จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 931 -935
บทที่ 931 : จิ้งจอก (2)
ไป๋หยานกอดไป๋เสี่ยวเฉินไว้ในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกปวดร้าวใจ
”เฉินเอ๋อแม่สัญญาว่า หลังจากที่แม่พบท่านน้าของเจ้าแล้ว แม่จะรีบกลับไปที่แดนอสูร รอคอยเจ้าออกมาจากดินแดนลับ ดีหรือไม่ ?”
”จริงนะ?” นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวเฉินสว่างไสวขึ้น เขามองไป๋หยานด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
”จริงสิหากเจ้าไม่เชื่อ แม่จะเกี่ยวก้อยสัญญากับเจ้าก็ยังได้”
”หม่ามี้เฉินเอ๋อไม่ใช่เด็กสามขวบ วิธีหลอกเด็กแบบนี้ใช้กับเฉินเอ๋อไม่ได้หรอก”
ใบหน้าของไป๋หยานแลดูเคอะเขินเล็กน้อยใช่…เขาไม่ใช่เด็กสามขวบอีกต่อไปก็เขาเกือบเจ็ดขวบแล้วนี่ !
”แต่…”ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาของไป๋เสี่ยวเฉินยังคงแสดงรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา และน่ารัก “เฉินเอ๋อจะเชื่อทุกสิ่งที่หม่ามี้บอก หลังจากพบท่านน้าแล้วหม่ามี้ต้องไปรอเฉินเอ๋อในแดนอสูรนะ เฉินเอ๋อต้องการเห็นหม่ามี้ก่อนใคร เฉินเอ๋อไม่อยากเห็นป๊ะป๋าวายร้ายเป็นคนแรกหลังจากออกมาจากดินแดนลับ”
ใบหน้าที่งดงามของตี้คังเปลี่ยนเป็นดำคล้ำในฐานะบิดาเด็กคนนี้ไม่ชอบเขาถึงเพียงนี้เลยหรือ ?
ไป๋หยานกอดเจ้าซาลาเปาน้อยในอ้อมแขนแน่นราวกับว่านางต้องการระบายความห่วงใยทั้งหมดจากการพรากจากกันครั้งนี้
ซาลาเปาน้อยหายใจไม่ออกอยู่ในอ้อมแขนของนางทว่าเขาก็เข้าใจ และไม่ได้กล่าวคำใดออกมา ปล่อยให้ไป๋หยานกอดเขาไว้ในอ้อมแขน
”เฉินเอ๋อ”
หลังจากนั้นไม่นานไป๋หยานก็ปล่อยตัวซาลาเปาน้อยในอ้อมแขน “ไปเถอะ แต่อย่าลืมว่าหลังจากเข้าสู่ดินแดนลับแล้วเจ้าต้องระวังตัวทุกฝีก้าว”
”เฉินเอ๋อเข้าใจ”ไป๋เสี่ยวเฉินหอมแก้มไป๋หยาน รอยยิ้มของเขาสดใส “เฉินเอ๋อจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน เพราะ … เฉินเอ๋อต้องมีชีวิตอยู่ เพื่อปกป้องหม่ามี้จากอันตรายทั้งปวง”
หัวใจของไป๋หยานกระตุกวูบบุตรชายของนางช่างฉลาดเฉลียวยิ่งนัก และนั่นก็ยิ่งทำให้นางเป็นทุกข์ เพราะหากนางในฐานะมารดาของเขา เข้มแข็งขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย เจ้าตัวเล็กคงไม่ต้องทำงานหนัก เพื่อพัฒนาตนเองเช่นนี้
ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นแค่คนไร้ประโยชน์ !
ไป๋หยานกำหมัดแน่นใบหน้าที่สวยงามของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรเทพหรืออาณาจักรวิญญาณ…
นางยินดีต่อสู้เพียงเพื่อให้เฉินเอ๋อมีชีวิตที่สงบสุข
จู่ๆ ตี้คังก็ดึงไป๋หยานเข้าสู่อ้อมแขนอย่างแรง ริมฝีปากสีแดงของตี้คังกดจูบริมฝีปากเย็น ๆ ของนาง
”หยานเอ๋อเจ้าก็อย่าได้คิดถึงข้ามากนักล่ะ แล้วข้าจะรีบตามไปหาเจ้า”
ใบหน้าของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นดำคล้ำดูเหมือนนางไม่ได้บอกว่านางคิดถึงเขาสักหน่อย …
หลังจากนั้นไม่นานตี้คังก็ถอนริมฝีปากสีแดงของเขาออกเขาจับมือเจ้าซาลาเปาน้อย ขณะเดียวกันก็เหลือบมองสตรีที่เขาหลงรักมาก ก่อนจะบ่ายหน้าออกไปนอกบ้าน
ไป๋เสี่ยวเฉินเหลียวกลับมามองสามครั้งสามครา นัยน์ตาดำขลับของเขาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เขาจ้องมองไป๋หยานอย่างไม่เต็มใจนัก
กระทั่งเขาเดินออกไปนอกประตูนัยน์ตากลมโตของเขาก็ยังคงจับจ้องอยู่แต่ไป๋หยาน
ด้วยการแสดงออกที่น่าเวทนาเช่นนั้นไป๋หยานแทบทนไม่ไหว นางแทบไม่อาจพรากจากเขา …
”ราชินี”
น้ำเสียงอ่อนโยนดังมาจากด้านหลังทำให้ไป๋หยานยับยั้งความรู้สึกภายในใจตน
ครั้นหันไปมองนางก็เห็นใบหน้าสีชมพูน่ารัก
เด็กหญิงตัวน้อยกระพริบนัยน์ตากลมโตความสงสัยปรากฏบนใบหน้าที่บอบบาง และอ่อนโยนของนาง
“ราชากับองค์ชายจะไปที่ใดกัน?”
“พวกเขามีเรื่องต้องทำเสี่ยวหลงเอ๋อ ยามนี้เจ้าต้องอยู่เคียงข้างข้า”
”ได้สิ”
เสี่ยวหลงเอ๋อส่งยิ้มสดใสไร้เดียงสานางจับแขนเสื้อไป๋หยานพลางกล่าว “ราชินี…ยามที่ราชาอยู่กับท่าน เขาน่ากลัวมากเลย หลงเอ๋อไม่เคยกล้าเข้าใกล้ราชินีเลย … ”
ไป๋หยานเลิกคิ้วตี้คังน่ากลัวมากเลยงั้นหรือ ? เหตุใดนางถึงไม่รู้สึกเลยล่ะ ?
นับแต่พบกันครั้งแรกชายคนนี้ก็เป็นเพียงเสือกระดาษ เขาไม่เคยทำอะไรนางเลย …
***จบบทจิ้งจอก (2)***
บทที่ 932 : จิ้งจอก (3)
“ไม่ต้องกลัวเขาหรอกหลงเอ๋อเขาเพียงชอบทำให้ผู้คนหวาดกลัว ทว่าเขาจะไม่ทำร้ายเจ้า” ไป๋หยานลูบศีรษะเสี่ยวหลงเอ๋อ พลางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
นัยน์ตากลมโตของเสี่ยวหลงเอ๋อเต็มไปด้วยรอยยิ้ม”ราชินี…หลงเอ๋อชอบท่าน เช่นนั้น … แม้ว่าราชาจะน่ากลัวมาก แต่หลงเอ๋อก็จะไม่จากไปไหน”
ในแดนอสูรดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดที่ไม่กลัวตี้คัง
แน่นอนว่าที่พวกเขากลัวไม่ใช่เพราะตี้คังไปทำอะไรพวกเขา หากแต่กลิ่นอายของเขาแข็งแกร่งเกินไป มันแข็งแกร่งมาก … กระทั่งทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว
“หลงเอ๋อเราไปกันเถอะ”
ไป๋หยานจับมือของเสี่ยวหลงเอ๋อพลางยิ้ม
หลงเอ๋อกระพริบตาด้วยความงุนงง”ราชินีไม่บอกลาคนอื่น ๆ ก่อนหรือ ?”
”ไม่…ข้าไม่ชอบฉากการแยกจากกันข้าฝากจดหมายไว้ให้พวกเขาแล้ว พวกเขาจะรู้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเปิดอ่าน”
ไป๋หยานหันหน้าไปมองทางลานบ้านจากนั้นก็ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะพาเสี่ยวหลงเอ๋อก้าวไปที่ประตูอย่างช้า ๆ
”หลงเอ๋อต่อไปเจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าราชินีนะ”
”อืม”เสี่ยวหลงเอ๋อรับคำอย่างว่าง่าย “แล้วจะให้หลงเอ๋อเรียกท่านว่าอะไร ?”
”เจ้า… ” ไป๋หยานครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เจ้าก็ไม่ต่างกับเฉินเอ๋อ เรียกข้าว่าท่านแม่ เพราะตั้งแต่วันที่ข้ารับเลี้ยงเจ้า ข้าก็ถือเสมือนเจ้าเป็นลูกสาวคนหนึ่ง”
ร่างของเสี่ยวหลงเอ๋อแข็งทื่อนางกำหมัดเล็ก ๆ ของนางอย่างประหม่า ก่อนจะลดศีรษะลงเล็กน้อย และนิ่งเงียบ
ไป๋หยานตระหนักได้ถึงอารมณ์ของเด็กน้อยนางหยุดและหันไปมองเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ข้างกายนางพลางเอ่ยถามว่า “มีอะไรหรือ ?”
“ท่านแม่คนก่อนของข้าทำร้ายข้ามามาก” เสี่ยวหลงเอ๋อเม้มริมฝีปาก น้ำตาเอ่อจนนัยน์ตาพร่ามัว “เพราะข้าพัฒนาการช้า นางจึงมักเรียกข้าว่าคนงี่เง่า แต่เป็นเพราะราชินีเอ็นดูข้า รับข้ามาอยู่เคียงข้างท่าน ทำให้ข้ามีพัฒนาการดีขึ้น”
นางเคยโง่นางจึงไม่เข้าใจเรื่องน่าเศร้านี้ ตอนนี้สติปัญญาของนางพัฒนาขึ้นมากแล้ว นางจึงเข้าใจทุกอย่างได้โดยธรรมชาติ
เช่นนั้นความคับแค้นใจจึงระเบิดออกมา สองมือเล็ก ๆ คว้าจับไป๋หยานแน่น นางซุกศีรษะเล็ก ๆ ของนางไว้กับหน้าอกของไป๋หยาน พลางร้องไห้
”ราชินี…ข้าเรียกท่านว่าแม่ได้จริงๆ หรือ ? ต่อไปข้าจะเป็นลูกที่แม่รักใช่ไหม ? ที่จริงแล้วข้าเป็นเด็กดีมากนะ ข้าเป็นเด็กดีจริง ๆ นะ…”
หัวใจของไป๋หยานเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อยเด็กตัวน้อยคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ?
“หลงเอ๋อ…นับจากวันนี้ไปข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้รับความอยุติธรรมอีก เฉินเอ๋อจะปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะน้องสาวคนหนึ่ง” ไป๋หยานก้มตัวลง แววตาของนางอ่อนโยนราวสายลมในฤดูใบไม้ผลิ “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกด้อยค่า จะไม่มีผู้ใดทำร้ายเจ้าได้อีก”
”อ๋อ”
เสี่ยวหลงเอ๋อพยักหน้าหงึกๆ ใบหน้าเล็ก ๆ ที่สวยงามของนางเผยรอยยิ้มสดใส “จากนี้ไป ข้าก็จะเป็นลูกที่มีแม่ที่รักข้าแล้ว”
”เราไปกันเถอะ”
ไป๋หยานอุ้มเสี่ยวหลงเอ๋อก้าวออกจากบ้าน นางมองเด็กหญิงตัวน้อยที่ฝังศีรษะไว้บนไหล่ของนางเป็นครั้งคราว มุมปากของไป๋หยานพลันขยับยกขึ้นเล็กน้อย
เด็กน้อยคนนี้สวยมากเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่สวยที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมา ทั้งยังฉลาดเฉลียวและเชื่อฟัง การมีบุตรสาวเช่นนี้นับว่าโชคดีจริง ๆ…
*****
เขตแดนระหว่างแดนอสูรและแดนสวรรค์เป็นเขตสงคราม
สามารถอธิบายได้ว่าไม่มีพื้นที่แม้สักตารางนิ้วเดียวที่ไม่มีคนตาย เห็นได้ชัดว่าพื้นที่นี้ได้รับผลรุนแรงจากสงครามเพียงไร ?
พรมแดนนั้นตัดกันระหว่างสองโลกเช่นนั้นในสถานที่แห่งนี้จึงมักมีสงครามปะทุอยู่เนือง ๆ
และในบรรดาผู้ที่อยู่ในแดนสวรรค์ก็มีผู้ที่มีความแข็งแกร่งน้อยอยู่เช่นกัน เพราะในแดนสวรรค์ทุกคนต่างก็ต้องเติบโตจากจุดเริ่มต้น หาใช่มีความแข็งแกร่งระดับเทพมาตั้งแต่เกิดไม่
***จบบทจิ้งจอก (3)***
บทที่ 933 : จิ้งจอก (4)
แต่เนื่องจากทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ของแดนสวรรค์และพลังฉีแท้ที่มีอยู่มากมาย ผู้ที่ฝึกฝนในแดนสวรรค์จึงพัฒนาได้ไวกว่าคนอาณาจักรอื่น ๆ
แน่นอนว่าก่อนที่ผนึกของแดนอสูรจะพังทลาย เขตพื้นที่อันแห้งแล้งนี้ก็ยังคงเป็นสถานที่ซึ่งคนแดนสวรรค์นั้นแสนจะภาคภูมิใจในความทรงพลังของตนเอง ทว่าพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะก้าวย่างเข้ามาเหยียบเยือนสถานที่แห่งนี้แต่ต้นอยู่แล้ว
ภายในร้านอาหาร
ทุกคนต่างสนทนาเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนทว่าพวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงมุมของร้านอาหาร
หญิงสาวชุดแดงนั่งอยู่ที่มุมห้องอย่างเฉยเมยนัยน์ตาดำขลับที่สดใสและลึกล้ำราวกับดวงดาวของนางกำลังจับจ้องถ้วยชาในมือ นางนั่งฟังการสนทนาของผู้คนในร้านอาหารอย่างเงียบ ๆ
หญิงผู้นั้นนั่งอยู่ตรงข้ามเด็กหญิงตัวเล็กๆ น่ารักและสวยงาม เด็กหญิงมีนัยน์ตากลมโต ขนตาของนางหนาคลี่ขยายไม่ต่างกับพัด ริมฝีปากของนางเป็นสีแดงเชอร์รี่ ใบหน้าขาวอมชมพูของนางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เด็กน้อยกำลังมองผู้คนในห้องโถงของร้านอาหารนางยกมือขึ้นเท้าคางพลางกระพริบนัยน์ตากลมโตเบา ๆ
“นับแต่ผนึกแดนอสูรแตกสัตว์อสูรก็ออกมา ผู้คนในแดนสวรรค์ต่างก็เพิกเฉยใส่เรา ส่งผลให้เมืองชายแดนแห่งนี้ราวกับถูกสัตว์อสูรครอบงำ”
“เฮ้ย!…เพราะคนของเราอ่อนแอเกินไป เลยถูกไล่ต้อนมาที่ชายแดน ส่วนบรรดาคนใหญ่คนโตในแดนสวรรค์ก็ไม่ยอมให้เราไปที่แผ่นดินใหญ่ พวกเขาเพียงแต่ปล่อยทิ้งให้เราตายเองที่นี่ ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้แล้ว พวกแดนสวรรค์ก็ไม่สนใจสิ่งใดอีก ข้าล่ะไม่แปลกใจเลย หากวันหน้าแดนอสูรจะได้ปกครองแดนสวรรค์”
แม้ว่าความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้จะไม่เพียงพอที่จะอยู่ในแดนสวรรค์ทว่าคนเหล่านี้ก็นับได้ว่าเป็นคนแดนสวรรค์เช่นกัน เพียงแต่อยู่ในระดับต่ำสุด หากพวกเขาถูกปลดปล่อยไปยังแดนมนุษย์ พวกเขาก็จะกลายเป็นภัยพิบัติใหญ่หลวงได้
“ฟุ่บ”ณ มุมหนึ่งของห้อง หญิงสาวในอาภรณ์สีแดงลุกขึ้นยืน นางหยิบเงินขึ้นมาวางบนโต๊ะ จากนั้นก็จับมือของเสี่ยวหลงเอ๋อ
“หลงเอ๋อเราไปกันเถอะ”
เสี่ยวหลงเอ๋อเดินตามไป๋หยานอย่างว่าง่ายครั้นเดินออกจากร้านอาหารมาได้ นัยน์ตากลมโตของนางเต็มก็ไปด้วยความสงสัย นางหันกลับมาถามว่า “ท่านแม่…เราจะไปที่ไหนกัน ?”
“เมื่อครู่คนพวกนั้นบอกว่าสัตว์อสูรในเมืองนี้มีกองกำลังของตนเอง เราจะไปหาสัตว์อสูรเหล่านั้น เพื่อให้ช่วยเหลือเรา ด้วยความร่วมมือของสัตว์อสูรเหล่านั้น เราอาจจะพบเซียวเอ๋อได้เร็วขึ้น”
“ท่านแม่ท่านน้าอยู่ที่นี่จริง ๆ หรือ ?”
เสี่ยวหลงเอ๋อกัดนิ้วเล็กๆ ของนางเบา ๆ เอ่ยถามตรง ๆ อย่างน่าเอ็นดูและใสซื่อ
“แม่ก็ไม่รู้แต่ตามข่าวที่แม่ได้ยินมา เซียวเอ๋อน่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก … “
ไป๋หยานยิ้ม“ไม่ว่าอย่างไร แม่ก็ต้องลองเสี่ยงดู บางทีเซียวเอ๋ออาจปรากฏตัวที่ชายแดนนี้จริงก็เป็นได้”
“จริงสิ…”จู่ ๆ ไป๋หยานก็กระพริบตา “เสี่ยวหลงเอ๋อเจ้าเองก็เป็นสัตว์อสูร เจ้าค้นหาได้หรือไม่ว่า ในเมืองนี้มีกลิ่นอายของสัตว์อสูรอยู่ที่ใดบ้าง ?”
สถานที่ที่ซึ่งมีสัตว์อสูรจำนวนมากมารวมตัวกันย่อมต้องเป็นกองกำลังของสัตว์อสูร
“ได้”
เสี่ยวหลงเอ๋อตอบรับชั่วขณะนั้นนางก็สูดจมูกเล็กน้อย พลางเหลียวมองไปรอบ ๆ ท้ายที่สุดก็ชี้ไปทางทิศตะวันออก
“ท่านแม่มีสัตว์อสูรมากมายอยู่ที่นั่นและ…น่าที่จะเป็นเผ่าจิ้งจอก”
จิ้งจอก?
นัยน์ตาของไป๋หยานสว่างไสวขึ้น“ถ้าเป็นเผ่าจิ้งจอกก็ยิ่งง่ายสิ หลงเอ๋อ…ไปกันเถอะ”
ทางทิศตะวันออกของเมืองชายแดนมีคฤหาสน์ทรงโบราณถูกสร้างขึ้นที่นี่ และมีแผ่นโลหะสีทองแขวนอยู่ที่ด้านบนสุดของคฤหาสน์ บนแผ่นโลหะมีรูปสุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่ส่องแสงเป็นประกาย
ภายในลานบ้านของเผ่าจิ้งจอกมีเสียงพิณโบราณ และดอกไม้ที่ร่วงหล่นกระจายไปทั่วพื้นดิน สตรีในอาภรณ์สีชมพูร่ายรำตามเสียงพิณ
การร่ายรำของนางงดงามน่าทึ่งงดงามราวกับนักระบำระดับโลก นัยน์ตาที่มีเสน่ห์คู่นั้นเปล่งประกายวิบวับ ดั่งความสดใสในฤดูใบไม้ผลิ ราวกับว่าขอเพียงนัยน์ตาทรงเสน่ห์คู่นี้สบตากับผู้ใด คนผู้นั้นก็จะประทับใจได้ไม่รู้ลืม
หลังจากนั้นไม่นานเสียงพิณก็หยุดลง และการร่ายรำก็พลอยหยุดลงด้วย
***จบบทจิ้งจอก (4)***
บทที่ 934 : จิ้งจอก (5)
สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกตัวจากภวังค์นางยิ้มพลางกล่าวว่า “คุณหนู การร่ายรำของท่านงดงามมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นราชาผู้ทรงอำนาจหรือขุนนางผู้สูงศักดิ์ย่อมต้องหลงใหลในตัวคุณหนูอย่างแน่นอน”
หญิงสาวอมยิ้มพลางพยักหน้าให้สาวใช้ “เจ้าพูดอะไรเช่นนั้น อย่าลืมสิว่าเมื่อร้อยปีก่อน เป็นเพราะพี่สาวของข้าต้องการเป็นชายาขององค์ราชา นางจึงไม่ลังเลที่จะทำสิ่งผิด ๆ กระทั่งพวกเราต้องถูกขับออกจากวัง คนอย่างองค์ราชาจะถูกล่อลวงง่าย ๆ ได้เยี่ยงไร ?”
“ท่านไม่เหมือนคุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่ไม่เก่งเท่าท่าน ลีลาการร่ายรำก็ไม่งามเท่ากับท่าน ทั้งเสน่ห์ของนางก็ไม่อาจเทียบเท่าท่านด้วย แน่นอนว่า แม้ท่านจะไม่สามารถทำให้องค์ราชาสับสนได้ ทว่าคุณหนู ท่านเปี่ยมเสน่ห์และงดงาม กระทั่งไม่ว่าชายใดก็ไม่อาจละสายตาจากท่านได้”
แม้ว่านี่จะเป็นถ้อยคำที่เกินจริงไปบ้างทว่าหญิงผู้นี้ก็ดูจะเชื่อถ้อยคำเหล่านั้นมาก เพราะหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น นางก็ละทิ้งการฝึกฝน และมุ่งเน้นเรียนรู้ทักษะการบริหารเสน่ห์ นางทำเพื่ออะไรน่ะรึ ? ก็เพื่อให้ครอบครัวของนางได้กลับคืนสู่วังอีกครั้งไงล่ะ ?
น่าเสียดายที่นางและบิดาของนางเลือกใช้เส้นทางที่แตกต่างกัน
บิดาของนางต้องการยึดครองเมืองชายแดนนี้เขาวางแผนที่จะใช้เมืองชายแดนเพื่อเอาพระทัยองค์ราชา หากแต่นางเชื่อเสมอว่าการจัดการกับบุรุษนั้น เสน่ห์นับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด …
“เจ้านี่ปากหวานมากขึ้นเรื่อยๆ จริง ๆ หากแต่ข้าได้ยินมาว่าราชามีราชินีอยู่แล้ว ทั้งนางก็งดงามเลอโฉมมากเสียด้วย เส้นทางนี้ คงยากลำบากมากแน่ ๆ”
เพื่อครอบครัวของนางแล้วนางไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำให้ราชาพอพระทัย หากทรงพอพระทัยครอบครัวของนางก็จะสามารถหลุดพ้นจากสถานการณ์ปัจจุบันนี้ได้
แน่นอนว่าหากมิใช่เป็นเพราะพี่สาวของนางโง่เขลาเกินไปทั้งครอบครัวก็คงจะไม่ตกอยู่ในสถานะเช่นนี้ ? นางตายไปแล้ว ทว่ายังลากคนในครอบครัวลงเหวไปด้วย …
”คุณหนู”
ชั่วขณะนั้นผู้คุ้มกันก็รีบเข้ามาป้องหมัดเอ่ยกล่าวว่า “มีคนสองคนรออยู่ข้างนอก พวกนางต้องการพบท่านหัวหน้าเผ่า หากแต่ท่านหัวหน้าเผ่า … ”
”มาพบท่านพ่องั้นหรือ?” หญิงสาวสะดุ้งพลางขมวดคิ้ว “ผู้ใดกันที่อยากพบท่านพ่อ”
”คนหนึ่งมนุษย์อีกคนเป็นสัตว์อสูร”
ผู้คุมกันเอ่ยตอบด้วยความเคารพ
ครั้นได้ยินว่ามีคนแปลกหน้ามาขอเข้าพบบิดาหญิงสาวก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกล่าวเบา ๆ ว่า “ตอนนี้ท่านพ่อของข้ากำลังเข้าสันโดษ ห้ามผู้ใดรบกวน ก่อนที่เขาจะออกจากห้องกรรมฐาน ข้าจะดูแลเรื่องต่าง ๆ ของเผ่าเราเอง เจ้าพาข้าไปที่นั่น ข้าจะไปพบพวกนางเอง”
“ขอรับคุณหนู”
ผู้คุ้มกันเดินนำโดยมีหญิงสาวพร้อมด้วยสาวใช้อีกหลายคนเดินตามออกไปที่ประตู
*****
ด้านนอกลานบ้านไป๋หยานจับมือของเสี่ยวหลงเอ๋อ ยืนรออย่างเงียบ ๆ เพียงครู่หญิงสาวในชุดฮันฝูสีชมพูก็ก้าวออกมาอย่างช้า ๆ โดยมีกลุ่มสาวใช้ที่ตามมาด้วยช่วยพยุงร่างนาง
หญิงสาวผู้นี้สวยมากแต่จะให้เหมาะก็ต้องอธิบายว่า จิ้งจอกนางนี้สวยมาก นัยน์ตาของนางราวกับพูดได้ ทั้งยังมีเสน่ห์มาก
สำหรับหญิงผู้นี้เสี่ยวหลงเอ๋อมีความรู้สึกต่อต้านอย่างไร้เหตุผล นางจับมือของไป๋หยานแน่น แววตาระแวดระวังปรากฏขึ้นในดวงตากลมโตของนาง
ไป๋หยานมักจะไม่แสดงออกทางสีหน้านางสงบนิ่งขณะมองสตรีที่เดินออกมาช้า ๆ พลางเอ่ยถามว่า “ข้าต้องการพบหัวหน้าเผ่าหู”
”ข้าเป็นบุตรสาวของเขานามว่า หูเหม่ย หากท่านมีสิ่งใดก็สามารถบอกข้าได้เช่นกัน” หูเหม่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย
นางมองไป๋หยานอดไม่ได้ที่จะส่งสายตาที่แสดงความรู้สึกเป็นปรปักษ์
นานเท่าไรแล้วที่หูเหม่ยคิดว่าใบหน้าของนางงดงามหาใครเทียบได้ในบรรดาเผ่าจิ้งจอกที่ล้วนแล้วแต่หล่อเหลางดงาม นางยอมรับได้เพียงแค่ราชา และองค์หญิงเท่านั้นที่สวยกว่านาง
ทว่าตอนนี้รูปลักษณ์ของหญิงผู้นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่านางเลยแม้แต่น้อย ย่อมเป็นธรรมดาที่ผู้หญิงมักจะมีอคติกับผู้หญิงที่ดูดีกว่าตนเอง
เสี่ยวหลงเอ๋อปล่อยมือของไป๋หยานใบหน้าสีชมพูของนางเริ่มที่จะโกรธ “ท่านแม่ของข้าเป็นราชินีแห่งแดนอสูร เรามาที่นี่ ก็เพื่อพบหัวหน้าเผ่าหู”
***จบบทจิ้งจอก (5)***
บทที่ 935 : จิ้งจอก (6)
ราชินี?
แววตาของหูเหม่ยฉายประกายเย็นยะเยียบนางกล่าวเย้ยหยัน “ช่างกล้านัก กล้าสวมรอยเป็นราชินีแห่งแดนอสูรของข้า ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการปลอมเป็นราชินีจะโดนลงโทษเช่นไร ?”
”ท่านแม่ของข้าคือราชินี!”
”เหอะ…”หูเหม่ยเม้มริมฝีปากอย่างประชดประชัน “ข้าได้ยินมาว่า ราชินีให้กำเนิดพระโอรส ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านางมีพระธิดา หากเจ้าต้องการปลอมตัวเป็นราชินี เจ้าก็ควรต้องหาเด็กผู้ชายมาสวมรอย เหตุใดจึงพาลูกสาวมาล่ะ ?”
ครั้นเห็นเสี่ยวหลงเอ๋อสับสนไป๋หยานก็ยกมือขึ้นจับแขนเล็ก ๆ ของเด็กน้อย นางยกฝ่ามือขึ้น พลันจี้หยกที่สลักคำว่า “อสูร” ก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง
”สิ่งนี้สามารถพิสูจน์ตัวตนของข้าได้หรือไม่? ตอนนี้เรียกหัวหน้าเผ่าหูมาพบข้า !”
หูเหม่ยตกตะลึงอยู่เพียงครู่นางมองจี้หยกในมือของไป๋หยาน ร่องรอยความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตาของนาง “นี่คืออะไรข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เจ้าคิดว่าเพียงจี้หยกนี้ เจ้าก็สามารถสวมรอยเป็นราชินีได้แล้วกระนั้นหรือ ? แม่นางต่อให้เจ้าหลงใหลในองค์ราชาก็ไม่ควรใช้วิธีเช่นนี้”
นางถอนหายใจเบาๆ หญิงผู้นี้ไม่รู้จักที่ตายเสียแล้ว คิดว่าเพียงเอาจี้หยกมาจะพิสูจน์ได้ว่านางคือราชินีอสูรกระนั้นรึ ? นางคิดว่าข้าโง่นักหรือไร ?
ใบหน้าของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นดำคล้ำครั้งที่ตี้คังมอบจี้หยกนี้ให้แก่นาง เขาไม่ได้พูดเช่นนี้
เขาบอกว่าจี้หยกนี้สามารถพิสูจน์ตัวตนของนางได้ในฐานะราชินีอสูรหากเป็นสัตว์ร้ายในแดนอสูร จะต้องยอมจำนนต่อนางด้วยจี้หยกนี้
เหตุใดครานี้จี้หยกนี้กลับใช้การไม่ได้เล่า ?
แน่นอนไป๋หยานไม่รู้ว่าตระกูลหูถูกขับออกจากเผ่าจิ้งจอกนานแล้ว ทั้งไม่ได้เป็นสัตว์อสูรในแดนอสูรอีกต่อไป จี้หยกนี้ตี้คังปรับแต่งเป็นพิเศษเพื่อไป๋หยาน เช่นนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลหูจะไม่เคยเห็นจี้หยกนี้มาก่อน
“ข้าเคยเห็นคนหน้าด้านมาก็มากมายทว่าข้าไม่เคยเห็นคนหน้าด้านถึงเพียงนี้มาก่อนเลย” สาวใช้ด้านข้างตะคอกเย้ยหยัน “หากเจ้าอยากเป็นสนมขององค์ราชาก็ควรจะใช้ความสามารถของเจ้าต่อสู้แย่งชิง นี่เจ้ากลับกล้าสวมรอยเป็นราชินี”
”ถุยคนอย่างองค์ราชาไม่ตาต่ำเช่นนี้แน่ ต่อให้เจ้าเสนอตัว ข้ากลัวว่าเขาจะไม่เสียสายตามองเจ้าหรอก… ”
แววตาของเสี่ยวหลงเอ๋อเต็มไปด้วยความโกรธใบหน้าเล็ก ๆ ของนางแดงก่ำด้วยความโมโห นัยน์ตาโกรธเกรี้ยวของนางจับจ้องมองกลุ่มสาวใช้ด้วยความเกลียดชัง
”หากเจ้ากล้าพูดเรื่องไร้สาระอีกข้าจะฆ่าเจ้า ! ท่านแม่ของข้าเป็นราชินี ! เจ้ามีตาแต่หามีแววไม่ ถึงไม่รู้จักจี้หยกนี่”
”เจ้า… ” สาวใช้แทบคลั่ง ทว่าหูเหม่ยยกมือขึ้น เพื่อระงับการเคลื่อนไหวของนาง
”เจ้าจะสนใจอะไรนักกับเด็กคนตระกูลหูของเราสูงส่งเสมอ เราไม่ใส่ใจคนเพ้อเจ้อพวกนี้หรอก ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความอีก” หูเหม่ยยิ้ม ดวงตาของหูเหม่ยกวาดไปมองไป๋หยาน “แม่นาง กลับไปดีกว่า ท่านพ่อไม่ออกมาพบเจ้าหรอก”
เสี่ยวหลงเอ๋อกำหมัดแน่นความโกรธของนางพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งร่างเล็ก ๆ ของนางแทบระเบิด นัยน์ตาของนางเปล่งประกายแสงสีขาว ขณะจ้องมองไปที่หูเหม่ยเขม็ง
“ยัยเด็กตัวเหม็น… ”
ครั้นสาวใช้เห็นเสี่ยวหลงเอ๋อจ้องมองหูเหม่ยนางก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยความโกรธ มือของนางชี้ไปที่จมูกเล็ก ๆ ของเสี่ยวหลงเอ๋อ หลงเอ๋ออ้าปากงับนิ้วของนางทันที
”โอ๊ยยยย!”
สาวใช้กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเสียงกรีดร้องดังลั่นเสียดแทงหัวใจ “ยัยเด็กตัวเหม็น ปล่อยข้านะ !”
เสี่ยวหลงเอ๋อกัดนิ้วของนางแน่นไม่ยอมปล่อยเลือดไหลออกมาตามข้อนิ้วก่อนจะหยดลงที่พื้นเสียงดังติ๋ง ๆ
สาวใช้อีกคนเดินมาข้างหน้านางต้องการจะลงมือทำอะไรบางอย่างกับเสี่ยวหลงเอ๋อ ทว่าก่อนที่มือของนางจะทันแตะต้องตัวหลงเอ๋อ มือของไป๋หยานก็บีบข้อมือของนางไว้แน่น
ชั่วขณะนี้ทุกคนสามารถได้ยินเสียงกระดูกของสาวใช้หักดังเป๊าะอย่างชัดเจนภายใต้ท้องฟ้ายามบ่าย …
***จบบทจิ้งจอก (6)***