จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1376 -1380
บทที่ 1376 : มามอบตัวเองก็ดี (2)
“พี่ใหญ่ ?” เสี่ยวหลิงเอ๋อรู้สึกเจ็บ นางหันไปมองไป๋เสี่ยวเฉินน้ำตาคลอเบ้า
ไป๋เสี่ยวเฉินรู้สึกตัว ใบหน้าของเขาซีดลง การแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียด “พี่ขอโทษ หลิงเอ๋อ พี่ขอโทษที่ทำเจ้าเจ็บ เมื่อครู่ มือของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ? มา…พี่ใหญ่จะช่วยเป่าให้”
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ เขาคว้ามือของเสี่ยวหลิงเอ๋อขึ้นมาอังที่ปาก พลางส่งเสียงเป่าฟู่ ๆ สองครั้งก่อนจะกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ ยังเจ็บอยู่หรือไม่ ?
เสี่ยวหลิงเอ๋อส่ายศีรษะ “พี่ใหญ่ หลิงเอ๋อไม่เจ็บแล้ว”
“ขอโทษ ครั้งหน้าพี่จะใส่ใจมากกว่านี้”
หลิงเอ๋อน้อย คือเกล็ดใต้คอมังกรในหัวใจของเขา เขาไม่ยอมให้ผู้ใดมาแตะต้องนาง (เกล็ดใต้คอมังกร ซึ่งเป็นเกล็ดที่หันไปในทางตรงข้ามกับเกล็ดในบริเวณอื่น เชื่อกันว่าหากผู้ใดแตะต้องเกล็ดนี้ มังกรจะโกรธจัด และสังหารคนผู้นั้น ประมาณ ต่อมโกรธ)
ไป๋เสี่ยวเฉินเงยหน้าขึ้น แสงเย็นวาบปรากฏในดวงตาของเขา “เจ้าชื่ออะไร ?”
หัวใจของหญิงสาวสั่นสะท้าน “หม่อมฉันชื่อหงเย่”
“หงเย่…ข้าขอถามเจ้า ในเมื่อมู่เสวี่ยยังอยู่ใกล้ ๆ บริเวณนี้ นางอาศัยสิ่งใดหลบหนีการติดตาม”
“หม่อมฉันเองก็ไม่แน่ชัดในเรื่องนี้ หากแต่หม่อมฉันรู้ว่า มู่เสวี่ยอยู่ไม่ไกลจาก เมืองสัตว์อสูร”
ไป๋เสี่ยวเฉินเงียบ
บรรยากาศของร้านอาหารทั้งหมดเป็นความเงียบสงบอย่างน่าแปลกประหลาด
ไม่รู้ว่า พวกเขาออกไปตั้งแต่เมื่อใด ร้านอาหารที่เคยจ้อกแจ้กจอแจเปลี่ยนเป็นไม่มีเสียงใด ๆ แล้ว
“หากมู่เสวี่ยยังไม่จากไปไหน นั่นย่อมพิสูจน์ได้ว่านางยังไม่ได้ไปรวมตัวกับคนของเทวาคาร ข้าต้องไม่ปล่อยให้ข่าวที่ว่าหลิงเอ๋อน้อยมีตัวตนในโลกนี้รู้ไปถึงหูของพวกเทวาคาร” ไป๋เสี่ยวเฉินเม้มริมฝีปาก “มู่เสวี่ย อยู่ที่ใด เจ้าพาข้าไปหน่อย”
หงเย่สะดุ้งพลางก้มศีรษะลง “หม่อมฉันหามู่เสวี่ยไม่เจอหรอกเพคะ นางมอบเครื่องรางส่งสัญญาณให้กับหม่อมฉัน และให้หม่อมฉันเรียกนางผ่านเครื่องส่งสัญญาน นางสั่งไว้ว่า…หากหม่อมฉันทำสำเร็จ ให้หม่อมฉันพาองค์หญิงไปรอยังสถานที่แห่งหนึ่ง แล้วนางจะมาหาหม่อมฉันในภายหลังเพคะ”
ไป๋เสี่ยวเฉินขมวดคิ้ว
เดิมทีเขาต้องการใช้หงเย่ในการตามหามู่เสวี่ย หากแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามู่เสวี่ยจะระมัดระวังตัวมาก …
นางกลัวว่าคนในตำหนักสัตว์อสูรจะอาศัยการติดตามคนของเผ่าเสือดาวในการตามหานางเช่นนั้น …นางจึงไม่ยอมปรากฏตัวออกมา
“เช่นนั้นก็ใช้เครื่องส่งสัญญาณแจ้งนางไปว่าเจ้าจับตัวหลิงเอ๋อได้แล้ว และรอนางตรงสถานที่ซึ่งนางแจ้งไว้ เราจะรอให้นางปรากฏตัวเอง”
นัยน์ตากลมโตของไป๋เสี่ยวเฉินกะพริบประกายแสงที่น่ากลัว
มู่เสวี่ยผู้นี้กำเริบเสิบสานมากขึ้นเรื่อย ๆ หากนางไม่ถูกกำจัด ข่าวของหลิงเอ๋ออาจล่วงรู้ไปถึงหูของพวกเทวาคารได้…
“เพคะ องค์ชายใหญ่”
ในขณะนี้หัวใจของหงเย่กำลังสั่นสะท้าน นางคิดว่าบางทีองค์ชายใหญ่อาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายของนาง
หากนางจับให้แน่น น้องชายของนางอาจจะรอด …
*****
นอกเมืองสัตว์อสูร
ในหุบเขาไม่ไกลออกไป มู่เสวี่ยกำลังยืนอยู่ที่จุดสูงสุด นางมองไปที่ประตูเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักพลางกำหมัดแน่นอย่างขมขื่น นัยน์ตาของนางมืดมนราวกับกริชอาบยาพิษ
ก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าราชาทรงมีพระประสงค์ที่จะรับนางเป็นพระสนม กระทั่งราชินียังเสด็จหนีจากไป หากมิใช่เพราะเหตุนี้ ราชินีจะทรงเสด็จหนีไปด้วยเหตุใด นี่คงเป็นเพราะราชินีทรงข่มเหงน้ำใจองค์ราชา หาไม่นางก็อาจจะกลายเป็นสนมของราชาไปนานแล้ว !
เช่นนั้นแม้ว่านางจะลักพาตัวองค์หญิงน้อย นั่นก็เป็นความเจ็บปวดที่ราชินีสมควรได้รับ !
มู่เสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก นางหวนนึกถึงภาพต่าง ๆ ที่นางได้พบมาในตำหนักก่อนหน้านี้ หัวใจของนางก็ยิ่งเจ็บปวด
โชคดีที่นางหนีเร็ว หากหลบหนีช้าไปเพียงหนึ่งก้าว บางทีนางอาจไม่ต่างจากมารดาของนาง ที่ต้องตายด้วยน้ำมือของหญิงสารพัดพิษผู้นั้น …
ทันใดนั้นเอง เครื่องส่งสัญญาณในมือของมู่เสวี่ยก็ร้อนจนแผดเผาฝ่ามือของนาง
เครื่องส่งสัญญาณนี้ส่งเสียงแตกต่างจากหินส่งเสียงที่ไป๋หยานเคยมีมาก่อน มันไม่สามารถส่งผ่านเสียงได้ มันทำได้เพียงรับรู้ข้อความที่อีกฝ่ายต้องการบอกเล่าผ่านความรู้สึกเท่านั้น
บทที่ 1377 : มามอบตัวเองก็ดี (3)
ครั้นนางสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของเครื่องส่งสัญญาณ ความรู้สึกดีใจพลันปรากฏขึ้นในใจของมู่เสวี่ย ร่างของนางสั่นสะท้าน
“ราชินี…ต่อให้ท่านได้ราชาไปก่อนแล้วไง ? อย่างไรเสียท่านก็ไม่มีทางเอาชนะข้าได้ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า !” นางหัวเราะอย่างดุเดือด
เสียงหัวเราะดังก้องฟ้าไม่หยุด
วันใดที่นางได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ราชินี สิ่งแรกที่นางต้องจัดการก็คือนางตัวแสบมู่อิง
เห็นได้ชัดว่า นังนั่นเป็นพี่สาวของนางแท้ ๆ หากแต่ไม่เพียงไม่ช่วยนาง ทว่ายังขัดขวางไม่ให้นางเข้าใกล้องค์หญิงน้อยอยู่ร่ำไป ! อย่างไรเสียนังนั่นก็ต้องตาย !
…
ในเวลาเดียวกัน
ภายในตำหนักไป๋หยานกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในศาลา ทันใดนั้นร่างที่ตื่นตระหนกก็วิ่งเข้ามา พลางกล่าวกระหืดกระหอบ “ราชินีเกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ !”
เรื่องใด ?
ไป๋หยานขมวดคิ้ว พลางหันไปมองนางกำนัลที่รีบวิ่งมา
นางกำนัลหน้าตาน่ารัก ทว่าแลดูกระโตกกระตาก หลังจากได้ยินถ้อยคำของนางแล้ว ใบหน้าของไป๋หยานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าเพียงไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ
“เกิดอะไรขึ้น ?”
นัยน์ตาของนางกำนัลเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “หม่อมฉันเห็นองค์หญิงน้อยถูกลักพาตัวไป องค์หญิงน่าที่จะออกนอกประตูเมืองไปแล้ว ราชินี ตอนนี้หม่อมฉันควรทำเช่นไรดีเพคะ ?”
ฮะ !
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ไป๋หยานก็ถลันลุกขึ้นยืนทันที ใบหน้าของนางซีดลง หนังสือในมือของนางพลัดตกลงที่พื้น “หลิงเอ๋อถูกลักพาตัวไปกระนั้นหรือ ? เจ้าได้แจ้งตี้คังเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วหรือยัง ? ไปตามหาเขาเดี๋ยวนี้เลย !”
ครั้นเห็นว่าไป๋หยานกำลังจะไปห้องตำรา นางกำนัลก็ตื่นตระหนก นางกัดริมฝีปากพลางกล่าวว่า “หม่อมฉันกราบทูลฝ่าบาทแล้วเพคะ ราชินี พระองค์รีบไปช่วยองค์หญิงน้อยเถิดเพคะ … “
ไป๋หยานอาจจะลืมตัวไปบ้าง เพราะเรื่องเสี่ยวหลิงเอ๋อถูกลักพาตัว ทว่าประโยคถัดมาของนางกำนัลก็ทำให้ฝีเท้าของนางหยุดชะงักทันที
“มู่อิงอยู่ที่ใด ?”
นางอนุญาตให้มู่อิงปกป้องเสี่ยวหลิงเอ๋อ หากเฉินเอ๋อไม่ชอบให้มีคนติดตาม มู่อิงก็จะแอบตามไปอย่างลับ ๆ แม้ว่าหลิงเอ๋อน้อยจะถูกลักพาตัวจริง ทว่าคนที่มารายงานนางก็ควรจะเป็นมู่อิง ไม่ใช่นางกำนัลคนนี้
สีหน้าของนางกำนัลเริ่มลุกลี้ลุกลนมากขึ้น “มู่อิง … มู่อิงถูกตีกระทั่งหมดสติไป หม่อมฉันรีบกลับมาทูลราชินีก่อน จากนั้นหม่อมฉันก็จะกลับไปช่วยนางเพคะ”
ไป๋หยานเม้มริมฝีปาก พลางหันหน้าไปมองใบหน้าของนางกำนัล จึงได้เห็นความตื่นตระหนกบนใบหน้าของนางกำนัล
นางกล่าวเยาะเย้ย “เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้าก็ไปแจ้งตี้คัง ข้าจะไปหาเฉินเอ๋อก่อน”
ในเมื่อคนเหล่านี้ต้องการล่อนางออกไป นางก็อยากจะรู้นักว่าพวกเขาประสงค์สิ่งใด ?
และ…
ตำหนักสัตว์อสูรควรได้รับการสะสางสักที
“เพคะ ราชินี”
นางกำนัลลดศีรษะลง ไป๋หยานจึงไม่สามารถมองเห็นแววตาของนางได้อีก
“ไปได้” ไป๋หยานออกคำสั่งอย่างเย็นชา
นางกำนัลรู้สึกกระวนกระวายเหงื่อเย็นไหลออกมาจากหน้าผากของนาง ภายใต้สายตาที่ทรงอำนาจของไป๋หยาน นางรีบก้าวถอยหลัง เพียงพริบตาก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตาไป๋หยาน
ทันทีที่กำนัลจากไป ไป๋หยานก็หันหลังกลับ นางรีบมุ่งไปยังทางทิศเข้าเมือง
แต่เพียงนางเดินไปได้ไม่นาน นางก็เห็นมู่อิงอุ้มเสี่ยวหลิงเอ๋อไว้แนบอก
มู่อิงเห็นไป๋หยานก็ดีใจมาก นางรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วางเสี่ยวหลิงเอ๋อลงเบื้องหน้าไป๋หยาน พลางคุกเข่าลงบนพื้น “คารวะราชินี”
“หม่ามี้”
นัยน์ตาของเสี่ยวหลิงเอ๋อสว่างไสวขึ้น นางรีบวิ่งเข้าไปหาอ้อมแขนของไป๋หยานพลางซุกไซ้ศีรษะเล็ก ๆ ของตนลงบนหน้าอกของไป๋หยาน
ไป๋หยานอ้าแขนโอบกอดร่างของเสี่ยวหลิงเอ๋อไว้
ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางราวปังนมหวามนุ่มนิ่มน่ารัก
บทที่ 1378 : มามอบตัวเองก็ดี (4)
“หลิงเอ๋อ…ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ?” ไป๋หยานยกมุมริมฝีปากของนางขึ้นน้อย ๆ นางก้มลงมอง พลางลูบศีรษะเสี่ยวหลิงเอ๋อ “พี่ชายของเจ้าอยู่ที่ใด ?”
เสี่ยวหลิงเอ๋อกัดนิ้วของตน “พวกเขาตามท่านน้าไปแล้ว”
“ตามไปแล้วกระนั้นรึ ?” ไป๋หยานขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองมู่อิง ”มู่อิงเกิดเรื่องใดขึ้น ?”
ใบหน้าของมู่อิงเปลี่ยนเป็นซีด บอกตามตรง นางเองก็ไม่ต้องการให้ไป๋เสี่ยวเฉินต้องเสี่ยง ทว่าไป๋เสี่ยวเฉินเป็นถึงองค์ชายใหญ่ ไม่มีผู้ใดสามารถขวางในสิ่งที่เขาตัดสินใจไปแล้วได้
เมื่อหวนคิดถึงเรื่องนี้ มู่อิงก็รีบบอกไป๋หยานว่ายามนี้เกิดเรื่องใดขึ้น
ครั้นรับฟังถ้อยคำของมู่อิงแล้ว ใบหน้าของไป๋หยานพลันเปลี่ยนเป็นสีเข้ม แลดูเคร่งเครียดขึ้น ดูราวกับมีพายุในดวงตาของนาง
“ทูลราชินี องค์ชายใหญ่ มีรับสั่งว่าคนในเทวาคารต้องการสังหารองค์หญิง เช่นนั้นพระองค์จึงไม่กล้าที่จะปล่อยองค์หญิงออกจากเมืองสัตว์อสูร องค์ชายน้อยและองค์หญิงก็ดูคล้ายกันมาก องค์ชายใหญ่จึงมีรับสั่งให้องค์ชายน้อยปลอมป็นองค์หญิง ตั้งใจล่อให้มู่เสวี่ยปรากฏตัว”
มู่อิงปาดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผาก ครั้นนางกล่าวจบ สายตาของนางก็สังเกตเห็นการแสดงออกของไป๋หยาน นางย่อมสังเกตได้ว่าใบหน้าของไป๋หยานเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม
“หม่ามี้”
เสี่ยวหลิงเอ๋อขยี้ตา “หลิงเอ๋อง่วงแล้ว อยากนอนแล้ว”
น้ำเสียงที่ไพเราะไร้เดียงสาของเสี่ยวหลิงเอ๋อทำให้ใบหน้าของไป๋หยานอ่อนลงเล็กน้อย
“หลิงเอ๋อเหนื่อยมากแล้ว มู่อิงเจ้าพานางกลับไปพักผ่อนก่อน ส่วนเฉินเอ๋อ … เด็กคนนั้นใจกล้ามาก ไม่ว่าเขาจะทำการใดก็ตามข้าก็วางใจเขาเสมอ”
“เพคะ ราชินี”
มู่อิงกำหมัด เอ่ยกล่าวด้วยความเคารพ
ในขณะที่มู่อิงกำลังจะพาเสี่ยวหลิงเอ๋อจากไป นัยน์ตาของไป๋หยานพลันสว่างวาบขึ้น ไป๋หยานรีบเอ่ยปาก “ช้าก่อน”
มู่อิงหยุด นางหันกลับไปมองไป๋หยานเพื่อรอรับคำสั่ง
“ในเมื่อเฉินเอ๋อต้องการใช้วิธีนี้เพื่อนำทางไปพบมู่เสวี่ย เช่นนั้นข้าก็จะตามเขาไป เจ้าจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเทียนเทียนให้เสี่ยวหลิงเอ๋อก่อนจากนั้นค่อยอุ้มนางกลับไปพักผ่อน”
“เพคะ”
มู่อิงหายใจโล่งขึ้น นางคิดว่าราชินีจะทรงกริ้วมาก โชคดีที่พระนางไม่ทรงพิโรธองค์ชายใหญ่ และองค์ชายน้อย …
ทว่าเหตุใดราชินีถึงต้องให้องค์หญิงน้อยแสร้งปลอมองค์เป็นองค์ชายน้อยกลับตำหนักสัตว์อสูรด้วยเล่า ? หรือว่ามีหูตาของมู่เสวี่ยอยู่ในตำหนักสัตว์อสูรด้วยกระนั้นรึ ?
ทว่านางก็ไม่มีเวลาคิดนานนัก หลังจากที่เห็นเสี่ยวหลิงเอ๋อขยี้ตาอยู่ตลอดเวลา นางก็คุกเข่าลงอุ้มปังนมน้อยขึ้นมาและรีบกลับไปที่ตำหนักสัตว์อสูร
ภายหลังที่มู่อิงจากไปพร้อมเสี่ยวหลิงเอ๋อ ไป๋หยานก็หันหลังกลับ และเพียงพริบตาก็ปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณนอกเมืองสัตว์อสูร …
*****
นอกเมืองสัตว์อสูรมีถ้ำ
หงเย่พาไป๋เสี่ยวเฉิน และเทียนเทียนไปที่ถ้ำตามที่มู่เสวี่ยได้แจ้งไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
หลังจากก้าวเข้าไปในถ้ำไป๋เสี่ยวเฉินก็พบที่ซ่อนตัว ขณะที่เทียนเทียนเอาแต่เบิกตากว้าง มองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พี่ใหญ่ เรามาทำอะไรที่นี่ ?”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของเทียนเทียนกำลังสงสัย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ว่าเหตุใดไป๋เสี่ยวเฉินถึงพาเขามาที่นี่
“เทียนเทียน…ตอนนี้เราต้องช่วยหลิงเอ๋อน้อย เช่นนั้นเจ้าต้องฟังข้า” ไป๋เสี่ยวเฉินทำสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าเป็นลูกผู้ชาย เราต้องรับผิดชอบในการปกป้องหลิงเอ๋อน้อย และหม่ามี้ของเรา”
นัยน์ตากลมโตของเทียนเทียนเป็นประกาย “ข้าต้องการปกป้องหม่ามี้ และหลิงเอ๋อ เช่นนั้นข้าจะเชื่อฟังพี่ใหญ่”
“เอาล่ะ…ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เดี๋ยวคนอื่นจะรู้ว่าเจ้าปลอมตัวมา”
ในฐานะที่เทียนเทียนเป็นเด็กชาย เช่นนั้นย่อมไม่ใช่เป้าหมายของเทวาคาร ด้วยเหตุนี้ไป๋เสี่ยวเฉินจึงพาเทียนเทียนออกมาโดยไม่ต้องกังวล
หากปล่อยให้คนของเทวาคารรู้ว่าหลิงเอ๋อมีตัวตนจริง ๆ หลิงเอ๋ออาจจะเป็นอันตรายได้ …
บทที่ 1379 : มามอบตัวเองก็ดี (5)
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ต้องปกป้องเทียนเทียนอย่างดี และจะไม่มีวันปล่อยให้เทียนเทียนได้รับบาดเจ็บ !
ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินแน่วแน่ ทันใดนั้นเองก็มีกลิ่นอายแปลก ๆ ลอยมาแตะปลายจมูกของเขา กลิ่นอายนี้แปลกมาก ครั้นเขาต้องการรู้ว่ากลิ่นอายนี้มาจากที่ใด กลิ่นอายนี้ก็กลับหายไป …
ไป๋เสี่ยวเฉินขมวดคิ้ว ความสงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
หากเดาไม่ผิดกลิ่นอายนี้เป็นกลิ่นอายของมู่เสวี่ย ทว่ากลิ่นอายนี้ก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งเขาจับทางไม่ได้ …
*****
นอกหุบเขา
มู่เสวี่ยซ่อนตัวอยู่ในความมืด ขณะมองเข้าไปในถ้ำ
แม้ว่าเมื่อเทียบกับเสี่ยวหลิงเอ๋อแล้ว เทียนเทียนจะมีไขมันบนใบหน้ามากกว่าก็ตามที แต่เพราะตอนนี้เขากำลังหันหน้าไปทางปากถ้ำ กอรปกับที่เขาสวมกระโปรงที่ไป๋เสี่ยวเฉินทำขึ้นเป็นพิเศษ เช่นนั้นเมื่อมองจากภายนอกแล้ว เขาก็แลดูเหมือนเสี่ยวหลิงเอ๋อมาก มากกระทั่งแทบมองไม่เห็นความแตกต่าง
แน่นอนว่า มู่เสวี่ยเองก็ไม่เคยคิดว่าหงเย่จะทรยศนาง
ในใจของหงเย่ไม่มีสิ่งใดที่นางห่วงใยมากเท่าน้องชายของนาง เช่นนั้นมู่เสวี่ยจึงมั่นใจจริงจังว่าหงเย่จะต้องช่วยตนแบบมอบกายถวายชีวิต …
“ตอนนี้ราชินีน่าที่จะถูกหลอกออกจากตำหนักแล้ว” มู่เสวี่ยหัวเราะเสียงต่ำ ๆ แววตาของนางมืดมน “ในที่สุดโอกาสของข้าก็มาถึง … “
นางเหลือบมองไปที่ถ้ำเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังเดินไปยังทิศทางของเมืองสัตว์อสูร หายไปในหุบเขาทันที …
ภายในถ้ำ เทียนเทียนนอนอยู่บนพื้นอย่างเบื่อหน่าย เขาทำปากจู๋ หากไม่มีคำสั่งของไป๋เสี่ยวเฉิน เขาคงไม่กล้ากล่าวคำใด ทำได้เพียงจ้องมองพี่ชายด้วยสายตาที่น่าเวทนาเท่านั้น
“แปลกจริง … ” ไป๋เสี่ยวเฉินขมวดคิ้ว “เมื่อกี้ข้าไม่ได้รู้สึกผิดแน่ มู่เสวี่ยน่าที่จะปรากฏตัวขึ้นแล้ว ทว่าเหตุใดนางจึงไม่มา ?
เดิมทีเขาต้องการใช้วิธีนี้หลอกล่อมู่เสวี่ยออกมา หากแต่เขาไม่คาดคิดว่า แม้มู่เสวี่ยจะปรากฏตัวแล้ว ทว่านางก็ไม่ยอมออกมา
ไป๋เสี่ยวเฉินหน้ามุ่ย แลดูเคร่งเครียดเล็กน้อย
“พี่ใหญ่…พี่เป็นอะไรไป ?”
ครั้นเห็นใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉิน เทียนเทียนก็เดินเข้าไปหา เขาเหยียดอุ้งเท้าออกมาลูบศีรษะไป๋เสี่ยวเฉิน
หัวใจของไป๋เสี่ยวเฉินพลับอบอุ่น ไป๋เสี่ยวเฉินส่ายศีรษะ “ข้าต้องการล่อมู่เสวี่ยออกมา เพื่อที่จะได้สังหารนางเสีย นี่นางปรากฏตัว แต่กลับไม่ยอมออกมา หรือว่ามีบางอย่างผิดปกติ ? หากไม่จับมู่เสวี่ย ไม่ช้าก็เร็วนางก็จะส่งข่าวไปยังเทวาคาร และคนเหล่านั้นก็จะมาลักพาตัวหลิงเอ๋อไป”
เทียนเทียนนิ่ง…
เขาเงียบไปเพียงสามอึดใจ พลันน้ำตาก็ร่วงหล่น
“พี่ใหญ่…ข้าไม่อยากให้หลิงเอ๋อถูกลักพาตัว ข้าไม่ต้องการ ข้า … ข้าจะไม่ตะกละอีกแล้ว ข้าต้องฝึกฝน เพื่อจะได้ปกป้องหลิงเอ๋อ ไม่ปล่อยให้คนเลวเหล่านั้นพาหลิงเอ๋อไป”
ไป๋เสี่ยวเฉินยกมือขึ้นกอดเทียนเทียน เขาใช้มือเล็ก ๆ เช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของเทียนเทียน
“ไม่ต้องห่วง พี่ใหญ่จะไม่ปล่อยให้ใครพาหลิงเอ๋อไป ไม่อย่างแน่นอน !
เทียนเทียนเงยหน้าขึ้นแววตาของเขาไร้เดียงสา
ในเมื่อพี่ใหญ่บอกว่าจะไม่ให้ใครพาหลิงเอ๋อไป เช่นนั้นคนเหล่านั้นก็จะไม่สามารถพาหลิงเอ๋อไปได้อย่างแน่นอน
เขาเชื่อมั่นในตัวพี่ใหญ่ !
“หม่ามี้ !”
ชั่วขณะนั้นไป๋เสี่ยวเฉินก็เห็นไป๋หยานปรากฏตัวอยู่นอกถ้ำ นัยน์ตาของเขาสว่างไสวขึ้นทันที เขาปล่อยตัวเทียนเทียน จากนั้นก็พุ่งเข้าหาอ้อมแขนของไป๋หยาน
“หม่ามี้ ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ ?”
ครั้นเห็นว่าหนูน้อยทั้งสองปลอดภัย หัวใจของไป๋หยานก็โล่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นไป๋เสี่ยวเฉิน หลิงเอ๋อน้อย หรือเทียนเทียน ต่างก็เป็นชีวิตของนาง !
หากพวกเขาได้รับบาดเจ็บ ความเจ็บปวดเช่นนั้นนางไม่สามารถทนได้แน่ !
“มีหลายวิธีที่จะจับตัวมู่เสวี่ย เหตุใดเจ้าถึงต้องเสี่ยงเพียงนี้ ?”
บทที่ 1380 : มามอบตัวเองก็ดี (6)
ไป๋เสี่ยวเฉินก้มหน้าลง “หม่ามี้ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของเฉินเอ๋อ ไม่เกี่ยวกับเทียนเทียนกับหลิงเอ๋อน้อยเลย”
เพราะกลัวว่าไป๋หยานจะตำหนิหลิงเอ๋อน้อย และเทียนเทียน ไป๋เสี่ยวเฉินจึงรีบรับผิดเสียเอง
เขาเป็นพี่ชายของน้องทั้งสอง สมควรต้องรับผิดชอบทั้งหมด
ครั้นเห็นท่าทางที่น่าสงสารของเด็กน้อย ไป๋หยานก็ไม่สามารถดุว่าได้อีก นางทำได้เพียงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“มู่เสวี่ย ล่อแม่ออกจากตำหนัก แม่คิดว่า … บางทีจุดประสงค์ของนางจะมิใช่แค่หลิงเอ๋อ”
ฮะ ?
ไป๋เสี่ยวเฉินผงะ เขาเงยหน้าขึ้นมองไป๋หยานพลางเอ่ยถามอย่างสงสัย “หม่ามี้หมายความว่ายังไง ?”
ไป๋หยานส่ายหน้าเอ่ยกล่าวว่า “ไม่มีอะไรหรอก เรากลับไปที่ตำหนักสัตว์อสูรกันก่อนเถิด แม่ไม่สบายใจเมื่อเจ้าอยู่กันลำพังข้างนอก นอกจากนี้ หลิงเอ๋อน้อยและเจ้าต่างก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเมืองสัตว์อสูรแม้เพียงครึ่งก้าวเข้าใจหรือไม่ ?”
ถ้อยคำที่จริงจังของไป๋หยานทำให้ไป๋เสี่ยวเฉินลดศีรษะลงอีกครั้ง ท่าทางของเขาแลดูน่าสงสารมาก
ครั้งนี้ เขาพิจารณาไม่ถี่ถ้วนจริง ๆ เช่นนั้นเขาจึงวางแผนที่จะใช้วิธีนี้เพื่อล่อให้มู่เสวี่ยปรากฏตัว จากนี้ไปเขาจะไม่ทำให้มารดาของเขาต้องเป็นกังวลอีก …
เทียนเทียนหันมองไป๋เสี่ยวเฉินที ไป๋หยานที จากนั้นก็ยื่นมือเล็ก ๆ ดึงแขนเสื้อของไป๋หยานอย่างน่าสงสาร
“หม่ามี้ อย่าดุพี่ใหญ่”
ไป๋หยานยิ้มอย่างขมขื่น “แค่ครั้งนี้แหละ ต่อไปไม่มีอีกแล้ว ! อย่างไรก็ตาม ไหนเจ้าอธิบายให้แม่ฟังหน่อยสิว่า ผู้ใดปล่อยให้พวกเจ้าออกจากเมืองสัตว์อสูร ?
ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินแข็งค้าง “หม่ามี้ … ข้าขู่พวกเขาให้ปล่อยข้าออกมา และภายใต้การข่มขู่ของข้าก็ไม่มีผู้ใดกล้าหยุดข้าก็แค่นั้นเอง … และข้าก็ลอบออกมา”
“เดิมที แม่คิดว่าแค่อยู่ในเมืองสัตว์อสูรย่อมปลอดภัยพอแล้วสำหรับเจ้า ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะลอบออกมาได้ง่าย ๆ เช่นนี้ ต่อไปเจ้าต้องอยู่แต่เพียงในตำหนักสัตว์อสูรเท่านั้น แม้แต่เมืองสัตว์อสูรก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมา”
ไป๋หยานกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ไป๋เสี่ยวเฉินจู๋ปากทำหน้ามุ่ย เขารู้ว่าครั้งนี้เขาทำผิดพลาดจึงถูกมารดาสั่งห้าม และเพราะรู้สึกผิด เขาจึงไม่กล้าร้องขอความเมตตาอีกต่อไป ทำได้แต่เพียงยืนเฉยอย่างเชื่อฟัง
*****
ภายในตำหนักสัตว์อสูร เนื่องจากการหายตัวไปขององค์หญิงน้อย ภายในตำหนักจึงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย
ราชาอสูรและผู้อาวุโสใหญ่กำลังปรึกษาหารือกัน ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เว้นเสียแต่ราชินี
ทว่ายามนี้ราชินีไม่ได้ประทับอยู่ในตำหนักสัตว์อสูรแล้ว เช่นนั้นที่นี่จึงไม่มีผู้ใดดูแลเลย
เมื่อเทียบกับความสับสนวุ่นวายในตำหนักสัตว์อสูรแล้ว ที่พำนักขององค์หญิงน้อยกลับเงียบสงบ
นับแต่เกิดเหตุการณ์เกี่ยวกับมู่เสวี่ย ยามนี้จึงมีมู่อิงเพียงคนเดียวที่ดูแลองค์หญิงน้อย เช่นนั้นจึงไม่มีบุคคลอื่นในตำหนักองค์หญิงน้อยเลย
และเป็นเพราะมู่อิงกำลังกล่อมเสี่ยวหลิงเอ๋อให้หลับใหล เช่นนั้นนางจึงไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นภายนอก นางไม่รู้เลยว่าโลกภายนอกกำลังตามหาเสี่ยวหลิงเอ๋อกันอย่างบ้าคลั่ง
“ท่านหยวนป๋อ เราต้องกราบทูลให้ฝ่าบาททรงรับทราบเรื่องนี้หรือไม่ ? อย่างไรเสียการหายตัวไปขององค์หญิงน้อยก็นับเป็นเรื่องสำคัญนะ”
บริเวณลานด้านหน้า ทหารองค์รักษ์รีบเดินไปยืนข้างกายหยวนป๋อ พลางเอ่ยถามอย่างกังวล
ใบหน้าของหยวนป๋อแข็งค้าง หากเรื่องนี้ทราบถึงพระเนตรพระกรรณองค์ราชา ข้าเกรงว่าทั่วทั้งเมืองสัตว์อสูรจะต้องเจอกับพายุนองเลือด …
“ตามหาต่อไปเรื่อย ๆ และอย่าลืมส่งคนออกไปดูนอกเมืองด้วย ! ไม่เพียงแต่ตามหาองค์หญิงน้อยเท่านั้น ทว่ายังต้องตามหาราชินีด้วย !” หยวนป๋อเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของตนพลางกัดฟัน
ทหารองค์รักษ์เงยหน้าขึ้น พลางชำเลืองมองหยวนป๋อ “ที่ตำหนักองค์หญิง ท่านได้ส่งคนไปค้นหาแล้วหรือยัง ?”
“ไม่จำเป็นต้องไปที่ตำหนักองค์หญิง ข้าเพิ่งเห็นองค์ชายน้อยเสด็จไปยังตำหนักองค์หญิงเพื่อบรรทม ไม่จำเป็นต้องรบกวนองค์ชายน้อยอีก” หยวนป๋อครุ่นคิดสักพักจึงกล่าวตอบ