จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1336-1340
บทที่ 1336 : คิดร้ายกับเสี่ยวหลิงเอ๋อรึ (7)
ป้า ?
ฝีเท้าของมู่เสวี่ยหยุดลงอย่างกะทันหัน อาจเป็นเพราะนางเห็นสายตาเยาะเย้ยรอบ ๆ ตัว ใบหน้าของนางจึงแลดูน่าเกลียดมาก นางแทบจะไม่มีรอยยิ้มเลย
“องค์หญิงน้อย เหตุใดจึงเรียกหม่อมฉันว่า…ป้า?”
“พี่ใหญ่บอกหลิงเอ๋อว่า คนที่หน้าตาดีเรียกพี่สาว ส่วนคนที่หน้าตาไม่ดีให้เรียก…ป้า”
พี่ใหญ่ทรงพลังมาก สิ่งที่เขาพูดย่อมถูกต้องเสมอ
ใบหน้าของมู่เสวี่ยกลายเป็นสีเขียว นางอยากจะบ้า ทว่าหลังจากเห็นการแสดงออกที่ไร้เดียงสาของหลิงเอ๋อน้อย นางก็จำต้องกลืนน้ำลาย
ที่สำคัญ นางไม่กล้าที่จะอารมณ์เสียใส่องค์หญิงน้อย !
“องค์หญิงน้อย พระองค์เนื้อตัวมอมแมมหมดแล้ว หม่อมฉันจะพาพระองค์ไปชำระพระวรกายนะเพคะ” มู่เสวี่ยกล่าวด้วยแววตามุ่งร้ายไร้รอยยิ้ม
ทันทีที่มู่อิงมาถึง นางก็ได้ยินคำพูดของมู่เสวี่ย นางขมวดคิ้ว พลางก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ “มู่เสวี่ย ข้าจะดูแลองค์หญิงน้อยเอง”
หลังจากกล่าวเช่นนี้แล้ว มู่อิงก็หันศีรษะ พลางโค้งคำนับให้หลิงเอ๋อน้อย “องค์หญิงให้หม่อมฉันพาพระองค์ไปชำระพระวรกายจะดีหรือไม่เพคะ ?”
เสี่ยวหลิงเอ๋อกะพริบนัยน์ตากลมโตพลางยิ้ม “เอาสิ รบกวนพี่สาวมู่อิงด้วย”
หม่ามี้บอกว่าเด็ก ๆ ต้องสุภาพ และเด็กที่สุภาพจะมีแต่คนชอบ
ใบหน้าของมู่เสวี่ยที่น่าเกลียดอยู่แล้ว ยิ่งน่าเกลียดกว่าเดิม เพราะคำเรียกขานของเสี่ยวหลิงเอ๋อ
ในเผ่า นับว่านางรูปร่างหน้าตาดูดีกว่ามู่อิงหลายร้อยเท่า ทว่าหลิงเอ๋อน้อยกลับเรียกพี่นางว่าพี่สาว แต่เรียกนางว่าป้า ?
หรือว่า…องค์หญิงน้อยจะตาบอดเช่นองค์ราชา ?
“องค์หญิงน้อย” มู่เสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยกล่าวอย่างไม่มั่นใจ “เหตุใดพระองค์ถึงเรียกพี่มู่อิง ในเมื่อพระองค์รับสั่งอย่างชัดเจนว่าคนที่ดูดีต้องเรียกพี่สาว”
หลิงเอ๋อน้อยกัดนิ้ว “แต่ … พี่มู่อิงหน้าตาดีกว่าเจ้า”
แม้ว่ามู่อิงจะไม่หน้าตาดีเท่าหม่ามี้ แต่อย่างน้อย … กลิ่นอายของมู่อิงก็ไม่ได้ทำให้นางเกลียด
ใช่ ! หลิงเอ๋อน้อยเกลียดมู่เสวี่ย หากมิใช่เพราะจะทำให้ป๊ะป๋าต้องลำบากใจ นางคงจะบอกให้ป๊ะป๋าขับไล่หญิงผู้นี้ไปให้ไกล ๆ ไม่ต้องมาเสนอหน้าต่อหน้านางแล้ว
“โอหังนัก !”
สีหน้าขององครักษ์เคร่งขรึม เขากล่าวอย่างโกรธ ๆ ว่า “เจ้าช่างกล้านักนะ องค์หญิงจะเรียกใครว่าอะไร ก็เป็นเรื่องขององค์หญิง ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าถาม ?”
ลมหายใจของมู่เสวี่ยหยุดนิ่ง นางกำหมัดแน่นอย่างไม่พอใจ ทั้งที่เป็นแค่เพียงทหารองค์รักษ์จะมาดุนางทำไมเนี่ย ?
ทว่า…
ครั้นนึกถึงสิ่งที่นางเพิ่งได้ยินมา มู่เสวี่ยก็ไม่ได้แสดงความโกรธของนางออกมา ทว่ารอยยิ้มกลับปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สวยงามของนาง “ข้าเพียงต้องการพาองค์หญิงไปชำระพระวรกายไม่มีความหมายอื่นใด หากแต่มู่อิงมักจะชอบหักหน้าข้าเสมอ”
หญิงผู้นี้ต้องตกหลุมรักราชาเป็นแน่ หาไม่เหตุใดนางถึงต้องทุ่มเทให้กับองค์หญิงน้อยเช่นนี้ ? ไม่ใช่อยากเป็นสนมคนโปรดของราชากระนั้นหรือ ?
ข้าไม่รู้ว่า นางใช้วิธีใดทำให้องค์หญิงน้อยยอมรับนาง !
“องค์หญิงน้อย หม่อมฉันจะพาพระองค์ไปล้างตัวนะเพคะ” มู่อิงอยากช่วยอุ้มหลิงเอ๋อน้อย
ทว่าทันทีที่เห็นท่าทางของมู่อิง หลิงเอ๋อน้อยก็หลบ
มู่อิงผงะ นางมองหลิงเอ๋อน้อยอย่างไม่เข้าใจ
“หม่ามี้ของข้าบอกว่า นางชอบเด็กดีที่เชื่อฟัง หลิงเอ๋อน้อยต้องเดินด้วยตัวเอง หม่ามี้จะได้ไม่โกรธ”
หลิงเอ๋อน้อยเม้มริมฝีปากสีชมพูของนาง น้ำเสียงของนางช่างไร้เดียงสาและน่ารัก กังวานใสราวกับเสียงหยกกระทบกัน
หลังจากกล่าวจบ หลิงเอ๋อน้อยก็เดินตุปัดตุเป๋ไปข้างหน้าทีละก้าว ก้าวย่างของนางยังไม่มั่นคง หากแต่นางก็ยังไม่ปล่อยให้ตนเองพลาดล้มลง
มู่เสวี่ยยิ้มเยาะ ขณะที่มองดูหลิงเอ๋อน้อยย่างก้าว เด็กหญิงน้อยคนนี้เป็นเพียงเศษขยะ นางมีอายุเกือบจะสองขวบแล้วทว่ายังไม่สามารถเดินได้อย่างมั่นคง สำหรับสัตว์อสูรแล้ว นี่ช่างน่าอัปยศอดสู !
บทที่ 1337 : คิดร้ายกับเสี่ยวหลิงเอ๋อรึ (8)
เช่นนั้น ย่อมเห็นได้ชัดว่าราชินีผู้นี้ไร้ค่าเพียงไร !
มีเพียงขยะเน่า ๆ เท่านั้นที่จะให้กำเนิดเด็กโง่ ๆ เช่นนี้ออกมาได้ !
“หลิงเอ๋อน้อย รอพี่ด้วย”
เทียนเทียนลุกขึ้นจากพื้น พลางเดินปัดเป๋ไล่ตามหลิงเอ๋อน้อยไป ทว่าเขาเดินไปได้ไม่ไกลมากนัก เขาก็ล้มก้นกระแทก ชั่วขณะนั้นท้องของเขาก็ส่งเสียงโครกคราก จากนั้นจิ้งจอกสีเงินก็นั่งลงบนพื้นพร้อมกับดึงหูตนเอง
เขาแตะท้องพลางเบะปาก ก่อนจะเหลียวไปมองทหารองค์รักษ์ที่อยู่ข้าง ๆ “ข้าหิวมากเลย… ”
“องค์ชาย ราชามีรับสั่งว่าอย่าให้พระองค์เสวยมากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ … “
“ข้าไม่มีเรี่ยวแรง ยิ่งเวลาที่ข้าหิวโหยด้วยแล้ว ข้ายิ่งไม่สามารถรักษาร่างมนุษย์ของข้าไว้ได้ เจ้าช่วยหาอะไรให้ข้ากินหน่อยจะได้หรือไม่ ?” นัยน์ตาของเทียนเทียนเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เขามองบรรดาองครักษ์ที่ดูแลเขาด้วยสายตาน่าสงสาร
จิ้งจอกตัวน้อยที่นุ่มนวล แสนน่ารักเช่นนี้ จะมีผู้ใดปฏิเสธคำขอของเขาได้ลง
ทว่าคำสั่งของตี้คัง พวกเขาก็ไม่อยากจะฝ่าฝืนเช่นกัน
“ข้าอยากกิน ข้าอยากกินผลไม้ และข้าก็อยากกินเนื้อด้วย … ” ทุกวันเขาจะร่ำร้องอย่างขมขื่น “พวกเจ้าไม่ยอมให้ข้ากิน เมื่อไหร่ที่หม่ามี้ของข้ากลับมา ข้าจะบอกหม่ามี้ว่าพวกเจ้ารังแกข้า”
องครักษ์ท้อใจ พวกเขารังแกองค์ชายเมื่อไหร่กัน ? มีแต่องค์ชายน้อยที่บ่นเช่นนี้ทุกวัน
ครั้นสบโอกาส มู่เสวี่ยก็รู้สึกมีความสุข “องค์ชาย…หม่อมฉันเพิ่งเรียนทักษะการทำอาหารอร่อย ๆ มาตั้งหลายอย่าง เหตุใดพระองค์ไม่ให้หม่อมฉันพาพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารค่ำล่ะเพคะ ?
“ไม่เอา”
มุมปากของเทียนเทียนโค้งงอ เขาเอ่ยกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
ใบหน้าของมู่เสวี่ยเปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อนางไม่มีโอกาสดูแลน้องสาว นางก็เปลี่ยนมาดูแลพี่ชาย เห็นได้ชัดว่าเขาหิวมาก เหตุใดเขาถึงไม่ยอมไปกับนางล่ะ ?
“หลิงเอ๋อบอกว่านางเกลียดเจ้า และแม้ว่าเจ้ากับหม่ามี้จะไม่ใช่เพศเดียวกัน แต่เจ้าก็ไม่ใช่คนดี อาหารที่เจ้าปรุงจะต้องมียาพิษ เจ้าต้องการวางยาพิษพวกเรา”
มู่เสวี่ยกำหมัดแน่น ความโกรธในใจพลันพุ่งขึ้นอีกครั้ง
ไอ้ตัวเล็กนี่ดูถูกว่านางไม่ใช่ผู้หญิง ! นางเพียงมีหน้าอกแบน นางไม่ใช่ผู้หญิงเมื่อไร ?
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่านางจะต้องการวางยาพิษเด็กทั้งคู่ให้ตายจริง หากแต่นางก็ไม่โง่พอที่จะลงมือ เพื่อทำร้ายตนเองหรอก นอกจากนี้นางยังต้องการอาศัยเด็กน้อยทั้งสองคนนี้ เพื่อที่จะได้เป็นมเหสีคนโปรดของราชาอสูรมากกว่า !
ทหารองครักษ์อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมา หรือองค์ชายน้อยไม่เห็นใบหน้าของมู่เสวี่ย ? ยามนี้สีหน้าของนางดำคล้ำ กระทั่งเกือบจะกลายเป็นสีของตับหมูซึ่งทำให้พวกเขาตลกมาก
ทุกวันนี้…พวกเขามองมู่เสวี่ยอย่างรำคาญสายตา นางไม่เพียง แต่ชอบทำตัวเด่นเท่านั้น ทว่ามักจะมองไม่เห็นเหล่าองครักษ์และนางกำนัลคนอื่นอยู่ในสายตา หากมิใช่เพราะผู้อาวุโสใหญ่ติดภารกิจมากมาย กระทั่งไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ คงจะมีคนไปฟ้องผู้อาวุโสใหญ่นานแล้ว
ใบหน้าของมู่เสวี่ยเปลี่ยนเป็นสีเขียว นางพยายามอย่างเต็มที่เพื่อระงับความโกรธในใจ ก่อนจะปั้นยิ้มส่งมาอีกครั้ง
“องค์ชาย พระองค์ช่างขี้เล่นจริง ๆ นะเพคะหม่อมฉันจะวางยาพิษพระองค์ได้อย่างไรเพคะ”
เทียนเทียน…ใช้อุ้งเท้าเล็ก ๆ ของตนเกาท้ายทอย “หลิงเอ๋อฉลาดกว่าข้ามาตลอด นางพูดถูกเสมอ นางบอกว่าเจ้าต้องการวางยาข้า เจ้าก็ต้องคิดวางยาพิษข้าให้ตายแน่ ๆ ข้าได้ยินมาว่าการวางยาพิษจะทำให้ข้าปวดท้อง ข้ากลัวความเจ็บปวดมากที่สุด”
สรุปว่า ท้ายสุดแล้วที่เขาไม่อยากกินอาหารที่มู่เสวี่ยทำ เพียงเพราะเขากลัวการปวดท้องกระนั้นหรือ ?
มู่เสวี่ยกัดริมฝีปากของนางอย่างแรง น้ำตาของนางไหลรินลงมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ นางถลึงตาจ้องบรรดาองครักษ์ที่กำลังดูเรื่องตลกนี้อย่างดุดัน พลางก้าวไปข้างหน้าอย่างละอาย ก่อนจะหายตัวไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“ข้าหิว…”
หลังจากที่มู่เสวี่ยจากไปแล้ว เทียนเทียนก็ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นอย่างอ่อนแรง การแสดงออกที่น่าเวทนาของเขายิ่งแลดูน่าสงสารมาก
บทที่ 1338 : คิดร้ายกับเสี่ยวหลิงเอ๋อรึ (9)
“ข้าจะบอกหม่ามี้ ว่าพวกเจ้าทรมานข้า ฮือ ๆ ไม่ให้ข้ากินอิ่ม … ”
ครั้นเห็นจิ้งจอกเงินตัวน้อยนอนกลิ้งอยู่บนพื้น ใบหน้าขององครักษ์พลันหดหู่ พวกเขาหันมองหน้ากัน ประกายแสงวาบผ่านเข้ามาในดวงตาของพวกเขา
“เอ่อ … องค์ชายน้อย เหตุใดพระองค์ไม่เสด็จไปที่ห้องครัว และฉกฉวยอาหารเองเลยล่ะ หากเราไม่เห็น เมื่อถึงเวลาที่ราชาตำหนิโทษพวกเรา อย่างมากพวกเราก็เพียงต้องโทษ ว่าเป็นองครักษ์ที่อ่อนแอปล่อยให้พระองค์ไปขโมยของเท่านั้น”
นัยน์ตากลมโตของเทียนเทียนพลันสว่างไสวขึ้น เขากระโดดลุกขึ้นจากพื้นทันที เขาหิวมากเหลือเกิน ทว่าก็ไม่สามารถกินอะไรได้ เช่นนั้นทันทีที่ได้ยินว่าเขาสามารถขโมยอาหารได้ เขาก็รีบไปที่ห้องครัวพร้อมเสียงท้องร้องโครกคราก
องครักษ์ทุกคนต่างทำอะไรไม่ถูก องค์ชายน้อยโง่ แต่ว่าก็น่ารัก อีกทั้งยังตะกละมากเลย
ราชาพยายามจำกัดอาหารขององค์ชายน้อย เพราะเกรงว่าลำไส้ และกระเพาะขององค์ชายน้อยจะไม่สามารถรับไหว หากแต่องค์ชายน้อยก็น่าเอ็นดู และน่ารักเกินไปพวกเขาจึงไม่อาจทนได้
*****
ภายนอกตำหนักอสูร มู่เสวี่ยเดินเข้าไปยังลานบ้าน นางเตะก้อนหินข้างทางอย่างโกรธ ๆ
“เสวี่ยเอ๋อ เจ้าเป็นอะไรไป ผู้ใดกวนประสาทเจ้า” ทันทีที่หยูเหยาเดินออกจากประตู นางก็เห็นใบหน้าโกรธเกรี้ยวของมู่เสวี่ย นางรู้สึกเจ็บปวดในใจจึงรีบเอ่ยถามออกมา
“ท่านแม่ !”
ทันทีที่มู่เสวี่ยเห็นหยูเหยา น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของนาง นางกัดริมฝีปากแน่น เสียงของนางราวสำลัก “นังมู่อิง นังตัวดีคนนั้น นางเอาแต่พูดว่านางไม่ชอบราชา แต่หากนางไม่ได้ตกหลุมรักราชาแล้ว เหตุใดนางถึงได้พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้ข้าเข้าใกล้องค์หญิงและองค์ชายน้อยทั้งสองเลย เห็นได้ชัดว่านางต้องการเอาใจเด็กทั้งคู่เพียงคนเดียวใช่หรือไม่ ?
หญิงผู้นั้นต้องเป็นเช่นเดียวกับนาง ต้องการให้ราชาโปรดปราน หาไม่หญิงผู้นั้นคงจะไม่เอาใจองค์หญิงและองค์ชายด้วยวิธีนี้
“เสวี่ยเอ๋อ…อย่าเสียงดังไป” การแสดงออกของหยูเหยาเปลี่ยนไป นางรีบเข้าไปปลอบบุตรสาว “อย่าให้บิดาของเจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ บิดาของเจ้าเอ็นดูมู่อิงมากกว่าเจ้า หากเจ้าให้บิดาของเจ้ารู้ว่ามู่อิงมีความคิดเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ช่วยนาง”
มู่เสวี่ยกัดริมฝีปาก นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ท่านแม่…ข้ารู้ว่าด้วยพรสวรรค์ของมู่อิงทำให้ท่านพ่อรักมู่อิงมากกว่าข้า อย่างไรก็ตามข้าเพิ่งได้ยินเรื่องบางอย่างที่ประตูเมือง ดูเหมือนว่าคนจากเทวาคารเหล่านั้นจะต้องการตัวองค์หญิงน้อย พวกเขาต้องการใช้เลือดขององค์หญิงน้อยไปช่วยผู้หญิงคนหนึ่ง”
กระไรนะ ?
หยูเหยารู้สึกประหลาดใจ คนจากเทวาคารคิดปองร้ายองค์หญิงแห่งแดนอสูรกระนั้นรึ ?
“เช่นนั้น … ” มู่เสวี่ยกะพริบตาสองสามครั้ง “ท่านแม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากข้าพาองค์หญิงน้อยออกไปจากที่นี่ ?”
หยูเหยาเงียบ หลังจากนั้นไม่นานนางก็ส่ายศีรษะ
“เสวี่ยเอ๋อ เจ้าควรรู้ว่าศัตรูที่แท้จริงของเจ้าคือผู้ใด ? ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดมู่อิง แต่หากเจ้าให้ร้ายนาง ก็เท่ากับสร้างความหายนะให้กับเผ่าเสือดาวของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ มู่อิงยังมีรูปร่างหน้าตาด้อยกว่าเจ้ามาก นางไม่สามารถยั่วยวนราชาได้หรอก เช่นนั้นศัตรูของเจ้าจึงมีเพียงราชินีคนเดียวเท่านั้น !”
มู่เสวี่ยคิดตามที่มารดาของนางบอก หากทำเช่นนั้น นอกจากจะได้แก้แค้นมู่อิงแล้ว ผลกระทบที่จะส่งมาถึงนางเล่า จะมากมายเพียงไร ? แต่หากนางทำให้องค์หญิงน้อย และองค์ชายน้อยพอใจได้ นางอาจจะเข้าใกล้ราชาได้มากขึ้น
ขอเพียงนางสามารถเข้าใกล้ราชาได้ นางมั่นใจว่า นางจะได้เป็นสนมคนโปรดของเขาแน่ !
“ท่านแม่ แล้วข้าต้องทำยังไง ?”
นัยน์ตาของหยูเหยาฉายประกายวาบ นางมองซ้ายมองขวา ครั้นไม่เห็นผู้อื่นอยู่โดยรอบ นางก็ตั้งใจลดเสียงลงพูด
“หากเจ้าคิดใส่ร้ายมู่อิง เจ้าควรเลือกใส่ร้ายราชินีแทนจะดีกว่า ถึงตอนนั้นเมื่อคนในวังรู้ว่าองค์หญิงน้อยหายตัวไป ก็ย่อมหันไปตำหนิราชินีแทน”
บทที่ 1339 : คิดร้ายกับเสี่ยวหลิงเอ๋อรึ (10)
หยูเหยายกยิ้ม หัวเราะเยาะ “เราต่างก็เห็นว่า ทุกวันนี้องค์หญิงน้อยเป็นลูกที่องค์ราชารักที่สุด หากองค์หญิงน้อยหายตัวไป ด้วยความผิดพลาดของราชินี หรือราชาทรงคิดว่าราชินีจงใจมอบองค์หญิงน้อยให้คนอื่น ด้วยความรักของราชาที่มีต่อองค์หญิงน้อย เจ้าคิดว่าพระองค์จะปล่อยราชินีไว้หรือไม่ ?”
มู่เสวี่ยผงะเล็กน้อย ริมฝีปากของนางเม้มเบา ๆ
ถ้อยคำที่ตี้คังพูดยังก้องอยู่ในใจของนาง
“ลูก ๆ คือชีวิตของนาง และนางคือชีวิตของข้า !”
ชายผู้นี้ถือว่าไป๋หยานเปรียบเสมือนชีวิตของเขา ต่อให้เขาต้องสูญเสียองค์หญิงน้อยไป เขาจะยอมลงโทษนางเพื่อองค์หญิงน้อยกระนั้นหรือ ?
มู่เสวี่ยไม่อยากจะเชื่อมารดาของนางสักเท่าไหร่ …
“ท่านแม่…จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ?” มู่เสวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “หากราชาทรงรักราชินีมากกว่าองค์หญิงน้อยล่ะ …?”
หยูเหยายิ้มเยาะ “บุรุษย่อมจะรักบุตรของตนเองมากที่สุด ส่วนสตรีก็เป็นเพียงเครื่องมือในการสร้างทายาทให้เขาเท่านั้น ดูแต่บิดาของเจ้าสิ เมื่อก่อนไม่เคยทำให้ข้าต้องปวดหัวเลย เขาดูแลห่วงใยข้ามากที่สุด ทว่าเจ้าเห็นหรือไม่นับแต่มีพี่สาวของเจ้า บิดาของเจ้าเคยสนใจความรู้สึกข้าเสียที่ไหน ?”
ด้วยเหตุนี้ นางจึงเกลียดมู่อิง เพราะการถือกำเนิดของบุตรสาวพรากความรักที่ควรจะเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียวไป แม้ว่ามู่อิงจะเป็นบุตรสาวของนาง หากแต่นางก็ไม่ยอมให้หัวใจของมู่หยูเทียนมีคนอื่นนอกจากนาง
และเหตุผลที่นางรักมู่เสวี่ยมาก ก็เป็นเพราะมู่หยูเทียนไม่ชอบบุตรสาวผู้นี้
“จริงหรือ ?” มู่เสวี่ยเม้มริมฝีปากของนาง
บางทีนางอาจจะทำตามคำแนะนำของมารดา … แม้ว่าราชาจะไม่ตำหนิราชินีในเรื่องนี้ แต่หากนางช่วยราชาตามหาองค์หญิงน้อย บางที…ราชาอาจจะปันความรักที่เขามีให้กับราชินีมาให้นางบ้างก็เป็นได้ ?
แววตาของมู่เสวี่ยสว่างไสวขึ้น รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง “ท่านแม่ ข้ารู้แล้วว่าข้าควรทำเช่นไร และข้าจะต้องได้รับการยกย่องจากเผ่าเสือดาวของเราด้วย จากนั้นท่านพ่อก็จะรู้ว่าข้าเป็นบุตรสาวที่เขาควรภูมิใจที่สุด เพราะไม่ว่ามู่อิงจะมีความสามารถมากเพียงใด นางก็เป็นแค่เพียงนางกำนัลต๊อกต๋อย !”
หยูเหยาลูบศีรษะของมู่เสวี่ยเบา ๆ พลางยิ้มเอ่ยกล่าวว่า “เจ้าจะเป็นความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจแม่ตลอดไป มู่อิงไม่มีทางที่จะเปรียบเทียบกับเจ้าได้ ทั้งนางก็ไม่มีค่าพอที่จะเปรียบเทียบกับเจ้าด้วย !”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ มู่เสวี่ยก็คิดว่านี่เป็นเรื่องจริง นางเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
ใช่…มู่อิงถูกกำหนดให้ถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางไปชั่วชีวิต และจะต้องรับใช้นางไปชั่วชีวิตด้วย !
เมื่อถึงวันนั้น วันที่นางได้เป็นพระสนมที่โดดเด่นของแดนอสูร มู่อิงก็ยังคงเป็นได้เพียงนางกำนัลที่ต่ำต้อย …
*****
ในเวลาเดียวกัน.
ที่บริเวณประตูเมืองสัตว์อสูร ผู้อาวุโสใหญ่มองดูคนที่กำลังต่อสู้อยู่ข้างหน้าอย่างใจจดใจจ่อ เขาส่งเสียงอืออาในลำคอ
ในการต่อสู้ระดับนี้ พวกเขาไม่สามารถแทรกแซงได้ หากพวกเขาเข้าไปวุ่นวาย รังแต่จะเป็นตัวถ่วงราชาเท่านั้น
เช่นนั้นผู้อาวุโสใหญ่จึงทำได้เพียงยืนอยู่ข้างหลัง เขามองตี้คังผู้ซึ่งกำลังต่อสู้กับเทพปรมาจารย์ทั้งสามอย่างเป็นห่วง …
ในอากาศว่างเปล่า อาภรณ์สีม่วงของชายหนุ่มสะบัดพริ้วไปมาท่ามกลางสายลมแรง เรือนผมสีเงินของเขายิ่งเปี่ยมเสน่ห์งดงาม
ไม่มีการแสดงออกบนใบหน้าที่ไร้ที่ติของเขาเลย มีเพียงเจตนาสังหารในดวงตาเรียวคมของเขา และแสงวาบวับในดวงตาของเขาก็สามารถก่อให้เกิดสายลมกระโชกแรงได้
การต่อสู้ในระดับเทพปรมาจารย์ทรงพลังเพียงพอที่จะเขย่าโลกให้สั่นสะเทือน พื้นดิน ต้นไม้ทั้งหมดที่อยู่นอกประตูเมืองถูกทำลายสิ้น ราวกับว่าพวกมันถูกไฟเผาผลาญกระทั่งไหม้เกรียมไปหมด
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ท้องฟ้าและโลกพลันเปลี่ยนสี ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์พลันมืดมน
ท้องฟ้ามืดมนปกคลุมไปด้วยเมฆดำทะมึน
หัวใจของผู้อาวุโสใหญ่เริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ การเคลื่อนไหวของราชา หากคู่ต่อสู้เป็นเพียงเทพปรมาจารย์สองคน ด้วยความแข็งแกร่งของราชาย่อมเพียงพอที่จะต้านรับไว้ได้ ทว่ายามนี้ราชาของเขากำลังเผชิญหน้ากับเทพปรมาจารย์ถึงสามคน …
บทที่ 1340 : ไป๋หยานกลับมาแล้ว (1)
ชั่วขณะนี้ กลิ่นอายที่คุ้นเคยก็ลอยมาจากฟากฟ้าไม่ไกลกันนัก ผู้อาวุโสใหญ่เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ทันใดนั้นใบหน้าที่มีเสน่ห์ก็สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขา
หญิงผู้นี้แต่งกายด้วยอาภรณ์สีแดง นางงดงามและดึงดูดใจยิ่งนัก นางอุ้มเจ้าซาลาเปาน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูราวกับแกะสลักจากหยกสีชมพู สายลมพัดแรง จากที่อยู่ระยะไกล ๆ ก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ที่สุดเพียงไม่นานนางก็มาถึงเบื้องหน้าเขา
“ป๊ะป๋าวายร้าย !”
ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินยังดูเป็นเด็กน้อยเฉกเช่นเคย ยังคงอมชมพูน่ารัก นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายราวกับดวงดารา อีกทั้งน้ำเสียงของเขาก็ไร้เดียงสา
ผู้อาวุโสใหญ่โล่งใจทันที บอกตามตรง การที่ไป๋หยานพาองค์ชายน้อยออกไปข้างนอก ทุกคนในเมืองสัตว์อสูรต่างก็ไม่สบายใจ เพราะเกรงว่าทั้งสองคนจะพบกับอันตรายภายนอก
ในที่สุดเมื่อราชินีและองค์ชายน้อยกลับมา พวกเขาก็สบายใจได้แล้ว
แต่ทว่า…
ผ่านไปสองปีแล้ว เหตุใดองค์ชายถึงยังคงเหมือนเดิม ตัวก็ไม่ได้โตขึ้น ทั้งยังไม่ต่างจากเด็กหกขวบคนเดิมเลย …
ในตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่ยังไม่ทราบว่า ไป๋เสี่ยวเฉินหลับไปนานกว่าหนึ่งปี เขาปิดผนึกร่างของตน เขาจึงไม่เติบโตตามธรรมชาติ เช่นนั้นเขาจึงยังคงแลดูเหมือนเด็กอายุหกหรือเจ็ดขวบ
ตี้คังก้าวถอยหลังสองสามก้าว นัยน์ตาเรียวคมของเขาหันมาสบตาสองแม่ลูกในอากาศว่างเปล่า แววตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน มุมปากของเขายกยิ้ม “หยานเอ๋อ… เจ้ากลับมาแล้วหรือ ?”
ไป๋หยานยิ้มเล็กน้อย นางหันไปมองปรมาจารย์ทั้งสามที่ยังคงต่อสู้กับตี้คังในยามนี้ พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ตี้คัง…พวกนี้คือ … “
มุมปากของตี้คังกระตุก
หญิงผู้นี้ จะถามเรื่องที่รู้อยู่แก่ใจแล้วด้วยเหตุใด ?
ทว่าเขาก็ให้ความร่วมมือกับไป๋หยานเสมอ เช่นนั้นเขาจึงกล่าวตอบโดยไม่ลังเล “ก็คนจากเทวาคารไง”
“เทวาคารกระนั้นรึ ?” ไป๋หยานทำสีหน้าประหลาดใจ สีหน้าของนางแลดูลังเลเล็กน้อย นางเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าเพิ่งผ่านเทวาคารตอนที่ข้ากำลังเดินทางกลับ ดูเหมือนเทวาคารจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นนะ”
กระไรนะ ?
ปรมาจารย์หลิง และคนอื่น ๆ ต่างตกใจ
พวกเขาที่กำลังจะเข้าโจมตีตี้คัง ต่างก็หยุดชะงัก ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดมาก
ปรมาจารย์ฮวงส่งสัญญาณให้พวกเขารู้ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นในเทวาคาร แต่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดสงครามกลางเมืองในเทวาคาร ?
“ไอ้บ้าเอ๊ย !” ใบหน้าของปรมาจารย์หลิงซีดเซียว
เขาจากที่นั่นมาเพียงไม่กี่วัน เทวาคารก็วุ่นวายเสียแล้ว ซ้ำยังเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นด้วยกระนั้นรึ ?
นอกจากสงครามกลางเมืองที่เกิดจากคนที่นั่นเองแล้ว ผู้ใดจะคุกคามเทวาคารได้เล่า ทั้งปรมาจารย์ฮวงยังส่งสัญญาณให้เขารีบกลับไปที่เทวาคารด้วย ?
“พวกเรา…ไปกันเถอะ !” เขากัดฟันกล่าวด้วยสายตาดุดัน
ไป๋หยานยิ้มกว้างขึ้น “อ้อ…จริงสิ ตอนที่ข้าผ่านมา ข้าเห็นว่ามีเทพปรมาจารย์ตายด้วย ทั้งดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขายังคงต่อสู้กันอยู่ คิดว่าเพียงไม่ช้าพวกเขาน่าที่จะเสียชีวิตกันหมดแหละ”
ใบหน้าของปรมาจารย์หลิงเปลี่ยนจากสีเขียวมาเป็นซีด
ทุกวันนี้แม้แต่ในอาณาจักรสวรรค์ การฝึกฝนถึงระดับเทพปรมาจารย์ขึ้นไปนั้นนับว่ายากมาก มีเพียงไม่กี่คนในเทวาคารที่สามารถทำได้ เช่นนั้นการเสียชีวิตของใครสักคนจึงนับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่หันมองหน้ากันไม่คิดเรื่องอื่นใดอีกต่อไป พวกเขาวางแผนที่จะออกจากเมืองสัตว์อสูรทันที
ทว่า…
ทันทีที่ปรมาจารย์หลิงและคนอื่น ๆ เคลื่อนไหว น้ำเสียงเย็น ๆ ของตี้คังก็ดังมาจากด้านหลังพร้อมกับความโกรธเกรี้ยวในแววตา
“นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป พวกเจ้าคิดว่าเมืองสัตว์อสูรนี้เป็นอะไร ?”
ปรมาจารย์หลิงก้มหน้าลง “ท่านประสงค์สิ่งใดอีก ?”
“ข้าบอกแล้วไงว่า หากเจ้าต้องการที่จะจากไป เจ้าก็ต้องตัดแขนข้างหนึ่งทิ้งไว้ หาไม่พวกเจ้าก็ไม่สามารถออกจากเมืองสัตว์อสูรของข้าได้ !”
ร่างของตี้คังราวกับสายลมพัด เพียงพริบตาเขาก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังปรมาจารย์หลิง