จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 951-955
บทที่ 951 : ภูเขาอสูร (8)
ไป๋หยานยกยิ้มรอยยิ้มนี้ทรงอำนาจและสง่าผ่าเผย
แววตาที่สดใสของนางราวกับแสงแดดส่องประกายทำเอานัยน์ตาโม่หลี่ชางสั่นไหว
“มีอะไรหรือ?” ไป๋หยานขมวดคิ้ว เมื่อเห็นโม่หลี่ชางอยู่ในอาการงุนงง
โม่หลี่ชางสงบใจลงพลางเกาศีรษะอย่างเขินอาย “หยานหยาน เจ้าดูดีมาก ดูดีกว่าสตรีทุกคนที่ข้าเคยเห็น”
ไป๋หยานเลิกคิ้ว”เจ้าความจำเสื่อมไม่ใช่หรือ ?”
ในเมื่อเขาสูญเสียความทรงจำเขาจะจำสตรีที่เขาเคยพบเห็นมาก่อนได้อย่างไร ?
โม่หลี่ชางยิ้ม”แม้ว่าข้าจะความจำเสื่อม หากแต่ข้าก็คิดว่า หยานหยานดีที่สุด ทั้งไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเจ้าได้”
เจ้าหมูน้อยมองเจ้านายของมันอย่างดูถูกก่อนจะกระโดดออกจากอ้อมแขนของเขา พลางทำจมูกสูดดมกลิ่นฟุดฟิด สีหน้าของมันแลดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที
”เกิดอะไรขึ้นกับมันเนี่ย?” ไป๋หยานหันไปมองเจ้าหมูพลางเอ่ยถาม
เจ้าหมูน้อยส่งเสียงครืดคราดสองครั้งก่อนจะชี้อุ้งเท้าไปด้านหน้า พร้อมกับกระโดดดึ๋ง ๆ ไม่หยุด
โม่หลี่ชางตั้งใจฟังหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตอบว่า “หยานหยาน เจ้าหมูน้อยบอกว่า ในสถานที่แห่งนี้มีกลิ่นอายของเผ่าเดียวกันกับมัน น่าจะมีคนเผ่าเดียวกันกับมันในบริเวณนี้”
ไป๋หยานตกตะลึงนางคิดอยู่เพียงครู่”เช่นนั้นก็ไปที่นั่นกัน บางทีเราอาจจะได้พบครอบครัวของเจ้าหมูน้อยจริง ๆ ก็เป็นได้”
โม่หลี่ชางอุ้มเจ้าลูกหมูขึ้นมากอดไว้ในอ้อมแขนใบหน้าหล่อเหลาขาวผ่องใสของเขาเผยรอยยิ้ม
แววตาของเขาใสวาวราวกับหยดน้ำประหนึ่งมีกระแสคลื่นไหลซ่านออกมา
“หยานหยานขอบใจ”
ไป๋หยานหยุดนางไม่ได้หันกลับมานางเพียงจับจูงมือของเสี่ยวหลงเอ๋อ พลางเดินนำไปข้างหน้า
ครั้นเห็นว่าไป๋หยานและเสี่ยวหลงเอ๋อกำลังจะหายลับตาไป โม่หลี่ชางก็รีบอุ้มเจ้าลูกหมูสีชมพู ออกก้าวไปตามทิศทางที่นางกำลังจะจากไป …
แดนอสูร
ในท้องพระโรงของวังหลวงอันเงียบสงบและหรูหราตี้คังนั่งอยู่บนบัลลังก์ มือของเขาข้างหนึ่งเท้าใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาไว้ เรือนผมสีเงินกระจัดกระจายความหล่อเหลาล้นหลาม กระทั่งสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตล้มคว่ำทันทีที่ได้เห็น
ในขณะนี้นัยน์ตาที่โดดเด่น และเปี่ยมเสน่ห์ของเขากำลังมองลงไปยังผู้คนที่อยู่ด้านล่าง น้ำเสียงของเขาเย็นชาเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น ? แล้วจดหมายที่ข้าสั่งให้เจ้าส่งไปให้หูไป่เว่ยล่ะ ?”
ฮัวหยูเช็ดเหงื่อเย็นนี่เป็นโอกาสดีที่เขาได้รับ นับตั้งแต่เขาทำผิดพลาดในวันนั้น หวังว่าครั้งนี้จะไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ อีก
”องค์ราชากระหม่อมได้มอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไว้ใจได้ที่สุด ส่งจดหมายถึงหูไป่เว่ยเป็นการส่วนตัว ทรงมั่นพระทัยได้เลยว่า หากราชินีไปที่เมืองชายแดนจริง ๆ พระนางจะต้องทรงปลอดภัยอย่างแน่นอน”
“เจ้าได้มอบรูปพระราชินีแก่หูไป่เว่ยหรือไม่?”
ใบหน้าของฮัวหยูแข็งค้างภาพเหมือน ? ภาพเหมือนของราชินีกระนั้นหรือ ?
”เอ่อ…” เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากอีกครั้ง ก่อนจะพูดเอาตัวรอดว่า “องค์ราชา มีทักษะการปลอมตัวของมนุษย์แบบหนึ่งซึ่งสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของพวกเขาได้ เช่นนั้นภาพเหมือนจึงไม่มีประโยชน์ใด ในกรณีที่มีมนุษย์ใช้ทักษะปลอมตัวสวมรอยเป็นราชินี ด้วยปัญญาของหูไป่เว่ยไม่น่าที่จะถูกหลอกอย่างแน่นอน … ”
สายตาที่มืดมนของตี้คังจับจ้องไปที่ฮัวหยูราวกับจะถามว่า เขากำลังพูดเรื่องใด ?
”เพราะฉะนั้น… ” ฮัวหยูเหงื่อออกพลางยิ้มแหย “แค่รูปเหมือนของจี้หยกราชินีนั่นก็น่าจะเพียงพอแล้ว และจี้หยกนั่นก็ผนึกพลังของพระองค์ไว้ ย่อมไม่สามารถเลียนแบบได้ รูปเหมือนของจี้หยก กระหม่อมก็ได้จัดทำขึ้น และส่งต่อไปยังหัวหน้าเผ่าทุกเผ่าก่อนหน้านี้แล้ว และหูไป่เว่ยเองก็มีสำเนานั้นอยู่ในมือด้วยเช่นกัน”
ครั้งนี้จะต้องไม่มีสิ่งใดผิดพลาดเพราะหากเกิดความผิดพลาดขึ้นอีก องค์ราชาจะเป็นคนแรกที่จัดการเขา ทั้งจะไม่ให้โอกาสเขาได้ทำคุณไถ่โทษอีก
ตี้คังไม่ได้ถามต่อเขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ไปได้ ให้หัวหน้าเผ่าทั้งหมดมาพบข้า แดนอสูรใกล้จะพร้อมแล้ว รอให้บรรดาคนที่เข้าไปฝึกฝนตนในดินแดนลับกลับมายังแดนอสูรเสียก่อน เมื่อนั้นก็จะถึงเวลาที่แดนอสูรและแดนสวรรค์จะทำสงครามกัน !”
บทที่ 952 : อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าปักษา (1)
”พะยะค่ะ”
ฮัวหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะหันหลังเดินไปที่ประตู ทว่าในขณะที่เขากำลังจะเดินไปถึงประตูนั้น เสียงอันเยือกเย็นของตี้คังก็ดังมาจากด้านหลัง
”ช้าก่อน!”
ฮัวหยูหันหลังกลับไปมองตี้คัง”พระองค์ ต้องการบัญชาสิ่งใดอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ ?”
”ข้ายังไม่อาจวางใจเรื่องราชินีเจ้าจงสั่งให้สัตว์อสูรอื่น ๆ ในเมืองชายแดนไปช่วยปกป้องราชินี ทุกอย่างให้ยึดจากจี้หยกที่ราชาองค์นี้มอบให้ราชินี !”
”พะยะค่ะ”
ฮัวหยูป้องหมัดก่อนจะหันหลังก้าวจากไป ในขณะที่เขาถอยกลับ เขาก็พบว่าทั่วหน้าผากของเขาปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ
โชคดีที่ราชาทำจี้หยกประจำตัวให้ราชินีและจี้หยกนี้เป็นเสมือนหลักฐานยืนยันฐานะของนาง หากมีจี้หยกนี้ในมือ สัตว์อสูรจะไม่กล้าขัดคำสั่งของนาง
ในเวลาเดียวกัน
เหนือภูเขาอสูรลูกหมูสีชมพูขยับตัวอ้วน ๆ ก่อนจะวิ่งเข้าไปในป่า
ด้านหลังเจ้าลูกหมูสีชมพูชายหนุ่มรีบเร่งฝีเท้าของเขาไล่กวดตามไป เขาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า เหตุใดเจ้าหมูอ้วนขนาดนี้ ทว่ากลับวิ่งได้เร็วมาก ?
ด้านหลังชายหนุ่มมีอีกสองคนคนหนึ่งเป็นผู้ใหญ่และอีกคนเป็นเด็ก
สตรีที่เป็นผู้ใหญ่นั้นสวยสง่าในอาภรณ์สีแดงเพลิงนางกำลังจับจูงมือเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ น่ารักน่าเอ็นดู ทั้งสองก้าวเรื่อย ๆ ไม่เร่งรีบทว่าก็ไม่ได้เฉื่อยชา
“เจ้าหมูน้อยเจ้าพบครอบครัวของเจ้าแล้วหรือยัง ?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วนัยน์ตาใสเป็นประกายราวกับน้ำใสสะอาด
น้ำเสียงของเขาไพเราะมากไม่ต่างกับน้ำพุใสที่ไหลวนอยู่บนภูเขา
ลูกหมูสีชมพูหันหน้ากลับมามองชายหนุ่มก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องสองสามครั้ง จากนั้นมันก็ยังคงเร่งรุดไปข้างหน้า โดยการบิดร่างอ้วนของมันเดินไปตามทางโดยไม่หันกลับมามองอีก
ทันใดนั้นชนเผ่าหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า ดวงตาของเจ้าหมูแทบจะถลน มันกระโดดตัวลอยด้วยความตื่นเต้น มันรีบวิ่งเข้าไปหาชนเผ่านั้นพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้อง
อารมณ์ของหมูน้อยพลุ่งพล่านมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันเดินเตร็ดเตร่กับโม่หลี่ชางโดยไม่เคยรู้ว่าวงศาคณาญาติของมันเป็นใคร ตอนนี้ในที่สุดมันก็มีโอกาสได้พบกับญาติพี่น้องของตนเอง จะให้มันอยู่เฉยได้อย่างไร ?
ในขณะที่เจ้าลูกหมูกำลังจะพุ่งเข้าไปหาชนเผ่านั้นจู่ ๆ แสงสว่างวาบสองดวงก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ดาบเย็นเยียบสองเล่มพาดลงบนตัวเจ้าลูกหมู
“ผู้ใดกันที่กล้าบุกเข้ามาในเผ่าปักษาของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต”
หมูน้อยตื่นเต้นมากทั้งมันก็หวาดกลัวด้วย ความตกใจทำให้มันร้องครวญคราง เสียงของมันเต็มไปด้วยความโศกเศร้าดังก้องไปทั่วทั้งราวป่า
ไม่ไกลออกไปครั้นโม่หลี่ชางที่กำลังเดินช้า ๆ ได้ยินเสียงร้องของเจ้าลูกหมูก็ตื่นตกใจ เขารีบวิ่งไปยังทิศทางที่เจ้าลูกหมูกำลังมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วสุดพลัง
แววตาของไป๋หยานเคร่งเครียดนางกอดเสี่ยวหลงเอ๋อไว้ในอ้อมแขน ร่างของนางสว่างวาบ พุ่งแซงโม่หลี่ชางออกไปราวกับสายฟ้า
”อู๊ด”
เจ้าลูกหมูถูกผู้คุ้มกันสองคนที่ร่อนลงมาจากท้องฟ้าตรงเข้าขนาบกีบเท้าทั้งสี่ของมันถูกมัดแน่น มันร้องสะอึกสะอื้นรันทดเสียดแทงหัวใจ
ในขณะนี้ผู้คุ้มกันทั้งสองไม่ทันสังเกตเห็นว่า ทันทีที่เจ้าลูกหมูร้องไห้ เมฆสีเลือดบนท้องฟ้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ท้องฟ้ามืดลงอย่างเห็นได้ชัด
”ปล่อยมันเดี๋ยวนี้!”
เพียงไม่กี่ก้าวไป๋หยานก็มาหยุดยืนเบื้องหน้าเจ้าลูกหมู แววตาของนางเย็นชา ขณะที่ตะคอกด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
ครั้นเจ้าลูกหมูเห็นว่าผู้ช่วยมาถึงแล้วน้ำตาของมันก็ไหลพราก มันไม่กลัวผู้คุ้มกันทั้งสองอีกต่อไป กลับกันมันจ้องมองพวกเขาอย่างดุร้ายแทน
”ช่างกล้านัก!” ผู้คุ้มกันเผ่าปักษาไม่แสดงสีหน้าใด ๆ “เผ่าปักษาของเราหาใช่สถานที่ที่เจ้าจะสามารถล่วงล้ำเข้ามาได้ไม่ หากเจ้ายอมจากไปแต่โดยดี ข้าจะไว้ชีวิตของเจ้า !”
บทที่ 953 : อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าปักษา (2)
เผ่าปักษา?
นัยน์ตาของไป๋หยานฉายแววยิ้มเยาะ”นี่คือเขตปกครองของเผ่าปักษากระนั้นหรือ ?”
เผ่าปักษา…ฐานะของเผ่าปักษาในอาณาจักรอสูรสูงส่งทัดเทียมกับเผ่ามังกรเช่นนั้นผู้คุ้มกันของเผ่าปักษาจึงมีความหยิ่งผยอง และมองไม่เห็นสัตว์อสูรชนิดอื่นอยู่ในสายตา ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์อสูรนั่นยังเป็นเพียงหมู ?
เจ้าลูกหมูสีชมพูตัวนี้มองแค่แวบเดียวก็เห็นแล้วว่าไม่มีพลังโจมตีใด ๆ เลย เผ่าหมูเป็นเผ่าที่อ่อนแอที่สุด เช่นนั้นเขาจึงกล้ามัดหมูตัวนี้ไว้
“ท่านแม่ข้าบอกให้ปล่อย ไม่ได้ยินหรือไง ?”
ความโกรธเปล่งประกายริบหรี่ในดวงตากลมโตของเสี่ยวหลงเอ๋อนางปล่อยมือของไป๋หยาน จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางเต็มไปด้วยโทสะ
สำหรับเสี่ยวหลงเอ๋อแล้วคำพูดของไป๋หยานถือเป็นคำสั่งของราชินี ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น ทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ฝ่าฝืนคำสั่ง !
”ข้าคือผู้เฝ้าประตูเผ่าปักษาไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไปในดินแดนของเผ่าปักษา ผู้กระทำผิดจะต้องถูกสังหารอย่างไร้ปรานี !”
ผู้คุ้มกันเผ่าปักษากล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา
หน้าอกของเสี่ยวหลงเอ๋อยืดขึ้นด้วยความโกรธความโกรธทั้งหมดหลั่งไหลเข้ามาในลำคอของนาง พลันเสียงคำรามของมังกรอันสั่นสะท้านโลกก็พ่นออกมาจากปากของนาง ลมพัดแรงขึ้นในทันที กระแสลมเหล่านั้นร้อนระอุ
แน่นอนว่าเสียงคำรามของมังกรตัวนี้ทำให้ผู้คุ้มกันเผ่าปักษานิ่งงัน
“เจ้า…มาจากเผ่ามังกรกระนั้นหรือ?” ใบหน้าของผู้คุ้มกันเผ่าแลดูน่าเกลียด
เด็กน้อยคนนี้คือคนเผ่ามังกร?
สถานะของเผ่ามังกรและเผ่าปักษาค่อนข้างทัดเทียมกัน หากเขามีเรื่องกับเผ่ามังกรจริง ๆ ผู้อาวุโสคงจะไม่ให้อภัยพวกเขาเป็นแน่
ณเผ่าปักษา ที่อยู่ลึกเข้าไปในภูเขา ชายชราที่มีเรือนผมสีดอกเลา ทว่าใบหน้ายังแลดูอ่อนเยาว์ เหมือนจะรับรู้ได้ถึงเสียงคำรามของมังกร เขาลืมตาขึ้นช้า ๆ รอยยิ้มจาง ๆ พลันปรากฏบนริมฝีปากของเขา
”แม้ว่าเผ่าปักษาของข้าจะมีสถานะทัดเทียมเผ่ามังกรทว่าข้าก็ไม่ได้พบพวกเขามานานหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าลูกหลานของเผ่ามังกรคนไหนมาเยือนถึงที่นี่ ?”
หลังจากกล่าวจบชายชราก็ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเสื่อ
เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวราวกับหิมะร่างของเขาไม่ต่างกับต้นสนยืนสู้สายลม แลดูคล้ายเทพเซียนที่เป็นอมตะและน่าเกรงขาม
”ไปตามข้าไปพบกับทายาทมังกร”
“ขอรับ…ท่านผู้อาวุโส!”
ครั้นผู้คนที่รออยู่นอกประตูได้ยินคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่ต่างก็ตอบรับและก้าวตามหลังเขาไป
ผู้อาวุโสใหญ่เหลือบมองท้องฟ้าที่มืดมนนัยน์ตาของเขาเคร่งขรึมลงเล็กน้อย เขารู้สึกราวกับว่าแดนอสูรในปัจจุบันดูเหมือนจะมีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไป ?
ที่ประตูเผ่าปักษาไป๋หยานห้ามเสี่ยวหลงเอ๋อที่กำลังหุนหันพลันแล่น นางมองผู้คุ้มกันทั้งสองที่เฝ้าประตูพร้อมกับยิ้มเยาะ
”ข้ามีความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสของเผ่าปักษาของเจ้าข้าเพียงสงสัยว่า เจ้าสามารถเชิญผู้อาวุโสของเผ่าปักษามาที่นี่ได้หรือไม่ ?”
ย้อนกลับไปในพิธีสถาปนาของนางผู้อาวุโสหลายคนในเผ่าปักษาต่างก็ไปร่วมงานด้วย แม้ว่านางจะจำคนเหล่านั้นได้เพียงเลือนลาง ทว่าภาพของพวกเขาก็พอจะหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของนาง
หากแต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจก็คือเผ่าปักษาเป็นเผ่านกและหมูน้อยก็เป็นแค่หมู แม้ว่าหมูตัวนี้จะมีปีกหนึ่งคู่ ทว่าปีกของมันก็เป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้น
ไม่มีทางเชื่อมต่อกับเผ่าปักษาได้เลย
ครั้นคำกล่าวของไป๋หยานจบลงเสียงฝีเท้าก็ดังมาข้างหน้า
ยามนี้ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าปักษากำลังนำคนในเผ่าเดินมาอย่างช้า ๆ จากระยะไกล เขาเห็นไป๋หยาน และพวกของนางกำลังมีปัญหาขัดแย้งกับผู้คุ้มกันสองคนที่เฝ้าประตูอยู่ หัวใจของเขาพลันเต้นระรัวทันที
โดยเฉพาะหญิงผู้นี้แลดูคุ้นเคยมากราวกับว่าเขาเคยเห็นนางที่ไหนสักแห่ง หากแต่เขายังจำไม่ได้ …
ทันใดนั้นร่างที่สวมมงกุฎนกฟีนิกซ์ในชุดแต่งงานพลันปรากฏขึ้นในความคิดของเขาขาของเขาแข็งเย็นเยียบ และสั่นเทา กระทั่งแทบจะล้มลงกับพื้น
บทที่ 954 : อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าปักษา (3)
ในที่สุดเขาก็จำได้ว่าเคยเห็นหญิงผู้นี้ที่ใด!
เมื่อนึกถึงตัวตนของไป๋หยานออกแล้วหน้าผากของผู้อาวุโสใหญ่พลันมีเหงื่อพรั่งพรูออกมา เขารีบเข้าไปทักทายนาง “ราชินี…เหตุใดถึงเสด็จมาโดยไม่มีผู้ใดแจ้งข่าวคราวเลย กระหม่อมจะได้ออกมาต้อนรับพระองค์ก่อน”
ราชินี?
ผู้คุ้มกันสองคนของเผ่าปักษาตัวแข็งค้างเขาหันศีรษะไปมองผู้อาวุโสใหญ่ที่กำลังยิ้มประจบ
“ท่านอาวุโสท่านจะบอกว่านาง … เป็นราชินีงั้นหรือ ?”
ผู้อาวุโสขมวดคิ้วนัยน์ตาเย็นชาของเขากวาดไปมองผู้คุ้มกันทั้งสอง พลางกล่าวอย่างเย็นเยียบ “เจ้าพบองค์ราชินีแล้ว เหตุใดยังไม่รีบคารวะ ?”
แม้ว่าเดิมทีในใจของพวกเขาจะยังคงมีความหวังริบหรี่ทว่าคำกล่าวของผู้อาวุโสใหญ่ทำให้พวกเขาเหมือนตกนรกทั้งเป็น พวกเขาสิ้นหวังทันที
”พวกเจ้ามัวรีรออะไรอยู่?”
ครั้นเห็นว่าทั้งสองยังไม่ขยับตัวคิ้วของผู้อาวุโสใหญ่พลันขมวดหนักขึ้น เขาตะโกนเสียงเข้ม
และด้วยประโยคนี้ผู้คุ้มกันทั้งสองก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที ร่างของพวกเขาสั่นเทา ขณะโขกศีรษะกระแทกพื้นอย่างแรง
”ราชินีพวกกระหม่อมมีตาหามีแววไม่ มิอาจจดจำราชินีได้ โปรดยกโทษให้พวกกระหม่อมด้วย ราชินีโปรดไว้ชีวิตพวกกระหม่อมด้วย”
ไป๋หยานยิ้มนางมองผู้คุ้มกันทั้งสองที่คุกเข่าอยู่กับพื้น พลางยิ้มเยาะมุมปาก “ผู้คุ้มกันของเผ่าปักษาหยิ่งผยองยิ่งนัก พวกเขาคิดว่าด้วยอำนาจของเผ่าปักษาแล้ว พวกเขาสามารถทำได้ทุกสิ่งตามแต่ใจต้องการ ! ไม่เพียงทำร้ายคนของข้า ยังคิดจะจับข้าด้วย ไม่รู้ว่าเผ่าปักษาไปเอาความกล้าหาญเช่นนี้มาจากที่ใด !”
ถ้อยคำของนางทรงอำนาจส่งผลให้หัวใจของผู้อาวุโสสั่นสะท้าน
ในยามนี้ผู้อาวุโสใหญ่ไม่วางท่าสงบนิ่งเช่นเคยอีกเขาเตะผู้คุ้มกันทั้งสองอย่างดุเดือด
“พวกเจ้าช่างกล้าหาญชาญชัยนักนะกล้าทำตัวยโสโอหังต่อหน้าราชินี ข้าจะกราบทูลรายงานเรื่องนี้ต่อองค์ราชาตามจริง แล้วคอยดูสิว่าองค์ราชาจะลงโทษพวกเจ้าเช่นไร เผ่าปักษาของข้าจะไม่ช่วยอ้อนวอนเพื่อเจ้าเป็นแน่ !”
ผู้คุ้มกันเผ่าปักษาเข่าอ่อนทั้งคู่ทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความสิ้นหวัง
ใครๆ ก็รู้ว่าองค์ราชาทั้งรักทั้งเอาอกเอาใจ และตามใจราชินีเพียงใด ต่อให้ไม่ฆ่าพวกเขา ก็เกรงว่านับแต่นี้ไปพวกเขาจะต้องมีชีวิติอยู่อย่างยากลำบาก
ไป๋หยานยกมือขึ้นพลันแสงสว่างวาบก็ตัดเชือกที่กีบเท้าหมู นางโยนมันกลับไปให้โม่หลี่ชางที่อยู่ด้านหลังนาง
”ตรวจดูสิว่าสัตว์เลี้ยงของเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่? หากมีร่องรอยบาดเจ็บ เราจะคิดบัญชีนี้กับผู้คุ้มกันเผ่าปักษาทั้งสองคน”
”โอ้”
โม่หลี่ชางตอบเขาเริ่มสำรวจตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเจ้าลูกหมูสีชมพู เมื่อเขาเห็นร่างกายของลูกหมูยังคงสมบูรณ์ดี เขาก็โล่งใจ
”อู๊ด”
หมูน้อยใช้กีบเท้าดึงเสื้อของโม่หลี่ชางแน่นมันร้องไห้ทั้งน้ำตาและน้ำมูกไหลเยิ้ม
มันกลัวแทบตายเลยหัวใจของหมูน้อยเจ็บปวดมาก ยามนี้มันต้องการการเยี่ยวยา
ครั้นโม่หลี่ชางเห็นการแสดงออกที่น่าสมเพชของเจ้าหมูน้อยแล้วใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีดำ เขาไม่อยากพูดอะไร ทำได้เพียงเม้มริมฝีปาก
”ต่อไปอย่าได้วิ่งพล่านเช่นนั้นอีก หากเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะได้ตรวจสอบก่อน เจ้าควรอยู่ข้างหลังข้าเข้าใจหรือไม่ ?”
หมูน้อยพยักหน้าอย่างหดหู่วันหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันก็ไม่กล้าที่จะวิ่งนำเขาแล้ว
เกือบไปแล้วมันเกือบจะไม่ได้พบเจ้านายของมันอีกตลอดกาล …
”ราชินี”ผู้อาวุโสหัวเราะเบา ๆ “พระองค์รู้ได้อย่างไรว่าเผ่าปักษาของกระหม่อมอยู่บนภูเขาอสูรนี้ ทั้งยังมาเยือนเผ่าปักษาของกระหม่อมเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย หรือว่าราชินีเจตนามาเยี่ยมคนแก่อย่างกระหม่อมด้วยเรื่องสำคัญอันใด ?”
ใบหน้าของไป๋หยานดำคล้ำ”ท่านคิดมากเกินไป ข้าเพียงถูกตามไล่ล่าสังหารมา ถูกบังคับให้หนีเข้ามาในภูเขาอสูรนี้ ข้าไม่คาดคิดว่าเผ่าปักษาจะอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ”
”ตามล่า?” ผู้อาวุโสตกตะลึง “ผู้ใดกันที่กล้าตามล่าราชินี ภูเขาอสูรของกระหม่อมอยู่ไม่ไกลจากชายแดนอาจเป็นคนจากแดนสวรรค์ที่ชายแดนนั่น”
บทที่ 955 : ผู้อาวุโสสูงสุดเผ่าปักษา (4)
นัยน์ตาของไป๋หยานมีรอยยิ้มเยาะ”ก่อนที่ข้าจะเล่าเรื่องนี้ ข้ามีคำถามที่จะถามท่าน ตี้คังเคยบอกว่า เพื่อข้าแล้ว เขาต้องการที่จะทำลายแดนสวรรค์ หากแต่ข้าไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดสัตว์อสูรถึงมีความสัมพันธ์อันดีกับแดนสวรรค์ ทั้งยังร่วมมือกันได้ ?”
ครั้นได้ยินคำกล่าวของไป๋หยานที่ว่าตี้คังกำลังจะทำลายแดนสวรรค์เพื่อนางปากของผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าปักษาพลันบิดเบี้ยวไปมาสองสามครั้ง และทันทีที่ได้ยินถ้อยคำถัดไปของนาง ใบหน้าชราของเขาก็นิ่งงัน
”เป็นไปไม่ได้! ราชาได้มีประกาศิตว่าแดนอสูร และแดนสวรรค์ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ หากสัตว์อสูรตนใดกล้าที่จะยอมจำนนต่อเทพสวรรค์ ให้จัดการกับพวกเขาประหนึ่งผู้ทรยศ !”
สัตว์อสูรกับเทพสวรรค์ร่วมมือกันกระนั้นรึ? ตลกสิ้นดี ! นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย !
”อ้อ”ไป๋หยานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม พลางลูบคางของนาง “เช่นนั้นเหตุใดที่ชายแดนหูไป่เว่ยแห่งเผ่าจิ้งจอกจึงร่วมมือกับคนในแดนสวรรค์ไล่ล่าข้า ทั้งบีบต้อนให้ข้าเข้ามาในภูเขาอสูร”
”หูไป่เว่ย?” ผู้อาวุโสใหญ่แห่งเผ่าปักษาโกรธจนกัดฟัน “ไอ้สารเลวคนนี้ กล้าทำเช่นนั้นเชียว !”
ไอ้สารเลวหูไป่เว่ยราชินีต้องหนีออกจากพระราชวังด้วยความเข้าพระทัยผิดบางประการ ทำให้องค์ราชาทรงเสียพระทัย และท้อแท้ ยากนักกว่าที่พระองค์จะตามตื๊อราชินีให้กลับมาได้อีกครั้ง
ทว่าไอ้สารเลวคนนี้กลับทำเช่นนี้กระนั้นหรือ? หากว่าราชินีจะเข้าพระทัยผิดอีก ครั้งนี้ผู้ใดจะรับผิดชอบกันล่ะ ?
ครั้นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าปักษาหวนนึกถึงความเศร้าโศกของตี้คังในวันนั้นแล้วเขาก็ตื่นตระหนก ก่อนจะรีบอธิบายละล่ำละลักว่า “ราชินีอย่าเข้าพระทัยผิดนะพ่ะย่ะค่ะ หูไป่เว่ยถูกขับออกจากวังนานแล้ว ทั้งแดนอสูรก็ไม่นับเขาเป็นคนของเรา ! การกระทำของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับแดนอสูรของเรา พระองค์ต้องทรงไว้พระทัยองค์ราชา ความรักขององค์ราชาที่มีต่อพระองค์นั้นมากมายยิ่งนัก ต่อให้แดนอสูรของเราสั่นสะเทือน องค์ราชาก็ไม่อาจทำร้ายพระองค์ได้หรอก”
ไป๋หยานหัวเราะ”ผู้อาวุโสข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตี้คัง หากแต่บุตรสาวของหูไป่เว่ยอ้างว่าข้าต้องการตีสนิทกับตี้คังผ่านตระกูลหู ทั้งหูไป่เว่ย ก็เชื่อถ้อยคำของบุตรสาว”
ใบหน้าที่กังวลของผู้อาวุโสใหญ่นิ่งอึ้งหลังจากได้ยินเรื่องนี้
ราชินีจำเป็นต้องพึ่งพาหูไป่เว่ยเพื่อตีสนิทกับองค์ราชากระนั้นหรือ ? ไอ้คนโง่พวกนั้นพูดเรื่องบ้าอะไรนี่ … !
นางเป็นราชินีเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในแดนอสูร หูไป่เว่ยคือใคร ? ก็แค่บุคคลที่ไม่สามารถอยู่ในแดนอสูรได้เท่านั้น
”ราชินี…พระองค์…” ใบหน้าของผู้อาวุโสเต็มไปด้วยความตกใจ “พระองค์ไม่ได้แสดงจี้หยกที่องค์ราชาประทานให้กับหูไป่เว่ยหรือ ?”
”จี้หยก?”
ทันทีที่เขากล่าวเช่นนี้ไป๋หยานก็รู้สึกหดหู่มาก นางหยิบจี้หยกออกมา จากนั้นก็โยนให้ผู้อาวุโส
”ตอนที่ตี้คังมอบจี้หยกนี้ให้แก่ข้าเขาบอกว่า ทันทีที่ทุกคนในแดนอสูรได้เห็นจี้หยกนี้ พวกเขาก็จะล่วงรู้ฐานะของข้า ขอเพียงข้าแสดงจี้หยกนี้ จะไม่มีสัตว์อสูรผู้ใดกล้าที่จะเพิกเฉยต่อข้า ทว่าจี้หยกนี้ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์”
”จะเป็นไปได้อย่างไร?”
ผู้อาวุโสรับจี้หยกพลางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
ไป๋หยานยักไหล่”บุตรสาวของหูไป่เว่ยอ้างว่าไม่เคยเห็นจี้หยกนี้ ทั้งนางยังกล่าวต่อหน้าหูไป่เว่ยว่าจี้หยกของข้านี่ เป็นของที่ขโมยไปจากนาง เช่นนั้น … หูไป่เว่ยจึงตามล่าข้า”
ผู้อาวุโสใหญ่ส่ายศีรษะ”ไม่น่า…หูไป่เว่ยควรที่จะเคยเห็นจี้หยกนี่แล้ว เพราะแม่ทัพฮัวหยูก็ได้ส่งภาพจี้หยกนี้ไปยังทุกบ้าน”
เขาหลับตากำจี้หยกไว้ในฝ่ามือแน่นพลางป้อนพลังเข้าไปในจี้หยก ทันใดนั้นจี้หยกก็มีแรงกดดันอย่างรุนแรง กระทั่งผู้อาวุโสใหญ่ต้องคุกเข่าลงกับพื้น
หลังจากนั้นไม่นานสีหน้าของเขาก็เริ่มดีขึ้นเล็กน้อย
”จี้หยกนี่เป็นของแท้เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์อสูรเลียนแบบจี้หยกนี่ได้ องค์ราชาได้ผนึกพลังของพระองค์ไว้ในนั้นเป็นพิเศษ ขอเพียงสัตว์อสูรส่งพลังฉีแท้ของตนเข้าไป ก็จะสัมผัสได้ถึงพลังนี้ และพิสูจน์ได้ว่าเป็นจี้หยกแท้”