จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1371-1375
บทที่ 1371 : เด็กสร้างบ้านทั้งนั้น (3)
“พี่ใหญ่ หลิงเอ๋อจะเอานั่น”
ตลาดในเมืองสัตว์อสูรเต็มไปด้วยความพลุกพล่าน ภายใต้ท้องฟ้า เสียงหัวเราะที่คมชัดของเสี่ยวหลิงเอ๋อดังก้อง ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางเป็นสีชมพูน่ารัก แววตาของนางสดใสไร้เดียงสา นางมองไปรอบ ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น
ครั้นนางเห็นขนมถังหูลู่ (พุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาล) ตรงหน้า นางก็ไม่ยอมขยับไปไหนอีก นางกัดนิ้วเล็ก ๆ ของตน นัยน์ตากลมโตของนางเต็มไปด้วยประกายแวววาว
ไป๋เสี่ยวเฉินเหลือบมองขนมถังหูลู่แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หลิงเอ๋อเชื่อพี่ ถ้าเจ้ากินลูกอมชนิดนี้มากเกินไป ฟันของเจ้าจะผุ พี่จะให้ขนมถั่วเจ้าแทนนะ”
ขนมถั่วที่เขาว่าก็คือ ยาอายุวัฒนะ
มุมปากของเสี่ยวหลิงเอ๋อโค้งงอ น้ำตาแห่งความเสียใจเกือบจะร่วงหล่น
“พี่ใหญ่ หลิงเอ๋ออยากกินขนมซื้อให้หลิงเอ๋อกินได้มั้ย ?”
น้ำตาของนางเอ่อคลอด้วยความเสียใจ ส่งผลให้หัวใจของไป๋เสี่ยวเฉินอ่อนยวบ
“งั้น…กินก็ได้แต่แค่ไม้นึงนะ กินเยอะมากไม่ได้”
ไป๋เสี่ยวเฉินเม้มริมฝีปากบางของตน พลางก้าวเข้าไปหาแม่ค้าที่ขายขนมถังหูลู่โดยไม่ลืมที่จะแบกเสี่ยวหลิงเอ๋อไว้บนหลัง เขาซื้อขนมถังหูลู่แล้วยื่นส่งให้หลิงเอ๋อ
“หลิงเอ๋อ…นี่ขนมของเจ้า”
เสี่ยวหลิงเอ๋อยิ้มทั้งน้ำตาขณะรับขนม
ในขณะที่ไป๋เสี่ยวเฉินกำลังจะแบกเสี่ยวหลิงเอ๋อไปซื้อของต่อ มือเล็ก ๆ ก็ยื่นมาดึงเสื้อของเขา
ครั้นเขาลดสายตาลง เขาก็เห็นใบหน้ากลมอ้วนน่ารักของเทียนเทียน
“พี่ใหญ่ข้าก็อยากกินขนมถังหูลู่เหมือนกัน”
“ไม่มีทาง”
ไป๋เสี่ยวเฉินปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี
หลังจากบรรยากาศเงียบสงบอยู่เป็นเวลาชั่วสามอึดใจ เทียนเทียนก็แผดเสียงร้องก้องโลกสะเทือนฟ้าทลายดิน
“ข้าก็อยากกินขนมด้วยอ่า แง ๆๆ พี่ใหญ่ซื้อขนมให้น้องสาวไม่ซื้อให้ข้า ข้าก็อยากได้ขนมถังหูลู่เหมือนกัน แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”
ไป๋เสี่ยวเฉินเม้มริมฝีปาก ลูกผู้ชายไม่น่าทำตัวเช่นนี้ ดังนั้นเมื่อหันหน้าไปเห็นน้ำตาของเทียนเทียนแล้ว เขาก็หันศีรษะหนีอย่างไม่แยแส
เสี่ยวหลิงเอ๋อซึ่งเพิ่งกินขนมถังหูลู่ลงไปคำหนึ่ง เหลือบมองไป๋เสี่ยวเฉิน จากนั้นก็ก้มลงมองเทียนเทียน นางขมวดคิ้วที่น่ารักของนางแน่น ใช้เวลานานก่อนที่นางจะตัดสินใจ
“เทียนเทียนกินซะ ไม่ต้องงอแง”
นางมองขนมถังหูลู่ในมือของตนอย่างไม่เต็มใจ พลางพยายามตัดใจส่งให้กับเทียนเทียนที่น้ำตาคลอหน่วย
พี่ใหญ่ให้นาง 1 ไม้ นางให้เทียนเทียนกินคำนึง แล้วเทียนเทียนก็คืนมาให้นางกินสลับกัน แบ่งปันกัน
แต่เทียนเทียนก็ยังร้องไห้ไม่เลิก นางจึงพยายามปลอบต่อ
“เจ้าอย่ากินหมดนะ เจ้ากินคำนึง ข้าก็กินคำหนึ่ง เจ้าอย่ากินจนหมดไม่เหลือให้ข้าเหมือนเมื่อก่อนนะ” เสี่ยวหลิงเอ๋อกล่าวเสริม
นางยังไม่ลืมว่า หากอาหารอยู่ในมือของเทียนเทียน แม้ว่านั่นจะเป็นส่วนแบ่งของนาง ทว่าที่สุดเขาก็จะกินมันจนเกลี้ยง …
เช่นนั้น เสี่ยวหลิงเอ๋อจึงกังวลมากเรื่องการให้เทียนเทียนกินหนึ่งคำ
แน่นอนว่าหลังจากที่ได้เห็นขนมถังหูลู่ยื่นส่งมาตรงหน้า เทียนเทียนก็หยุดร้องไห้ เขากัดมันพลันความรู้สึกหวาน ๆ ก็แผ่นซ่านอยู่ในปาก ทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ ของเทียนเทียนเปล่งประกายแวววาว
“หลิงเอ๋อมากด้วยน้ำใจจริง ๆ ”
ไป๋เสี่ยวเฉินรู้สึกใจอ่อน เขาจูบแก้มสีชมพูของเสี่ยวหลิงเอ๋อ
เสี่ยวหลิงเอ๋อหัวเราะคิกคัก “พี่ใหญ่ ป๊ะป๋าบอกว่า นอกจากป๊ะป๋าแล้ว ห้ามให้คนอื่นจูบแก้มของหลิงเอ๋อ”
“ข้าเป็นพี่ชายของเจ้า เราต่างก็เป็นพี่น้องกัน ดังนั้นนี่ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักอย่าว่าแต่หอมแก้มของเจ้า แค่กอดเจ้าก็ยังไม่ได้ เจ้าต้องจำคำพูดของพี่ไว้นะ”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของไป๋เสี่ยวเฉินแลดูจริงจังมาก
เขาไม่ลืมที่จะสอนน้องสาวของเขาทุกเวลา เพื่อมิให้ชายอื่นมาฉกนางไปจากเขา
เสี่ยวหลิงเอ๋อกะพริบตา พลางเอ่ยถามอย่างงง ๆ “แล้วพี่รองกอดได้มั้ย ?”
บทที่ 1372 : เด็กสร้างบ้านทั้งนั้น (4)
“เขากอดเจ้าได้ แต่ห้ามเขาหอมแก้มเจ้า” ประกายแสงวาบผ่านเข้ามาในดวงตาของไป๋เสี่ยวเฉิน
“อ้อ”
เสี่ยวหลิงเอ๋อพยักหน้า
แม้นางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่รองถึงจูบนางไม่ได้ หากแต่นางก็รู้ว่าสิ่งที่พี่ใหญ่พูดนั้นถูกต้องเสมอ
ในตอนนี้ เทียนเทียนสนใจเพียงขนมถังหูลู่ในมือเท่านั้น ไม่ได้ยินการสนทนาของพี่น้องเขาเลย ดูเหมือนว่ามีเพียงอาหารเท่านั้นที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา …
จนกระทั่งต่อมาเมื่อเขาพยายามที่จะจูบหลิงเอ๋อ ทว่าทำไม่สำเร็จ เขาก็ต้องรู้สึกงุนงงว่าเขาทำสิ่งใดผิด
น่าเสียดายที่เมื่อถึงตอนนั้น ก็สายเกินกว่าที่เขาจะนึกเสียใจ
เมื่อส่งขนมหวานเข้าปากแล้ว นัยน์ตากลมโตของเทียนเทียนก็หันไปมอง ทันใดนั้นเขาก็เห็นร้านอาหารส่งกลิ่นหอมฉุยตรงหน้า เขาสูดจมูกอย่างแรง ก่อนจะเดินเตาะแตะไปทีละก้าว ๆ
“อ๊ะ !”
ทันทีที่เทียนเทียนก้าวเข้าไปในร้านอาหาร แขนข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากด้านข้างอุ้มตัวเขาขึ้นมา เขาอยากจะตะโกนเรียกไป๋เสี่ยวเฉิน ทว่าปากของเขากลับถูกมือข้างหนึ่งปิดไว้แน่น
“องค์ชายน้อย อย่าตะโกนเพคะ หม่อมฉันจะไม่ทำร้ายพระองค์”
เสียงแผ่วเบาดังมาจากข้าง ๆ
เทียนเทียนกะพริบนัยน์ตากลมโต แววตาที่งงงวยของเขาจับจ้องมองสตรีที่อยู่ข้าง ๆ
หญิงสาวผู้นี้สวย ทว่าสวยแบบแปลก ๆ
หญิงผู้นั้นกัดฟัน แท้ที่จริงนางไม่เต็มใจที่จะช่วยมู่เสวี่ย เพราะมู่เสวี่ย ไม่ใช่บุตรสาวคนรองที่ยิ่งใหญ่ของเผ่าเสือดาวอีกต่อไปแล้ว ซ้ำยังเป็นคนทรยศของแดนอสูรอีกด้วย
ทว่า … ตอนที่มู่เสวี่ยออกจากเมืองสัตว์อสูร มู่เสวี่ยได้ลักพาตัวน้องชายซึ่งเป็นญาติเพียงคนเดียวของนางไปด้วย มู่เสวี่ยบีบบังคับนางให้ทำสิ่งต่าง ๆ
เช่นนั้น เพื่อช่วยน้องชายของนาง นางจำต้องทำ
“หม่ามี้ไม่ให้ข้าคุยกับคนแปลกหน้า”
เทียนเทียนเบ้ปากเล็ก ๆ ของตน
แม้ว่าเขาจะไม่ฉลาดเท่าหลิงเอ๋อ ทว่าเขาก็จดจำสิ่งที่มารดาของเขาพูดได้
มารดาของเขาบอกเขาว่า เขาห้ามคุยกับคนแปลกหน้า และเขาต้องเชื่อฟังมารดาของเขา
“องค์ชายน้อย หม่อมฉันไม่ใช่คนแปลกหน้านะเพคะ หม่อมฉันเป็นสาวใช้ของเผ่าเสือดาว รวมถึงพระบิดา พระมารดาของพระองค์ด้วย”
ใบหน้าของหญิงสาวอ่อนลง
“หม่อมฉันมีอาหารอร่อย ๆ มากมาย พระองค์อยากไปกับหม่อมฉันหรือไม่เพคะ ?”
อาหารอร่อย ๆ รึ ?
แววตาของเทียนเทียนสว่างไสวขึ้น มีคราบน้ำลายไหลย้อยออกมาจากมุมปากของเขา
ทว่า…
การแสดงออกของเทียนเทียนดูสับสนมาก ราวกับว่าต้องตัดสินใจกับเรื่องที่หนักหน่วงมาก
หลังจากนั้นไม่นาน ภายใต้สายตาที่คาดหวังของหญิงสาว เทียนเทียนก็ส่ายหน้า “หม่ามี้ไม่ให้ข้ากินอาหารจากคนแปลกหน้า”
แม้ว่า … เขาจะอยากกินอาหารเหล่านั้นมากเพียงใด ทว่าหม่ามี้ชอบเด็กที่เชื่อฟัง เขาไม่สามารถทำให้หม่ามี้ไม่มีความสุขได้
“หม่อมฉันทูลแล้วว่า หม่อมฉันไม่ใช่คนแปลกหน้า” ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไป พร้อมกับความกังวลในแววตาของนาง
เทียนเทียนไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในท่าทีของนาง เขายังคงส่ายหน้าเอ่ยกล่าวว่า “แต่ข้าไม่รู้จักเจ้า”
ชั่วขณะนั้น หญิงสาวก็หายใจติดขัด นางหายใจแทบไม่ออกแล้ว
มู่เสวี่ยบอกว่าองค์ชายน้อยผู้นี้สนใจเพียงเรื่องอาหารไม่เคยคิดถึงปัญหาอื่นใด ซ้ำยังโง่เง่าด้วยไม่ใช่รึ ?
เหตุใดสมองของเด็กน้อยน่ารักคนนี้ถึงหลอกลวงยากจัง ?
นางจะหลอกลวงองค์หญิงน้อยได้อย่างไร ? ถ้าแค่องค์ชายน้อยนางยังไม่สามารถหลอกลวงได้เลย ?
แววตาของหญิงสาวเป็นประกาย “องค์ชายน้อย…หม่อมฉันได้รับคำสั่งจากราชินีให้มาถวายการดูแลพระองค์นะเพคะ พระองค์เสด็จตามหม่อมฉันมาเถิดเพคะ หม่อมฉันจะพาพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารอร่อย ๆ ให้ทั่วเลย มีพระกระยาหารหลายอย่างให้พระองค์เสวยไม่หมดเลย”
การแสดงออกของเทียนเทียนยิ่งสับสนขึ้น การตัดสินใจครั้งนี้ยากเหลือเกิน ทว่าที่สุด …
เขาก็หันหลังกลับ เดินออกจากร้านอาหารอย่างยากลำบาก
“หม่ามี้บอกว่าคนแปลกหน้าที่หลอกล่อข้าด้วยอาหารอันโอชะนั้นต้องการล่อลวงเด็ก ๆ ข้าไม่เชื่อเจ้า”
บทที่ 1373 : เด็กสร้างบ้านทั้งนั้น (5)
หญิงสาวตื่นตระหนก นางพยายามยื่นมือออกคว้าแขนของเทียนเทียน ทว่าในขณะนี้ นางเห็นร่างขาวราวกับหิมะอยู่ข้างหน้า นางจึงรีบชักมือกลับ
“เทียนเทียน”
ไป๋เสี่ยวเฉินจับมือของเสี่ยวหลิงเอ๋อ และรีบไล่ตามเทียนเทียนมา หลังจากเห็นน้องชายไม่เป็นอะไรเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ทันทีหลังจากนั้น ใบหน้าสีชมพูของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ
“ไปไหนมา ?”
เทียนเทียนเกาท้ายทอย “ท่านน้านั่นจะพาข้าไปทานอาหารเย็น แต่ข้า … ”
เขาหันศีรษะกลับไปมอง ทว่าไม่มีผู้ใดอยู่ข้างหลังเขา มีเพียงแขกในร้านอาหารที่ยังคงรับประทานอาหารส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจอยู่เท่านั้น
เทียนเทียนตกตะลึง นัยน์ตากลมโตของเขาปรากฏความงุนงง
ไป๋เสี่ยวเฉินขมวดคิ้ว “เจ้ากำลังพูดถึงท่านน้าคนไหน ?”
“ไม่รู้สิ แปลกจัง ทำไมนางถึงหายตัวไปอย่างฉับพลันเช่นนี้ล่ะ ?”
เทียนเทียนทำปากจู๋เล็กน้อย เขามองไป๋เสี่ยวเฉิน นัยน์ตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
“พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้โกหกนะ มีน้าหญิงอยู่ตรงนี้จริง ๆ ”
ไป๋เสี่ยวเฉินเหลือบมองไปที่ด้านหลังของร้านอาหาร นัยน์ตาของเขากะพริบสองสามครั้ง รอยยิ้มที่น่ากลัวและเจ้าเล่ห์พลันปรากฏบนใบหน้าสีชมพูของเขา
“เทียนเทียน ข้าเชื่อเจ้า”
เทียนเทียนไม่เคยโกหก แสดงว่ามีคนต้องการใช้อาหารล่อเทียนเทียน !
หาไม่ เหตุใดถึงรีบหนีไปทันทีที่เห็นเขาปรากฏตัวล่ะ ?
“พี่ใหญ่ พี่เชื่อจริง ๆ หรือว่าข้าไม่ได้โกหกน่ะ ?” เทียนเทียนดึงแขนเสื้อของไป๋เสี่ยวเฉินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา
ไป๋เสี่ยวเฉินลดสายตาลงมอง พลางลูบหัวเล็ก ๆ ของน้องชาย “เทียนเทียน ไม่ใช่เด็กโกหก แน่นอนว่าพี่ชายต้องเชื่อในตัวเจ้าอยู่แล้ว”
ไม่ต้องพูดถึงว่า ด้วยความฉลาดของเทียนเทียน เขาไม่มีความสามารถในการโกหกแน่
แน่นอนว่า ไป๋เสี่ยวเฉินไม่ได้พูดประโยคสุดท้ายนี้ออกไป เพราะเกรงว่าจะกระทบหัวใจดวงน้อยของเทียนเทียน
“ไปกันเถอะ กลับบ้านกันดีกว่า หม่ามี้จะเป็นห่วง ถ้าเรากลับบ้านช้า”
ที่สุดแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาพิเศษที่หม่ามี้ยอมให้พวกเขาออกมาเที่ยวเล่น หากไม่กลับไปเกรงว่าหม่ามี้จะเป็นห่วง กระทั่งต้องออกมาตามหาตัวพวกเขา
“พี่ใหญ่” เสี่ยวหลิงเอ๋อเงยหน้าขึ้นถาม “เมื่อไหร่พวกเราจะได้ออกมาเที่ยวเล่นอีกล่ะ ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินผงะ พลางขมวดคิ้วที่น่ารักของเขาแน่น “หม่ามี้คงจะไม่ยอมให้เราออกจากเมืองสัตว์อสูรนี้แน่”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มู่เสวี่ยก็หายตัวไปอีกด้วย ต่อให้เขาไม่กลัวมู่เสวี่ย ทว่าเขาก็ยังกังวลอยู่บ้าง
“อ้อ” เสี่ยวหลิงเอ๋อเบ้ปาก นางก้มศีรษะลงด้วยความหงุดหงิด
ที่นี่น่าเบื่อจะตายไม่สนุกเท่าเทียนซานเลย
*****
ครั้นเห็นไป๋เสี่ยวเฉินกับแป้งนึ่งสองลูกจากไป สตรีที่ซ่อนตัวอยู่ภายในร้านอาหารก็ก้าวออกมา
นางกำหมัดแน่น นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความมืดมน นางกัดริมฝีปากนิ่งเงียบ
ที่จริง นางรู้ดีว่าหากทรยศต่อแดนอสูรจะมีโทษหนักเพียงใด ทว่ามู่เสวี่ยจับน้องชายของนางไว้ นางไม่มีทางเลือกอื่น !
เพื่อน้องชายของนางแล้ว นางจำเป็นต้องทำเช่นนี้ !
คิดถึงน้องชายของนางแล้ว การแสดงออกของหญิงสาวก็ผ่อนคลายลง แววตาของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“ยั่วเอ๋อ ข้าต้องช่วยเจ้าแน่นอน ! แม้ว่าจะต้องทรยศต่ออาณาจักรอสูร แม้จะต้องพบกับความวิบัติ ข้าก็จะ … ช่วยเจ้า !”
ทว่าเมื่อนางหันหลังกลับ ชั่วขณะนั้นใบหน้าของเด็กน้อยพลันปรากฏขึ้นข้างหลังนาง
เขาอุ้มเด็กหญิงผิวสีชมพูไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างของเขากำลังอุ้มเด็กชายตัวเล็ก ๆ อ้วนท้วนเล็กน้อย ยามนี้เขากำลังมองมาที่นางพร้อมรอยยิ้ม
ชั่วขณะนี้ หัวใจของนางแทบหยุดเต้น นัยน์ตาของนางมีแววตื่นตระหนก สีหน้าของนางซีดเผือด …
บทที่ 1374 : เด็กสร้างบ้านทั้งนั้น (6)
“เจ้า เจ้า”
หญิงสาวก้าวถอยหลัง สีหน้าของนางตื่นตระหนกและหวาดกลัว นางไม่คิดว่าเจ้าหนูคนนี้จะกลับมาอีกครั้ง
ซ้ำยังมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังนางอย่างเงียบเชียบอีกด้วย
“เจ้าเป็นคนของท่านพ่อท่านแม่ของข้าหรือ ? เหตุใดข้าถึงไม่เคยพบเจ้ามาก่อนเลย ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินก้าวเข้าหาหญิงผู้นั้นอีกสองสามก้าว พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
หญิงผู้นั้นลุกลี้ลุกลน หัวใจของนางแทบจะกระโดดออกจากอก นางเม้มริมฝีปากแน่น “องค์ชาย หม่อมฉันเป็นข้ารับใช้ราชาจริงเพคะ ทว่าราชาทรงมีข้าทาสบริวารมากมาย พระองค์ย่อมไม่เคยทอดพระเนตรเห็นพวกเราหมดทุกคนหรอกใช่หรือไม่เพคะ ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินยิ้ม
รอยยิ้มของเขาไร้เดียงสา อบอุ่นและสว่างไสว
“เช่นนั้น เจ้าจึงจะพาเทียนเทียนไปกินอาหาร ช่วยบอกหน่อยได้หรือไม่ว่า เจ้ามีแผนจะพาเขาไปที่ใดกัน ?”
ใบหน้าของนางเริ่มซีดลง นางระงับอาการใจสั่น พลางกล่าวว่า “หม่อมฉัน…หม่อมฉันได้ยินมาว่าองค์ชายน้อยชื่นชอบอาหาร เช่นนั้นหม่อมฉันจึงตั้งใจจะนำเสด็จองค์ชายน้อยไปลองลิ้มชิมอาหารอร่อย ๆ บ้าง หม่อมฉันรู้ตัวว่าผิดไม่ควรใช้วิธีนี้เพื่อให้องค์ชายน้อยโปรดปราน องค์ชายใหญ่โปรดอภัยโทษให้กับหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
ตุ้บ !
หญิงสาวคุกเข่าลงทันที พลางโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างดุเดือด ใบหน้าของนางซีดเผือด
ไป๋เสี่ยวเฉินลดสายตาลงมองสตรีที่คุกเข่านอบน้อมอยู่กับพื้นดิน “หากเจ้าแค่อยากจะทำให้เทียนเทียนพอใจจริง ๆ เช่นนั้นก็ตามข้ากลับไปที่ตำหนักสัตว์อสูรไปพบกับท่านแม่ของข้าตอนนี้เลยจะดีหรือไม่ ?”
ร่างของหญิงสาวแข็งค้าง นัยน์ตาของนางเบิกกว้างด้วยความสยดสยอง นางจ้องมองใบหน้าเล็ก ๆ ที่น่าเอ็นดูของไป๋เสี่ยวเฉิน
ไปเข้าเฝ้าราชินีในตำหนักสัตว์อสูรกระนั้นรึ ?
เช่นนั้นแล้วนางจะยังมีชีวิตรอดออกมาอีกกระนั้นหรือ ?
หากนางตาย มู่เสวี่ยต้องสังหารน้องชายของนางอย่างแน่นอน
ไม่มีสิ่งใดที่หญิงผู้นั้นทำไม่ได้
“ยังไม่สารภาพความจริงอีกหรือ ?” ไป๋เสี่ยวเฉินยังคงก้าวไปข้างหน้าอีกสองก้าว นัยน์ตาของเขาเคร่งขรึมลงเล็กน้อย
น้ำเสียงของเขาทรงอำนาจทั้งที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ฟังดูน่ากลัวมาก
หญิงสาวกัดริมฝีปากไม่กล่าวคำใด
นางไม่สามารถกล่าวคำใดได้ หากมู่เสวี่ยรู้ว่าแผนการถูกเปิดเผย มู่เสวี่ยคงต้องฆ่าน้องชายของนางอย่างแน่นอน
เช่นนั้น นางจึงไม่ยอมกล่าวแม้ครึ่งคำ !
ไป๋เสี่ยวเฉิน มองใบหน้าที่คาดเดาอะไรไม่ได้ของหญิงสาวตลอดเวลา มีแววเย้ยหยันปรากฏในดวงตากลมโตของเขา
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า จุดจบของการทรยศท่านแม่ของข้า เจ้าจะต้องถูกฆ่าล้างโครต !”
เขาเลิกคิ้วกล่าวเสียงเข้มอย่างดุดัน
ไป๋เสี่ยวเฉินเห็นแววตาครุ่นคิด และความตื่นตระหนกในแววตาของนาง
ไป๋เสี่ยวเฉินก็รู้ได้ทันที
หญิงผู้นี้มาจากเผ่าเสือดาว นางต้องมีบางสิ่งเกี่ยวข้องกับมู่เสวี่ยเป็นแน่
ทว่านางปกป้องมู่เสวี่ยโดยไม่คำนึงถึงชีวิตตนเอง นั่นย่อมแสดงว่านางคงต้องถูกบีบบังคับมา เช่นนั้นสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่นี้จึงเป็นเพียงการทดสอบนาง
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
“ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย มู่เสวี่ยอยู่ที่ใด ? นางใช้สิ่งใดป้องกันไม่ให้องครักษ์ของข้าติดตามมา ?” ไป๋เสี่ยวเฉินเอ่ยถามอย่างเย็นชา
หญิงสาวกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “องค์ชายใหญ่ หม่อมฉันไม่รู้ว่าพระองค์กำลังรับสั่งถึงเรื่องใด มู่เสวี่ยนางออกจากเผ่าเสือดาวไปแล้ว หม่อมฉันไม่เคยพบนางเพคะ …
ไป๋เสี่ยวเฉินหรี่ตา รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเล็ก ๆ ของเขา
“ดูเหมือนว่า เจ้าจะไม่ยอมบอกความจริงกับข้า ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าจะมอบเจ้าให้ท่านแม่ของข้า นางมีวิธีที่จะทำให้เจ้าคายความจริงออกมาเป็นแน่ ท่านแม่ของข้ารักลูก ๆ มาก หากนางรู้ว่าเจ้าต้องการที่จะลักพาตัวเทียนเทียน ข้าเกรงว่าญาติพี่น้องของเจ้าคงจะ … “
ประโยคนี้ ไป๋เสี่ยวเฉินเจตนาข่มขู่นาง
เนื่องจาก มู่เสวี่ยใช้ญาติของนางข่มขู่นาง เขาก็สามารถทำเช่นเดียวกัน
และเขาก็สรุปได้ว่า หญิงผู้นี้ต้องรู้ว่ามู่เสวี่ยอยู่ที่ใด ?
“ไม่ !” ในที่สุดหญิงสาวก็ยอมแพ้ หยาดน้ำตาร่วงหล่นจากหางตาของนางอย่างเงียบ ๆ ท่าทางของนางราวกำลังเจ็บปวด “ข้าเองก็ไม่ต้องการทำเช่นนี้ ทว่า มู่เสวี่ย … มู่เสวี่ยจับตัวน้องชายของข้าไป นางบังคับให้ข้าทำเรื่องต่าง ๆ ให้นาง ทั้งที่ข้าเองก็ไม่ต้องการเลย … ”
บทที่ 1375 : มามอบตัวเองก็ดี (1)
หญิงสาวคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเจ็บปวด นางยกมือขึ้นปิดหน้าแน่น น้ำตารินไหลอย่างเงียบ ๆ
“แท้จริงแล้วข้ามิใช่สาวใช้ของเผ่าเสือดาว มู่เสวี่ยเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า บิดามารดาของข้าถูกมนุษย์ล่าตั้งแต่ข้ายังเด็ก เหลือเพียงข้ากับน้องชายของข้าเท่านั้น เพื่อความอยู่รอดแล้ว เราทั้งสองจำต้องมาพึ่งพาเผ่าเสือดาว น้องชายของข้าอายุเพียงเจ็ดขวบ มู่เสวี่ยจับน้องชายของข้าไป นางสั่งให้ข้าทำงานให้นาง … ข้าก็ไม่ได้อยากทรยศอาณาจักรอสูรเลย”
ทว่าน้องชายคือครอบครัวที่เหลือเพียงคนเดียวของนาง นางจำต้องยอมเสี่ยงเพื่อน้องชาย แม้ว่าจะอันตรายแค่ไหนนางก็ไม่หวั่นเกรง
ขอเพียงเขาสามารถอยู่รอดได้
“เจ้าคิดว่าหากเจ้าช่วยมู่เสวี่ยแล้ว นางจะปล่อยน้องชายของเจ้างั้นหรือ ?” ใบหน้าที่งดงามราวปั้นของไป๋เสี่ยวเฉินแลดูยุ่งยากและเคร่งขรึม นัยน์ตากลมโตของเขาพลันสว่างวาบ
หญิงผู้นั้นเกร็งตัวพลางเงยหน้าขึ้น มองนิ่ง นัยน์ตาของนางแดงก่ำ ทั้งยังมีน้ำตาอยู่บนใบหน้า
“พระองค์หมายความว่าไงเพคะ ?”
เป็นไปไม่ได้ !
มู่เสวี่ยสัญญากับนางแล้วว่า หากนางทำสำเร็จ มู่เสวี่ยจะปล่อยตัวน้องชายของนาง
มู่เสวี่ยจะผิดคำพูดได้อย่างไร ?
ทว่า…
เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่มู่เสวี่ยทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางก็ตื่นตระหนก ใบหน้าของนางซีดและไร้สีสัน นางกัดริมฝีปากแน่นไม่กล่าวคำใดอีก
ไป๋เสี่ยวเฉินย่อตัวลงมองสตรีที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยแววตาฉลาดเฉลียวพลางยิ้ม “น้องชายของเจ้าถูกมู่เสวี่ยจับตัวไป เหตุใดเจ้าไม่ไปพบท่านพ่อท่านแม่ของข้าเล่า ? หากเจ้าบอกเราว่ามู่เสวี่ยอยู่ที่ใด เราก็มีวิธีที่จะทำให้น้องชายของเจ้ากลับมาได้”
หญิงสาวตัวสั่นเล็กน้อย นางก้มศีรษะลง
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากตำหนักสัตว์อสูร ทว่ามู่เสวี่ยได้บอกนางว่าราชินีอสูรไม่เพียงแต่เป็นคนขี้หึงเท่านั้น หากแต่ยังไม่สนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ เป็นไปไม่ได้ที่คนในตำหนักสัตว์อสูรจะให้การช่วยเหลือนาง
ยิ่งไปกว่านั้น หากอาณาจักรอสูรระดมคนจริง ๆ ก็อาจล่วงรู้ไปถึงหูของมู่เสวี่ย มู่เสวี่ยก็จะสังหารน้องชายนางต่อหน้าพวกเขา
เช่นนั้นนางจึงเลือกที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของมู่เสวี่ย และทำสิ่งต่าง ๆ ตามแต่มู่เสวี่ยจะสั่ง
“ฝ่า … ฝ่าบาท”
หญิงผู้นั้นโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรง หยาดน้ำตาไหลพราก “ได้โปรดช่วยน้องชายของหม่อมฉันด้วย หากพระองค์ช่วยน้องชายของหม่อมฉัน หม่อมฉันยินดีที่จะรับโทษตายด้วยความผิดของหม่อมฉันที่คิดลักพาตัวองค์ชายน้อย หากแต่น้อยชายของหม่อมฉันเขาบริสุทธิ์ เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย … “
ไป๋เสี่ยวเฉินเหลือบมองหญิงผู้นั้นด้วยสายตาแจ่มกระจ่าง พลางโค้งปากขึ้นเล็กน้อย “ความผิดที่เจ้ากระทำไม่อาจอภัยได้ หากข้ากลับมาไม่ทัน เจ้าคงหาโอกาสลักพาตัวเทียนเทียนไปแล้ว”
หญิงผู้นั้นกัดริมฝีปากพลางยักไหล่ ไม่ว่าจะอย่างไร ขอเพียงนางสามารถช่วยน้องชายของนางกลับมาได้อย่างปลอดภัย นางก็เต็มใจที่จะรับโทษ
“หากแต่ข้าอยากรู้ว่า เหตุใดมู่เสวี่ยถึงให้เจ้าลักพาตัวเทียนเทียน ?”
“ข้า … ” หญิงสาวเหลือบมองหลิงเอ๋อน้อยที่ไป๋เสี่ยวเฉินอุ้มไว้ด้วยท่าทางปกป้อง “จริง ๆ แล้วนางต้องการให้ข้าลักพาตัวองค์หญิงน้อย หากแต่องค์ชายใหญ่อยู่กับองค์หญิงตลอด ข้าจึงไม่มีโอกาส ข้าจึงเริ่มที่องค์ชายน้อยก่อน”
หากแต่นางไม่คาดคิดมาก่อนว่า การลักพาตัวองค์ชายน้อยจะเป็นเรื่องยากเย็นถึงเพียงนี้ แตกต่างจากที่มู่เสวี่ยกล่าวไว้อย่างสิ้นเชิง
“เป้าหมายของเจ้าก็คือหลิงเอ๋อน้อยกระนั้นรึ ?”
ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินยิ่งเคร่งเครียด
หากจุดประสงค์ของมู่เสวี่ยคือการจัดการกับมารดาของเขา ไม่ว่าจะเป็นเทียนเทียน หรือหลิงเอ๋อน้อย ก็สามารถนำมาใช้เพื่อข่มขู่ได้พอกัน เหตุใดนางถึงเจาะจงเป้าหมาย… ?
หรือว่า…
มู่เสวี่ย…จะรู้ว่าหลิงเอ๋อตกเป็นเป้าหมายของพวกเทวาคาร ?
ไป๋เสี่ยวเฉินจับมือของเสี่ยวหลิงเอ๋อแน่น อารมณ์ขุ่นมัวพลันฉายชัดในดวงตากลมโตของเขา