จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 906-910
บทที่ 906 : คนจากอาณาจักรวิญญาณ (1)
ตี้คังโอบร่างไป๋หยานอย่างอ่อนโยนรอยยิ้มงดงามไร้ที่ติปรากฏบนริมฝีปากเขา
“ข้าไปหาเจ้าที่สำนักเวชโอสถหลังจากพบว่าเจ้าไม่ได้อยู่ที่นั่น ทั้งเจ้าก็ปลอดภัยดี ข้าก็เลยจัดการล่าพวกอาณาจักรวิญญาณมาตลอดทาง เจ้าคงจะไม่โทษข้าที่มาล่าช้าใช่หรือไม่ ?”
ลมหายใจอุ่นๆ ของชายคนนั้นปะทะลำคอของนาง ทั้งสายตาเว้าวอนนั้นเล่า ทำให้ไป๋หยานหรี่ตาลงเล็กน้อย
นางไม่ตอบตี้คังด้วยคำพูดทว่าตอบเขาด้วยรอยจูบแทน ตี้คังหรี่ตาก่อนที่จะตอบสนองด้วยการจูบที่ลึกซึ้ง ริมฝีปากของนางยกโค้งเป็นรอยยิ้มสดใส
ภายใต้ท้องฟ้าสีครามสายลมพัดพริ้ว อาภรณ์ของคนทั้งสองปลิวสะบัด
ภาพของคนทั้งสองที่กอดจูบกันช่างสวยสมบูรณ์ราวกับภาพวาดผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจึงไม่กล้าจะรบกวนพวกเขา ด้วยเกรงจะทำลายภาพอันงดงามนั้น !
*****
แขกจากสำนักต่างๆ ค่อย ๆ เดินทางมาถึงทีละสำนัก พวกเขาทยอยเข้ามาตลอดทั้งวัน ทำให้บรรยากาศของตำหนักเซียนพยับหมอกเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและอบอุ่น และเพื่อความปลอดภัย เหวินหวู่เหว่ยจึงส่งทหารยามออกลาดตะเวนอย่างสม่ำเสมอ เช่นนั้น บนถนนของตำหนักเซียนพยับหมอก จึงสามาถแลเห็นกลุ่มยามรักษาการณ์เดินผ่านไปผ่านมาตลอดเวลา
บรรยากาศงานรื่นเริงและมีชีวิตชีวาแสดงให้เห็นว่างานฉลองวันเกิดเริ่มต้นขึ้นแล้ว…
ตำหนักหลักประดับตบแต่งด้วยโคมไฟและดอกไม้หลากสี บรรดาสาวใช้และบ่าวรับใช้เดินไปเดินมาขวักไขว่
ในห้องโถงจัดเลี้ยงจุนเทียนเยว่นั่งถัดจากสามีพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข รอยยิ้มไม่เคยเลือนจากใบหน้าที่ปกติมักนิ่งสงบของนางเลย
“แขกผู้มีเกียรติทุกท่านข้ามีความสุขมากที่พวกท่านทุกคนมาพร้อมเพรียงกันในวันนี้เพื่อฉลองวันเกิดให้กับข้า เช่นที่พวกท่านทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่า ตอนนี้หยุนเฟิงบุตรชายของข้าเพิ่งพบกับบุตรสาวของเขาที่ถูกปกปิดไว้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ทำให้เขาไม่รู้ว่านางมีตัวตน”
คนในห้องจัดเลี้ยงต่างเงียบเสียงลงในบัดดลแม้ว่าพวกเขาจะรับรู้เรื่องที่เหวินหยุนเฟิงพบบุตรสาว ทว่าตำหนักเซียนพยับหมอกก็ปกปิดเป็นความลับ เช่นนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นใคร ?
“วันนี้ข้าขออาศัยโอกาสงานฉลองวันเกิดครั้งนี้ของข้า เปิดตัวหลานสาว และให้นางคำนับแนะนำตัวกับบรรพบุรุษของเรา” จากนั้นสายตาของจุนเทียนเยว่ก็กวาดไปทางไป๋หยานและบุตรชาย น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน
ฝูงชนต่างซุบซิบหันมองตากันบางคนถึงกับวางแผนในใจว่า หากบุตรสาวของเหวินหยุนเฟิงยังไม่มีคู่ พวกเขาอาจจะมีโอกาสพิชิตใจนาง
เมื่อถึงเวลานั้นเขาย่อมได้เป็นเจ้าตำหนัก แล้วตำหนักเซียนพยับหมอกก็ต้องเป็นของเขาตามธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม
ทันทีที่จุนเทียนเยว่กล่าวจบก็มีเสียงตบโต๊ะดังปัง
“เจ้าทั้งสองพูดเช่นนั้นหมายความว่าไง?” กำปั้นของไป๋ฉางเฟิ่งยังคงฝังในโต๊ะจนบุ๋ม
ไป๋ฉางเฟิ่งยังกำหมัดแน่นนัยน์ตาแดงก่ำ เขากล่าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าหมายความเช่นไร ? ข้าสู้อุตส่าห์ยอมให้หลานสาวของข้ายอมรับพวกเจ้า ก็นับว่าข้าใจดีมากแล้ว ทว่าตอนนี้เจ้ากลับต้องการให้นางเข้าสู่ตระกูลของเจ้าอีกกระนั้นหรือ ? ฝันไปเถอะ ! หลานสาวของข้าต้องใช้แซ่ “ไป๋” เท่านั้น !”
ปัง
เหวินหวู่เหว่ยก็โกรธขึ้นมาเช่นกันเขาตบโต๊ะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยไฟโทสะ
“ไป๋ฉางเฟิ่งเจ้าเป็นเพียงตาของนาง ในขณะที่ข้าเป็นปู่ของนาง แล้วข้าทำผิดอะไรเล่า ? หากเจ้าอยากได้ผู้สืบทอดแซ่ก็ให้ไป๋จั่นเผิงลูกเจ้ามีหลานให้เจ้าสักคนสิ !”
“ปู่แล้วไง? อย่าลืมสิว่าข้าพบหลานสาวของข้าก่อน นอกจากนี้หากมิใช่เพราะเจ้า บุตรสาวของข้าจะหายตัวไปงั้นหรือ ? นี่ยังไม่รู้เลยว่านางอยู่ที่ใด ? ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าก็ดีเท่าไหร่แล้ว ตอนนี้เจ้ายังมีหน้ามาขโมยหลานสาวของข้าอีกหรือ ? คิดว่าตาแก่อย่างข้าจะยอมง่าย ๆ งั้นรึ ?”
“เจ้า…”ได้ยินเช่นนั้น เหวินหวู่เหว่ยก็ชี้ไปที่ไป๋ฉางเฟิ่ง ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องของไป๋หนิงที่ยังหายตัวไป เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเขาไม่ใช่ฝ่ายผิด เช่นนั้นเขาจึงขบฟัน พลางพึมพำออกมาสองสามคำ “เจ้าไร้เหตุผลสิ้นดี !”
เปรียบเทียบกับชายชราทั้งสองที่ทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงแล้วชายชราจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับดื่มสุราอย่างสบายใจ และมองดูการแสดงดี ๆ นี้อย่างหน้าตาแช่มชื่น
***จบบทคนจากอาณาจักรวิญญาณ (1)***
บทที่ 907 : คนจากอาณาจักรวิญญาณ (2)
สำหรับผู้อาวุโสทั้งสามจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่สำคัญเลยว่านางจะเป็นผู้ใด อย่างไรเสียนางก็เป็นศิษย์รักของพวกเขาเสมอ ทั้งพวกเขาก็เป็นอาจารย์ของนางตลอดไป
“หยานเอ๋อ”
เจิ้งฉีและอาจารย์ที่เหลือต่างก็ยินดีในโชคชะตาของตนเองขณะนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากด้านข้าง
เสียงนั้นคือเสียงของอาวุโสจงหนานและน้องชายของเขาแห่งตำหนักเซียนพยับหมอก สายตาของอาจารย์ทั้งสามเปลี่ยนเป็นขุ่นเคือง
แน่นอนว่าในสายตาของอาจารย์ทั้งสาม ต่างก็คิดว่าอาจารย์สองพี่น้องนี่มีเจตนาไม่ดีนัก ทั้งที่มันไม่ใช่ความจริงเลย
“ในเมื่อท่านเจ้าตำหนักคือปู่ของเจ้าเหตุใดเจ้าถึงไม่พักอยู่ที่ตำหนักพยับหมอกเล่า ? เราสองพี่น้องก็มีเจ้าเป็นศิษย์ของเราเท่านั้น เราไม่อยากเห็นเจ้าจากไปที่ใด”
โว๊ะ!
ใบหน้าของฉิวชู่หรงเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเขียวจากสีเขียวเป็นสีขาว เขาควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ไม่ดีนัก เช่นนั้นเขาจึงคว่ำโต๊ะลงกับพื้นอย่างแรง
“ตำหนักเซียนพยับหมอกนี่ยังไง? เราอุตส่าห์ใจดีมาร่วมงานฉลองนี้ ทว่าตอนนี้พวกเจ้าพยายามที่จะขโมยศิษย์ของเรากระนั้นหรือ ? ” สายตาของอาจารย์สามเต็มไปด้วยความโกรธ เมื่อจ้องมองจงหนานและน้องชายของเขา
เหรินอี้เองก็เช่นกันเขาทำเสียงฮึดฮัดแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน “หากเจ้ามีนางเป็นศิษย์คนเดียว ก็ทำไมไม่พยายามหาศิษย์เพิ่มล่ะ ? ยิ่งไปกว่านั้น ใครมาก่อนย่อมได้ก่อน หยานเอ๋อรับเราเป็นอาจารย์ก่อน เจ้าก็ต้องเข้าแถวรอไป”
“พูดได้ไม่เลว”เจิ้งฉีเปลี่ยนทีท่าที่เคยเฉยเมย เขากำหมัดแน่น สีหน้ายังคงไร้อารมณ์ “หยานเอ๋อเป็นศิษย์ของพวกเรา หากนางจะอยู่ที่ใดสักแห่งก็ต้องเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเรา ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจะให้นางกับลูกอยู่ในตำหนักปุปะเช่นนี้น่ะนะ ? ขณะที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเรามอบเกาะศักดิ์สิทธิ์ให้นาง ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า อย่างไรเสียบรรยากาศในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ดีกว่าที่นี่มาก”
“……”
แขกที่มาร่วมงานต่างก็งุนงงสับสน
เหตุใดชายชราเหล่านี้ถึงได้มาวางมวยกันในงานวันเกิดเช่นนี้?
แล้ว…
บุตรสาวเหวินหยุนเฟิงก็คือไป๋หยานงั้นรึ ?
นี่มัน…
การแสดงออกของทุกคนแข็งทื่อไม่ต่างกับหิน
นางไม่เพียงแต่เป็นหลานสาวของไป๋ฉางเฟิ่งเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสามจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น หากแต่ยังเป็นบุตรสาวของเหวินหยุนเฟิงเป็นหลานสาวของเจ้าตำหนักเซียนพยับหมอกด้วยกระนั้นรึ ? นั่นแสดงว่าสำนักใหญ่ทั้งสามคอยหนุนหลังนางกระนั้นสิ !
ในแผ่นดินใหญ่นี้จะมีผู้ใดมีอำนาจเทียบกับนางได้?
ใบหน้าของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นสีดำเส้นเลือดสีน้ำเงินบนหน้าผากนางแทบจะระเบิด นางกำหมัดแน่น พยายามสูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อระงับโทสะ
ตรงกันข้ามตี้คังคงทำเหมือนไม่สนใจผู้ใด เขายังคงกินขนมเปี๊ยะบนโต๊ะเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ราวกับไม่เห็นสงครามระหว่างชายชราที่อยู่เบื้องหน้า และนั่นทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก
”พอได้แล้ว!”
ในที่สุดไป๋หยานก็ทนไม่ไหว นางตบโต๊ะพร้อมกับลุกขึ้น
ทำให้ห้องโถงทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบทันที
บนหน้าผากของนางยังมีเส้นเลือดปูดโปน“วันนี้เป็นวันเกิดของท่านย่า หากพวกท่านต้องการต่อสู้กัน ค่อยมาสู้กันวันพรุ่งนี้ และหากผู้ใดทำเสียงดังอีกก็ออกไปข้างนอก !”
แน่นอนว่าถ้อยคำของนางมีน้ำหนักมากพวกเขาจึงหยุด จากนั้นก็ก้าวถอยหลัง โดยพร้อมเพรียงกันราวกับเด็กว่านอนสอนง่าย
“หยานเอ๋อก่อนหน้านี้ข้าได้ปรึกษาเรื่องนี้กับท่านย่าของเจ้า เราต้องการใช้โอกาสในงานเลี้ยงนี้ เพื่อแนะนำเจ้ากับบรรพบุรุษ…” เหวินหวู่เหว่ยเอ่ยกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ไม่จำเป็นต้องแนะนำคำนับบรรพชนแต่อย่างใด”
“หลานรัก?” หลังจากได้ยินไป๋ฉางเฟิ่งก็รีบก้าวเข้ามาอย่างไว เขารีบเข้าไปดึงแขนเสื้อของหญิงสาวไว้ทันที
ไป๋หยานหันหน้าไปจ้องท่านตาของนางเขาจึงหยุดชะงัก
จากนั้นไป๋หยานก็หันไปมองปู่ของนาง“มันก็แค่…” “ ข้าเคยใช้แซ่ไป๋มานานแล้ว ทั้งข้าแน่ใจว่าบุตรชายของข้าก็คุ้นเคยกับมันเช่นกัน เช่นนั้นเราจะไม่เปลี่ยนแซ่”
***จบบทคนจากอาณาจักรวิญญาณ (2)***
บทที่ 908 : คนจากอาณาจักรวิญญาณ (3)
เมื่อได้ยินคำตอบดีๆ เช่นนี้ ไป๋ฉางเฟิ่งก็โล่งใจ เขายังไม่ลืมหันไปมองและทำหน้าเยาะเย้ยใส่เหวินหวู่เหว่ย
ฝ่ายเหวินหวู่เหว่ยเองเมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็อยากวิ่งไปตบหน้าชายชราให้รู้แล้วรู้รอด เสียดายก็แต่ตอนนี้อยู่ต่อหน้าไป๋หยาน แม้จะตะคอกใส่หน้าอีกฝ่ายเขาก็ยังไม่กล้าเลย
“เจ้าว่าไงก็ว่าตามนั้นข้าตามใจเจ้า” เหวินหวู่เหว่ยยิ้มประจบ ด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ
เพราะอย่างไรหากมิใช่เพราะเขา ตอนนั้นมารดาของไป๋หยานก็คงจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งไป๋หยานก็ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในบ้านสกุลไป๋ ส่วนไป๋หนิงก็ไม่ต้องหายตัวไปหลายปีเช่นนี้ …
ดังนั้นด้วยความผิดนี้ จึงทำให้เหวินหวู่เหว่ยพยายามเอาใจนางอย่างดีที่สุด
ไป๋ฉางเฟิ่งทำเสียงฮึดฮัด “หลานรัก อย่าใส่ใจตาเฒ่านี่เลย”
แม้ว่าไป๋หยานกับไป๋เสี่ยวเฉินจะให้อภัยไอ้แก่นี่ทว่าสำหรับเขาไม่มีทางให้อภัยได้
เขาไม่เคยลืมว่าเขาต้องใช้ชีวิตรันทดอย่างไรเมื่อบุตรสาวหายตัวไปเขายังจำได้ชัดเจนถึงภาพของภรรยาที่นอนอยู่บนเตียงขณะใกล้จะตาย นางยังจับมือของเขาร่ำไห้ขอร้องให้เขาตามหาไป๋หนิงให้พบ
เพราะไอ้ตำหนักเซียนพยับหมอกเฮงซวยนี่แหละที่ทำให้ฮูหยินของเขานอนตายตาไม่หลับ
และเพราะตำหนักเซียนพยับหมอกนี่แหละที่ทำให้หยานเอ๋อต้องพบความอยุติธรรมและอัปยศอดสูภายนอก
แล้วเขาจะให้อภัยไอ้เฒ่านี่ง่ายๆ ได้อย่างไร ?
แท้ที่จริงไป๋ฉางเฟิ่งไม่ได้ใส่ใจเรื่องแซ่ของไป๋หยานนักหรอก เพียงเขาไม่อยากให้เหวินหวู่เหว่ยสมหวังก็เท่านั้น ที่เขามางานวันเกิดครั้งนี้ก็เพราะไป๋หยาน และจุนเทียนเยว่เองก็ไม่มีความผิดใด ๆ เรื่องทั้งหมดมันเกิดจากเหวินหวู่เหว่ยคนเดียวเท่านั้น
ไป๋หยานเองก็ใช่จะไม่รู้ปมในใจของไป๋ฉางเฟิ่งนางจึงได้แต่ยิ้มขม ๆ บนใบหน้า
นางยอมรับเหวินหยุนเฟิงและจุนเทียนเยว่ทว่าสำหรับเหวินหวู่เหว่ยนางยังไม่อาจทำใจใกล้ชิดสนิทสนมได้เท่าไป๋ฉางเฟิ่งกับท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลาน
บางทีหากวันใดวันหนึ่งที่หาตัวไป๋หนิงพบ วันนั้นความสัมพันธ์ระหว่างตำหนักเซียนพยับหมอก และสำนักเวชโอสถอาจจะดีขึ้น
ไป๋หยานลดสายตาลงประกายแห่งความมั่นคงฉายวาบในดวงตาของนาง
ไม่ว่าหนทางไปสู่ดินแดนสวรรค์จะยากเย็นเพียงใดนางก็จะไม่ย่อท้อ
”ท่านเจ้าตำหนัก…”
ในที่สุดบรรดาแขกก็กลับมารู้สึกตัวพวกเขากลืนน้ำลาย และพยายามพูดออกมา “แม่นางไป๋เป็นบุตรสาวของเจ้าตำหนักน้อยหยุนเฟิงกระนั้นหรือ ?”
“ถูกต้องแล้วนางเป็นหลานสาวของข้า” เหวินหวู่เหว่ยเชิดคาง
แม้ไป๋หยานจะไม่เคยเรียกเขาว่าท่านปู่แม้สักครั้งเดียวทว่าอย่างไรเสีย พวกเราก็สายเลือดเดียวกัน เขายังมีเวลาทั้งชีวิตเพื่อแก้ไขปมในใจของนาง
แขกเหล่านี้ต่างก็คาดคะเนคำตอบไว้แล้วถ้อยคำของเหวินหวู่เหว่ยก็ยิ่งย้ำความมั่นใจ หลังจากได้รับคำตอบที่ชัดเจน ใบหน้าของพวกเขาก็ยิ่งขมขื่น
ยังจะมีผู้ใดไหนอีกที่กล้าคิดจะส่งลูกหลานหรือตัวเองมาเชื่อมสัมพันธ์โดยการสมรสกับตำหนักเซียนพยับหมอก?
ก็ในเมื่อนางคือ…ไป๋หยาน!
กล้ากว่านี้สักร้อยเท่าก็ไม่กล้าคิดเรื่องนางแน่
ยิ่งเมื่อมองไปยังบุรุษเรือนผมสีเงินที่นั่งข้างกายไป๋หยานพวกเขาก็กลัวจนตัวสั่น รีบหลบสายตากันเป็นแถบ ทั้งไม่กล้ามองนางอีกต่อไป !
“เจ้าตำหนักเจ้าตำหนัก !”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงร้อนรนดังมาจากด้านนอกประตู
ทำให้เหวินหวู่เหว่ยและคนอื่นๆ หันมองตาม แล้วพวกเขาก็เห็นยามคนหนึ่งรีบร้อนเข้ามา กระทั่งล้มลงกับพื้นที่หน้าประตู ยามผู้นั้นลนลานคลานมาข้าง ๆ เหวินหวู่เหว่ยเพื่อรายงาน
“มีคนมาหาท่านเจ้าตำหนักชายคนนั้นอ้างว่ามาจากอาณาจักรวิญญาณ เป็นไปได้ว่าเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่โจมตีเราครั้งก่อน”
สมาชิกของสำนักใหญ่ทั้งสามต่างตกใจกับข่าวนี้ทั้งหมดลุกขึ้นยืนทันที
สำหรับแขกคนอื่นต่างก็มองหน้ากันไปมาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เพราะเรื่องที่สามสำนักใหญ่โดนโจมตีกระทั่งเสียหายหนักนั้นนอกจากคนในสำนักทั้งสาม พวกเขาก็ไม่ได้เปิดเผยให้สาธารณะชนคนอื่นในโลกนี้รับรู้
***จบบทคนจากอาณาจักรวิญญาณ (3)***
บทที่ 909 : คนจากอาณาจักรวิญญาณ (4)
ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินยามรายงาน พวกแขกก็ซุบซิบพูดคุยเรื่องนี้กัน
“อาจารย์ใหญ่อาจารย์รอง อาจารย์สาม” ไป๋หยานกล่าว แววตาของนางส่องประกายแสงเย็นยะเยือก “หากเกิดการต่อสู้กัน ข้าต้องการให้พวกท่านช่วยข้าปกป้องบ้านสกุลหลาน”
“ศิษย์รัก…” เจิ้งฉีขมวดคิ้ว ทว่าหลังจากเห็นสีหน้าแน่วแน่ของนาง เขาก็ถอนหายใจ “เอาล่ะเราจะปกป้องสมาชิกของบ้านสกุลหลาน จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขาเป็นแน่ !”
หลังจากเจิ้งฉีกล่าวจบเสียงหัวเราะคิกคักเบา ๆ ก็ดังทะลุผ่านประตูเข้ามา แม้เสียงนั้นจะเบาบาง ทว่าเหมือนกับเสียงที่มีเวทมนตร์ขลังสามารถทะลุทะลวงผ่านแก้วหูทุกคน ก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดจนสีหน้าของพวกเขาแลดูน่าเกลียดมาก
ครั้นไป๋หยานแลเห็นใบหน้าซีดขาวของสมาชิกบ้านสกุลหลานและคนอื่นๆ นางก็รีบไปที่สมาชิกตระกูลหลาน เพื่อมอบขวดยาให้แก่พวกเขา
“ท่านตาแจกยาเม็ดเหล่านี้ให้แก่ทุกคนในครอบครัวของเรา หลังจากกินยานี่แล้ว การกระทำใด ๆ ของพวกเขาก็จะไม่ส่งผลอะไรกับบ้านสกุลหลานของเรา”
ยาที่นางแจกให้นั้นสามารถทำให้ผู้กินต้านทานแรงกดดันได้ในระดับหนึ่งนั่นน่าจะเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้คนบ้านสกุลหลานบางคนที่อ่อนแอเป็นลมหรือล้มตายง่าย ๆ
“ศัตรูพวกนี้แข็งแกร่งมากถึงเพียงนั้นเลยหรือ?” ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานทำหน้านิ่วคิ้วขมวด รับขวดยามาเทกินอย่างไม่เกรงใจ
“ไม่ต้องกังวลท่านตาข้ารับมือเองได้”
หลังจากไป๋หยานมอบยาให้ชายชรานางก็เดินมาอยู่ตรงกลางห้องโถง
ชั่วขณะนั้นทั่วทั้งห้องโถงพลันเงียบสงบลงอีกครั้ง
ในความเงียบสงบนี้จู่ ๆ ฝนดอกไม้ก็โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า หล่นลงมาปกคลุมทั่วทั้งพื้นดิน
ท่ามกลางดอกไม้ที่ร่วงหล่นลงมาหญิงสาวผู้หนึ่งสวมอาภรณ์สีขาวร่อนลงมาจากท้องฟ้า ราวกับเทพธิดา นางสวย งามสง่า แลดูบริสุทธิ์ ด้านหลังนางมีสาวใช้ในชุดขาวคล้าย ๆ กันจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ….
“ดูเหมือนว่าสมาชิกของสำนักใหญ่ทั้งสามตำหนักเซียนพยับหมอก ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และสำนักเวชโอสถ จะมารวมตัวกันที่นี่แล้ว”
เสียงของหญิงสาวนางนั้นช่างเต็มไปด้วยความภาคภูมิเส้นผมดำขลับราวไหมสะบัดพลิ้วล้อลม เรือนผมของนางประดับด้วยขนนกสีขาว ยิ่งบริสุทธิ์และสวยงามกว่าดอกบัวขาว
“เจ้าคือพวกเดียวกับคนที่เคยมาสร้างปัญหาที่นี่หรือไม่?” ใบหน้าของเหวินหวู่เหว่ยเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดันสีหน้าเคร่งเครียด
หญิงสาวในอาภรณ์สีขาวหัวเราะขันๆ “เจ้าหมายถึงพวกตระกูลหวู่งั้นหรือ? พวกเขาเป็นเพียงสุนัขรับใช้ข้า ข้าหลิวชิงหยูไม่สนใจสุนัขพวกนั้นหรอก”
“แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไม?”
“ก็ไม่มีอะไรพิเศษที่ข้ามาเพราะ ข้าต้องการสถานที่สามแห่งเท่านั้น ตำหนักหลักของตำหนักเซียนพยับหมอก เกาะศักดิ์สิท์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และประตูสำนักเวชโอสถ
เกาะศักดิ์สิทธิ์?
ไป๋หยานหรี่ตาลงเล็กน้อยเกาะศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องอะไรกับอาณาจักรวิญญาณ ?
ยิ่งไปกว่านั้นเหวินหวู่เหว่ยก็เปรยว่ามีบางเรื่องที่จะบอกนางเกี่ยวกับสามสำนักใหญ่ ทว่าต้องรอให้คนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับสำนักเวชโอสถมาถึงที่นี่เสียก่อน
เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับสำนักใหญ่ทั้งสามแห่งใช่หรือไม่?
ฉู่หรานไม่แสดงท่าทีใดๆ นับแต่ต้นตนกระทั่งถึงยามนี้ ไม่ว่าผู้ใดจะทะเลาะกันอย่างไร ยามนี้ เขาจิบน้ำชาจากถ้วยในมือ ใบหน้าหล่อเหลาของเขายังคงแลดูไร้อารมณ์
“ไม่สำคัญว่าเจ้าจะตัดสินใจยังไงหากแต่ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าสามวันในการตัดสินใจและให้คำตอบข้า หาไม่อย่าหาว่าพวกเราอาณาจักรวิญญาณไม่มีน้ำใจ”
สตรีในอาภรณ์สีขาวสะบัดแขนเสื้อขณะบอกคนข้างหลังของนางพร้อมรอยยิ้ม
“ไปกันเถอะ”
“ช้าก่อน!”
น้ำเสียงดุดันหยุดพวกเขากลางครัน
หลิวชิงหยูหันกลับมาอย่างเฉยเมยนางมองไป๋หยานพร้อมรอยยิ้ม
“แม่นาง…ผู้นี้เจ้ามีปัญหาใดงั้นหรือ ? หรือว่าเวลาสามวันไม่นานพอใช่หรือไม่ ?”
“ไม่…ข้าต้องการแจ้งให้เจ้าทราบเพียงว่าตำหนักเซียนพยับหมอกนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าอยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป” ไป๋หยานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เมื่อเจ้ามาถึงที่นี่ เจ้าก็ไม่อาจกลับไปได้ง่าย ๆ !”
***จบบทคนจากอาณาจักรวิญญาณ (4)***
บทที่ 910 : คนจากอาณาจักรวิญญาณ (5)
หลิวชิงหยูผงะนิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนจะย่นคิ้วพลางเอ่ยถามว่า “นี่เจ้ากำลังพูดกับข้างั้นหรือ ?”
นับตั้งแต่แดนอสูรถูกผนึกก็เท่ากับแดนวิญญาณก็ถูกปิดกั้นทางเข้าออกสู่โลกภายนอกไปด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีปรากฏผู้คนของอาณาจักรวิญญาณนานหลายปี ทว่าการที่ในวันนี้คนในโลกภายนอกเย่อหยิ่งยโสถึงเพียงนี้นับเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของนางเป็นอย่างมาก
“เจ้ารู้จักเหอฉูฉู่หรือไม่?”
ไป๋หยานเอ่ยถามด้วยท่าทีสงบไม่แยแส
“เจ้ารู้หรือว่าเหอฉูฉู่อยู่ที่ใด?”
“แน่นอนข้าย่อมรู้” ไป๋หยานกล่าวพร้อมรอยยิ้มเยาะ “เมื่อไม่นานมานี้ ผนึกในแดนอสูรถูกทำลายเช่นนั้นอาณาจักรวิญญาณของเจ้าจึงผ่านมาสู่โลกภายนอกได้ และเหอฉูฉู่ก็นำกลุ่มคนของนางมาโจมตีอาณาจักรอสูร ทั้งนางก็ยังต้องการปราบสวามีของข้าให้ได้ นางต้องการทำให้เขาเชื่อง ทว่าน่าเสียดาย สุดท้ายนางก็ถูกสวามีของข้าฝังดินไปกับมือ”
การที่ไป๋หยานเรียกตี้คังว่า’สวามี’ มันช่างระรื่นหูราชาอสูรยิ่งนัก กระทั่งนิ้วเรียวยาวของเขาที่กำลังถือถ้วยสุรากระตุก สุราใส ๆ กระฉอกหกลงบนโต๊ะ ดีที่ไม่มีผู้ใดเห็น
นี่หากพวกเขาอยู่ในห้องนอนเขาจะกระโดดคร่อมร่างนาง บรรเลงเพลงรักในทันที ! ทว่าน่าเสียดายเวลานี้มิใช่โอกาสที่เหมาะสมนัก
และเขาก็ต้องการจะดูว่าภรรยาที่น่ารักของเขาจะจัดการกับคนจากอาณาจักรวิญญาณพวกนี้เช่นไร…?
ข่าวนี้ทำให้สีหน้าของหลิวชิงหยูมืดมนลงทันทีแม้ว่านางกับเหอฉูฉู่จะไม่ถูกกันสักเท่าไร ทว่าอย่างไรเสียเหอฉูฉู่ก็เป็นน้องสาวของนาง !
เป็นเพราะนางเป็นลูกติดแม่นางจึงไม่ได้ใช้แซ่เหอเหมือนเหอฉูฉู่
“เจ้าต้องการบอกอะไรข้า?” สตรีในอาภรณ์สีขาวหรี่ตาลง ประกายวาววับปรากฏในแววตา
“โอ้…ข้าเพียงอยากจะถามเจ้าว่าเจ้าอยู่ในระดับเฉินเจี่ยใช่หรือไม่ ?” ไป๋หยานถูคางของนางด้วยท่าทางไตร่ตรอง พลางยิ้มให้หลิวชิงหยู
หลิวชิงหยูหัวเราะเยาะเบาๆ ในน้ำเสียงของนาง “เจ้าคิดว่าระดับเฉินเจี่ยนั้นสามารถเข้าถึงได้ง่าย ๆ กระนั้นหรือ ? เหตุใดผู้คนที่มาจากอาณาจักรสวรรค์ถึงได้หยิ่งยโสนัก นั่นเป็นเพราะพวกเขามีสถานที่ฝึกฝนที่สามารถบุกทะลวงผ่านไปยังระดับเฉินเจี่ยได้ไงล่ะ”
ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรอสูรหรืออาณาจักรวิญญาณพวกเขาล้วนแล้วแต่มีปัญหาในการบุกทะลวงไปถึงระดับนั้นมาหลายพันปีแล้ว
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า
ในอาณาจักรอสูรหลังจากสงครามครั้งใหญ่ครานั้น ยอดฝีมือที่บรรลุถึงระดับเฉินเจี่ยต่างก็ตายสิ้น เหลือเพียงผู้อาวุโสใหญ่ และท่านราชครูเท่านั้น ทั้งในช่วงเวลาหลายพันปีที่ผ่านมาก็ไม่มีผู้ใดบรรลุถึงขั้นนั้นได้อีก
ทว่าสำหรับอาณาจักรวิญญาณนั้นแตกต่าง… พวกเขาอาจได้รับผลกระทบบ้างจากสงครามระหว่างอาณาจักรสวรรค์กับอาณาจักรอสูร ทว่าพวกเขายังคงเหลือยอดฝีมือที่ทรงพลังอยู่ไม่น้อย
เห็นได้จากผู้ที่ไปโจมตีอาณาจักรอสูรพวกนั้นอยู่ในระดับเฉินเจี่ย ทั้งอายุของคนเหล่านั้นก็ไม่เกินพันปีแน่ ๆ
นั่นอาจเป็นเช่นเดียวกับแดนอสูรอาณาจักรวิญญาณก็มีสถานที่ลับเพื่อฝึกฝน ? และสถานที่ลับนั้นก็มีพลังเพียงพอให้บรรลุถึงขั้นเฉินเจี่ยได้
ขณะที่ไป๋หยานยังคงครุ่นคิดเสียงของหลิวชิงหยูก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าพูดจบแล้วใช่หรือไม่ ?”
“อืม”ไป๋หยานยิ้ม “ในเมื่อเจ้ายังไม่ถึงระดับเฉินเจี่ย เช่นนั้นก็จัดการง่ายหน่อย”
ว่าไงนะ?
หลิวชิงหยูนิ่งอึ้งนางมองไป๋หยานด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนนางจะไม่เข้าใจสิ่งที่ไป๋หยานพูด
“หยานเอ๋อ!”
ไป๋ฉางเฟิ่งและเหวินหวู่เหว่ยต่างก็ตกตะลึงพวกเขาเข้าใจว่าหลานเขามีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากจากครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพบกัน หากแต่พวกเขาก็เห็นเต็มตาว่าสตรีที่อยู่เบื้องหน้า สตรีซึ่งเป็นศัตรูกับพวกเขานั้นก็แข็งแกร่งไม่ต่างจากผู้มาบุกรุกสำนักของเขาเลย คนพวกนี้มีระดับฝีมือสูงมาก …
ทว่าไป๋หยานเหมือนไม่ได้ยินเสียงเรียกของพวกเขานางเหยียดตัวยืดร่างของนางขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะหงายมือหนามแหลม ๆ พลันปรากฏขึ้นในมือ
สิ่งที่นางเอาออกมาก็คือกระโดงมังกรที่ทำร้ายนางในระหว่างการฝึกฝนอันยาวนานในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ทันใดนั้นอุณหภูมิของห้องก็ลดลงจนเย็นยะเยือก ทำให้ทุกคนรู้สึกราวอยู่ในห้องใต้ดิน
ตี้คังกำถ้วยสุราแน่นนัยน์ตาเรียวคมเปล่งประกายวาววับยามจับจ้องมองกระดูกหนามมังกรในมือไป๋หยาน
กระดูกหนามมังกรของมังกรหลังกระโดงไม่คาดคิดว่าหยานเอ๋อจะมีของสิ่งนี้ในมือด้วย ?
***จบบทคนจากอาณาจักรวิญญาณ (5)***