จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 896-900
บทที่ 896 : หมาเฝ้าบ้าน (2)
ไป๋หยานพยักหน้าเล็กน้อย”เสี่ยวผาง ตอนนี้บิดาของเจ้าอยู่ที่ใด ?”
”พี่ไป๋หยานข้าจะพาท่านไปหาท่านพ่อ เขาจะต้องมีความสุขมากที่ได้พบท่าน” ใบหน้าเล็ก ๆ ของหวังเสี่ยวผางมีรอยยิ้ม ดวงตาของเขาถูกบีบด้วยเนื้อแก้มกระทั่งแทบไม่เหลือช่องว่าง ยามเดิน ก้อนไขมันกระเพื่อมราวกับว่าเขาสามารถสลัดก้อนเนื้อออกมาสักสองสามปอนด์ในเวลาใดก็ได้
ไป๋หยานมองตามหลังหวังเสี่ยวผาง”ข้าไม่ได้เจอเขาเพียงไม่นาน หวังเสี่ยวผางน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกแล้วหรือนี่ หากยังเป็นเช่นนี้ ร่างกายของเขาจะได้รับผลกระทบอย่างมาก ไว้ข้ามีเวลา ข้าจะศึกษาการปรุงยาลดน้ำหนัก เขาจะได้ไม่อ้วนอีกต่อไป”
ทว่าสิ่งที่เร่งด่วนที่สุดก็คือรักษาหวังตี้จวินก่อน
หวังตี้จวินพักอยู่อีกด้านของลานบ้านห่างจากลานบ้านหลักไปเล็กน้อย ไป๋หยานเดินเพียงไม่กี่นาทีก็ไปถึงที่นั่น
ระหว่างทางหวังเสี่ยวผางเดินติดข้างกายไป๋หยานตลอดบางทีอาจจะมีเพียงนางเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
“พี่ไป๋หยานโชคดีที่ยาที่ท่านขายให้ตระกูลหวังนั้นมีประสิทธิภาพมาก เลยช่วยชีวิตท่านพ่อของข้าไว้ได้ ไม่เช่นนั้น ท่านพ่อคงต้องตายด้วยน้ำมือของคนกลุ่มนั้นไปแล้ว” หวังเสี่ยวผางยิ้ม พลางเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
ภายในเวลาไม่นานเขาก็เดินเข้าไปในลานบ้าน
ไป๋หยานดันประตูเป้าหมาย ก็คือชายวัยกลางคนที่นอนอยู่บนเตียง
ใบหน้าของเขาซีดไม่มีสีเลือดแม้ว่าจะมียาช่วยชีวิตที่ไป๋หยานมอบไว้ให้ ทว่าเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส
”ท่านพ่อของเจ้าไม่เป็นอะไรมากข้าจะให้ยาเม็ดตัวอื่นแก่เขา หลังจากกินแล้ว อีกไม่นานเขาก็จะดีขึ้น” ครั้นไป๋หยานเห็นหวังตี้จวินยังมีชีวิตอยู่ก็โล่งใจ “เอาล่ะ เสี่ยวผาง น้องสาวของเจ้า และเสี่ยวหลงเอ๋อ ยังรออยู่ที่บ้านตระกูลหวัง เจ้ากับเฉินเอ๋อไปรับพวกเขาเถอะ”
นางทิ้งเด็กหญิงทั้งสองไว้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ คงจะไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น แต่หากนางไม่ได้กลับไปสองสามวัน เสี่ยวหลงเอ๋อคงจะเป็นกังวลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ เช่นนั้นนางจึงให้หวังเสี่ยวผางไปรับเด็กหญิงทั้งสอง
”หม่ามี้มั่นใจได้เลยว่าเสี่ยวผางกับข้าจะไปรับเสี่ยวหลงเอ๋อ และน้องเสี่ยวถงอย่างปลอดภัย”
น้ำเสียงของไป๋เสี่ยวเฉินไร้เดียงสาใบหน้าอวบอิ่ม น่ารักและบริสุทธิ์
”ไปเถอะ”
ไป๋หยานลูบศีรษะเล็กๆ ของไป๋เสี่ยวเฉินพร้อมกับยิ้ม
ไป๋เสี่ยวเฉินกอดไป๋หยานด้วยมือเล็กๆ ทั้งสองของเขา จากนั้นเขาก็ปล่อยนางอย่างไม่เต็มใจ เขาหันไปมองหวังเสี่ยวผาง แม้อายุยังน้อยทว่าไป๋เสี่ยวเฉินก็มีรัศมีผู้นำแล้ว
”หวังเสี่ยวผางเราไปกันเถอะ”
หวังเสี่ยวผางมองใบหน้าที่ยังเยาว์วัยนั้น เขารู้สึกเสมอว่าไป๋เสี่ยวเฉินดูเหมือนจะแตกต่างจากเมื่อครึ่งปีก่อนเล็กน้อย …
ในเวลานั้นไป๋เสี่ยวเฉินเป็นเพียงเด็กฉลาดแกมโกงทว่าตอนนี้เขาเป็นดั่งราชา …
ใช่รูปลักษณ์และอารมณ์ของเขาดุจดั่งพระราชา นัยน์ตาของเขาเปล่งกลิ่นอายทรงอำนาจ ราวกับเป็นราชาของโลกใบนี้
หากมิใช่เพราะใบหน้าที่อ่อนหวานนั่นหวังเสี่ยวผางก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กคนนี้จะมีอายุเพียงเจ็ดขวบ…
ขณะที่หวังเสี่ยวผางกำลังลังเลกับการเปลี่ยนแปลงของไป๋เสี่ยวเฉินนั้นจู่ ๆ เขาก็ถูกลากตัวออกไปจากประตูแล้ววิ่งออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตาร่างทั้งสองก็หายลับไปจากคลองสายตาของไป๋หยาน …
ณบ้านสกุลหวัง
หวังเสี่ยวถงมองประตูที่ปิดสนิทอย่างเป็นกังวลริมฝีปากของนางปิดสนิทไม่พูดไม่จา
เสี่ยวหลงเอ๋อไม่รู้ไปหาขนมได้จากที่ใดนางยังคงยัดใส่ปากของนางไม่หยุด ขณะที่นางยัดอาหารเข้าปาก นางก็ยังไม่ลืมที่จะกล่าวปลอบใจหวังเสี่ยวถงด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับครอบครัวของเจ้าหรอกราชินีและองค์ชายนั้นทรงพลังมาก ไม่มีศัตรูคนใดที่พวกเขาไม่สามารถจัดการได้แน่”
ในหัวใจเล็กๆ ของเสี่ยวหลงเอ๋อนั้น ไป๋หยานเป็นผู้ซึ่งไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถทำลายได้ ส่วนไป๋เสี่ยวเฉินบุตรชายของไป๋หยานนั้นก็ได้รับสายเลือดที่ดีของนางมา
บทที่ 897 : หมาเฝ้าบ้าน (3)
หากแม่ลูกคู่นี้ร่วมมือกันก็ไม่มีผู้ใดต้านทานพวกเขาได้ ?
ส่วนตี้คัง… เสี่ยวหลงเอ๋อไม่พูดถึง
เพราะสำหรับนางแล้วไป๋หยานนั้นงดงามอย่างยิ่ง นางเป็นยิ่งกว่าราชินีของผองสัตว์ทุกชนิด ตี้คัง … ก็เป็นเพียงสามีของราชินีเท่านั้น
หวังเสี่ยวถงหน้ามุ่ย”พี่ชายของข้าเป็นคนขี้ขลาด คนเหล่านั้นดุร้ายมาก เขาคงจะกลัวแทบตายเลย … ”
”ไม่เป็นไรแม้ว่าเขาจะตายไปแล้วราชินีก็สามารถลงไปนรก และพาเขากลับมาได้”
เสี่ยวหลงเอ๋อเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจก็ราชินีของนางทรงพลังออกอย่างนั้น
ทว่าถ้อยคำของนางยิ่งทำให้หวังเสี่ยวถงผู้ซึ่งกำลังหวาดกลัว ต้องหวาดกลัวหนักยิ่งกว่าเดิม นางร้องโฮออกมา “พี่ชายตายแล้ว ฮือ ๆ … หลังจากที่เขาตาย ก็ไม่มีผู้ใดรังแกข้า ไม่มีผู้ใดขโมยขนมของข้า และไม่มีผู้ใดแย่งไป๋เสี่ยวเฉิน กับข้าอีกต่อไป … ”
เสี่ยวหลงเอ๋อตกตะลึงเด็กหญิงคนนี้พูดเช่นนี้ได้ไง ? นางเสียใจเรื่องการตายของพี่ชาย หรือนางดีใจกันแน่เนี่ย ?
หวังเสี่ยวถงผู้ใดกันที่เจ้าบอกว่าขโมยขนมเจ้า แล้วผู้ใดเป็นคนแย่งไป๋เสี่ยวเฉินจากเจ้ากัน ?
ทันใดนั้นน้ำเสียงโกรธ ๆ ก็ดังมาจากด้านหน้า ทำให้หวังเสี่ยวถงเงยหน้าขึ้น
น้ำตาเอ่อคลอดวงตาของนางทันทีที่นางเห็นเงาของคนที่ข่มขู่นาง
”พี่ชาย!” ใบหน้าเล็ก ๆ เปื้อนหยาดน้ำตาของหวังเซียวถงเต็มไปด้วยความปิติยินดี นางร้องไห้ออกมาอีกครั้ง พลางอ้าแขนออกกอดหวังเสี่ยวผาง “พี่ชาย พี่ยังมีชีวิตอยู่ พี่ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ …”
หวังเสี่ยวผางกลอกตา”ฟังที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าจะอยากให้ข้าตายนะ”
หวังเสี่ยวถงไม่เถียงหวังเสี่ยวผางนางเช็ดน้ำตา พร้อมเช็ดน้ำมูกกับหน้าอกของหวังเสี่ยวผาง
ครั้นรู้สึกถึงความเหนียวหนืดบริเวณหน้าอกหวังเสี่ยวผางก็รีบผลักนางออกอย่างขยะแขยง “หวังเสี่ยวถง เจ้าอายุเท่าไร ยังทำตัวน่ารังเกียจเช่นนี้อีก เจ้านี่ … ”
เขากำลังสำรวจหวังเสี่ยวถงทันใดนั้นเขาก็เห็นเสี่ยวหลงเอ๋อยืนอยู่ด้านหลังหวังเสี่ยวถง
ปากของเสี่ยวหลงเอ๋อเต็มไปด้วยเศษขนมทว่าก็ยังดูดี ไม่ได้ดูสกปรกเลอะเทอะ หากกลับเพิ่มความน่ารัก และไร้เดียงสาให้กับนางแทน
”น้องเสี่ยวหลงเจ้าจำข้าได้มั้ย ?” นัยน์ตาของหวังเสี่ยวผางสดใส เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
นี่เป็นการพบกันครั้งที่สองของหวังเสี่ยวผางกับเสี่ยวหลงเอ๋อ
ครั้งแรกตอนที่ไป๋หยาน และไป๋เสี่ยวเฉินพานางมาตระกูลหวัง เพื่อเข้ามายังตำหนักเซียนพยับหมอก
และนับแต่เห็นเสี่ยวหลงเอ๋อครั้งแรกหวังเสี่ยวผางก็รู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังโดนศรรักปักอก เมื่อนั้นเขาก็เข้าใจถึงคำว่า ‘ตกหลุมรักนับแต่แรกเห็น’ …
เสี่ยวหลงเอ๋อกระพริบนัยน์ตากลมโตพลางหันไปมองไป๋เสี่ยวเฉินแบบงง ๆ
”หวังเสี่ยวผาง!” ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินเปลี่ยนเป็นสีดำ เขาก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะผลักหวังเสี่ยวผางผู้ซึ่งอยู่ใกล้กับเสี่ยวหลงเอ๋อออกไป จากนั้นเขาก็ก้าวออกมาข้างหน้า เพื่อปกป้องนางไว้ข้างหลัง เขาทำตัวราวกับกำลังปกป้องน้องน้อย “นี่คือน้องสาวของข้า ห้ามวุ่นวายกับน้องสาวของข้า ! เจ้ามีน้องสาวคนหนึ่งแล้วยังไม่พออีกหรือ ? ”
”ลูกพี่เจ้าไม่เข้าใจ เรื่องนี้เขาเรียกว่าความสมัครใจ เมื่อเจ้าโตขึ้น เจ้าจะเข้าใจเอง”
หวังเสี่ยวผางถอนหายใจอย่างนุ่มนวล
“องค์ชาย”เสี่ยวหลงเอ๋อไม่สนใจหวังเสี่ยวผาง นางดึงแขนเสื้อของไป๋เสี่ยวเฉิน ใบหน้าสว่างไสวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ของนางแย้มยิ้ม “ข้ายังหิวอยู่เลย ข้ายังอยากกินอีก”
ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินเริ่มผ่อนคลายเขาจ้องมองหวังเสี่ยวผางราวกับจะเตือน ก่อนจะจับมือเล็ก ๆ ของเสี่ยวหลงเอ๋อไว้ทันที แล้วใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาก็แย้มยิ้ม
”ไปที่ตำหนักเซียนพยับหมอกกันก่อนเถอะที่นั่นมีอาหารมากมาย แน่นอนว่าอาหารที่ดีที่สุดก็คืออาหารที่หม่ามี้ของข้าทำเอง แต่หม่ามี้ของข้าเหนื่อยมาก ยามนี้ข้าต้องการให้หม่ามี้พักผ่อนให้มาก ๆ ข้าก็เลยไม่อยากรบกวนนาง”
***จบบทหมาเฝ้าบ้าน (3)***
บทที่ 898 : หมาเฝ้าบ้าน (4)
เขาไม่ได้เป็นเด็กอายุห้าขวบอีกต่อไปเขาอายุเกือบเจ็ดขวบแล้ว เขาไม่สามารถตามติดหม่ามี้ได้ทั้งวันเช่นแต่ก่อน
เขาต้องการที่จะเป็นเสื้อกั๊กอันอบอุ่นให้หม่ามี้ดังนั้นแม้ว่าอาหารข้างนอกจะกลืนแทบไม่ลง เขาก็ไม่อยากรบกวนหม่ามี้
หวังเซียวผางรู้สึกงงงวยกับลูกพี่ของเขาเขามองไป๋เสี่ยวเฉินด้วยความคลางแคลงใจ “ลูกพี่ เห็นผู้หญิงสำคัญกว่าเพื่อนงั้นหรือ ?”
“เห็นผู้หญิงสำคัญกว่าเพื่อนแล้วไง? ดูป๊ะป๋าวายร้ายของข้าสิ ในสายตาเขาก็มีแค่หม่ามี้ข้าเท่านั้น ไม่มีข้าอยู่ในสายตาเลย” ไป๋เสี่ยวเฉินมองหวังเสี่ยวผางด้วยความสงสัย “หากเป็นกรณีนี้ ข้ายอมรับว่าข้าให้ความสำคัญกับเพื่อนน้อยกว่า เพราะเสี่ยวหลงเอ๋อเป็นน้องสาวของข้า ทั้งข้าจะต้องดูแลนางก่อนอยู่แล้ว”
ปากของหวังเสี่ยวผางกระตุกแม้ว่าแรงกดดันของไป๋เสี่ยวเฉินจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ทว่าไป๋เสี่ยวเฉินก็ยังเป็นเด็ก ทั้งยังไม่เข้าใจเรื่องต่าง ๆ ระหว่างชายและหญิง
หากแต่…
หวังเสี่ยวผางดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าเขาเองก็แก่กว่าไป๋เสี่ยวเฉินเพียงไม่กี่ปี
*****
ประตูตำหนักเซียนพยับหมอกไม่ได้ปิดเช่นนั้นพวกเขาจึงเข้าไปในตำหนักเซียนพยับหมอกได้อย่างง่ายดาย
ตลอดทางเสี่ยวหลงเอ๋อไม่สนใจการดำรงอยู่ของหวังเสี่ยวผางนางพูดคุยแต่กับไป๋เสี่ยวเฉินเท่านั้น
ส่วนหวังเสี่ยวผางก็ทำได้เพียงเดินตามหลังคนทั้งสองไปอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าเศร้า ๆ …
“เสี่ยวถงเจ้าเท่านั้นที่ดีที่สุด” หวังเสี่ยวผางเช็ดน้ำตาอย่างขมขื่น “เจ้าเท่านั้นที่อยู่กับข้า”
หลังจากที่เขากล่าวจบเขาก็หันหน้าไปมองหวังเสี่ยวถงที่อยู่ข้าง ๆ ทว่าเขากลับเห็นหวังเสี่ยวถงยกมือทั้งสองขึ้นกุมแก้ม พลางมองไป๋เสี่ยวเฉินด้วยแววตาชื่นชม
“พี่ชายทำไมโลกนี้ถึงได้มีเด็กชายที่หน้าตาดีถึงเพียงนี้ ? เขาดูหล่อเหลามากขนาดมองแค่ด้านหลังก็ยังดูดี”
ใบหน้าของหวังเสี่ยวผางเปลี่ยนเป็นสีดำเขารู้จักเด็กทรยศคนนี้ด้วยหรือ ?
“องค์ชายข้าอยากจะกินสิ่งนี้ … “
ชั่วขณะนี้สองคนที่เดินนำหน้าพลันหยุด
เสี่ยวหลงเอ๋อชี้ไปที่ร้านอาหารซึ่งตั้งอยู่บนถนนกลิ่นหอมฟุ้งกระจายออกมาจากร้านอาหาร กระทั่งนางไม่สามารถขยับตัวได้
“ลูกพี่”ปากหวังเสี่ยวผางกระตุก เขากล่าวแทรกอย่างลังเลว่า “ข้ารู้จักร้านนี้ดี เพราะฝีมือของพ่อครัวที่นี่ยอดเยี่ยมมาก เช่นนั้นร้านของเขาจึงมีคนเข้าเยอะมาก หากเข้าไปตอนนี้ … ข้าเกรงว่าเราอาจจะไม่มีที่นั่ง”
ครั้นเสี่ยวหลงเอ๋อได้ยินถ้อยคำของหวังเสี่ยวผางก็รีบเช็ดน้ำลายที่ย้อยลงมา นางดึงแขนเสื้อของไป๋เสี่ยวเฉินพลางเอ่ยกล่าวว่า “องค์ชาย เราเปลี่ยนร้านกันเถอะ”
เมื่อเห็นท่าทางที่น่าสงสารของเสี่ยวหลงเอ๋อไป๋เสี่ยวเฉินก็ตบหน้าอกของตนทันที “น้องหลงเอ๋อ เจ้าไม่ต้องกังวล ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
“แต่…”
“หม่ามี้ของข้าบอกว่าผู้หญิงไม่ควรผิดหวัง คำขอใด ๆ ที่ฟังสมเหตุสมผลก็สมควรที่จะได้รับการตอบสนอง เจ้าเป็นน้องสาวของข้า ข้าก็ควรต้องตามใจเจ้า”
ไป๋เสี่ยวเฉินจับมือของเสี่ยวหลงเอ๋อก่อนจะเดินเข้าไปในร้านอาหาร
นัยน์ตาของหวังเสี่ยวผางเบิกกว้างขณะจ้องมองไป๋เสี่ยวเฉิน
อย่างไรเสียมังกรตัวน้อยคนนี้ก็ไม่ใช่น้องสาวของไป๋เสี่ยวเฉินเขาเอาใจนางเช่นนี้ หลังจากไป๋เสี่ยวเฉินมีน้องสาว นางก็อาจเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงของเขาเท่านั้นแหละ …
“เชอะร้านอาหารหลงเป่าตกต่ำเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ? ถึงขนาดที่หมาเฝ้าบ้านก็ยังเข้ามาได้”
หลังจากที่หวังเสี่ยวผางเดินเข้าไปในร้านอาหารก็มีเสียงดังลอดออกมา
หวังเสี่ยวผางกระพริบตาเขามองไปข้างหน้า ก่อนจะกวาดตามองโดยรอบอย่างสงสัย “สุนัขที่ไหนกัน เหตุใดข้าจึงไม่เห็นสักตัวเลย”
“ฮ่าๆ ๆ ๆ !”
เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน “ผู้คนในตระกูลหวังนี่โง่มากจริง ๆ ก็พวกเจ้าเป็นหมาเฝ้าบ้านของตำหนักเซียนพยับหมอกไม่ใช่หรือ ?”
***จบบทหมาเฝ้าบ้าน (4)***
บทที่ 899 : หมาเฝ้าบ้าน (5)
เมื่อมาถึงจุดนี้หวังเสี่ยวผางก็รู้แล้วว่าชายผู้นี้กำลังพูดถึงเขา เขาเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว พลางจ้องมองตอบคนที่เพิ่งพูดแดกดันมาเมื่อครู่อย่างไม่พอใจ
หวังเสี่ยวผางมองเด็กหนุ่มที่แก่กว่าตนสักสองสามปีดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะมีอายุสิบสี่หรือสิบห้า เขาอยู่ในชุดสีเขียว ถือพัดอยู่ในมือ กำลังมองดูหวังเสี่ยวผางด้วยอาการเยาะเย้ยที่มุมปาก
”เจ้าเป็นใคร?”
ชายหนุ่มหัวเราะเยาะ”เจ้าอ้วน ดูเหมือน เจ้าจะลืมไปว่าเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา คนของเรากลับมาจากภายนอก เพื่อเข้าสู่ตำหนักเซียนพยับหมอก ทว่าป้ายแสดงตัวตนของพวกเขาหาย บิดาของเจ้ายังลังเลที่จะให้เราเข้าตำหนักเซียนพยับหมอก”
ก่อนหน้านี้บิดาของหวังตี้จวินเป็นผู้ดูแลรักษาประตูทางเข้า หากแต่เมื่อหวังตี้จวินกลับมา บิดาก็มอบกุญแจให้เขาดูแลแทน
เช่นนั้นเขาจึงไม่เคยเห็นคนเหล่านี้ออกจากตำหนักเซียนพยับหมอกและเมื่อเขาจำไม่ได้ ป้ายแสดงตัวตนจึงถือเป็นหลักฐานเพียงอย่างเดียวของพวกเขา ผู้ใดจะรู้ว่าคนเหล่านี้ได้ทำป้ายแสดงตัวตนหาย ในฐานะผู้ดูแลประตูตำหนักเซียนพยับหมอก คนเหล่านี้จึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ตำหนักเซียนพยับหมอก
หวังเสี่ยวผางระลึกได้ทันทีเมื่อเขาเท้าความมาเช่นนั้น “เป็นเจ้านี่เอง ? ท่านพ่อของข้าไม่ได้ทำอะไรผิด ผู้ใดใช้ให้เจ้าทำป้ายแสดงตัวตนหายล่ะ เขาก็เพียงทำตามกฎข้อบังคับก็เท่านั้น”
”ไอ้โง่!” มือของเด็กหนุ่มตบลงบนโต๊ะอย่างหนัก พร้อมกับลุกขึ้นยืน”ตระกูลของเจ้าเป็นแค่เพียงหมาเฝ้าบ้านของตำหนักเซียนพยับหมอก ทุกคนในตำหนักเซียนพยับหมอกของเราคือนายของเจ้า ในฐานะสุนัข เจ้ากล้าไม่ให้เจ้านายเข้าบ้าน นี่เป็นความผิดของเจ้า !”
เขาย้ำคำว่าหมาเฝ้าบ้านทีละคำทำให้หวังเสี่ยวผางโมโห ใบหน้าอ้วนกลมของหวังเสี่ยวผางแดงขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหาเด็กหนุ่มคนนั้น
เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวขณะที่เขากำลังจะตอบโต้ ตะเกียบก็ถูกซัดมาจากด้านข้างผ่านแขนเสื้อของเขา กระทั่งเขาถูกตรึงไว้ที่ผนังด้านหลังอย่างแน่นหนา
เขาตกใจมากรีบเอื้อมมือหวังดึงตะเกียบออกมา หากแต่กลับพบว่าตะเกียบนั้นปักแน่นมาก ทำให้เขาไม่สามารถดึงมันออกมาได้ แม้จะพยายามอีกหลายครั้งก็ตามที
ยามนี้หวังเสี่ยวผางก็มาถึงหน้าเขาแล้ว หมัดที่เต็มไปด้วยไขมันของหวังเสี่ยวผางกระแทกเข้ากับใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างดุเดือด
”เจ้าเรียกผู้ใดว่าหมาเฝ้าบ้าน? ตระกูลของเจ้าสิเป็นหมาเฝ้าบ้าน !”
”เจ้า… ” เด็กหนุ่มยกมืออีกข้างขึ้น หมายจะให้บทเรียนเด็กอ้วน
หากแต่ผู้ใดจะรู้ว่าตะเกียบอีกคู่หนึ่งพลันบินมาปักแขนเสื้ออีกข้างของเขาไว้กับผนัง
เด็กหนุ่มต้องการที่จะฉีกแขนเสื้อออกหากแต่กลับก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างกายของเขาไม่สามารถออกแรงใด ๆ ได้เลย หลังจากพยายามหลายต่อหลายครั้ง เขาก็ไม่อาจฉีกแขนเสื้อออกได้
“เจ้าโง่ยังยืนนิ่งทำอะไรกันอยู่ ?” เด็กหนุ่มหันกลับไปตวาดใส่ผู้คุ้มกันของตนอย่างโกรธเคือง “รีบเข้ามาช่วยข้าเร็วสิ”
”อ่า?”
บรรดาผู้คุ้มกันเหล่านั้นงงงันเล็กน้อย
มันก็แค่ตะเกียบทว่านายน้อยกลับไม่สามารถดึงออกมาได้ ทั้งที่พยายามหลายครั้ง นอกจากนี้แม้ว่า จะไม่ดึงตะเกียบออกมา หากแต่แขนเสื้อก็น่าจะสามารถฉีกขาดได้ง่าย ๆ มิใช่หรือ
นี่พวกเขาจำเป็นต้องเข้าไปช่วยด้วยหรือ?
ถึงแม้ว่าผู้คุ้มกันเหล่านี้จะมีความคิดมากมายในใจหากแต่พวกเขาก็ไม่กล้าพอที่จะต่อต้านคำสั่งของเด็กหนุ่ม พวกเขาจึงรีบเข้าไปดึงตะเกียบที่ปักอยู่บนผนังออก
สิ่งแรกที่เด็กหนุ่มทำทันทีที่หลุดออกจากผนังไม่ใช่การตรงไปชำระบัญชีกับหวังเสี่ยวผาง หากแต่เขากลับกวาดตามองทุกคนในร้านอาหารด้วยความโกรธ
”ใคร?…เมื่อครู่นี้ ใครกันที่แกล้งข้า ?”
ครั้นเห็นสภาพน่าละอายของเด็กหนุ่มทุกคนก็พยายามกลั้นหัวเราะ ทว่ามุมปากที่ยกขึ้นของพวกเขากลับทรยศพวกเขาเสียนี่
อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มไม่มีเวลาที่จะคิดบัญชีกับคนที่หัวเราะเหล่านั้น เขาเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า “ไอ้หน้าไหนที่แอบแกล้งข้า ? ในเมื่อเจ้ากล้าลอบกัดข้า เหตุใดจึงยังหดหัวอยู่ในกระดองเล่า ? ออกมาเดี๋ยวนะ ?
นัยน์ตาของเขาเป็นสีแดงเห็นได้ชัดว่าเขากำลังโกรธ
***จบบทหมาเฝ้าบ้าน (5)***
บทที่ 900 : หมาเฝ้าบ้าน (6)
เวลานี้…
ภายในห้องอาหารเสียงเด็กน้อยเยาว์วัยทว่าหยิ่งยโสพลันดังขึ้น
“เมื่อครู่นี้เจ้าพูดมากน่ารำคาญนัก”
ทันใดนั้นทุกคนก็หันไปมองใบหน้าอวบอิ่มนุ่มนิ่ม
เด็กคนนี้อายุน้อยมากน่าจะประมาณหกหรือเจ็ดขวบเท่านั้น นอกจากใบหน้าที่สวยงามน่าเอ็นดูอย่างยิ่งแล้ว กิริยาท่าทางก็ดูดีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงมองข้ามเขาไป พลางเอ่ยกล่าวว่า “ผู้ใดกันที่โจมตีข้าเมื่อครู่ ? กล้าทำเหตุใดไม่กล้ารับ ?”
“โครม!”
เสี่ยวหลงเอ๋อตบโต๊ะข้างๆ ทำให้คนที่กำลังกินอยู่เกือบจะกระโดดตัวลอยด้วยความตกใจ
ชายคนนั้นพยายามจะพูดออกมาหลายครั้งว่าเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนนี้แหละที่เป็นคนหยิบตะเกียบปาใส่เด็กหนุ่มคนนี้ ทว่าทุกครั้งที่เขากำลังจะพูดเขาก็กลับไม่กล้าพูดออกมา …
“องค์ชายบอกว่าเจ้าพูดมากเกินไปแล้ว เจ้าได้ยินมั้ย ?” ใบหน้าที่น่ารัก และอ่อนหวานของเสี่ยวหลงเอ๋อเปลี่ยนเป็นโกรธ “ในเมื่อเจ้าพูดมาก เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าหุบปากเอง !”
ปัง!
ไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็นว่าเสี่ยวหลงเอ๋อไปปรากฏตัวข้างเด็กหนุ่คนนั้นตอนไหนจากนั้นนางก็ตบเขาคว่ำ
มือของนางมีขนาดเล็กมากกระทั่งไม่มีผู้ใดทันคาดคิดว่ามือเล็ก ๆ จะมีพลังมากมาย
ทว่า…
หลังจากลูกตบของนางตกลงบนใบหน้าของเด็กหนุ่มใบหน้าของเขาก็บวมอลึ่งฉึ่ง กระทั่งมีขนาดเท่าหัวหมู เขามองเด็กหญิงด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็ชี้หน้านาง เอ่ยกล่าวด้วยเสียงสั่น ๆ “เจ้า … “
ทว่าถ้อยคำของเขายังไม่ทันจบดีพลันเสียงตบก็ดังขึ้นอีกครั้ง
มือเล็กๆ ของเสี่ยวหลงเอ๋อตบหน้าเขาซ้ายทีขวาที ศีรษะของเขาสะบัดไปสะบัดมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด หลังจากนั้นเพียงไม่นานนางก็หยุด ถึงตอนนี้ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็บวมเป่ง กระทั่งมองไม่เห็นสภาพเดิม
“พุ่ฟ!”
เด็กหนุ่มอ้าปากกระอักเลือดออกมาฟันแถวหนึ่งหลุดออกมาพร้อมเลือด เขากุมใบหน้าแดงก่ำ และบวมเป่งของเขาด้วยความเจ็บแค้น ทว่าปากของเขาก็ทำได้เพียงส่งเสียงสะอื้น เหมือนอย่างที่หลงเอ๋อบอกว่าจะทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกอีก
ผู้คุ้มกันด้านข้างรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นต้องการจะพูดอะไรเขาเลยรับหน้าที่พูดแทน “เจ้ารอดูเถอะ โดยเฉพาะเจ้า…หวังเสี่ยวผาง หากท่านเจ้าบ้านของเราไปแจ้งเรื่องของพวกเจ้ากับท่านเจ้าตำหนัก พวกเจ้าจะต้องถูกไล่ออกจากตำหนักเซียนพยับหมอก”
ไป๋เสี่ยวเฉินมองคนกลุ่มนี้พร้อมรอยยิ้ม“ได้สิ ข้าจะรอ”
“นายน้อยกลับไปบอกเจ้าบ้านเราเถอะ ให้เขามาแก้แค้นแทนท่าน”
ผู้คุมกันเองก็มิกล้าลงมือทำสิ่งใด? พวกเขาทำได้แค่พาเด็กหนุ่มหนีไปอย่างรวดเร็ว พวกเขากลัวว่าพวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนกันหากอยู่ต่อไป
“องค์ชาย”
เสี่ยวหลงเอ๋อไม่ได้ไล่ตามนางยิ้มพร้อมกับเดินไปยืนข้างไป๋เสี่ยวเฉิน : “คนพวกนั้นไปแล้ว ไม่มีผู้ใดรบกวนท่านแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เราก็มีที่นั่งแล้ว”
“เสี่ยวหลงเอ๋อเจ้าทำได้ดี”
ไป๋เสี่ยวเฉินแตะศีรษะเสี่ยวหลงเอ๋อด้วยความชื่นชม
เพราะเมื่อใดก็ตามที่เขาทำสิ่งดีๆ หม่ามี้ของเขาก็จะแตะศีรษะเขาเช่นนี้ ดังนั้นสำหรับไป๋เสี่ยวเฉินแล้ว การสัมผัสที่ศีรษะก็เท่ากับเป็นการชื่นชม
“คุณชาย,คุณหนู” เสี่ยวเอ้อของร้านอาหารมองดูพวกเขาที่กำลังก้าวไปที่โต๊ะว่าง เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาว่า “พวกท่านควรกลับไปหาผู้ใหญ่ของท่าน เพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหานี้ หาไม่พวกท่านอาจจะถูกขับออกจากตำหนักเซียนพยับหมอกจริง ๆ ก็ได้”
“ขับลูกพี่ของข้าออกจากตำหนักเซียนพยับหมอกพวกเขายังไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น”
หวังเสี่ยวผางตะโกนอย่างเย็นชาพร้อมกับนั่งลงจนเก้าอี้สะเทือน
ไป๋เสี่ยวเฉินเป็นถึงเหลนชายของเหวินหวู่เหว่ยแค่คนตระกูลเต้า ท่านปู่ทวดของเขาจะขับไล่เหลนได้อย่างไร ?
ยิ่งไปกว่านั้นหวังเสี่ยวผางไม่เคยคิดว่าลูกพี่เขาทำอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย
***จบบทหมาเฝ้าบ้าน (6)***