จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 966 -970
บทที่ 966 : ไป๋หยานกลับมาอีกครั้ง (2)
หวู่เสียงเม้มริมฝีปากพลางกล่าวประชดประชัน”อืม หญิงผู้นั้น และสัตว์อสูต่างก็เป็นคนทรยศ สำหรับคนทรยศเจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพด้วย และสำหรับหูไป่เว่ย … ข้าได้ยินมาว่าหญิงผู้นั้นขโมยจี้หยกของรักของบุตรสาวเขา”
ทุกคนหันมองหน้ากันแม้ว่าพวกเขาจะรังเกียจสัตว์อสูรอย่างมาก รวมถึงตระกูลหูด้วย แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดก็คือจะมีผู้ใดกล้าขโมยของจากตระกูลหู
สาเหตุที่ตระกูลหูสามารถตั้งหลักปักฐานในเมืองชายแดนแห่งนี้ได้นั้นเป็นเพราะตระกูลหูมียอดฝีมือระดับสูงจำนวนมาก เช่นนั้นการขโมยของจากตระกูลหู ก็ไม่ต่างจากการรนหาที่ตายใช่หรือไม่ ?
”หวู่เสียงอย่างไรก็ตามหูไป่เว่ยถูกจัดว่าเป็นคนเลวคนหนึ่งเลยนะ หลังจากที่เจ้าร่วมมือกับเขา เขาไม่ฆ่าเจ้าภายหลังจากที่สำเร็จภารกิจกระนั้นหรือ ?”
มีคนเอ่ยถามแทนความสงสัยของทุกคน
สัตว์อสูรและมนุษย์ในเมืองนี้มักจะไม่รักษาคำพูด พวกเขาฆ่าได้ก็ฆ่า ทว่า … หูไป่เว่ย ไม่ได้ทำเช่นนั้นกับหวู่เสียงทำให้ทุกคนงงงวยจริง ๆ
มือของหวู่เสียงสั่นเทาในความเป็นจริง หลังจากวันนั้น เขาก็กลัวมาก เมื่อหวนคิดถึงเรื่องนี้ คราหนึ่ง เขาเห็นหูไป่เว่ยออกมาเดินเล่น เขาถึงกับต้องเดินอ้อมหลบชายชราทันที ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าในวันนั้นเขาไปเอาความกล้ามาจากที่ใด เขาจึงกล้าชักชวนหูไป่เว่ยให้มาร่วมมือกับเขาได้
โชคดีที่หูไป่เว่ยยังคงไว้วางใจและไม่ได้ทำอะไรเขา
”ฮ่าฮ่าฮ่า”หวู่เสียงหัวเราะ “เจ้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดหูไป่เว่ยถึงมาที่เมืองชายแดน ข้าเองก็ไม่ทราบข้อมูลแน่ชัด แต่ข้าเพิ่งได้ยินมาว่า จุดประสงค์ของหูไป่เว่ยก็คือการพิชิตเมืองชายแดน เพื่อเป็นบรรณาการแก่ราชาแดนอสูร”
“อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาไม่ได้ต้องการมันแล้ว” หวู่เสียงถอนหายใจเบา ๆ “ ข้าเพิ่งได้ข่าวเมื่อวานนี้ว่า หูเหม่ย…บุตรสาวของหูไป่เว่ยกำลังจะได้เป็นพระสนมของราชาแดนอสูร”
ฝูงชนต่างถกเถียงกันอื้ออึง
เป็นเรื่องจริงที่พวกเขาเกลียดสัตว์อสูรทว่าในฐานะผู้ฝึกฝนวรยุทธก็ย่อมจะเกรงกลัวผู้แข็งแกร่ง
ผู้คนของแดนสวรรค์ในเมืองชายแดนแห่งนี้กล้าที่จะมีเรื่องกับสัตว์อสูรตัวอื่นทว่าก็ไม่กล้าแตะต้องเผ่าจิ้งจอก เพราะเกรงกลัวว่าจะเป็นการยั่วยุตระกูลของราชาอสูร
ด้วยเหตุที่พวกเขาได้ยินมาว่าราชาแห่งแดนอสูรนั้นเป็นยอดฝีมือระดับเทพ ! เช่นนั้นในเมืองชายแดนที่ถูกทิ้งร้างนี้ จึงไม่มีผู้ใดสามารถรับมือราชวงศ์แดนอสูร
”หวู่เสียงข่าวที่เจ้าว่าเป็นเรื่องจริงกระนั้นหรือ ?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
”ข่าวของข้าจะเป็นเท็จได้อย่างไร? ข้าได้ยินมากับหู ตอนที่หัวหน้าเผ่าอินทรีสนทนากับหูเหม่ยบนถนน ข้าได้ยินมาว่าหูเหม่ยเป็นผู้ช่วยชีวิตราชาอสูร ทั้งหูเหม่ยก็ยอมรับเรื่องนี้ จากคำพูดของสาวใช้ส่วนตัวนาง ไม่นานหูเหม่ยต้องได้เป็นพระสนมแน่ ๆ”
หวู่เสียงกรอกสุรารสเข้มลงคอพลางหัวเราะหึ ๆ “แม้ว่าข้าจะเกลียดสัตว์อสูร หากแต่ข้าก็ต้องยอมรับว่า สัตว์อสูรพวกนี้ให้ความสำคัญในเรื่องของความรัก และความยุติธรรมเสมอ ด้วยบุญคุณที่ช่วยชีวิต จึงไม่แปลกที่นางจะได้เป็นพระสนมของราชาสัตว์อสูร”
ครั้นได้ยินถ้อยคำของหวู่เสียงทุกคนก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ พวกเขาต่างก็คิดในใจว่าจะปฏิบัติต่อตระกูลหูเช่นไรดี ? เพราะถ้าพวกเขาไปแหย่รังแตนเข้า บางทีเมืองชายแดนทั้งหมดอาจจะไม่มีอยู่อีกต่อไป …
“หากมิใช่เพราะแดนสวรรค์ทอดทิ้งพวกเราพวกเราก็คงไม่ต้องอยู่อย่างรันทดเช่นนี้ แม้แต่สัตว์อสูรสักตัวก็ยังไม่กล้าจัดการเลย”
ชายหนุ่มคนหนึ่งถอนหายใจแววตาของเขาเต็มไปความสิ้นหวัง
หวู่เสียงกำลังจะกล่าวต่ออีกสองสามประโยคหากแต่มีเสียงดังปัง ประตูของโรงเตี๊ยมถูกเท้าข้างหนึ่งเตะออก ทำให้คนที่ยืนอออยู่หน้าประตูล้มลง โดยมีประตูกดทับอยู่ด้านบน
หวู่เสียงตบโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นยืน “ผู้ใดกันที่กล้ามาก่อปัญหาในโรงเตี๊ยมของข้า”
ด้านนอกโรงเตี๊ยมแสงแดดทอดเงาจากภายนอกเข้ามา
หญิงสาวในอาภรณ์สีแดงจูงมือเด็กหญิงตัวน้อยน่ารักน่าเอ็นดูเดินเข้ามาพร้อมกัน
สายลมพัดชุดสวยของนางปลิวสะบัดดวงอาทิตย์สาดส่องใบหน้างดงามของนาง เรือนผมดำขลับยาวสลวยราวผ้าไหมสยายล้อลม
บทที่ 967 : ไป๋หยานกลับมาอีกครั้ง (3)
ยามนี้ดูราวกับว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าอัศจรรย์ ทั้งโรงเตี๊ยมเงียบสงบ บางคนก็มองไปที่หญิงสาวผู้งดงามหาใครเทียบในอาภรณ์สีแดงด้วยแววตางงงัน
”เป็นเจ้านี่เอง”หวู่เสียงจำไป๋หยานได้ในแว่บแรกที่เห็น หัวใจของเขาสั่นไหว เขาคำรามออกมาด้วยความหวาดกลัว “เจ้ารอดมาได้อย่างไร ? สัตว์อสูรในภูเขาอสูรไม่ได้ฉีกเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ ไปแล้วรึ ?”
ไป๋หยานยิ้มอย่างเฉยเมย”เจ้ายังไม่ตาย ข้าจะตายได้อย่างไร ? หวู่เสียง วันนั้นที่เจ้าไล่ล่าข้า เจ้าคงคิดว่าเรื่องน่าที่จะจบลงแล้ว”
ใบหน้าของหวู่เสียงเปลี่ยนไปกะทันหันเขากำหมัดแน่น “ไม่มีประโยชน์ที่จะข่มขู่ข้า ในเมื่อวันนั้นข้าสามารถไล่ล่าเจ้าไปถึงภูเขาอสูรได้ ในวันนี้ข้าก็ทำเช่นเดิมได้”
ต่อให้นางคนนี้จะเป็นอัจฉริยะ? ทว่าเพียงเดือนเดียวนางจะพัฒนาไปได้สักแค่ไหนกัน ? อย่างมากก็ไปได้แค่ขั้นต้นของระดับเชิงเจี่ย อาจถึงขั้นกลางก็แค่นั้น
นอกจากนี้ในเมืองชายแดนแห่งนี้ยังมีมนุษย์ที่เป็นยอดฝีมือระดับสูงอยู่มากมาย ยังไม่ต้องกล่าวถึงตระกูลหูที่เกลียดชังนาง
ต่อให้ผ่านไป1 เดือน ทว่านางก็ยังคงกลับมารนหาที่ตายอีก !
”หวู่เสียงหญิงผู้นี้ คือหญิงที่เจ้าไล่ล่าตามฆ่าในวันนั้นน่ะหรือ ?” ชายวัยกลางคนหัวเราะหึ ๆ โดยไม่รู้สึกถึงความตึงเครียดของสถานการณ์เลย “เจ้านี่มันไม่มีเมตตาเลย แม่นางคนนี้สวยมากจริง ๆ เจ้ายังขับไล่นางไปสู่ภูเขาอสูรได้อีกหรือ ?”
มุมปากของเขายกโค้งสายตาของเขากวาดไปมองไป๋หยาน “แม่นาง หากเจ้ายอมเป็นผู้หญิงของข้า ข้าจะช่วยชีวิตเจ้า ทั้งจากนี้ไปเจ้าจะมีความร่ำรวยมั่งคั่งไม่รู้จบ”
แววตาเฉยเมยของไป๋หยานหันไปมองชายวัยกลางคนประกายเย็นเยือกฉายวาบในดวงตาดำขลับ
นางยังไม่ได้ขยับกายทว่าใบหน้าเสี่ยวหลงเอ๋อที่อยู่ข้าง ๆ นางเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว เสี่ยวหลงเอ๋อปล่อยมือของไป๋หยาน จากนั้นก็รีบพุ่งเข้าหาชายวัยกลางคนผู้นั้นทันที
ความเร็วของเสี่ยวหลงเอ๋อนั้นเร็วมากเร็วกระทั่งไม่มีผู้ใดตอบโต้ได้ทัน …
เสี่ยวหลงเอ๋ออ้าปากกว้างปากเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ของนางค่อย ๆ ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ นางกลืนชายวัยกลางคนผู้นั้นเข้าไปในคำเดียว จากนั้นนางก็เช็ดมุมปากภายหลังมื้ออาหาร ก่อนจะหันกลับมาทำหน้าซีดอย่างน่าสงสาร
”ท่านแม่ร่างกายของชายผู้นี้สกปรกมากเกินไป … ทำให้ท้องของข้าอึดอัดมากเลย”
ใบหน้าของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นมืดหม่น
“หลงเอ๋อแม่สอนเจ้าแล้วว่าอย่าได้กินอาหารซี้ซั้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนพวกนี้กว่าจะโตมาได้กินอะไรไปบ้าง ? เช่นคนที่เจ้าเพิ่งกินเข้าไปเมื่อกี้ ชอบกินแต่ของสกปรกร่างกายของเขาจึงมีแต่พลังเน่าเสียมากเกินไป เข้าใจหรือไม่ ดูเจ้าสิ กินเข้าไปทำให้ท้องอืดเลย”
เสี่ยวหลงเอ๋อก้มศีรษะลง”หลงเอ๋อรู้แล้วว่าหลงเอ๋อผิด จากนี้ไปหลงเอ๋อจะฆ่าคนเท่านั้น จะไม่กินคนแล้ว”
พลังของคนเหล่านี้ต่ำเกินกว่าที่จะช่วยในการพัฒนาของนางเช่นนั้นนางต้องเชื่อฟังท่านแม่ ต่อไปนางต้องเลิกกินคนซี้ซั้ว
เสี่ยวโม่ที่ตามมาข้างหลังจ้องมองเสี่ยวหลงเอ๋อด้วยดวงตาดำขลับไม่กะพริบ “เจ้านาย ข้าคิดว่าตอนที่พี่หลงเอ๋อกลืนคน … นั้นเป็นภาพที่สวยงามมาก”
ใบหน้าของโม่หลี่ชางพลันมืดมนลงเช่นกัน
แน่ใจหรือว่านั่นคือความงาม? ไม่ใช่น่ากลัวหรอกรึ ?
อย่างไรก็ตามในสายตาของเสี่ยวโม่แล้วเกรงว่าไม่ว่าเสี่ยวหลงเอ๋อจะทำอะไรก็จะแลดูสวยงามไปหมด …
”หยานหยานมีคนบอกว่าบุตรสาวพอโตแล้วก็วางใจไม่ได้ หากแต่ข้าคิดว่าหมูไว้ใจไม่ได้เสียล่ะมากกว่า น่าเสียดายที่หลงเอ๋อเป็นกะหล่ำปลีดอกงาม เจ้าหมูก็เลยไม่อาจเพิกเฉยต่อนาง”
ครั้นเสี่ยวโม่ได้ยินคำกล่าวของเจ้านายเขาก็เหลือบมองโม่หลี่ชางอย่างเศร้า ๆ พร้อมกับประท้วงอย่างอ่อนแรง “ข้าไม่ใช่หมู…ไม่ใช่หมู !”
ดูเหมือนหมูแต่ไม่ใช่หมู…
”ไม่!”
หวู่เสียงหายจากอาการตระหนกแล้วตอนนี้เขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสยดสยอง น้ำเสียงของเขาฟังดูดุร้าย : “นี่…ความแข็งแกร่งของมังกรเจ้าเพิ่มขึ้นอีกแล้วกระนั้นรึ ?”
บทที่ 968 : เป็นทาสของสัตว์อสูร (1)
เหตุที่เมื่อครู่นี้เขากล้าที่จะหยิ่งผยองนั่นก็เป็นเพราะเขารู้ระดับความแข็งแกร่งของไป๋หยาน และเสี่ยวหลงเอ๋อดี
ในเวลานั้นมังกรน้อยตัวนี้สามารถกลืนคนที่อยู่ขั้นต่ำของระดับเชิงเจี่ยได้เท่านั้นทว่าสำหรับเขาซึ่งอยู่ขั้นกลางนางทำอะไรไม่ได้ แล้วนี่ก็ผ่านไปเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น เหตุใดความสามารถของมังกรน้อยจึงพัฒนาขึ้นมากเช่นนี้ ?
”ตอนที่เจ้าไล่ล่าพวกเราข้าได้บอกแล้วว่า เจ้าคิดถึงผลที่จะตามมาในเวลานี้หรือไม่ ?” ไป๋หยานเดินเข้าไปใกล้หวู่เสียงอีกสองก้าว มุมปากของนางยกขึ้น รอยยิ้มพลันปรากฏ
หัวใจของหวู่เสียงแทบหยุดเต้นขณะที่นางย่างก้าวเข้ามาหา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเขาแสดงออกถึงความสยดสยอง เขารีบก้าวถอยหลัง กระทั่งกระแทกเข้ากับโต๊ะด้านหลังโดยไม่ตั้งใจ เครื่องดื่มหกลงบนพื้น
”หนี!”
คนอื่นๆ ในโรงเตี๊ยมต่างก็เหลือบมองกัน ก่อนจะวิ่งหนีออกไปข้างนอก
น่าแปลกที่เมื่อคนเหล่านี้หนีไปที่ประตูไป๋หยานกลับไม่สนใจ ทั้งไม่คิดที่จะหยุดยั้งพวกเขา
หวู่เสียงกัดริมฝีปากเขาวางแผนที่จะหนีออกไปพร้อมกับทุกคน ทว่า …
เพียงเขาเริ่มก้าวขาเขาก็เห็นคนที่หนีออกไปนอกโรงเตี๊ยมหวนกลับเข้ามาอีกครั้ง คนเหล่านั้นตกใจหวาดกลัวจนหน้าซีด
”เกิดอะไรขึ้น?” หวู่เสียงรีบคว้าคอเสื้อของชายหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมา เอ่ยถามหน้านิ่วคิ้วขมวด ยามนี้เขาแทบจะเสียสติ
เด็กหนุ่มร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว”สัตว์อสูร มีสัตว์อสูรมากมายอยู่ด้านนอกประตู … ”
”สัตว์อสูรเจ้าจะกลัวอะไร ? เจ้ามาจากตระกูลหูมิใช่หรือ ? ตระกูลหูกับหญิงผู้นี้มีความแค้นเคืองกัน อาจเป็นเพราะพวกเขาได้ยินมาว่าหญิงผู้นี้ยังไม่ตาย พวกเขาจึงมาคิดบัญชีกับนาง”
”ไม่… ไม่ใช่คนของสกุลหู”
”ว่าไงนะ?”
หวู่เสียงผงะไม่ได้มาจากตระกูลหู เช่นนั้นมาจากที่ใด ?
“เผ่าปักษา…เป็นสัตว์อสูรจำนวนมากจากเผ่าปักษาพวกเขาล้อมโรงเตี๊ยมนี้ไว้หมดแล้ว พวกเราทั้งหมดออกไปไม่ได้เลย”
ชายหนุ่มกลัวมากกระทั่งน้ำตาร่วง เหตุการณ์นี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการไล่ล่าในวันนั้น เหตุใดเขาถึงต้องมาดื่มที่โรงเตี๊ยมของหวู่เสียงในวันนี้ด้วยเนี่ย ?
ทำให้ชีวิตของข้าต้องมาเจอสถานการณ์เช่นนี้! ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้าเลย..
เหมือนไป๋หยานไม่ได้เห็นใบหน้าซีดเซียวหวาดกลัวของชายคนนั้นนางยังคงเดินเข้าไปใกล้หวู่เสียงอีกสองก้าว รอยยิ้มของนางนั้นเย็นชา
ครั้นเห็นรอยยิ้มที่เย็นชาของนางหวู่เสียงก็กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
จากนั้น…
เขาก็คุกเข่าลงกับพื้นต่อหน้าสายตาฝูงชน
“แม่นางโปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้กับแม่นางอีกแล้ว โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้าทำไปเพราะข้ามีตาหามีแววไม่ อย่าให้มังกรของเจ้ากินข้าเลย”
ชายคนนั้นก็อยู่ในขั้นกลางของระดับเชิงเจี่ยยังถูกมังกรน้อยกลืนลงท้องในคำเดียวโดยไม่ทันได้ตอบโต้ด้วยซ้ำ หากเปลี่ยนเป็นเขาซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันไปอยู่ตรงนั้นแทน เขาเองก็น่าที่จะประสบชะตากรรมเดียวกันเป็นแน่
ครั้นหวนนึกถึงภาพนั้นแล้วหวู่เสียงก็ไม่สนใจเรื่องศักดิ์ศรีอีกต่อไป เขาทำได้ทุกอย่าง หากจะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้
ไป๋หยานจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ หวู่เสียง “เจ้ากลับไปที่บ้านสกุลหู แล้วบอกพวกเขาด้วยว่าข้ากลับมาแล้ว”
”อ่า?” เด็กหนุ่มตกตะลึง ก่อนจะกลอกตาไปมาสองสามครั้ง
หญิงผู้นี้หมายความเยี่ยงไร? นางปล่อยให้เขาออกจากโรงเตี๊ยมใช่หรือไม่ ? แล้วเขาจะฉวยโอกาสหนีไปเลยได้หรือไม่ ?
อย่างไรก็ตามดินแดนนี้มีขนาดกว้างใหญ่มากเป็นไปไม่ได้ที่นางจะค้นหาทั้งดินแดน เพื่อตามล่าคนตัวเล็ก ๆ อย่างเขา เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาตายพร้อมกับหวู่เสียงที่นี่
”อย่าคิดหนีล่ะ”ไป๋หยานเม้มริมฝีปากพร้อมทีท่าเยาะเย้ย “ข้าจะให้เผ่าปักษานอกโรงเตี๊ยมติดตามเจ้าไป”
ใบหน้าของชายหนุ่มแข็งค้างเขาเบ้หน้าร้องไห้อีกครั้ง “ขอรับ ข้าจะแจ้งให้ตระกูลหูทราบ”
ถ้อยคำของไป๋หยานทำให้เขาไม่กล้าคิดหนีอีกหาไม่เขาอาจจะตายภายใต้กรงเล็บของเผ่าปักษา ก่อนที่เขาจะทันได้หนีออกจากเมืองชายแดนด้วยซ้ำ
บทที่ 969 : เป็นทาสของสัตว์อสูร (2)
ครั้นเด็กหนุ่มจากไปสายตาของไป๋หยานก็กวาดมองไปยังทุกคนที่ยังอยู่ในโรงเตี๊ยม นางเดินไปที่เก้าอี้สะบัดแขนเสื้อพลางนั่งเคาะนิ้วบนโต๊ะ
นางมองไปที่หวู่เสียงพร้อมรอยยิ้ม“เจ้าจำได้หรือไม่ว่า ผู้ใดบ้างที่ไล่ล่าข้าในวันนั้น ?”
หวู่เสียงก้มศีรษะลงโดยไม่กล่าวคำใด
“ไม่เป็นไรหากเจ้าไม่ต้องการจะพูด ทว่า … “ ไป๋หยานเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ก่อนจะเหยียดแขนออกดึงหลงเอ๋อน้อยที่อยู่ข้างกายเข้ามาในอ้อมแขน จากนั้นก็ใช้นิ้วลูบเรือนผมของเด็กน้อยเล่น พลางยกมุมปากขึ้นสูง
“พวกลูกน้องที่อยู่ด้านนอกของข้าหิวแล้วหากเจ้าไม่กลัวที่จะถูกพวกมันงาบ เจ้าก็ปกป้องคนพวกนั้นได้”
เสียงของหญิงผู้นั้นเย็นยะเยียบราวกับสายลมหนาวทว่าร่างของหวู่เสียงกลับสั่นสะท้าน เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ใบหน้าของเขาซีด “ข้า … ข้าพูดแล้ว … “
ทันใดนั้นหวู่เสียงก็บอกชื่อคนที่เขารู้จักทีละคน โชคดีที่เขามีความจำดีเป็นเลิศ เมื่อบอกชื่อคนเหล่านั้นออกมาจนหมด หวู่เสียงก็ก้มศีรษะลงอีกครั้ง เขาอยากจะซุกหัวลงไปในดิน
ยามนี้เขาไม่อาจต่อต้านใด ๆ ได้เลย เขาไม่กล้าหาญชาญชัยถึงเพียงนั้น เขารู้เพียงว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในอ้อมแขนของหญิงผู้นี้สามารถกลืนกินเขาได้ทุกเมื่อ
นิ้วของไป๋หยานสะบัดไปตามเส้นผมของเสี่ยวหลงเอ๋อริมฝีปากของนางยกโค้งข่มขวัญ น้ำเสียงของนางน่ากลัว ทั้งไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธได้
“ข้าให้เวลาสองเค่อ(30 นาที) รวบรวมคนเหล่านั้นมาให้หมด ! อย่าได้คิดหนีนะ ! แม้ว่าเจ้าจะหนีไปจนสุดขอบโลก ข้าก็สามารถติดตามหาเจ้าได้ !”
หัวใจของหวู่เสียงสั่นระริกใบหน้าซีด ๆ ของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“แม่นางแล้วหากพวกเขาไม่ยอมมากับข้าล่ะ”
ไป๋หยานเปลี่ยนมาอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนนางเงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มน้อย ๆ “ไม่เป็นไร…ลูกน้องของข้าจะตามเจ้าไป หากพวกเขาไม่ยอมมา คนของข้าก็จะจับตัวมาเอง เจ้าแค่นำทางไปก็พอ”
หวู่เสียงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มแหย ๆ ที่น่าเกลียดยิ่งเสียกว่าการร้องไห้
“แม่นาง…หากข้าช่วยตามหาคนพวกนั้นแล้วขอเจ้าปล่อยหมาน้อยอย่างข้าไปจะได้หรือไม่ ?”
ไป๋หยานเหลือบตามองเขาอย่างเบื่อหน่าย“ประการแรก สุนัขก็นับเป็นสัตว์อสูรในแดนอสูรเช่นกัน จงอย่าดูถูกสุนัข ประการที่สองเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะต่อรองกับข้า และประการที่สาม … อย่าลืมสิว่าเจ้าคือต้นเหตุทั้งหมด เพราะเจ้าคือผู้นำของพวกเขา หลังจากที่ข้าชำระบัญชีกับพวกเขาแล้ว ข้าจะปล่อยตัวการอย่างเจ้าได้อย่างไร ?”
ใบหน้าของหวู่เสียงซีดลงเรื่อยๆ เขารู้ว่าครั้งนี้ไป๋หยานจะไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ เป็นแน่
“ทว่า… ” ไป๋หยานหยุด รอยยิ้มบนริมฝีปากของนางยิ่งแข็งขึ้น
ก่อนที่นางจะกล่าวคำต่อไปนัยน์ตาของหวู่เสียงพลันสว่างไสวขึ้น เขาจ้องมองไป๋หยานด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
“ทว่า… “ ไป๋หยานกล่าวอย่างเมินเฉย “หากเจ้าไม่สามารถทำตามคำสั่งของข้าได้ ไม่ใช่แค่ความตายธรรมดา ๆ เท่านั้น ข้าจะทำให้เจ้าทรมานยิ่งกว่าความตายเสียอีก !”
ดวงตาที่สดใสของหวู่เสียงหลุบลงอีกครั้งราวกับว่าไฟแห่งความโทมนัสกำลังแผดเผาในใจของเขา ทำให้เขารันทดหดหู่เหลือเกิน
“แม่นางเพื่อท่านแล้ว ข้าจะตามหาคนเหล่านั้น”
เขายังคงมีประกายแสงสุดท้ายแห่งความหวัง
ไม่แน่… หากแม่นางคนนี้เห็นความสามารถที่ยอดเยี่ยมของเขา ครั้งนี้นางอาจจะปล่อยเขาไปก็เป็นได้ …
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้แล้วหัวใจของหวู่เสียงพลันลุกโชนด้วยไฟแห่งความหวังขึ้นอีกครั้ง เขารีบเดินออกจากประตูอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็หายลับไปจากสายตาของทุกผู้คนในโรงเตี๊ยม
ครั้นมองตามร่างของหวู่เสียงที่จากไปแล้วคนในโรงเตี๊ยมก็กลืนน้ำลาย ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ประจบประแจง “แม่นาง เรื่องเหล่านั้นเป็นฝีมือคนของหวู่เสียง พวกเราไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย ท่านปล่อยพวกเราออกไปจากที่นี่ก่อนจะได้หรือไม่ ?”
บทที่ 970 : เป็นทาสของสัตว์อสูร (3)
ไป๋หยานยกมือขึ้นไพล่ประสานกันรองต้นคอของนางพลางยิ้มน้อย ๆ ด้วยทีท่าเกียจคร้าน
“นับแต่ผนึกแดนอสูรถูกทำลายสงครามชายแดนระหว่างแดนสวรรค์กับแดนอสูร … ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด มือของพวกเจ้าต่างก็เปื้อนเลือดของสัตว์อสูรมาแล้วมากมายมิใช่รึ ?”
หัวใจของผู้คนในโรงเตี๊ยมสั่นสะท้านพวกเขาไม่เข้าใจว่าไป๋หยานหมายถึงอะไร ?
สัตว์อสูรเป็นสิ่งสกปรกแม้ว่าจะเข่นฆ่าสัตว์อสูรก็หาใช่เรื่องผิดไม่
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสัตว์อสูรชนชั้นสูงจำนวนมากที่ส่วนใหญ่ฆ่าตัวตายเองหลังจากถูกจับได้ เช่นนั้นแม้ว่ามือของพวกเขาจะเปื้อนเลือดไปบ้าง หากแต่พวกเขาก็ไม่รู้สึกผิดอะไรเลย
หากแต่…
เมื่อคิดได้ว่ามีสัตว์อสูรมากมายอยู่ข้างกายไป๋หยานพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะกล่าวคำเหล่านี้
ไป๋หยานวางหลงเอ๋อน้อยที่นั่งบนตักของนางลงบนพื้นจากนั้นนางก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ริมฝีปากสีแดงยิ้มเยาะอย่างเย็นชา
“น่าเสียดายข้าเองก็มีหน้าที่ต้องดูแลปกป้องสัตว์อสูร สัตว์อสูรในแดนอสูรทุกตัวล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า ตี้คังเองก็กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมการต่อสู้กับเหล่าเทพสวรรค์ เขาไม่มีเวลาสนใจเมืองชายแดนแห่งนี้ เช่นนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องจัดการเรื่องต่าง ๆ ที่นี่แทนเขา”
ทุกคนตกตะลึงนัยน์ตาที่ตกตะลึงของพวกเขาหันไปสบตาไป๋หยาน
ตี้คัง? เหตุใดชื่อนี้จึงได้คุ้นหูนัก ?
และ…
เมื่อกี้นางว่ากระไรนะ? ทำสงครามกับแดนสวรรค์กระนั้นรึ ? นี่ล้อเล่นใช่หรือไม่ ?
ดินแดนสวรรค์คืออะไร? พวกสัตว์อสูรจะสามารถต่อกรกับเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ในแดนสวรรค์ได้กระนั้นรึ ?
“แม่นางปล่อยพวกเราไปจะได้หรือไม่ ?”
ชายคนหนึ่งในชุดคลุมยาวผ้าลินินเอ่ยถามด้วยเสียงสั่น ๆ
เขาไม่สนใจว่าแดนอสูรต้องการจะทำอะไร? ตอนนี้ เขาเพียงอยากรู้ว่า เขาจะรอดชีวิตไปได้อย่างไร ?
“เจ้าไม่มีทางรอด”ไป๋หยานกล่าวพร้อมรอยยิ้มเย็นชา พลางจ้องมองชายในชุดคลุมที่ตั้งคำถามคนนั้น “เจ้าติดค้างเผ่าสัตว์อสูร เจ้าก็ต้องชดใช้ไปชั่วชีวิต เพื่อชดใช้พวกมันแล้ว ชีวิตนี้ของพวกเจ้าต้องตกเป็นทาสของแดนอสูร ! ตลอดชีวิตนี้จะไม่มีผู้ใดพ้นจากพันธนาการนี้ได้เลย !”
หากเจ้าเป็นหนี้ก็ต้องชำระคืนตลอดทั้งชีวิต !
คนทั้งหมดในแดนอสูรล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนางหากลูกน้องทำผิดนางจะลงโทษพวกมันเอง ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติพอที่จะแตะต้องคนของนางได้
ไม่ต้องกล่าวถึง…
สงครามพรมแดนที่ไม่มีสิ่งใดมากไปกว่า การต่อสู้ระหว่าง 2 ฝ่าย สัตว์อสูรต่างก็ต่อสู้เพื่อแดนอสูร เช่นนั้นนางจึงต้องล้างแค้นให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของนางที่ตายไป !
“แม่นางเจ้าสังหารข้าเสียยังจะดีกว่า”
ชายในชุดคลุมยาวร้องไห้หน้าแดงการเป็นทาสไปชั่วชีวิตเช่นนั้น ฆ่าเขาเสียเลยยังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยเขาก็พอจะมีช่วงเวลาดี ๆ หลงเหลืออยู่บ้าง
ไป๋หยานยกมือขึ้นทาบหน้าอกพลางเลิกคิ้ว“หลงเอ๋อ คนที่เจ้ากินไปเมื่อครู่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ?”
“อ้อ”เสี่ยวหลงเอ๋อกระพริบตา “หากท่านแม่ไม่ช่วยข้าย่อย ข้าเดาว่า ตอนนี้ข้าคงเพิ่งย่อยขาของเขาเอง บางที … เขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่”
“เช่นนั้นสำรอกออกมาก่อนจะได้หรือไม่?”
ไป๋หยานเลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม
เสี่ยวหลงเอ๋อเป็นเด็กดีที่ว่านอนสอนง่ายนางทำตามคำสั่งทันทีอย่างฉลาดเฉลียว นางอ้าปาก ปากเล็ก ๆ ของนางค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น ชายวัยกลางคนที่ถูกนางกลืนกินเมื่อครู่พลันถูกพ่นออกมา
ร่างกายของชายผู้นั้นยังคงเปื้อนน้ำลายและกรดในกระเพาะอาหาร ขาของเขาละลายไปเหลือเพียงโครงกระดูก ร่างของเขาเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาในของเหลวสีเขียวนั่น ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว เนื่องจากความเจ็บปวด
ฝูงชนเงียบลงชั่วขณะขนาดเข็มหล่นก็ยังได้ยิน
ชายคนนี้ยังมีชีวิตอยู่กระนั้นรึ?
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเขายังมีชีวิตอยู่มองดูตนเองละลายไล่จากขาขึ้นมาเรื่อย ๆ หากยังไม่ละลายไปถึงหัวใจ เขาก็จะยังคงไม่ตาย ?
ทว่ากระบวนการย่อยนี้ยาวนานมากภายใต้กระบวนการอันยาวนานนี้ เขาจะต้องอดทนต่อความเจ็บปวด และความหวาดกลัวมากเพียงไรกัน ?