของไป๋เสี่ยวเฉิน ผู้ใดก็ตามที่ทำร้ายมารดาของเขา เขาจะไม่ชอบอีกเลย
มารดาของเขาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
“เฉินเอ๋อ นางถือกำเนิดหลังจากที่เราผ่านความลำบากลำบนมามาก เจ้ายังมีใจที่จะปล่อยให้นางต้องทนทุกข์ทรมานอีกเพื่ออะไร ?” ไป๋หยานกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางเบา
ไป๋เสี่ยวเฉินผงะไปชั่วครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่าถ้อยคำที่มารดาของเขากล่าวออกมานั้นถูกต้องมาก เขาเดินเข้าไปหาเด็กทารกบนพื้นแม้จะไม่เต็มใจนัก
แม้ว่าทารกจะยังไม่ลืมตา ทว่าความอ่อนโยนนุ่มนิ่มของเด็กน้อยก็ทำให้หัวใจของไป๋เสี่ยวเฉินอ่อนยวบลง
“หือ ?” ไป๋เสี่ยวเฉินที่เพิ่งอุ้มทารกขึ้นมา พลันตระหนักได้ว่าร่างกายของทารกมีโครงสร้างไม่ต่างจากร่างกายของเขา เขาร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “หม่ามี้… นี่ไม่ใช่น้องสาว แต่เป็นน้องชาย”
ไป๋หยานมองไป๋เสี่ยวเฉินด้วยความประหลาดใจ ชั่วขณะนั้นนางก็คิดได้ว่า เป็นเพราะไป๋เสี่ยวเฉินพูดถึงน้องสาวทุกวัน กระทั่งนางเองยังคิดเลยว่าทารกในครรภ์ของนางเป็นเพศหญิง
แท้จริงแล้ว นั่นเป็นเพียงความฝันของเฉินเอ๋อเท่านั้นจะเป็นจริงได้อย่างไร ? เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทุกคนต่างก็เข้าใจเพศของทารกผิดกันไปหมด …
ไป๋เสี่ยวเฉินเลียปาก พลางรู้สึกรังเกียจขึ้นมาทันที “ขนาดเป็นน้องสาว เฉินเอ๋อก็ยังไม่ชอบนางแล้ว ไม่คาดคิดว่าจะได้น้องชาย วันหน้าเมื่อเขาโตขึ้น เฉินเอ๋อจะต้องสั่งสอนเขาให้ดี ๆ แล้วล่ะ !”
“โอ๊ะ !”
ไป๋หยานมีเวลาพักหายใจเพียงแค่ไม่กี่เฮือก จู่ ๆ อาการตะคริวที่ท้องน้อยพลันเกิดขึ้นอีก ใบหน้าของนางซีดเผือด “เฉินเอ๋อ ยังเหลืออีกหนึ่ง !”
ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินเปลี่ยนเป็นซีดขาวอีกครั้ง เขารีบหันกลับไปมองไป๋หยาน หัวใจของเขาร้อนรนกระวนกระวาย เขาส่งเสียงดังในลำคอ
“ทำไมยังมีอีกล่ะ ? หม่ามี้เจ็บปวดมากพอแล้ว เฉินเอ๋อไม่อยากให้เจ็บอีก”
ไป๋หยานตอบกลับไป๋เสี่ยวเฉินด้วยรอยยิ้ม
แต่…
บางทีเด็กน้อยในท้องของนางคนนี้ค่อนข้างเป็นเด็กดี ไป๋หยานไม่ได้ทรมานนานเท่าครั้งก่อน นางเพียงพยายามมากขึ้นนิดหน่อย เจ้าก้อนเนื้อน้อยก็กลิ้งออกมา
ไป๋เสี่ยวเฉินก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เขารีบอุ้มทารกที่กลิ้งออกมา ครั้นเขาเห็นโครงสร้างที่แตกต่างของร่างกายเขากับนาง รอยยิ้มที่มีความสุขพลันปรากฏบนใบหน้าขาวอมชมพูของเขา
“หม่ามี้…ได้น้องสาว นี่เป็นน้องสาวของเฉินเอ๋อ !”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และภาคภูมิใจ “น้องสาว เป็นเด็กที่เชื่อฟัง และประพฤติดี ไม่ทำให้หม่ามี้ต้องทนทุกข์ทรมานมากเกินไปนัก ส่วนน้องชายคนนี้ดื้อและซนมากตั้งแต่แรกเห็น ในวันหน้าเฉินเอ๋อต้องอบรมสั่งสอนเขาอย่างเข้มงวด !”
ไป๋หยานมองไป๋เสี่ยวเฉินที่อุ้มเด็กทั้งสองไว้ในมือทั้งสองข้าง พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า
“น้องสาวของข้า ในวันหน้าพี่ชายจะดูแลเจ้าอย่างดี ที่นี่หนาวเกินไป พี่ชายจะช่วยเจ้าปัดเป่าความหนาวเย็นก่อนนะ”
มือทั้งสองข้างของไป๋เสี่ยวเฉินห่อหุ้มด้วยพลังลมปราณอันอบอุ่น พลันความเย็นก็หายไปจากกายของเด็กทั้งสอง
“แต่ว่า หม่ามี้ เฉินเอ๋อขอตั้งชื่อน้องสาวเองได้มั้ย ?” ไป๋เสี่ยวเฉินเงยหน้าขึ้นมองไป๋หยานซึ่งอยู่ข้างหน้า
ไป๋หยานพยักหน้าเล็กน้อย “ได้สิ”
“น้องสาว เฉินเอ๋อตั้งชื่อให้ว่า หลิงเอ๋อ เฉินเอ๋อหวังว่าน้องสาวของเฉินเอ๋อจะฉลาด และน่ารักตลอดกาล นับจากนี้ไปเจ้ามีชื่อว่า…หลิงเอ๋อนะ”
“แล้วแต่เจ้าสิ” ไป๋หยานยิ้มน้อย ๆ “แล้วน้องชายล่ะ ?”
“อ้อ” ไป๋เสี่ยวเฉินปากกระตุก “น้องชายซนมาก เขาต้องชื่อว่าปิ๊ปปี้”
ไป๋หยานเหงื่อแตก ฟังจากชื่อก็รู้ได้ทันทีว่าไป๋เสี่ยวเฉินเกลียดน้องชายคนนี้มากเพียงใด
“ชื่อนี้ไม่ค่อยดีเลย เจ้าลองคิดดูใหม่อีกทีสิ” ไป๋หยานเลิกคิ้ว
แท้ที่จริงไป๋เสี่ยวเฉินต้องการตั้งชื่อน้องสาวของเขาคนเดียวเท่านั้น เขาไม่เคยคิดถึงน้องชายเลย เพียงว่า หม่ามี้ของเขาเพิ่งคลอดลูก และเขาเกรงว่านางจะเหนื่อยจนเกินไป เขาจึงรับหน้าที่ตั้งชื่อแทนนาง
ไป๋เสี่ยวเฉินทำปากจู๋ เอ่ยกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น เรียกเขาว่า เทียนเทียน ก็แล้วกัน”
เทียนเทียนกระนั้นรึ ?
ใบหน้าของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นสีดำ
“น้องสาวของเจ้าชื่อ ตี้หลิงเอ๋อ ส่วนน้องชายก็ชื่อตี้เทียนเทียนกระนั้นรึ ?”