จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1381-1383
บทที่ 1381 : มามอบตัวเองก็ดี (7)
เทียนเทียน และเสี่ยวหลิงเอ๋อ มักจะไปด้วยกันเสมอ เช่นนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เทียนเทียนจะไปพักผ่อนที่ตำหนักองค์หญิง ทว่าสิ่งที่แปลกก็คือตราบใดที่ทั้งสองคนอยู่ในตำหนักสัตว์อสูร พวกเขาก็จะแยกกันไม่ออกเสมอ
เหตุใดจึงมีแต่องค์ชายน้อย ทว่าไม่มีองค์หญิงน้อย ?
แท้ที่จริงก่อนหน้านี้หยวนป๋อเพียงมองจากระยะไกล เขาจึงเห็นเพียงเด็กที่สวมชุดขององค์ชายถูกมู่อิงอุ้มกลับไปพักผ่อน หากแต่ไม่ทันเห็นใบหน้าของเด็กน้อย หยวนป๋อจึงคิดว่าเด็กคนนั้นเป็นเทียนเทียน
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมู่อิงได้ดูแลหลิงเอ๋อเป็นการส่วนตัวแล้ว นางก็ช่วยดูแลเทียนเทียนด้วย เช่นนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่องค์ชายน้อยจะอยู่ในอ้อมแขนของนาง …
“เจ้าออกไปตามหาคน ส่วนข้าจะไปกราบทูลองค์ราชา”
หยวนป๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะออกคำสั่ง จากนั้นเขาก็เดินไปยังห้องทรงพระอักษร
ไม่รู้ว่าโชคของหยวนป๋อดีหรือไม่ ทันทีที่เขาเดินไปถึงห้องทรงพระอักษร ประตูห้องพลันเปิดออก จากนั้นบุรุษในอาภรณ์สีม่วงก็ปรากฏแก่สายตาเขา
หยวนป๋อไม่สามารถทนต่อความตื่นตระหนกในใจของตนได้ เขาคุกเข่าลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว “คารวะองค์ราชา องค์หญิงน้อยและราชินีหายตัวไปพ่ะย่ะค่ะ !”
ประโยคนี้ทำให้ใบหน้าของตี้คังเคร่งเครียดอย่างรวดเร็ว ความตื่นตระหนกแวบเข้ามาในดวงตาของเขา เขารีบหลับตาลงส่งจิตสัมผัสถึงพิกัดของไป๋หยาน
ครั้นเขาตระหนักได้จากสัญญาว่าไป๋หยานไม่ได้อยู่ในเมืองสัตว์อสูรแห่งนี้แล้ว ใบหน้าของเขาก็ซีดเซียว “หยานเอ๋อไปแล้ว เหตุใดนางถึงได้จากไปอีกแล้ว บอกมาสิ ! พวกเจ้าคนใดพูดอะไรให้ราชินีไม่พอพระทัย ?
เป็นไปไม่ได้ที่ไป๋หยานจะออกจากเมืองสัตว์อสูรโดยไม่บอกข้า เว้นแต่ … จะมีเรื่องราวใดเกิดขึ้นอีก ?
หยวนป๋อกล่าวอย่างขลาดกลัว “กระหม่อมก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ … มีคนบอกกระหม่อมว่าองค์หญิงน้อยหายตัวไป และราชินีก็หายตามไปพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม … “
ปัง !
นัยน์ตาของตี้คังเย็นชา ความโกรธพลันพุ่งพล่านออกมาจากร่างกายของเขา
“ข้ากำลังปรึกษาเรื่องสำคัญกับผู้อาวุโสใหญ่ พวกเจ้าก็ทำให้ราชินีกริ้วใช่หรือไม่ ? หากข้ารู้ว่ามันผู้ใดเป็นต้นเหตุให้ราชินีจากไป ข้าจะไม่มีวันให้อภัย ! นอกจากนี้เซียวเอ๋ออยู่ที่ใด ?”
หยวนป๋อกล่าวอย่างอ่อนแรง “นายน้อยไป๋เซียว … ยังคงพำนักอยู่ในตำหนักสัตว์อสูรพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋เซียวยังอยู่ ?
ตี้คังถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ตราบใดที่ไป๋เซียวยังอยู่ในเมืองสัตว์อสูร ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่หยานเอ๋อจะจากไป
“พี่เขย”
ชั่วขณะนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง
ตี้คังหันหน้าไปจึงเห็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลาเดินมาอย่างรวดเร็ว คิ้วของเขาย่นแลดูเย็นยะเยือก เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าได้ยินมาว่าพี่สาว และเสี่ยวหลิงเอ๋อหายตัวไป ?”
“เซียวเอ๋อ พี่สาวของเจ้าจะไม่จากไปเป็นแน่”
เจ้ายังอยู่ในเมืองสัตว์อสูร นางจะไปไหนได้อย่างไร ?
อย่างไรก็ตาม ตี้คังเองก็รู้สึกหวาดหวั่นในตัวไป๋หยานหลายต่อหลายครั้ง นางมักหายตัวไปโดยไม่กล่าวคำอำลา หลังจากได้ยินข่าวการจากไปของนาง ปฏิกิริยาแรกคือมีคนทำให้นางโกรธอีกแล้ว จึงทำให้นางจากไปโดยไม่ร่ำลา
ลองคิดดูในเมืองสัตว์อสูรนี้ผู้ใดจะกล้ายั่วโมโหนาง ? ยิ่งไปกว่านั้นด้วยนิสัยของหยานเอ๋อ ไม่ใช่คนที่เต็มใจจะยอมกล้ำกลืนความโกรธของตนไว้
ขณะที่ตี้คังกำลังคิดถึงการจากไปของไป๋หยาน เสียงฝีเท้าก็เดินมาอย่างเร่งรีบ ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าตี้คัง
“ฝ่าบาทมีคนขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
นัยน์ตาของตี้คังเคร่งขรึมขึ้นอีกเล็กน้อย “ผู้ใด ?”
“นางคือ … มู่เสวี่ยแห่งเผ่าเสือดาวพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เงยหน้าขึ้นมองตี้คังอย่างระมัดระวัง “นางบอกว่ามีข่าวเกี่ยวกับราชินีและองค์หญิงน้อยมาแจ้ง”
นัยน์ตาของตี้คังเคร่งขรึมลงอีกเล็กน้อย ดูราวกับมีคลื่นพายุในแววตาของเขา
ไป๋เซียวขมวดคิ้ว มู่เสวี่ยผู้นี้คือใคร ?
“ให้นางเข้ามาพบข้า”
ตี้คังหัวเราะเยาะ พลางตวาดออกมา
บทที่ 1382 : มามอบตัวเองก็ดี (8)
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทหารองครักษ์ก้าวถอยออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน ทหารองครักษ์คนเดิมก็เดินนำสตรีผู้หนึ่งก้าวเข้ามาอย่างช้า ๆ
หญิงผู้นี้มีใบหน้าที่งดงาม นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์ไม่รู้จบ นางจับจ้องมองตี้คัง แววตาของนางเต็มไปด้วยความรักและความเสน่หา
บุรุษผู้นี้ไม่เพียงแต่อยู่ในตำแหน่งสูงส่ง ทว่ายังมีใบหน้างดงามเช่นนี้ เกรงว่าคงมีสตรีไม่กี่คนในโลกที่สามารถต้านทานเสน่ห์ของเขาได้ …
ขอเพียงนางสามารถเป็นพระสนมของเขาได้ นางก็ยอมทุกอย่าง เพื่อเขาแล้วนางเต็มใจ
“เสวี่ยเอ๋อ คารวะราชาเพคะ”
ร่างของนางโค้งลงเล็กน้อย นัยน์ตาของนางสดใส ใบหน้าของนางแลดูเขินอาย
ครั้นเห็นหญิงผู้นี้ยั่วยวนตี้คังอย่างไม่สะทกสะท้านแล้ว ใบหน้าของไป๋เซียวพลันถูกปกคลุมด้วยแสงเย็นเยือก เขาไม่ได้กล่าวคำใด เพียงยืนอยู่ข้าง ๆ ตี้คัง
เขาอยากเห็นนักว่าตี้คังจะจัดการกับหญิงผู้นี้อย่างไร ?
“เจ้าบอกว่า เจ้ามีเบาะแสของชายา และบุตรสาวของข้ากระนั้นรึ ?”
ตี้คังค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พลันแสงดำมืดในดวงตาเรียวคมก็กะพริบ
เนื่องจากเสี่ยวหลิงเอ๋อเป็นลูกของเขากับหยานเอ๋อ ร่างของนางจึงมีความพิเศษเล็กน้อย คนส่วนใหญ่จะไม่สามารถติดตามพิกัดของนางผ่านทางกลิ่นอายของนางได้
หากแต่ตี้คังไม่ใช่คนธรรมดาพวกนั้น
ตอนนี้เขารับรู้ได้ถึงสถานที่ที่ซึ่งเสี่ยวหลิงเอ๋ออยู่แล้ว เขาเองก็ยังแปลกใจว่า เหตุใดในเมื่อเสี่ยวหลิงเอ๋อก็อยู่ในตำหนักสัตว์อสูร หากแต่กลับมีข่าวลือว่านางหายตัวไป
ตอนนี้เขาได้พบมู่เสวี่ยแล้ว เขาก็มีคำตอบอยู่ในใจ
เช่นนั้น เขาจึงลดสายตาลง จ้องมองมู่เสวี่ยที่ยังคงคุกเข่าอยู่ตรงหน้า พลางยิ้มเยาะอีกครั้ง
ตี้คังไม่ได้เปิดเผยอะไรให้มู่เสวี่ยรู้ตัว ทว่ากำลังรอ…รอดูจุดประสงค์ต่อไปของนาง …
มู่เสวี่ยก้มหน้า เพื่อปกปิดความสุขในแววตาของนาง ไหล่ของนางสั่นไหวเล็กน้อย นางเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความตึงเครียดหรือความตื่นเต้น
“ฝ่าบาท…เดิมทีเสวี่ยเอ๋อก็ไม่ต้องการให้ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ หากแต่เสวี่ยเอ๋อรู้สึกผิดกับองค์หญิงน้อยจริง ๆ เพคะ” นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่บอบบาง นัยน์ตาของนางมีประกายน้ำตา ช่างน่าสงสาร “องค์หญิงน้อยช่างแสนน่ารัก โธ่เอ๋ย ! เหตุใดถึงได้เจอมารดาเช่นนี้ … องค์หญิงน้อยถูกยกให้คนอื่นไปแล้วเพคะ !”
ปัง !
ชั่วขณะนั้นสายลมกระโชกพลันพุ่งออกมาจากร่างของตี้คัง กลิ่นอายสังหารของเขาแผ่กระจายครอบคลุมตำหนักสัตว์อสูรทั้งหมดอย่างท่วมท้น
“เจ้าพูดเรื่องไร้สาระใด ?”
ใบหน้าของไป๋เซียวเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันพร้อมกับเสียงตูม ฝ่ามือของเขาก็ตกลงบนไหล่ของมู่เสวี่ย
นางถูกกระแทกอย่างแรงที่ไหล่ ร่างของนางล้มคว่ำลง นางกระอักเลือด ใบหน้าของนางซีดมาก
“หากพยายามใส่ความพี่สาวของข้าอีกครั้งล่ะก็ !” ไป๋เซียวกำหมัดแน่น
ไป๋หยานก็คือเกล็ดใต้คอมังกรของเขา นางคือคนที่เขาต้องปกป้องตลอดชีวิต เขาไม่มีวันยอมให้ผู้ใดใส่ร้ายนางได้ !
ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติพอที่จะทำร้ายนาง !
“แค่ก !” มู่เสวี่ยไอกระอักเลือดออกมาสองสามคำ นางมองใบหน้าแข็งทื่อของไป๋เซียว พลางหัวเราะเยาะในใจ หากแต่ใบหน้าของนางยังคงเต็มไปด้วยการแสดงออกที่น่าสงสาร “สิ่งที่หม่อมฉันกราบทูลล้วนเป็นความจริงนะเพคะ หม่อมฉันเห็นด้วยตาของหม่อมฉันเอง อย่างไรเสียราชินีก็เป็นมนุษย์ สิ่งที่พระนางต้องการเข้าร่วมจริง ๆ อย่างไรก็ต้องเป็นพวกเทวาคารไม่ต่างจากคนทั่วไปนั่นแหละเพคะ”
ครั้นเห็นสีหน้าที่เย็นยะเยือกลง ๆ เรื่อย ๆ ของตี้คังความปิติยินดีในหัวใจของมู่เสวี่ยพลันเพิ่มทวีขึ้น นางยังคงกล่าวอย่างสงบ “เรื่องนี้หม่อมฉันเห็นกับตาตนเองเพคะว่าพระนางส่งมอบองค์หญิงน้อยให้กับคนของเทวาคาร … “
ทันใดนั้น กำปั้นของไป๋เซียวก็ชกมาอีกครั้ง ครานี้ชกเข้าที่จมูกของมู่เสวี่ย
นางนึกโกหกในใจ ขณะผงะถอยหลังไปสองสามก้าว
“สิ่งที่หม่อมฉันกราบทูลล้วนเป็นความจริง หม่อมฉันเห็นด้วยตาของหม่อมฉันเอง ฝ่าบาทโปรดช่วยหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันสามารถช่วยองค์หญิงน้อยได้นะเพคะ … “
“ฮ่าฮ่าฮ่า !” ไป๋เซียวหัวเราะอย่างดุเดือด เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยอาการประชดประชัน “หลิงเอ๋อเป็นบุตรสาวของพี่สาวของข้า เหตุใดพี่สาวของข้าถึงต้องส่งนางไปให้คนอื่นเล่า ?
บทที่ 1383 : มามอบตัวเองก็ดี (9)
มู่เสวี่ยกัดริมฝีปากตน “เพราะคนในเทวาคารสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์กับราชินี ราชินีจึงขายองค์หญิงน้อยให้ หากฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อก็ลองทรงสั่งคนค้นหาดูก็ได้นี่เพคะ องค์หญิงน้อยไม่ได้ประทับอยู่ในเมืองสัตว์อสูรนี่แล้ว”
ตราบใดที่องค์หญิงน้อยยังคงอยู่ในสถานที่แห่งนั้น คนในตำหนักสัตว์อสูรจะไม่มีวันพบนาง …
เมื่อถึงเวลานั้น ก็จะมีเพียงข้าเท่านั้นที่จะพาองค์หญิงน้อยกลับมาได้ !
“พี่สาวของข้าขายหลิงเอ๋อกระนั้นหรือ ? นั่นคือบุตรสาวแท้ ๆ ของนาง นางจะขายบุตรสาวของตัวเองได้อย่างไร ?”
ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดรู้จักไป๋หยานดีไปกว่าไป๋เซียว
ในครั้งนั้นเพื่อที่จะให้กำเนิดเฉินเอ๋อแล้ว ไป๋หยานต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด ? นางต้องยอมเสี่ยงอันตรายเพียงไร ไหนจะต้องผิดหวังกับผู้คนรอบข้าง แล้วนางจะยอมขายหลิงเอ๋อน้อยเพื่อผลกำไรเพียงเล็กน้อยได้อย่างไร ?
แววตาของตี้คังนั้นยิ่งน่ากลัว และมืดมนราวกับถูกห่อหุ้มด้วยจิตวิญญาณอันชั่วร้าย เขาหัวเราะเยาะ พลางกล่าวว่า “อ้อ ! เช่นนั้นแล้วเจ้าสามารถหาหลิงเอ๋อน้อยมาให้ข้าได้หรือไม่ ?”
“พี่เขย !”
ไป๋เซียวหันหน้าไปมองตี้คังอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หรือว่าพี่เขยจะเชื่อหญิงผู้นี้ ?
พี่สาวของเขาเป็นคนเช่นใด นี่พี่เขยยังไม่รู้ชัดกระนั้นหรือ ?
ตี้คังไม่สนใจไป๋เซียว ยังคงจ้องมองมู่เสวี่ยด้วยสายตาเย็นชา
มู่เสวี่ยคิดว่าตี้คังเชื่อนาง ร่องรอยแห่งความสุขปรากฏในแววตาของนาง
และนางไม่สามารถซ่อนความสุขนี้ได้ เช่นนั้นมันจึงสะท้อนออกมาในแววตาของนาง
“ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวลนะเพคะ หลังจากที่หม่อมฉันเห็นราชินีทรงตกลงกับคนในเทวาคารแล้ว หม่อมฉันก็สั่งให้คนลอบสะกดรอยตามไปอย่างลับ ๆ อีกไม่ช้าหม่อมฉันก็จะตามไปชิงตัวองค์หญิงน้อยกลับมาให้เองเพคะ” มู่เสวี่ยขมวดคิ้วด้วยความภาคภูมิใจ “ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทเคยทรงมีพระประสงค์ที่จะรับหม่อมฉันเป็นพระสนม ทว่าเป็นเพราะราชินีทรงข่มขู่พระองค์ว่าจะทรงเสด็จหนีออกจากวัง ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงไม่อาจทำตามพระทัยองค์เองได้ อย่างไรก็ตาม หม่อมฉันก็ถือเสมือนองค์หญิงเป็นดั่งบุตรสาวของหม่อมฉัน เช่นนี้แล้วหม่อมฉันจะให้หญิงเช่นนั้นทำร้ายองค์หญิงได้เยี่ยงไรเพคะ ?”
ซวบ !
ก่อนที่มู่เสวี่ยจะมีเวลาคลายคิ้วที่ขมวดมุ่นของตน กลิ่นอายมืดมนก็ทำให้นางต้องเงยหน้าขึ้น ทว่านางยังไม่ทันที่จะเอ่ยกล่าวแม้สักคำ มือข้างหนึ่งก็คว้าลำคอของนางบีบอย่างรุนแรง
“เหตุเพราะเจ้าต้องการเป็นสนมของข้า เจ้าจึงใส่ร้ายหยานเอ๋อใช่หรือไม่ ?”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท … ” มู่เสวี่ยตื่นตระหนก “สิ่งที่หม่อมฉันกราบทูลล้วนเป็นความจริง พระองค์ต้องทรงเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันไม่ใช่คนโกหก … “
ตี้คังหัวเราะเยาะ
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าหลิงเอ๋อน้อยยังคงอยู่ในตำหนักสัตว์อสูร แม้ว่านางจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ตี้คังก็ไม่มีวันเชื่อถ้อยคำของหญิงผู้นี้
ปัง !
ตี้คังเหวี่ยงมู่เสวี่ยออกจากมือ นางกระแทกลงกับพื้น
เขาไม่รอให้มู่เสวี่ยได้หายใจ เท้าของเขาก็เหยียบลงบนหน้าอกของนาง สายตาที่เข้าใช้จับจ้องมองนาง คือสายตาที่ใช้มองผู้ต่ำต้อย
“ราชินีของข้าเป็นคนเช่นใด ? ข้าจะไม่รู้ได้เยี่ยงไร ? ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดของข้าก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าชั่วชีวิตนี้ข้าจะมีเพียงราชินีเท่านั้น ผู้ใดบอกเจ้ากันว่าข้าต้องการรับสนม”
เขาหรี่ตาเยาะเย้ย เต็มไปด้วยเจตนาสังหาร
“ฝ่าบาท … ” มู่เสวี่ยจ้องไปที่ตี้คังอย่างงงงวย “ที่ฝ่าบาททรงเลือกพวกเรามา ก็เพื่อให้รับใช้องค์หญิงน้อยจริง ๆ หรือเพคะ พระองค์ไม่ได้ทรงต้องการเลือกพระสนมหรอกหรือเพคะ ? ทว่าในตอนนั้นราชินียังไม่ทรงให้พระประสูติกาล เช่นนั้นย่อมไม่อาจระบุเพศได้ แล้วจะทรงเลือกเรามารับใช้องค์หญิงน้อยได้อย่างไรเพคะ ?”
กระทั่งถึงตอนนี้ มู่เสวี่ยก็ยังคงดื้อดึง นางยังคงเชื่อว่าที่ตี้คังให้พวกนางมาที่ตำหนักสัตว์อสูร ก็เพียงเพราะต้องการเลือกพวกนางเป็นพระสนมของเขา
หากแต่ราชินีไม่ทรงยินยอม พระนางข่มขู่องค์ราชาด้วยการเสด็จหนีออกจากวัง ซึ่งนั่นทำให้องค์ราชายินยอมล้มเลิกความคิดนี้
เห็นได้ชัดว่า เขาต้องการรับนางเป็นพระสนมของเขา
ครั้นฝ่าเท้าของตี้คังกดลงไปอย่างหนักหน่วง มู่เสวี่ยก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
นางรู้สึกเพียงซี่โครงนางหัก เหงื่อเย็น ๆ ไหลออกมาจากหน้าผากของนาง
“ในเมื่อข้าเลือกสาวใช้ให้กับองค์หญิงน้อย นั่นย่อมหมายความว่าข้ารู้เพศของนางก่อนหน้าแล้ว ! สิ่งที่เจ้าไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่าข้าต้องไม่รู้ด้วย ทว่าเจ้ากลับใส่ความราชินีของข้า !