จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1351 -1355
บทที่ 1351 : รนหาที่ตาย (3)
ผู้อาวุโสใหญ่กลัวมาก เขารีบลนลานคุกเข่าลงตรงหน้าราชาเสียงดังฟุบ…
“เจ้าบอกข้าว่า ในช่วงเวลาที่ข้าไม่อยู่ ในเมืองสัตว์อสูรนี้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย ตอนนี้เจ้ามีอะไรจะอธิบายให้ข้าฟังหรือไม่ ?”
สายตาที่เย็นชาของตี้คังตกลงบนร่างของผู้อาวุโสใหญ่ เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ผู้อาวุโสใหญ่รู้ว่าเขาไม่สามารถเก็บเรื่องนี้เป็นความลับได้อีกต่อไปแล้ว จึงเอ่ยกล่าวด้วยเสียงสั่น ๆ ว่า “ฝ่าบาททรงโปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วย … ข่าวลือเรื่องนี้ กระหม่อมได้สั่งให้บรรดาทหารออกไประงับข่าวลือแล้ว ทั้งกระหม่อมเองก็กำลังที่จะเข้าตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด ทว่าทันทีที่กระหม่อมเริ่มสอบสวนฝ่าบาทก็เสด็จกลับมา … “
“นั่นเป็นเหตุที่ว่า ไยเจ้าถึงไม่บอกข้าสินะ ?” ตี้คังเอ่ยถามอย่างเย็นชา
ผู้อาวุโสใหญ่ไม่กล้ากล่าวคำใดอีก
เขาเคยทำผิดในกรณีที่ทำให้ราชินีทรงเข้าพระทัยราชาผิดมาแล้ว …
เมื่อหวนนึกถึงเรื่องนี้ผู้อาวุโสใหญ่ก็เงยหน้าขึ้นอย่างละอายใจ เขาหันไปมองไป๋หยาน “ราชินีพระองค์ต้องทรงไว้วางพระทัยฝ่าบาทนะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้เป็นเพียงข่าวลือ ฝ่าบาททรงบริสุทธิ์พระทัยกับพระองค์มาก ฝ่าบาทจะทรงกระทำเรื่องที่ทำให้พระองค์ต้องทรงเสียพระทัยได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ?”
ไป๋หยานลูบหลังของเสี่ยวหลิงเอ๋อ พลางยกยิ้มขึ้นน้อย ๆ “โบราณว่า ไม่มีลมย่อมไม่มีคลื่น … “
ใบหน้าของตี้คังเปลี่ยนเป็นซีดขาวในคราเดียว
เขาแน่ใจว่าไป๋หยานต้องเชื่อเขา เช่นนั้นเมื่อครู่นี้เขาจึงสงบนิ่ง ทว่านางกลับกล่าวเช่นนี้หมายความเช่นไร ?
ไม่มีลมย่อมไม่มีคลื่นคืออะไร ?
รึนางไม่เชื่อใจเขา ?
เห็นได้ชัดว่านางกับเขาผ่านประสบการณ์หลายอย่างร่วมกันมา เหตุใดนางถึงยังไม่เชื่อใจเขา ?
“หยานเอ๋อ…เหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อใจข้า ข้าไม่เคยคิดเรื่องมีสนม ข้าเคยบอกแล้วว่า ชีวิตข้ามีเพียงเจ้า เราจะเป็นคู่ครองผัวเดียวเมียเดียวชั่วชีวิต ข้าก็ต้องทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน หากข้าผิดคำพูด ขอให้ดวงวิญญาณของข้าแหลกสลายตลอดกาล ไม่อาจกลับมาเกิดได้อีกต่อไป !”
น้ำเสียงของตี้คังทั้งเศร้า ทั้งเต็มไปด้วยความผิดหวัง
ใบหน้าที่สวยงามของเขาซีดไร้ซึ่งสีสัน เขามองอย่างไม่เข้าใจว่า เหตุใดไป๋หยานถึงไม่เชื่อใจเขา ?
นอกจากนางแล้วในโลกนี้ผู้ใดจะเข้าตาเขาได้อีก ?
ใบหน้าของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน “ท่านหุบปากก่อน !”
ตี้คังต้องการที่จะกล่าวบางอย่าง ทว่าหลังจากได้เห็นสีหน้าของไป๋หยาน เขาก็หุบปากลงทันที
ใบหน้าของเขาผิดปกติไปอย่างมาก ราวกับว่าเขาทำเรื่องผิดพลาดมากมาย นัยน์ตาเรียวคมของเขาเต็มไปด้วยความเศร้า
ไป๋หยานหันไปจ้องมองผู้อาวุโสใหญ่ “ข้าเพียงบอกว่าไม่มีลมย่อมไม่มีคลื่น เหตุที่เมืองสัตว์อสูรมีข่าวลือเช่นนี้ต้องเป็นเพราะมีใครบางคนที่มีจิตใจสกปรก เช่นนั้นเจ้าควรตรวจสอบอย่างละเอียดว่าผู้ใดเป็นคนต้นคิดเรื่องการเป็นพระสนมของตี้คัง อีกทั้งผู้ใดปล่อยข่าวลือนี้ออกมา”
ผู้อาวุโสใหญ่ก้มศีรษะลง เอ่ยกล่าวด้วยความเคารพ “ราชินี กระหม่อมจะให้คนตรวจสอบเรื่องนี้ต่อพ่ะย่ะค่ะ”
เดิมที เขาได้ส่งคนออกไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว หากแต่เนื่องจากตี้คังต้องการให้ช่วยไป๋หยานดึงดูดความสนใจของพวกเทวาคาร ผู้อาวุโสใหญ่เกรงว่าคนพวกนั้นจะเป็นอันตรายต่อตำหนักอสูร เพื่อป้องกันตำหนักอสูร เขาจึงวางเรื่องนี้ไว้ก่อน
ตี้คังตกใจ ดูเหมือนเขาจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามว่า “หยานเอ๋อ เจ้าไม่ได้เข้าใจข้าผิดใช่หรือไม่ ?”
ชั่วขณะนั้น ทันทีที่เขาได้ยินคำกล่าวของไป๋หยาน หัวใจของเขาก็แทบจะหยุดเต้นด้วยความตกใจ
เขารู้สึกกลัว
เขากลัวว่าไป๋หยานจะเข้าใจเขาผิดเช่นเดียวกับครั้งที่แล้วและหนีจากเขาไปอีก
ความเจ็บปวดเช่นนั้น เขาไม่อยากลิ้มรสอีกเป็นครั้งที่สอง
“คนโง่”
ครั้นเห็นการแสดงออกของตี้คัง ไป๋หยานก็หัวเราะน้อย ๆ แววตาของนางอ่อนโยนลง
ครั้งแรกที่นางเข้าใจผิด เป็นเพราะอีกฝ่ายสามารถลบล้างความสงสัยทั้งหมดในใจของนางลงได้ นางจึงเข้าใจตี้คังผิด ทว่านี่เป็นเพียงข่าวลือไม่กี่คำ นางจะเข้าใจผิดได้อย่างไร ?
ทว่า…
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ในตอนนั้นนางเองก็ไม่ได้ไว้ใจตี้คังมากพอ หากเปลี่ยนเป็นปัจจุบันนี้ ถึงแม้จะมีคนปลอมตัวเป็นเขา นางก็คงไม่เข้าใจคนที่รักนางมากที่สุดในโลกผิด เฉกเช่นคราก่อนแน่
บทที่ 1352 : รนหาที่ตาย (4)
หยูเหยาก้าวถอยหลังครั้งแล้วครั้งเล่า นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ราชาแดนอสูรผู้ชาญฉลาด อีกทั้งเก่งกาจในการต่อสู้ผู้นี้ กลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาวต่อหน้าราชินีจริงกระนั้นหรือ ? ไม่เหมือนบุรุษผู้มาดมั่นเช่นที่นางเคยเห็นก่อนหน้านี้เลย ? อะไรกันคำสัญญาที่ว่าจะเป็นคู่ครองผัวเดียวเมียเดียวชั่วชีวิตนั่น ?
ไร้สาระ ไร้สาระสิ้นดี !
สำหรับบุรุษแล้ว ควรมีสตรีติดสอยห้อยตามอยู่เสมอมิใช่หรือ ? ในโลกนี้มีสตรีตั้งมากมาย เหตุใดถึงยอมรักสตรีแค่เพียงคนเดียว ทั้งยังเอาอกเอาใจ และรักนางได้ถึงเพียงนี้อีกด้วย ?
นางไม่เชื่อ ! นางไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่นางได้เห็น !
ความตกใจในแววตาของหยูเหยาเปลี่ยนเป็นความโกรธ และท้ายสุดก็เป็นความสิ้นหวัง ทว่าหัวใจของนางก็ยังคงหลอกตนเอง
“หม่ามี้ !”
ทันทีที่ไป๋เสี่ยวเฉินเห็นไป๋หยาน ความเย็นชาบนใบหน้าของเขาก็มลายหายไปสิ้น เขาวิ่งเข้าไปหาไป๋หยาน พลางพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของนาง
ไป๋หยานอุ้มเสี่ยวหลิงเอ๋อไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง และอุ้มไป๋เสี่ยวเฉินขึ้นมาด้วยแขนอีกข้างหนึ่ง รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏที่มุมปากของนาง
“หม่ามี้…เมื่อครู่เสี่ยวหลิงเอ๋อตกลงไปในทะเลสาบ นางกำนัลผู้นี้ช่วยหลิงเอ๋อไว้ ทว่ายายแก่ผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นมารดาของนาง ยายแก่กลับบังคับให้นางยอมรับว่านางเป็นคนผลักเสี่ยวหลิงเอ๋อตกน้ำ”
ไป๋หยานขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่ไป๋เสี่ยวเฉินพูด
ไป๋เสี่ยวเฉินเม้มปาก เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์จากที่เคยทรงอำนาจก่อนหน้านี้ พลางดึงแขนเสื้อของไป๋หยานอย่างน่าสงสาร
“เฉินเอ๋อ…เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี จึงออกมาเป็นพยานแทนนางกำนัล แต่ยายแก่นี่กลับเรียกเฉินเอ๋อว่าเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน ซ้ำยังบอกด้วยว่าเฉินเอ๋อไม่ได้รับการศึกษา และนางต้องลงโทษเฉินเอ๋อแทนพ่อแม่”
ชั่วขณะนั้นใบหน้าของไป๋หยานพลันเคร่งขรึม เพราะนางมาช้าเกินไปจึงไม่ได้ยินถ้อยคำดังกล่าว เช่นนั้นตอนนี้เมื่อได้ยินสิ่งที่ไป๋เสี่ยวเฉินพูด กลิ่นอายสังหารก็แผ่ออกมาจากร่างของนาง
“ตี้คัง เมืองสัตว์อสูรนี้ … ไม่ว่าสัตว์อสูรชนิดใดก็สามารถเข้ามาได้กระนั้นรึ ?” ไป๋หยานเอ่ยถามพร้อมกับจิกริมฝีปากอย่างเย็นชา
นัยน์ตาของตี้คังมืดหม่น และน่ากลัว สายตาที่เย็นชาของเขากวาดไปมองหยวนป๋อ และคนอื่น ๆ “ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าปล่อยนังผู้หญิงบ้าคนนี้เข้ามา ข้าเคยบอกแล้วใช่หรือไม่ว่า หากไม่มีป้ายอนุญาต ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อนุญาตให้เข้ามา !”
หยวนป๋อตกใจมาก กระทั่งคุกเข่าลงอีกครั้ง เขาตัวสั่นสะท้าน “กราบทูลราชา นาง … นางเข้ามาในตำหนักอสูรได้ ก็ด้วยป้ายหัวหน้าเผ่าเสือดาวพ่ะย่ะค่ะ”
ตี้คังไม่ได้กล่าวคำใด สายตาที่เย็นชาของเขาเปลี่ยนจากร่างของหยวนป๋อไปจับจ้องที่หยูเหยา
ภายใต้สายตาของเขา ร่างของหยูเหยาสั่นสะท้าน พลันของเหลวสีเหลืองก็รินไหลออกมาจากร่างกายส่วนล่างของนางส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง
“ข้าไม่รู้ว่า โอรสของข้ากลายเป็นลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ กระทั่งต้องให้เจ้าช่วยอบรมแทน ?”
หยูเหยาคุกเข่าลง ร่างของนางสั่นเทา “ไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ ราชา … หม่อมฉันไม่รู้ว่าทรงเป็นองค์ชาย หม่อมฉันเพียงเป็นห่วงองค์หญิง ที่หม่อมฉันทำไปทั้งหมด ก็เพราะหม่อมฉันเป็นห่วงองค์หญิง หม่อมฉันเกรงว่าองค์หญิงจะถูกลักพาตัวไปน่ะเพคะ”
ใช่…ที่นางทำลงไปทุกอย่างก็เพื่อองค์หญิง นางไม่ผิด ความผิดเพียงอย่างเดียว ก็คือนางไม่รู้จักองค์ชายเท่านั้น
ราชาเป็นผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ เช่นนั้นพระองค์ไม่ควรใส่พระทัยนางกับเรื่องเล็ก ๆ เพียงแค่นี้
เมื่อนึกได้เช่นนี้แล้ว หยูเหยาก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย สีหน้าของนางแลดูดีขึ้นมาก
ตี้คังหัวเราะเยาะ “เฉินเอ๋อ อากาศหนาวแล้ว พ่อจะทำชุดหนังเสือดาวให้เจ้าดีหรือไม่ หากหนึ่งตัวไม่พอก็เอาสักสองตัวก็ได้”
นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวเฉินสว่างไสวขึ้น “ก็ดี แต่ไม่เอาเนื้อของนางนะ เฉินเอ๋อ คิดว่าเนื้อของนางไม่อร่อยแน่ ๆ ดังนั้นจึงควรทิ้งมันซะจะดีกว่า”
“ตามใจเจ้าเลย”
ยามที่ตี้คังหันไปมองไป๋เสี่ยวเฉิน ท่าทางเขาก็ไม่ได้แลดูมืดมนเฉกเช่นเคย ทั้งยังมีรอยยิ้มที่ริมฝีปากของเขาอีกด้วย
หยูเหยาตกใจมาก กระทั่งทรุดตัวลงนั่งกับพื้น แววตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นางเบิกตากว้าง
บทที่ 1353 : ปกป้ององค์หญิงไปตลอดชีวิต (1)
“ราชา หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันรู้ตัวแล้วว่าหม่อมฉันผิด ความจริงเป็นเพราะองค์หญิง” หยูเหยาดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางหันหน้าไปหามู่อิงอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นก็ดึงมู่อิงมาอยู่ข้าง ๆ น้ำเสียงของนางฟังดูเป็นกังวล ทว่าก็เหมือนกับการคว้าฟางเส้นสุดท้าย
“อิงเอ๋อ, อิงเอ๋อ บอกพวกเขาสิว่า เมื่อครู่เจ้าผลักองค์หญิงน้อยตกน้ำ ที่ข้าทำทุกอย่างก็เพื่อปกป้ององค์หญิง บอกพวกเขาเร็ว ๆ เข้าสิ”
มู่อิงคิดว่าหัวใจของนางรองรับความผิดหวังได้มากพอสมควรแล้ว ทว่าถ้อยคำของหยูเหยาก็ยังคงทำให้ร่างของนางสั่นสะท้าน
นางรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบจากฝ่าเท้าของนางแล่นเข้าสู่หัวใจ พลันรอยยิ้มเยาะเย้ยก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง
อิงเอ๋อ … นางไม่ได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้มานานกี่ปีแล้ว ?
หญิงผู้นี้มักจะเรียกนางด้วยชื่อจริง หรือไม่ก็เรียกนางว่านังเด็กเลว ทว่าตอนนี้กลับเรียกนางว่า ‘อิงเอ๋อ’ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู …
รึเพียงคำเรียกที่นุ่มนวลเช่นนี้ จะเพียงพอให้นางยอมตายแทนได้ !
นี่มารดาของนางไม่รู้หรือไรว่า โทษทัณฑ์สำหรับการปลงพระชนม์องค์หญิงนั้นรุนแรงเพียงใด ? ต่อให้นางยอมรับจริง ๆ ด้วยฐานะมารดาก็ไม่สามารถอยู่ในโลกนี้ได้เช่นกัน ?
ทว่ามารดาของนางกลับยอมให้นางตาย เพื่อบุตรสาวคนโปรดมู่เสวี่ยกระนั้นสิ ?
มู่อิงยืดอก นางไม่เคยหมดหวังเช่นนี้มาก่อนเลย
“หม่อมฉันไม่เคยคิดปลงพระชนม์ชีพองค์หญิงเพคะ”
มู่อิงไม่ได้มองหยูเหยาอีกเลย ทว่านางค่อย ๆ คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเคารพ อีกทั้งไม่มีอารมณ์ใด ๆ แฝงในน้ำเสียงของนาง “ตอนแรก ที่องค์ราชามีรับสั่งให้หม่อมฉันถวายการดูแลองค์หญิงน้อย หม่อมฉันก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ และรับผิดชอบเสมอมา ไม่เคยกล้ากระทำอะไรเกินเลย ไม่เคยคิดปลงพระชนม์องค์หญิงเลยแม้แต่น้อย”
ไม่ต่างจากสายฟ้าฟาด หยูเหยาตกตะลึง นางชี้นิ้วใส่มู่อิงด้วยความโกรธเกรี้ยว เอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่า เจ้ากำลังพูดอะไร เห็นชัด ๆ ว่าเจ้ากำลังจะปลงพระชนม์องค์หญิง เจ้ายังไม่ยอมรับอีกกระนั้นหรือ ? เจ้าไม่รู้รึว่าคำพูดของเจ้าสังหารข้าได้นะ ?”
มู่อิงยิ้มเยาะ นางรู้ดีว่า เหตุการณ์นี้เพียงพอที่จะฆ่าคนได้
อย่างไรก็ตามหญิงผู้นี้ ก็อยู่ในฐานะมารดา หากแต่กลับต้องการให้นางตายตลอดเวลา !
ไม่มีการแสดงออกใด ๆ บนใบหน้าที่หล่อเหลางดงามของตี้คัง ทั้งไม่มีความผันผวนใด ๆ ในดวงตาเรียวคมของเขา หากแต่หลังจากได้ยินคำว่าปลงพระชนม์องค์หญิง นัยน์ตาของเขาพลันหรี่ลงทันที
ไป๋เสี่ยวเฉินหันกลับไปมองหยูเหยา พลางเบะปาก
หญิงผู้นี้โง่ในโง่ ? นางรนหาที่ตายเอาซะจริง ๆ ? เสี่ยวหลิงเอ๋อจะถูกสังหารได้ไง ในเมื่อเขาเฝ้าดูตลอด อีกทั้งตอนนี้นางยังบังคับให้บุตรสาวยอมรับอีก ?
“หุบปาก !”
ครั้นเห็นนิ้วของหยูเหยาเกือบจะชี้ไปที่ใบหน้าของมู่อิง การแสดงออกของไป๋หยานก็เคร่งเครียดลง ที่สุดก็มีประกายเย็นวาบในดวงตาของนาง และเมื่อนางหันไปมองเสี่ยวหลิงเอ๋อ รอยยิ้มที่อ่อนโยนก็ปรากฏบนใบหน้าของนาง
“หลิงเอ๋อ…บอกแม่ทีสิว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ?”
เสี่ยวหลิงเอ๋อกัดนิ้วเล็ก ๆ ของนางเบา ๆ นัยน์ตาอันชาญฉลาดของนางกะพริบเล็กน้อย “เมื่อครู่ หลิงเอ๋อบังเอิญตกลงไปในทะเลสาบเพราะมัวห่วงเล่น แต่พี่มู่อิงก็คว้าตัวหลิงเอ๋อไว้ได้ทัน”
แม้ว่าหลิงเอ๋อจะไม่กลัวน้ำ หากแต่นางก็รู้ว่ามู่อิงกำลังช่วยนาง
“แม่เข้าใจแล้ว” ไป๋หยานลูบศีรษะของเสี่ยวหลิงเอ๋อ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจางหายไป เมื่อนางหันกลับไปมองหยูเหยาอีกครั้ง น้ำเสียงของนางเย็นชา “เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่ ?”
หยูเหยานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง นางไม่คาดคิดว่าไป๋หยานจะเชื่อคำพูดของเสี่ยวหลิงเอ๋อจริง ๆ เพราะอย่างไรเสียเสี่ยวหลิงเอ๋อก็เป็นเพียงด็กน้อย
ด้วยความกลัวในใจผนวกกับความรู้สึกไม่พอใจที่เห็นตี้คังเอาใจไป๋หยาน ส่งผลให้ความอดทนในใจของหยูเหยาพลันขาดสะบั้นลง ชั่วขณะนั้นนางก็กล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “องค์หญิงน้อยจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร ? นางยังไม่สามารถเดินได้ตรงทางด้วยซ้ำ สมองของนางอาจผิดปกติ จะเชื่อถือนางได้อย่างไร?”
บทที่ 1354 : ปกป้ององค์หญิงไปตลอดชีวิต (2)
แววตาของไป๋หยานเย็นชา นางส่งเสี่ยวหลิงเอ๋อไปให้ไป๋เสี่ยวเฉิน พลางยืดร่างขึ้นตรง จากนั้นก็เดินไปด้านหลังหยูเหยาอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของไป๋หยานดุร้ายน่าสะพรึงกลัว ร่างของหยูเหยาแข็งค้าง ขณะที่จิตใจของนางว่างเปล่า ความเจ็บปวดบริเวณแผ่นหลังทำให้นางรู้สึกตัว
ปัง !
พร้อมกันนั้น ร่างของหยูเหยาก็ไม่ต่างจากลูกธนูพุ่งออกจากคันศรอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระแทกเข้ากับกำแพง ส่งผลให้ใบหน้าของนางซีดด้วยความเจ็บปวด
นางอยากจะกรีดร้อง ทว่าแรงผลักดันที่เกิดขึ้นก็ทำให้นางหายใจไม่ออก ขณะมองไป๋หยาน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสยดสยอง และซีดเผือด
“เจ้าว่าเฉินเอ๋อเป็นเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน ทั้งยังว่าสมองของเสี่ยวหลิงเอ๋อไม่ปกติอีกกระนั้นหรือ ?” ไป๋หยานยกยิ้ม
ทว่าเป็นรอยยิ้มที่ราวกับสารจากนรก ทำให้ใบหน้าของหยูเหยายิ่งหวาดกลัวหนักขึ้น
นางรู้สึกเสียใจ !
เมื่อครู่นางเพียงหวาดกลัว อีกทั้งอิจฉาจึงได้กล่าวเช่นนั้นออกไป
ในสายตาของหยูเหยา ไป๋หยานเป็นเพียงหญิงสาวชาวมนุษย์ เหตุใดถึงได้รับความโปรดปรานจากองค์ราชา ? องค์ราชาควรที่จะโปรดปรานบุตรสาวของนางเท่านั้น !
นอกจากนี้หญิงผู้นี้ยังให้กำเนิดเด็กปัญญาอ่อนถึงสองคนที่เดินเองแทบจะไม่ได้ !
หากแต่นางลืมไปว่านี่คือตำหนักอสูร
ไป๋หยานคือสตรีที่ตี้คังรัก …
การที่นางกล่าวออกมาเช่นนั้นเท่ากับนางกำลังรนหาที่ตายมิใช่หรือ ?
“หม่อมฉัน … หม่อมฉัน … ” ในใจของหยูเหยาพยายามคิดหาคำโกหก นางกล้ำกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก นางหันไปสบตาเพื่อขอความช่วยเหลือจากมู่อิงอีกครั้ง “อิงเอ๋อ องค์หญิงไว้ใจเจ้ามาก เจ้าช่วยขอร้องแทนแม่ด้วย แม่ไม่อยากตาย แม่ไม่อยากตายจริง ๆ เจ้าช่วยแม่ขอร้องด้วย”
มู่อิงซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เสี่ยวหลิงเอ๋อยิ้มเยาะ “ท่านก็แค่อยากให้ข้าตาย”
ท่านต้องการให้ข้าตาย เหตุใดข้าต้องช่วยท่านด้วย ?
“ว่าไงนะ !”
หยูเหยากำลังจะกล่าวบางอย่าง ทว่านางกลับรู้สึกเจ็บที่แขน เพราะนางถูกไป๋หยานหักแขนแล้ว หน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีเขียวเพราะความเจ็บปวด น้ำตาของนางไหลพรากลงมาราวกับสายฝน
“มู่อิงเจ้าช่วยแม่เร็ว ๆ หาไม่แม่จะไม่ปล่อยเจ้า ข้าจะเปิดโปงเจ้า เปิดโปงเจ้า !”
นางกล่าวซ้ำ ๆ ทั้งยังจงใจเน้นเสียง ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว และเต็มไปด้วยความดุร้าย
มู่อิงเพิกเฉยต่อคำกล่าวของนาง เมินนาง และไม่กล่าวคำใดอีก
นางมิได้ทำอะไรผิด เหตุใดต้องกลัวหยูเหยาจะเปิดโปง ?
“ราชินี ราชินี ขอร้องพระองค์โปรดอภัยโทษให้หม่อมฉันด้วย หม่อมฉันยอมทูลแล้วว่าผู้ใดเป็นคนแพร่ข่าวลือทั้งหมด คนผู้นั้นก็คือมู่อิง นางปรารภว่าราชาทรงมีพระประสงค์ที่จะรับพระสนม นางจงใจเข้าหาองค์หญิงน้อยเพื่อใกล้ชิดราชา !”
หยูเหยากัดฟันอย่างโหดเหี้ยม ทว่าเสียงของนางยังคงสั่นเทา
มู่อิงในเมื่อเจ้าไร้ความปรานี ก็อย่าตำหนิข้าว่าไม่เมตตา
เมื่อครู่นางได้ยินแล้วว่าตี้คังไม่ต้องการรับพระสนม และเสวี่ยเอ๋อก็คิดเองเออเองกับเรื่องทั้งหมดนี้ หากราชินีทรงตรวจสอบจริง ๆ แล้วล่ะก็ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องทรงพบตัวการเป็นแน่
ด้วยวิธีนี้ นางก็สามารถผลักมู่อิงเข้าสู่อาชญากรรมในครั้งนี้แทน เพราะหากมู่อิงเป็นแพะรับบาปแล้ว เสวี่ยเอ๋อก็จะรอด!
“นี่ท่าน…”
ที่สุดใบหน้าของมู่อิงก็เปลี่ยนไป แววตาของนางเต็มไปด้วยความเศร้าโศก และไม่อยากเชื่อ
ไม่คาดคิดเลยว่า กระทั่งถึงเวลานี้หญิงผู้นี้ก็ยังคิดจะโยนบาปของมู่เสวี่ยมาให้นาง ?
เราทั้งคู่ต่างก็เป็นบุตรสาวของนาง เหตุใดนางถึงทำเช่นนี้ ?
มู่อิงหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง เพียงไม่นานนางก็ลืมตาขึ้น นางคุกเข่าลงต่อหน้าไป๋หยาน
“ราชินี เรื่องทั้งหมดนี้เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ”
ครั้นได้ยินประโยคนี้ไม่เพียงแต่คนอื่น ๆ แม้แต่หยูเหยาเองก็ยังตะลึงงัน
บทที่ 1355 : ปกป้ององค์หญิงไปตลอดชีวิต (3)
เมื่อครู่มู่อิงปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเป็นคนคิดปลงพระชนม์องค์หญิงน้อย ทว่าตอนนี้นางกลับสารภาพง่าย ๆ กระนั้นหรือ ?
มุมปากของมู่อิงยิ้มเยาะ “หม่อมฉัน… รู้อยู่แล้วว่าหยูเหยาและมู่เสวี่ยเป็นคนจิตใจสกปรก ทั้งต้องการที่จะเป็นพระสนมที่ราชาทรงโปรดปราน พวกนางพยายามแพร่ข่าวลือเรื่องนี้ หากราชินีไม่ทรงเชื่อ พระองค์ย่อมสามารถรับสั่งถามทหารยามที่ดูแลรักษาประตูวังได้เพคะ”
ใบหน้าของหยูเหยาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ก่อนที่จะได้ยินน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของนาง พลันนางก็ต้องตื่นตกใจกับกลิ่นอายของไป๋หยานที่แผ่กระจายออกมา ลำคอของนางรู้สึกปั่นป่วนกระทั่งกล่าวคำใดไม่ออก
เมื่อหยูเหยาไม่ห้าม มู่อิงก็กล่าวต่อ “หม่อมฉันกระทำความผิด เพราะไม่ได้กราบทูลรายงานเรื่องนี้นับแต่ตอนนั้น หม่อมฉันคิดเพียงว่ามู่เสวี่ยเป็นน้องสาว อีกทั้งหยูเหยาก็เป็นมารดาของหม่อมฉัน เช่นนั้นหม่อมฉันจึงปกปิดมิได้กราบทูลรายงาน ตอนนี้หม่อมฉันถูกใส่ความมากมาย หม่อมฉันจึงต้องกราบทูลเรื่องนี้เพคะ”
อย่างไรก็ตาม นางไม่นึกเสียใจกับการตัดสินใจในวันนั้น
การที่นางช่วยปกปิดก็เพื่อทดแทนบุญคุณที่หยูเหยาอุ้มท้องนางมา ทว่าหลังจากวันนี้แล้ว ทั้งสองคนจะเป็นจะตายก็ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับนางแล้ว
“เช่นนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ หม่อมฉันจึงพยายามกันมู่เสวี่ยไม่ให้เข้าใกล้องค์หญิงน้อย หากแต่ไม่ว่าหม่อมฉันจะทำอะไรก็ไม่สามารถลบล้างความผิดเรื่องการปกปิด และไม่กราบทูลรายงานได้ หม่อมฉันยินดีรับโทษเพคะ”
ทั่วทั้งลานเงียบลงชั่วขณะ
ผู้อาวุโสใหญ่ยังคงปาดหยาดเหงื่อเย็น พลางหันไปมองป๋หยานอย่างระมัดระวัง
การแสดงออกของไป๋หยานไม่เปลี่ยนไปเลย นางยังคงมองมู่อิงผู้ซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นเงียบ ๆ
นางไม่ได้กล่าวคำใด ส่วนตี้คังเองก็ไม่ได้กล่าวคำใดเช่นกัน เขายืนอยู่ข้างกายไป๋หยานอย่างเงียบ ๆ ทว่ากลิ่นอายสังหารก็เพียงพอที่จะทำให้ตำหนักอสูรแห่งนี้คล้ายตกอยู่ในขุมนรก
“เจ้ามีความผิดจริง ๆ ” ไป๋หยานยิ้มอย่างน้อย ๆ “เจ้าปกปิด และไม่ได้รายงานเรื่องนี้ กระทั่งทำให้เรื่องนี้ลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ นับเป็นความผิดร้ายแรงจริง ๆ ”
มู่อิงก้มหน้าลง สีหน้าของนางไม่แปรเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย นางย่อมรู้ดีว่า หากมิใช่เพราะนางปกปิด เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้นในเวลานี้
เช่นนั้นราชินีควรลงทัณฑ์นาง
ที่สุดหยูเหยาก็รู้สึกตัว นางหัวเราะสะใจ “มู่อิง…นังบ้า คิดว่าจะหนีพ้นได้งั้นหรือ ? อย่างไรเสียราชินีก็ต้องฆ่าเจ้าเช่นกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า !”
หากผู้ที่ไม่รู้จักครอบครัวนี้ ได้มาเห็นผู้ซึ่งกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งยามนี้ พวกเขาอาจจะคิดว่ามู่อิงเป็นศัตรูของนางไม่ใช่บุตรสาวของนาง
ไป๋หยานไม่สนใจหยูเหยา นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า จากนี้ไปชั่วชีวิตของเจ้ามีไว้เพื่อปกป้องหลิงเอ๋อ เจ้าจะตกลงหรือไม่ ?”
มู่อิงผงะ นางเงยหน้าขึ้นมองไป๋หยาน
ยามนี้ใบหน้าที่งดงามของไป๋หยานพลันสะท้อนอยู่ในแววตาของนาง หัวใจของนางเต้นรัวแรงอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ราชินี … ทรงละเว้นชีวิตนาง ?
นางพร้อมที่จะรับการลงทัณฑ์ หากแต่นางไม่คาดคิดเลยว่าราชินีไม่เพียงแต่ไม่มีรับสั่งลงทัณฑ์นางเท่านั้น ทว่ายังให้นางปกป้องดูแลองค์หญิงต่อไปอีกด้วย ?
ใบหน้าของหยูเหยาแข็งค้าง สีหน้าของนางซีด ริมฝีปากของนางสั่นระริก นางไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกต่อไป
เหตุใด ?
เหตุใดราชินีถึงไม่ทรงลงทัณฑ์มู่อิง ? นางแพศยามู่อิง !
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเต็มใจหรือไม่ ?” ไป๋หยานขมวดคิ้ว เมื่อเห็นมู่อิงยังคงนิ่ง นางจึงเอ่ยถามอีกครั้ง
ในที่สุดมู่อิงก็กลับมามีสติอีกครั้ง ใบหน้าของนางแสดงความดีใจ นางพยักหน้าอย่างรีบร้อน “เพคะ หม่อมฉันยินดีที่จะมอบทั้งชีวิตของหม่อมฉัน เพื่อปกป้ององค์หญิงเพคะ ในวันหน้าหากองค์หญิงทรงได้รับอันตรายใด ๆ หม่อมฉันยินดีที่จะรับทัณฑ์ทรมานจากเพลิงเผาผลาญชั่วนิรันดร์เพคะ”
ขณะกล่าวเช่นนี้ การแสดงออกของมู่อิงแลดูแน่วแน่มาก นัยน์ตาของนางเปล่งประกายสดใส
“เอาล่ะ” ครั้นไป๋หยานจัดการมู่อิงเรียบร้อย นางก็หันไปจ้องหยูเหยาอีกครั้ง “เจ้ามาจากเผ่าเสือดาวใช่หรือไม่ ?”
หยูเหยาพูดไม่ออก ผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ จึงกล่าวขึ้นว่า “นางเป็นภรรยาของหัวหน้าเผ่าเสือดาวพ่ะย่ะค่ะ”