จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 866 -870
บทที่ 866 : เปิดดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้ / มังกรหลังกระโดง (4)
เขาหยุดนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อว่า”เจ้าอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มานานเท่าไหร่แล้ว ? เจ้ารู้จักดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้จริง ๆ กระนั้นหรือ ? เจ้าคิดว่าข้าจะเอาชีวิตของนางมาล้อเล่นกระนั้นรึ ?”
ความสามารถเช่นไป๋หยานไม่เคยพบเห็นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้มาก่อนนี่ยังไม่ได้พูดถึงว่านางเป็นหลานสาวของไป๋ฉางเฟิ่ง หลานสาวของเจ้าตำหนักเซียนพยัพหมอกด้วย ! หากนางพลาดตาเฒ่าเหล่านั้นต้องมาจัดการข้าแน่ !
ไม่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีความแข็งแกร่งสักเพียงใดทว่าจะต้านทานสำนักใหญ่ทั้งสองที่ร่วมมือกันได้กระนั้นหรือ ?
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นอาวุโสทั้งสามของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขาเองก็ต้องทรยศเขาแน่นอน ! เพราะในสายตาของชายชราทั้งสาม ไป๋หยานเปรียบเสมือนโลกทั้งใบของพวกเขา ! หากโลกล่มสลาย แล้วพวกเขาจะอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้เพื่ออะไร ?
เช่นนั้นที่ฉู่หรานกล้าส่งนางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้ก็ต้องมั่นใจในตัวนางอย่างยิ่ง …
”ไปกันเถอะไปดื่มกับข้า ! วันนี้…ไม่เมาไม่กลับบ้าน !” ฉู่หรานหัวเราะร่าอย่างสดชื่น เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกจากป่าดอกท้อไปอย่างรวดเร็ว
นับแต่ไป๋หยานกลับมาเขาก็ไม่ได้ชิมสุรารสเลิศ เพราะเกรงว่านางจะมาหาเขานางในเวลาที่เขาดื่มอีก เช่นนั้นเขาจึงไม่ได้ดื่มสุรามาครึ่งเดือนแล้ว
เป็นเรื่องยากที่นางจะหายไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้แล้วเขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไร ?
บรรดาผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหลังต่างเหลือบตามองกันด้วยความเข้าใจ
”ปกติต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนกว่าจะเปิดดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้ได้แต่นี่ท่านประมุขไม่ยอมให้พวกเราพักผ่อน เร่งให้เปิดประตูแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้ไว ๆ เพื่อส่งแม่นางไป๋ไปโดยเร็วที่สุด … ข้าไม่เข้าใจว่า เหตุใดท่านประมุขถึงได้กลัวแม่นางไป๋นัก”
“ถุยเจ้าจะไปเข้าใจอะไร เรื่องมันก็ง่าย ๆ เจ้าไม่เห็นหรือว่าแม้แต่เจิ้งฉีก็ยังติดตามแม่นางไป๋ แม้ว่าแม่นางไป๋จะไม่ได้เป็นศิษย์ของท่านประมุข หากแต่นางก็เป็นอัจฉริยะ แล้วท่านประมุขจะไม่สนใจอัจฉริยะเช่นนางได้อย่างไร ? เพื่อที่จะทำให้อัจฉริยะเช่นนางผูกพันกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตลอดไป ท่านประมุขย่อมทำทุกอย่างเพื่อรักษานางไว้แหละ”
ทว่านั่นยังไม่พอไป๋หยานไม่เพียงแต่จะเป็นคนที่มีความสามารถและแข็งแกร่ง นางยังมีสามีและบุตรชายที่สามารถควบคุมสัตว์นับพัน ซ้ำยังเป็นญาติสนิทของสองสำนักใหญ่อีก !
ท่านประมุขไม่ใช่คนโง่ก็สมควรแล้วที่เขาจะเอาอกเอาใจคนเช่นนี้
”เจ้าไม่รู้หรือว่าเดิมทีท่านประมุขหมายหมั้นจะได้แม่นางไป๋เป็นลูกสะใภ้ เขาจะปฏิบัติต่อลูกสะใภ้ไม่ดีได้กระนั้นหรือ ? ทว่าท้ายที่สุดแม่นางไป๋ก็ไปเลือกคนอื่น อย่างไรก็ตาม ท่านประมุขก็ยังต้องการรับนางเป็นธิดาบุญธรรม”
ผู้อาวุโสอีกคนอดไม่ได้ที่จะเล่าหากมิใช่เป็นเพราะฐานะที่สูงส่งของนาง เขาก็ต้องการจะรับนางเป็นธิดาบุญธรรมเช่นกัน
จึงไม่น่าแปลกใจที่ท่านประมุขจะชอบนางมาก…
ผู้อาวุโสเห็นว่างานเสร็จสมบูรณ์แล้วพวกเขาจึงสนทนากันต่ออีกเพียงไม่กี่คำ ก่อนจะรีบตามไปในทิศทางที่ท่านประมุขฉู่จากไป ชั่วพริบตาทุกคนก็หายตัวออกไปจากป่าดอกท้อ …
สายลมพัดพริ้วดอกท้อปลิวคว้างร่วงหล่นลงอย่างช้า ๆ พื้นดินปกคลุมไปด้วยกลีบดอกสีชมพูละลานตา ทำให้ป่าดอกท้อสงบและร่มรื่น …
*****
ยามนี้ไป๋หยานยืนอยู่บนพื้นดินที่เต็มไปด้วยวัชพืชท้องฟ้าเหนือศีรษะนางเป็นสีฟ้าสดใส รอบตัวนางมีสัตว์อสูรที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน
”ที่นี่… คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้กระนั้นหรือ ?”
นัยน์ตาของไป๋หยานกวาดมองไปทั่วทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ทันใดนั้นเอง นางก็เห็นมังกรหลังกระโดงบินอยู่บนท้องฟ้า นางจ้องมองมันตาค้าง
”มังกรหลังกระโดงนี่มันมังกรหลังกระโดงใช่หรือไม่ ?”
“มังกรหลังกระโดงนับเป็นสัตว์อสูรโบราณ กล่าวกันว่ากระโดงทุกอันที่อยู่บนหลังของมันสามารถใช้แทนดาบยาวที่สามารถตัดเหล็กขาดราวกับตัดโคลน ภายในหนามแหลมตรงนั้นจะมีเกล็ดมังกรที่แข็งแกร่งมากเช่นกัน สมเป็นสัตว์อมตะแห่งยุคโบราณ !
น่าเสียดายที่มังกรหลังกระโดงกลับมีความสามารถในการสืบพันธุ์ไม่ดีนักหลังจากการต่อสู้ของสัตว์อสูรทั้งมวลที่เกิดขึ้นในสมัยโบราณ ทำให้มังกรหลังกระโดงต้องมีอันสูญพันธุ์ไป ทว่าเหตุใดพวกมันถึงมาปรากฏตัวที่นี่ ?
***จบบทเปิดดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้ / มังกรหลังกระโดง (4)***
บทที่ 867 : เปิดดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้ / มังกรหลังกระโดง (5)
ไป๋หยานบีบฝ่ามือของตนเองแน่นฝ่ามือของนางเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เมื่อนางมองไปรอบ ๆ นางก็พบสัตว์อสูรบางชนิดที่ปรากฏในสมัยโบราณและสูญพันธุ์ไปแล้ว
”ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้นี่น่าจะเป็นสนามรบสมัยโบราณหากให้ข้าต่อสู้กับสัตว์อสูรเหล่านี้ ข้าเกรงว่า ต้องมีสักตัวที่สังหารข้าได้โดยไร้หลุมฝังศพ !”
หัวใจของไป๋หยานตึงเครียดขึ้นทันทีไม่น่าแปลกใจเลยที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้แห่งนี้จะกลายเป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่อันตรายซึ่งมีผู้เสียชีวิตแบบมาสิบตายสิบ สัตว์อสูรโบราณมากมายถึงเพียงนี้ ผู้ที่มีความสามารถต่ำย่อมไม่อาจรอดชีวิต …
”กรรรรร!”
สัตว์อสูรเหล่านั้นอาจรู้ตัวแล้วว่าไป๋หยานเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญจึงร้องคำรามลั่นอย่างโกรธเคือง พร้อมกับพุ่งเข้าหานาง
มังกรหลังกระโดงบนท้องฟ้าก็รู้สึกตัวเช่นกันและมันก็คำรามสนั่นลั่นป่า จากนั้นเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าก็ดังตามมา
”อ๊ะ!”
ขณะที่ไป๋หยานรีบหันหนีนางก็พบว่ามังกรหลังกระโดงเข้าถึงตัวนางแล้ว
ในช่วงเวลาวิกฤติไป๋หยานไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก นางดึงดาบยาวออกมาจากอก หวังจะใช้ป้องกันการโจมตีของมังกร ทว่าหนามยาวของมังกรก็ตัดดาบในมือของนาง ไม่เพียงแต่จะทำลายดาบทว่ายังแทงเข้าไปที่หน้าอกของนางอีกด้วย โลหิตย้อมอาภรณ์สีแดงของนางจนดูแดงยิ่งกว่าเดิม
อย่างไรก็ตามเพราะเหตุนี้ ไป๋หยานจึงพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติ …
”มีข่าวลือว่าในยุคโบราณมีเทพเจ้าทรงพลังจำนวนมากในดินแดนนี้ สัตว์อสูรทุกตัวที่ถูกบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ต่างก็มีความแข็งแกร่งระดับเฉินเจี่ยขึ้นไป ไม่ทราบว่าเป็นเพราะมาอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้หรือไม่ ที่ทำให้สัตว์อสูรพวกนี้มีพลังลดน้อยถอยลง ?”
ไป๋หยานหรี่ตาลงนางมองสัตว์อสูรที่มาจากทุกทิศทุกทางอย่างเย้ยหยัน “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ยังมีโอกาสต่อสู้ !”
ทันทีที่นางกล่าวจบนางก็รีบหยิบขวดยาอายุวัฒนะออกมา จากนั้นก็กรอกใส่ปาก ยาอายุวัฒนะนับไม่ถ้วนถูกเทลงไปในปากของนาง และมันก็กลายเป็นพลังหลั่งไหลท่วมท้นวนเวียนอยู่ในร่างของนาง
ยาอมฤตเหล่านี้แม้ไม่อาจจะเพิ่มความแข็งแกร่งทว่าก็สามารถทำให้ร่างกายของนางแข็งแรงและว่องไวขึ้น
แต่เดิมยาอายุวัฒนะเหล่านี้สามารถใช้ในการต่อสู้หนึ่งเม็ดต่อสองเค่อ (ครึ่งชั่วโมง) เท่านั้น หาไม่หลังจากผ่านไปทุกสองเค่อ (ครึ่งชั่วโมง) อานุภาพของยาก็จะลดลง ทว่าตอนนี้ … ไป๋หยาน ไม่มีเวลามาคอยกินทุกสองเค่อ (ครึ่งชั่วโมง)
“ครานี้ข้าอยากจะดูสิว่า เจ้าหรือข้าผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่ากัน !” ไป๋หยาน เช็ดมุมปากของนาง ก่อนจะโยนขวดเปล่าในมือ ทิ้งไว้บนพื้น
ครั้นสัตว์อสูรตัวอื่นพากันพุ่งเข้ามาตรงหน้าไป๋หยานก็กระโจนขึ้นฟ้า ก่อนจะร่อนลงบนหลังมังกรหลังกระโดง
กระโดงแหลมคมราวเหล็กที่เดิมทีสามารถตัดทุกอย่างได้ไม่ต่างจากตัดโคลนมาบัดนี้ไม่อาจเจาะร่างของไป๋หยาน นางยึดกระโดงแหลมไว้ ด้วยมือที่แข็งแกร่ง หนามแหลมพลันหลุดออกมาจากเกล็ดมังกร กระทั่งเลือดท่วมร่างมัน นางขว้างหนามแหลมนั่นใส่เหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ด้านล่างอย่างดุเดือด
มังกรหลังกระโดงมิใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อนหาไม่มันคงจะไม่สูญพันธุ์
จุดอ่อนของมันก็คือแม้ว่าหนามแหลมนั้นจะสามารถตัดเหล็กได้ไม่ต่างกับตัดโคลนทว่าเกล็ดมังกรนั้นหนามาก หนามอันแหลมคมของมันจึงเติบโตเจาะทะลุหนังกับเนื้อขึ้นมา
เนื่องจากเป็นหนังกับเนื้อจึงไม่ได้แข็งจนเกินไปนัก เช่นนั้นไป๋หยานจึงสามารถดึงหนามแหลมออกมาได้
แต่ทว่าโดยปกติแล้วไม่มีผู้ใดสามารถยืนอยู่บนหลังของมังกรหลังกระโดงได้เช่นไป๋หยาน เพราะหากยืนไม่ดีหนามแหลมก็จะแทงทะลุร่างของคนผู้นั้นได้ …
ด้วยเหตุนี้แม้ว่าหลายคนจะรู้จักจุดอ่อนของมังกรหลังกระโดง ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถสังหารมันได้ !
***จบบทเปิดดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้ / มังกรหลังกระโดง (5)***
บทที่ 868 : เปิดดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้ / มังกรหลังกระโดง (6)
ฟุ่บ!
สัตว์อสูรที่อยู่ด้านล่างถูกหนามแหลมของมังกรหลังกระโดงเสียบกระทั่งเลือดท่วม อย่างไรก็ตามการตายของมันก็ไม่ได้ทำให้สัตว์อสูรตัวอื่น ๆ ตื่นตระหนก
ไป๋หยานดึงหนามแหลมคมออกมาอีกครั้งความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้มังกรหลังกระโดงคำรามออกมาอย่างเจ็บปวดรวดร้าว มันบิดร่างไปมาอย่างรุนแรง พยายามเหวี่ยงสตรีที่ยืนอยู่ด้านหลัง …
ส่วนไป๋หยานก็กำลังใช้หนามแหลมบนหลังมังกรเป็นอาวุธขว้างใส่สัตว์อสูรที่อยู่บนพื้นอย่างแรง กระทั่งสัตว์อสูรด้านล่างแหลกเป็นชิ้น ๆ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าสองเค่อ (ครึ่งชั่วโมง) ผ่านไป สัตว์อสูรด้านล่างตายหมดแล้ว นางก็กระโดดลงจากหลังของมังกรหลังกระโดง และนั่งลงใต้ต้นไม้เพื่อพัก
”แปลกจังนี่ก็ผ่านไปสองเค่อ (ครึ่งชั่วโมง)แล้ว ปกติข้าจะต้องอ่อนแอลง ทั้งสมองของข้าก็จะต้องเจ็บปวด ทว่าเหตุใดจึงไม่มีอาการเหล่านั้นเลย ?”
หรือเป็นเพราะที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ข้อจำกัดเหล่านั้นจึงเป็นโมฆะ ? เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องกังวลกับผลข้างเคียงอีกแล้วใช่หรือไม่ ?
ครั้นคิดได้เช่นนี้ไป๋หยานก็รู้สึกมีความสุข นางหันไปมองกระโดงบนหลังมังกรที่ถูกนางดึงออกมา และนางก็เลิกคิ้ว “ทำไม ? เจ้าไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อีกแล้วกระนั้นหรือ ?”
การแสดงออกของมังกรหลังกระโดงแลดูน่าหดหู่นักด้วยที่พื้นดินมีแอ่งน้ำ สะท้อนร่างเปลือยเปล่าไร้กระโดงของมัน ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถรับร่างของมันเองได้ มันส่งเสียงกรีดร้อง ก่อนจะบ่ายหน้าออกวิ่งเร็วรี่เข้าไปในป่า พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ท่วมท้น
ไป๋หยานไม่ได้ไล่ตามเจ้ามังกรหลังกระโดงไปทว่าก็เป็นเพราะการปรากฏตัวของมังกรหลังกระโดงที่ทำให้นางรอดชีวิตมาได้
นางหยิบหนามแหลมขึ้นมาจากพื้นก่อนจะเดินไปที่สัตว์อสูรตัวหนึ่ง นางต้องการที่จะนำผลึกเวทจากสัตว์อสูรไปมอบให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของนางในแดนอสูร ทว่า …
ครั้นนางเห็นผลึกเวทสัตว์ร้ายเปล่งแสงสีทองท่าทีของนางก็แลดูตกตะลึงไปเล็กน้อย
”มีรายงานว่าหลังจากสัตว์อสูรในสมัยโบราณได้รับการฝึกฝนกระทั่งถึงระดับหนึ่ง พลังงานของมันจะมารวมตัวกันที่ผลึกเวทในร่างของมัน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์อสูรหลังจากกลืนกินผลึกเวทนี่ลงไป ก็จะสามารถเพิ่มพลังลมปราณในร่างตนได้”
ความสุขปรากฏขึ้นในหัวใจของไป๋หยานนางรีบถอนผลึกเวทขึ้นมา จากนั้นก็กลืนมันลงไป แสงสีทองพลันเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าสู่ร่างของนางทันที จากนั้นพลังลมปราณในจุดตันเถียนของนางก็เพิ่มขึ้นอีกระดับ หลังจากกลืนไปหลายสิบผลึก … นางก็สามารถทะลุผ่านไปอีกขั้น
ความประหลาดใจนี้ทำให้ไป๋หยานเต็มไปด้วยความสุขนางเริ่มที่จะผ่าซากของสัตว์อสูรอย่างรวดเร็ว และนำผลึกเวทของสัตว์อสูรออกมา
แน่นอนว่าหลังจากกลืนไปประมาณยี่สิบผลึกไป๋หยานก็เลื่อนจากจุนเจี่ยไปถึงระดับสูงสุดของซุนเจี่ย นางรีบนั่งขัดสมาธิรวบรวมพลังลมปราณ และวางแผนตามล่าสัตว์อสูรต่อไป
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่หากนางต้องการที่จะพัฒนาจากระดับซุนเจี่ยซึ่งเป็นระดับกลาง ๆ ไปจนถึงระดับสูง เกรงว่าสัตว์อสูรจำนวนแค่นี้คงจะไม่สามารถทำให้นางพัฒนาได้ถึงขั้นนั้น
หลังจากไป๋หยานกลืนผลึกเวททั้งหมดลงไปนางก็ผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ และคิดจะพักสักครู่ ทว่าก็เกิดเสียงสั่นสะเทือนดินฟ้าดังกระหึ่มด้านหน้าขึ้นมาเสียอีก …
สัตว์อสูรนับจำนวนไม่ถ้วนร้องคำรามพวกมันวิ่งกรูกันเข้ามาจนฝุ่นตลบ ไป๋หยานหรี่ตาลงทันที
”ดูเหมือนว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้จะคล้ายกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์น้อยหลังจากสังหารเหล่าสัตว์อสูรกลุ่มแรกแล้ว สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งก็จะออกมาเรื่อย ๆ ! ทว่าตอนนี้พวกมันถือเป็นสารอาหาร เพื่อความแข็งแกร่งของข้า … ”
ไป๋หยานยิ้มนางมองสัตว์อสูรเหล่านี้อย่างไม่เคร่งเครียดเฉกเช่นเคย… ครานี้แววตาของนางเหมือนหมาป่าผู้หิวโหยกำลังจ้องมองอาหารอร่อย ๆ ที่กรูกันมาเป็นฝูง แววตาของนางเปล่งประกายเต็มไปด้วยความคาดหวัง …
ทำให้นางพัฒนาได้ถึงขั้นนั้น
หลังจากไป๋หยานกลืนผลึกเวททั้งหมดลงไปนางก็ผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ และคิดจะพักสักครู่ ทว่าก็เกิดเสียงสั่นสะเทือนดินฟ้าดังกระหึ่มด้านหน้าขึ้นมาเสียอีก …
สัตว์อสูรนับจำนวนไม่ถ้วนร้องคำรามพวกมันวิ่งกรูกันเข้ามาจนฝุ่นตลบ ไป๋หยานหรี่ตาลงทันที
”ดูเหมือนว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้จะคล้ายกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์น้อยหลังจากสังหารเหล่าสัตว์อสูรกลุ่มแรกแล้ว สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งก็จะออกมาเรื่อย ๆ ! ทว่าตอนนี้พวกมันถือเป็นสารอาหาร เพื่อความแข็งแกร่งของข้า … ”
ไป๋หยานยิ้มนางมองสัตว์อสูรเหล่านี้อย่างไม่เคร่งเครียดเฉกเช่นเคย… ครานี้แววตาของนางเหมือนหมาป่าผู้หิวโหยกำลังจ้องมองอาหารอร่อย ๆ ที่กรูกันมาเป็นฝูง แววตาของนางเปล่งประกายเต็มไปด้วยความคาดหวัง …
บทที่ 869 : สามเดือนแล้ว (1)
หลังจากเดือนมีนาคมแสงแดดก็พอเหมาะ
ภายในป่าดอกท้อไป๋เสี่ยวเฉินนั่งเท้าคางอยู่บนก้อนหินที่อยู่ใกล้ ๆ นัยน์ตาที่สดใสและไร้เดียงสาจ้องมองไปยังประตูสำริดที่อยู่เบื้องหน้าตาไม่กระพริบ
หลังจากนั้นเป็นเวลานานเขาก็ถอนหายใจอย่างช้า ๆ และนุ่มนวล
”หม่ามี้อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้นี่มานานกว่าสามเดือนแล้ว เหตุใดนางถึงไม่ออกมาเสียทีล่ะ เฉินเอ๋อคิดถึงหม่ามี้”
ไป๋เสี่ยวเฉินทำปากยื่นพลางเตะเท้าด้วยท่าทางเบื่อ ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจากไป๋หยานนานเพียงนี้ …
”องค์ชาย”
เสี่ยวหลงเอ๋อโผล่หัวเล็กๆ มาจากด้านข้าง พลางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าพบสถานที่สนุก ๆ เราไปเล่นด้วยกันมั้ย ?”
“ข้าไม่ไป”ไป๋เสี่ยวเฉินส่ายศีรษะ น้ำเสียงของเขาฟังดูอ่อนเยาว์ไร้เดียงสา “ข้าจะรอหม่ามี้ของข้าออกมา ข้าจะไม่ไปที่ไหนทั้งสิ้น”
เสี่ยวหลงเอ๋อกัดนิ้วพลางมองไป๋เสี่ยวเฉินด้วยความสงสัย
นางไม่เคยรับรู้ความรักของมารดามาตั้งแต่ยังเด็กนางจึงไม่เข้าใจว่าแค่ราชินี จากไปเพียงสามเดือน เหตุใดองค์ชายน้อยจึงคิดถึงนางมากเพียงนี้ ?
“งั้นข้าก็จะรอราชินีออกมาพร้อมกับท่าน”ใบหน้าของเสี่ยวหลงเอ๋อระบายรอยยิ้มน่ารัก นางมองหาที่ข้าง ๆ เขา ก่อนจะนั่งลงอย่างเงียบ ๆ รอไป๋หยานด้วยความอบอุ่นใจ
ดวงอาทิตย์ส่องแสงผ่านดอกท้อบานตกกระทบเจ้าซาลาเปาน้อยสองก้อน บรรยากาศช่างเงียบสงบ สวยงาม ร่มรื่น และอบอุ่น
บูม!
ทันใดนั้นเองจู่ ๆ พื้นดินก็เกิดการสั่นสะเทือน ทำเอาร่างเล็ก ๆ ทั้งสองที่นั่งอยู่บนก้อนหินเกือบจะกลิ้งพลัดตกลงมา
ไม่ไกลกันนักประตูสำริดที่เคยนิ่งสงบ ก็เริ่มพังทลาย ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนตามไปด้วย ไป๋เสี่ยวเฉินรีบจับมือของเสี่ยวหลงเอ๋อ เพื่อไม่ให้ร่างเล็ก ๆ ของนางตกสู่พื้น
อย่างไรก็ตามทันทีที่ไป๋เสี่ยวเฉินเงยหน้าขึ้น ประตูสำริดที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าก็ทรุดตัวลงกับพื้น กลายเป็นซากปรักหักพัง
ภาพนี้ทำให้ไป๋เสี่ยวเฉินตกใจทว่าหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็รู้สึกตัว เขารีบวิ่งไปที่ประตูสำริดที่ทรุดตัวลง นัยน์ตาของเขาแดงราวเลือด น้ำเสียงทารกของเขาฟังดูเจ็บปวดใจยิ่ง
”หม่ามี้!!! ออกมา !!! หม่ามี้ออกมาเถอะ !”
เสี่ยวหลงเอ๋อที่ยืนอยู่ด้านหลังไป๋เสี่ยวเฉินยืนงงภาพที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ทำให้หัวใจของนางรับไม่ไหว น้ำตาของนางเอ่อคลอ หยาดน้ำตาหยดใหญ่กลิ้งลงมาจากดวงตาของนาง
ประตูสีสำริดพังไปแล้วทว่าราชินี … ไม่กลับมาหรือ ?
ไม่! นางไม่ต้องการให้เป็นเช่นนี้ ! นางรักราชินีมาก นางไม่อยากให้ราชินีจากนางไป !
สิ่งที่เกิดขึ้นในป่าดอกท้อนั้นยิ่งใหญ่มากกระทั่งสร้างความตื่นตระหนกให้คนที่เหลือในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ครั้นฉู่หรานกับเหล่าอาวุโสทั้งสามและคนอื่น ๆ มาถึง พวกเขาก็เห็นแต่ไป๋เสี่ยวเฉิน และเสี่ยวหลงเอ๋อกำลังร่ำไห้อย่างปวดร้าว
”เฉินเอ๋อ!”
เจิ้งฉีนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบเข้าไปหาไป๋เสี่ยวเฉิน เขากดไหล่ที่สั่นเทาของเด็กน้อยแน่น เอ่ยถามอย่างกระวนกระวายว่า “เจ้าบอกอาจารย์ตาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น ?”
เมื่อถึงจุดนี้ไป๋เสี่ยวเฉินก็หยุดร้องไห้ นัยน์ตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาจ้องประตูสำริดที่กลายเป็นซากปรักหักพัง น้ำเสียงของเขาอ่อนแรงกระทั่งแทบจะหายไปได้ตลอดเวลา
“ประตูสำริดพังแล้ว”
ฉู่หรานตกตะลึงเขารีบวิ่งไปที่ประตูสำริดด้วยความหวาดกลัว พลางมองไปที่ประตูสำริดที่ซึ่งยามนี้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว เขาเอ่ยพึมพำ “เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้จะล่มสลายได้อย่างไร ? เกิดอะไรขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้ ?”
”ท่านประมุขประตูสำริดพังทลาย ผลที่ตามมาคืออะไร ?”
บทที่ 870 : สามเดือนแล้ว (2)
เจิ้งฉีกำหมัดแน่นฝ่ามือของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังได้ยินเสียงที่แทบจะทำให้เขาล้มลง
”หากประตูสำริดพังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้ก็จะถูกปิดตายไปด้วย เช่นนั้นไป๋หยานก็จะต้องถูกขังอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้ชั่วนิรันดร์กระนั้นรึ ?”
บูม!
ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางหัวใจของผู้อาวุโสพวกเขาทั้งสามสั่นสะท้านตัวแข็งทื่อ ใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
หากประตูสำริดพังทลายไป๋หยาน … จะกลับมาไม่ได้อีกใช่หรือไม่ ?
”ไม่!” ฉิวชู่หรงกุมศีรษะตนเองแน่น พลางกรีดร้องอย่างเจ็บปวด เสียงของเขาก้องดังไปทั่วท้องฟ้าในป่าดอกท้อ
เป็นเวลานานกว่าเขาจะลดมือลงเพียงพริบตาเขาก็หายตัวมาอยู่ต่อหน้าฉู่หราน มือของเขากุมสาบเสื้อของฉู่หรานแน่น นัยน์ตาของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ เขาโกรธจนแทบคลั่ง
”เหตุใดเหตุใดท่านถึงบอกนางเกี่ยวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้ เหตุใดท่านถึงยอมให้นางเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้ ! เอาลูกศิษย์ของข้าคืนมา เอาลูกศิษย์ของข้าคืนมา !”
ถ้อยคำสุดท้ายของเขาช่างบาดหัวใจ น้ำเสียงที่ปวดร้าว น้ำตาที่เอ่อล้น กระทั่งไหลรินออกมาจากดวงตาไม่หยุด ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความเกลียดชัง
หากเป็นเมื่อก่อนฉู่หรานคงไม่ยอมให้ชายชราเหล่านี้ปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้เป็นแน่ ทว่าตอนนี้ไป๋หยานถูกขังอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้ เช่นนั้นสมองของเขาจึงเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกมืดมัว หัวใจของเขาเศร้ามาก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความเจ็บปวด
”ขอโทษด้วยข้าไม่รู้ว่าจะเกิดสิ่งนี้ขึ้น … ” ฉู่หรานหลับตาลง ใบหน้าสง่างามของเขาซีดเผือด น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจและรู้สึกผิด
ฉิวชู่หรงปล่อยมือพร้อมกับทรุดกายลงไปนั่งหมอบกับพื้นพร้อมกันนั้นก็กุมศีรษะอีกครั้ง งพลางคร่ำครวญด้วยความเศร้าโศก
ชั่วขณะนี้ไม่เพียงแต่ฉู่หรานที่เสียใจ เพราะทุกคนต่างก็เสียใจที่วันนั้นไม่ห้ามนาง
“หม่ามี้!” ไป๋เสี่ยวเฉินปล่อยมือจากเจิ้งฉี เขารีบวิ่งไปที่กระจกสำริดอีกครั้ง ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาปกคลุมไปด้วยหยาดน้ำตา ดวงตาของเขาพร่ามัว ขณะจับจ้องประตูสำริดที่ถล่มลงมาแล้ว
”หม่ามี้ไหนหม่ามี้บอกว่า หม่ามี้จะไม่จากเฉินเอ๋อไปไงล่ะ ?
”หม่ามี้ออกมาเร็วๆ ได้มั้ย ? เฉินเอ๋อขอร้อง หม่ามี้ออกมาเร็ว ๆ หม่ามี้จะทิ้งเฉินเอ๋อกับป๊ะป๋าจริง ๆ หรือ ?”
”ต่อไป…เฉินเอ๋อจะเชื่อฟังหม่ามี้ให้มากๆ และจะไม่ทำให้หม่ามี้โกรธอีก หม่ามี้อย่าทิ้งเฉินเอ๋อไว้อย่างนี้ … เฉินเอ๋ออยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีหม่ามี้”
น้ำเสียงเยาว์วัยของเขาได้ยินไปถึงหูของทุกคนแม้แต่ฉิวชู่หรงผู้ซึ่งนั่งกุมศีรษะก็ยังแหงนเงยหน้าขึ้น ทุกคู่สายตาต่างก็จับจ้องมองร่างเล็ก ๆ นั้น
ร่างของไป๋เสี่ยวเฉินแลดูบอบบางภายใต้สายลมแผ่วพริ้วก็แลดูอ่อนแอกระทั่งแทบจะปลิวไปพร้อมกับสายลม
ถ้อยคำของเขาทำให้ทุกผู้คนรู้สึกรันทดใจ เจิ้งฉีพยายามดึงไป๋เสี่ยวเฉินกลับไปอยู่ข้างกายเขาหลายต่อหลายครั้ง ทว่าที่สุดเขาก็ยอมแพ้ …
ในเวลานี้ไป๋เสี่ยวเฉินค่อย ๆ เงยใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาขึ้น ใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาจากความเศร้าโศก กลับกลายเป็นใบหน้าไร้อารมณ์ นัยน์ตาสีดำเปล่งประกายกระหายเลือด แม้ดวงอาทิตย์ยามบ่ายก็ยังไม่อาจบดบังความโกรธของเขาได้
“เฉินเอ๋อ?” เจิ้งฉีตกใจ เขาโอบกอดไหล่ของไป๋เสี่ยวเฉินอย่างกังวลใจ “เฉินเอ๋อ อย่าทำให้อาจารย์ตากลัวสิ หม่ามี้ของเจ้าถูกขังอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้ไปคนหนึ่งแล้ว อาจารย์ตาไม่อยากให้เจ้าเป็นอะไรไปอีก”
ไป๋เสี่ยวเฉินหันหน้าไปมองเจิ้งฉีน้ำเสียงของเขายังคงเป็นเด็กน้อยเช่นเคย “อาจารย์ตา ทำไมหม่ามี้ของเฉินเอ๋อถึงไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้เพื่อฝึกฝนล่ะ ?”
เจิ้งฉีนิ่งอึ้งไม่เข้าใจความหมายของไป๋เสี่ยวเฉิน
ทันใดนั้นไป๋เสี่ยวเฉินก็หัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาแตกต่างไปจากเดิม มันทำให้ทุกผู้คนรู้สึกสยองขวัญ
”ข้าคิดว่าเหตุผลที่หม่ามี้ต้องการพัฒนาความแข็งแกร่งของนาง ก็เป็นเพราะหญิงจากอาณาจักรวิญญาณผู้นั้น”