จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 986-990
บทที่ 986 : ตี้คังมา (4)
“พี่สะใภ้”ตี้เสี่ยวอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึก พลางรีบแทรกตัวเข้ามาเพื่อกันตี้คังให้ถอยห่างออกไป ใบหน้าเล็ก ๆ ที่สวยงามของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แววตาของนางระยิบระยับราวกับดวงดาว “พี่คงจะเหนื่อยมากแล้ว ให้ข้าแบ่งเบาภาระของพี่นะ คนเหล่านี้ไว้ข้าจะจัดการเอง”
ไป๋หยานเลิกคิ้วพลางมองตี้เสี่ยวอวิ๋นพร้อมรอยยิ้ม
ตี้เสี่ยวอวิ๋นหันหน้าไปจ้องมองผู้ที่คุกเข่าอยู่ด้านล่าง“พวกเจ้าก็คือมนุษย์น่ารังเกียจที่เข้าร่วมกับพวกตระกูลหู มาข่มเหงพี่สะใภ้ของข้าใช่หรือไม่ ?”
หวู่เสียงคุกเข่าลงบนพื้นตัวสั่นงันงกแววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาคิดได้เพียง ไป๋หยานเป็นราชินีแห่งแดนอสูรจริง ๆ เท่านั้น
ครานี้เขาได้ตีรังแตนเข้าให้แล้ว
“ข้า… ข้าไม่รู้ว่านางเป็น … ”
“หุบปาก!” ตี้เสี่ยวอวิ๋นกำหมัด “องค์หญิงเช่นข้า ไม่สนใจว่าเจ้าจะตั้งใจหรือไม่ ทั้งไม่สนใจว่าผู้ใดจะถูกหรือผิด เจ้ามันชั่วช้านัก ! นอกจากนี้ พี่สะใภ้ของข้าทำอะไรก็ไม่มีวันผิด ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า พวกมนุษย์หน้าด้านกล้ารังแกพี่สะใภ้ข้า !”
ยิ่งนางพูดมากเท่าไหร่นางก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น ท้ายสุดนางก็อดไม่ได้ที่จะเตะหวู่เสียง
ครั้นหวู่เสียงต้องการรวบรวมพลังฉีเพื่อต่อต้านน้ำเสียงอันเยือกเย็นของตี้เสี่ยวอวิ๋นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“หากเจ้ากล้าต่อต้านองค์หญิงเช่นข้าข้าจะให้คนจับเจ้าโยนลงทอดในกระทะ”
ประโยคนี้ทำให้หวู่เสียงหวาดกลัวมาก กระทั่งไม่กล้าขัดขืน ครั้นถูกนางเตะ ร่างของเขาก็ลอยละลิ่วตกคว่ำลงมา เลือดไหลทะลักออกจากปากของเขา
ใบหน้าของเขาซีดเผือดเต็มไปด้วยความสยดสยองเขาเงยหน้าขึ้นมองตี้เสี่ยวอวิ๋น กล่าวคำใดไม่ออกอีก …
“ข้าจะฆ่าเจ้า…ไอ้สารเลว!”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นพุ่งตัวเข้าไปหาเท้าของนางกระทืบลงไปที่เป้าของหวู่เสียง ทันใดนั้นเสียงคร่ำครวญโหยหวนก็ดังก้องไปทั่วท้องฟ้ากระจายไปในสายลมฟังดูน่าตกใจอย่างยิ่ง
ใบหน้าของหวู่เสียงบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเหงื่อเย็น ๆ ชุ่มบนหน้าผาก เขากลิ้งไปมาอย่างหนัก พลางกัดริมฝีปากแน่น ขณะมองทุกคนในห้องด้วยความสิ้นหวัง
คนอื่นๆ ที่เคยเป็นปฏิปักษ์กับไป๋หยาน ครั้นได้เห็นชะตากรรมของหวู่เสียงก็หวาดกลัวเกินกว่าจะขยับตัวได้ พวกเขากลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก เพราะเกรงว่าคนต่อไปที่จะกลายเป็นคนไร้ทายาทจะเป็นพวกเขา …
ไป๋หยานยกมือขึ้นเท้าแก้มอย่างเงียบๆ พลางมองดูตี้เสี่ยวอวิ๋นที่ระดมกำปั้นเล็ก ๆ ของนางใส่หวู่เสียง มุมปากของไป๋หยานยกโค้งขึ้นเล็กน้อย “วันนี้ตี้เสี่ยวอวิ๋นไปโมโหอะไรมาเนี่ย ?”
“ไม่รู้สิ”ตี้คังส่ายหน้า “อาจเป็นเพราะท่านราชครูหายตัวไปกระมัง”
“ท่านราชครูและผู้อาวุโสสูงสุดยังไม่กลับมาอีกกระนั้นหรือ?” ไป๋หยานรู้สึกประหลาดใจ นางเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวต่อว่า “เนื่องจากการหายตัวไปของราชครู เสี่ยวอวิ๋นเลยหงุดหงิดกระนั้นรึ ? เช่นนั้นก็ดี ไว้รอให้ราชครูกลับมาก็ให้พวกเขาสมรสกันซะ”
ตี้คังยกยิ้ม“ข้าเองก็ตั้งใจเช่นนั้น”
ยามนี้ตี้เสี่ยวอวิ๋นที่กำลังลงมือทุบตีหวู่เสียง จู่ ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วไขสันหลัง กระทั่งเนื้อตัวสั่นสะท้าน นางสะบัดหน้าอย่างประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเอาใจไป๋หยานในครั้งนี้ จะทำให้ตี้คังเข้าใจผิดคิดว่านางหงุดหงิด เพราะการหายตัวไปของท่านราชครู เขาจึงตัดสินใจที่จะให้นางสมรสกับท่านราชครู
หากนางได้ยินเสียงกระซิบกระซาบระหว่างตี้คังกับไป๋หยานในตอนนี้บางที นางอาจร้องไห้ไม่ออกด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นไม่นานตี้เสี่ยวอวิ๋นก็รามือ นางลากหวู่เสียงที่กึ่งเป็นกึ่งตายกลับเข้าไปในห้องโถงไม่ต่างกับลากสุนัขที่ตายไปแล้ว นางปาดเหงื่อออกจากหน้าผากพลางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ข้าได้สั่งสอนไอ้สารเลวที่กลั่นแกล้งพี่ให้แล้ว จากนี้ก็ปล่อยให้พี่ชายของข้ารับไม้ต่อก็แล้วกัน”
ไป๋หยานหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาก่อนจะโยนให้ตี้เสี่ยวอวิ๋น “เช็ดมือของเจ้าซะ อย่าปล่อยให้มือขาวสวยของเจ้าสกปรก”
นัยน์ตาของตี้เสี่ยวอวิ๋นเป็นสีแดงมีหยาดน้ำตาเอ่อเต็มนัยน์ตา “พี่สะใภ้พี่ใจดีกับข้ามากเลย”
บทที่ 987 : พิชิตเมืองชายแดน (1)
ไป๋หยานกวาดตามองตี้เสี่ยวอวิ๋นก่อนจะหันไปจับจ้องมองหวู่เสียงที่แลดูเหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง นางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “รสชาติเป็นเช่นไรบ้าง ?”
หวู่เสียงอาเจียนเป็นเลือดเขานอนอยู่กับพื้น ไม่สามารถขยับตัวได้ เขาทำได้เพียงมองไป๋หยานด้วยสายตาสิ้นหวังและวิงวอน
ไป๋หยานหันไปมองคนอื่นๆ อีกครั้ง
ทุกคนที่เห็นสายตาของนางถึงกับตัวสั่นต่างก็รีบลดศีรษะลง เพราะเกรงว่าไป๋หยานจะสังเกตเห็นพวกเขา
”ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ก็เพียงเพื่อให้โอกาสรอดชีวิตแก่พวกเจ้า”
นางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ริมฝีปากของนางเม้มจิก ยิ่งแลดูโดดเด่นและน่าหลงใหล สายตาของนางกวาดมองฝูงชน แววตาของนางมีกลิ่นอายของเจ้าผู้ครอบครองโลกใบนี้
หัวใจของทุกผู้คนสั่นไหวในหัวของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ถึงเวลานี้พวกเขายังมีโอกาสรอดอีกกระนั้นหรือ ?
ไป๋หยานยิ้มน้อยๆ “ข้าคิดว่า…ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนคงรู้แล้วว่า เกิดอะไรขึ้นในโรงเตี๊ยม หากพวกเจ้าต้องการมีชีวิตรอด พวกเจ้าควรทำสัญญากับหลงเอ๋อซะ หาไม่ วันนี้พวกเจ้าก็ต้องกลายเป็นอาหารในท้องของนาง”
หากเจ้าต้องการที่จะรอดก็มีทางเดียวนั่นคือการยอมเป็นทาสของสัตว์อสูรพวกนี้
ทุกคนตกใจมากพวกเขาหันไปมองเสี่ยวหลงเอ๋อที่กำลังกินผลไม้อยู่ข้าง ๆ จากนั้นก็หันไปมองหญิงสาวแสนสวยที่มีรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
”ข้า…”
คนผู้นี้เพียงอยากจะพูดทว่าก่อนที่เขาจะทันพูดจบน้ำเสียงเย็นชาก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
”เแม่นางในวันนั้น เป็นหวู่เสียงกับตระกูลหูที่ร่วมมือกันตามล่าเจ้า ข้าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเลย แม่นางตามข้ามาก็ไม่มีประโยชน์อันใด ? ข้าต้องขอตัว”
ไป๋หยานชำเลืองตามองก่อนจะหันมาจ้องใบหน้าชราท่ามกลางฝูงชน
ชายชราคนนี้เป็นหนึ่งในยอดฝีมือขั้นสูงระดับเชิงเจี่ยเพียงไม่กี่คนในเมืองชายแดนแห่งนี้! เขามีชื่อว่า ‘เหอหลิง’
เดิมทีเมืองชายแดนนี้ไม่ต่างจากอาณาจักรในปกครองของเขา ทว่าวันนี้สัตว์อสูรกลุ่มนี้กลับบุกเข้ามายึดครองเมืองชายแดนทั้งหมด ทั้งยังลากเขาที่กำลังนอนกกนางบำเรอลงจากเตียง
เช่นนี้เขาจะรับได้อย่างไร?
ทั้งมาคิดๆ ดูแล้ว หวู่เสียงกับคนอื่นต่างหากที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย เหตุใดเขาถึงต้องอยู่ที่นี่ด้วยเล่า ?
”ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่มันจะไม่เกียวข้องอะไรกับเจ้าได้อย่างไร ?” ศีรษะของไป๋หยานเอียงน้อย ๆ ซบไหล่ของตี้คัง นางยกริมฝีปากขึ้นยิ้มเล็กน้อยขณะมองเหอหลิง “เมืองนี้อยู่ใกล้กับแดนอสูรและแดนสวรรค์มาก เช่นนั้นข้าก็เลยรู้สึกสนใจเมืองชายแดนแห่งนี้ขึ้นมา และเจ้าก็คือผู้นำของเมืองชายแดนนี้ ข้าก็เลยอยากพบเจ้าไง”
หัวใจของเหอหลิงกระตุกวูบความรู้สึกวิตกกังวลปรากฏชัดบนใบหน้าชราของเขา สีหน้าของเขาซีดลงเล็กน้อย เขาเอ่ยถามว่า “นี่เจ้าหมายความเช่นไร ?”
”ข้าหมายความเช่นไรกระนั้นรึ ? … ก็ง่าย ๆ เจ้าเพียงทำสัญญากับหลงเอ๋อ ข้าต้องการให้เมืองนี้เป็นอาณาจักรของข้า !”
ข้าต้องการให้เมืองนี้เป็นอาณาจักรของข้า!
เสียงของหญิงผู้นั้นน่าตกใจมากกระทั่งทุกคนในที่นั้นตัวสั่นงันงก
เมืองชายแดนแห่งนี้แม้ไม่อาจเทียบได้กับแดนอสูร และแดนสวรรค์ทว่าก็ทรงพลังมาก ! หญิงผู้นี้กลับเอ่ยปากต้องการให้เมืองชายแดนแห่งนี้เป็นอาณาจักรของนาง ?
นางเป็นแค่คนที่กระทำสิ่งชั่วร้ายโดยอาศัยพลังของราชาอสูรหนุนหลังทว่ากลับกล้าดีถึงเพียงนี้ หากนางไม่มีสัตว์อสูรพวกนี้ต่อไปนางยังจะทำอะไรได้อีก ?
”แม่นางเจ้าล้อข้าเล่นกระนั้นหรือ ?” เสียงของเหอหลิงสั่นสะท้าน ร่างของเขาพลอยสั่นสะท้านไปด้วย”
ในสมัยโบราณสัตว์อสูรเป็นทาสของมนุษย์ต่อมาพวกมันก็สร้างแดนอสูร ทั้งพยายามต่อต้านแดนสวรรค์ ทว่า … ในสายตาของมนุษย์แล้ว ก็ยังคงเห็นสัตว์อสูรเป็นทาสอยู่ร่ำไป !
บทที่ 988 : พิชิตเมืองชายแดน (2)
สายตาที่เย็นชาของไป๋หยานจ้องมองเหอหลิงนางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ ฝ่ามือของนางเหยียดออก เดือยกระดูกปรากฏขึ้นในมือของนางพร้อมกลิ่นอายที่เย็นยะเยือก
“เช่นนั้น…ข้าจะให้เจ้าดูสิว่าข้ามีคุณสมบัติพอที่จะพิชิตเมืองนี้หรือไม่ ?”
ทันทีที่ประโยคนั้นจบลงร่างของไป๋หยานพลันวาบหาย
ทันใดนั้นลมหายใจที่เย็นยะเยือกก็กระทบด้านหลังของเหอหลิงทำให้ร่างของเขาแข็งทื่อ เขาหันกลับไปทันที พร้อมกับฟาดฝ่ามือโจมตีไปด้านหลัง
ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เดือยกระดูกแหลมจะแทงทะลุฝ่ามือของเขาเลือดไหลออกจากฝ่ามือหยดลงสู่พื้น เพียงไม่ช้าพื้นก็ชโลมไปด้วยเลือด
หากเขาไม่ใช้ฝ่ามือกันไว้เมื่อครู่เกรงว่าเดือยกระดูกนี้อาจจะแทงทะลุหน้าอกของเขาไปแล้ว
เมื่อนึกได้เช่นนั้นเหอหลิงก็ตกใจกลัว กระทั่งขนลุกไปทั่วตัว เขามองหญิงงามที่มีรอยยิ้มพิมพ์ใจบนใบหน้าอย่างระแวดระวัง
”ข้าไม่รู้ว่า…สิ่งนี้พอจะทำให้เจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่าเจ้ามีฐานะใด?” ไป๋หยานยิ้มเยาะ สายตาของนางกวาดมองทุกคน ยามนี้น้ำเสียงของนางกดขี่คุกคาม ทั้งยังเอ่ยกล่าวอย่างเย็นชา “หรือพวกเจ้าก็อยากโดนด้วย ?”
ครั้นไป๋หยานตั้งคำถามเช่นนี้พวกเขาก็เข้าใจความหมายได้ทันที ทุกคนหันมองหน้ากันราวกับจะตกลงใจร่วมกัน
”แม่นางที่เหอหลิงกล่าวมาไม่ผิด พวกเราเป็นคนของแดนสวรรค์ พวกเราไม่อาจเข้าร่วมกับแดนอสูรได้ ! และเนื่องจากคนเหล่านี้กระทำผิดต่อเจ้าก่อน ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดพวกเราจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่หากเจ้าต้องการยึดครองเมืองชายแดนทั้งหมด พวกเราเกรงว่าพวกเราคงไม่มีทางเห็นด้วย”
”ใช่…หากต้องการให้พวกเราเป็นทาสของสัตว์อสูรพวกเราไม่มีทางเห็นด้วยอย่างเด็ดขาด”
อั๊ก!
ทันใดนั้นเปลวไฟก็พวยพุ่งออกมาจากด้านหลังท่วมร่างของคนที่พูดเป็นคนสุดท้ายร่างกายของเขาพลันมอดไหม้อย่างรวดเร็ว แม้แต่วิญญาณก็ดูเหมือนจะเต้นเร่า ๆ ภายใต้การเผาไหม้ของเปลวเพลิง
”อ๊าก!”
เสียงร้องของชายคนนี้ยิ่งฟังก็ยิ่งปวดร้าวราวกับหัวใจแตกสลายเขากลิ้งตัวไปมากับพื้น เปลวไฟยิ่งทวีความร้อนแรงมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นเพียงไม่นานเขาก็กลายเป็นขี้เถ้า แม้แต่วิญญาณของเขาก็ลอยหายไป
ถูกต้องทุกผู้คนต่างก็เห็นวิญญาณของคนผู้นี้ลอยลับไปกับตาไม่เหลือแม้ร่องรอย
หากเพียงแค่ความตายพวกเขาก็ยังมีโอกาสกลับชาติมาเกิด แต่หากวิญญาณของพวกเขากระจัดกระจายแตกสลาย สิ่งที่รั้งรอพวกเขาอยู่ก็คือความตายชั่วนิรันดร์
ทุกคนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากขณะมองไปที่ชายหนุ่มเรือนผมสีเงินที่นั่งอยู่บนที่สูงด้วยสายตาหวาดกลัว แม้แต่เหอหลิง และยอดฝีมือคนอื่น ๆ ก็ไม่มีข้อยกเว้น ดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นกลัว
ปีศาจ!
ชายผู้นี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าปีศาจอย่างน้อยปีศาจก็ยังยอมปล่อยดวงวิญญาณ ทว่าชายผู้นี้กลับทำลายโอกาสในการกลับชาติมาเกิดของคน ๆ หนึ่งเลยทีเดียว !
มือของชายหนุ่มวางอยู่บนที่เท้าแขนเก้าอี้อย่างเกียจคร้านน้ำเสียงเย็นชาของเขาทรงอำนาจ นัยน์ตาของเขาเย่อหยิ่งโอหัง ขณะกวาดมองผู้คนทั้งมวล
“ที่ราชินีของข้ากล่าวไปเมื่อครู่พวกเจ้ายังมีข้อขัดข้องอีกหรือไม่ ?”
มุมปากของเหอหลิงกระตุกความตายไม่น่ากลัว ทว่าสิ่งที่น่ากลัวก็คือวิญญาณกระจัดกระจาย
พวกเขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าราชาอสูรแห่งแดนอสูรนั้นโหดเหี้ยม ไร้มนุษยธรรมมากเพียงใด ดูเหมือนว่าคำกล่าวเหล่านั้นจะไม่เกินความจริงเลย ไม่ใช่เพียงถ้อยคำที่ใช้เพื่อข่มขู่ให้ผู้คนกลัวเฉย ๆ เป็นแน่ !
ในยามนี้ทุกคนเห็นแต่คาวเลือดและความโหดร้ายของสัตว์อสูร หากแต่พวกเขาหลงลืมไปแล้วว่าหลายปีที่ผ่านมามนุษย์ปฏิบัติต่อสัตว์อสูรเช่นไร
แล่เนื้อเถือหนัง ควักปอด ควักไส้ ควักหัวใจ หรือแม้กระทั่งเลาะเกล็ดของสัตว์อสูรทั้งเป็น ๆ เนื่องจากในสายตาของพวกเขา สัตว์อสูรไม่ใช่มนุษย์ เช่นนั้นพวกเขาจึงทำทุกอย่างได้อย่างที่ใจอยากจะทำ ทั้งไม่มีสำนึกรู้สึกผิด
ทว่ากับสัตว์อสูรแล้วเพียงพวกมันกินมนุษย์เข้าไปสักคนก็แลดูโหดร้ายมากในสายตาของพวกมนุษย์ ทั้งมันก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้
บทที่ 989 : พิชิตเมืองชายแดน (3)
ทว่า…
ไม่ว่าพวกเขาจะโกรธมากเพียงใดมันก็เป็นเพียงความรู้สึกในใจ พวกเขาไม่กล้ากล่าวคำใดอีก เพราะเกรงว่าคนต่อไปที่จะต้องสูญเสียดวงวิญญาณจะกลายเป็นพวกเขาเอง
“ข้ามีทางเลือกเดียวให้พวกเจ้า”ไป๋หยานยกยิ้มเล็กน้อยพลางมองคนกลุ่มนั้นอย่างดูหมิ่น “หนึ่งเป็นทาสของสัตว์อสูร หรือพบจุดจบที่น่ากลัวยิ่งกว่าความตาย”
เหอหลิงและทุกคนลดศีรษะลงพลางครุ่นคิดชั่วขณะ ในที่สุดก็ถอนหายใจเล็กน้อย
”ที่ผ่านมาอาณาจักรสวรรค์ทอดทิ้งข้าทว่าข้าก็ยังภักดีต่อแดนสวรรค์เสมอมา ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อรักษาชีวิตแล้ว เหตุใดจึงต้องลังเล ?”
ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่เพียงความตาย ทว่ายังรวมไปถึงจิตวิญญาณดับสลายด้วย
ในเมื่อแดนสวรรค์ไม่ต้องการพวกเขาเหตุใดพวกเขาจึงต้องภักดีต่ออาณาจักรสวรรค์
”ตกลงข้ายอมทำสัญญาเป็นทาสของแดนอสูร”
เขาหลับตาลง
ในขณะที่เขาตัดสินใจเช่นนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมีอายุแก่ลงไปอีกหลายปี แม้แต่หลังก็ยังค่อมลงเล็กน้อย
เหอหลิงยอมรับแล้วส่วนคนอื่นต่างก็หวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการข่มขู่ของไป๋หยาน พวกเขาก็จำใจยอมรับข้อเสนอนั่นอย่างเงียบ ๆ
ไป๋หยานเงยหน้าขึ้นนางหันไปมองเสี่ยวหลงเอ๋อ “หลงเอ๋อน้อย ทำพันธะสัญญาทาสกับคนเหล่านี้ด้วย”
”ได้เลย”
เสี่ยวหลงเอ๋อคายอาหารในปากของนางก่อนจะเดินลงมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า รอยยิ้มของนางสดใส นางเอานิ้วจิ้มริมฝีปากสีแดงของตน พลางมองไปรอบ ๆ
สุดท้ายนางก็จับจ้องมองเหอหลิง และเหล่ายอดฝีมือคนอื่น ๆ
”ท่านแม่คนพวกนี้ยอมเป็นทาสหมดเลยหรือ? เสียดายจัง”
”เสียดายอะไร?” ไป๋หยานเลิกคิ้วเอ่ยถามอย่างงงงวย
ปากของเสี่ยวหลงเอ๋อเบ้อย่างน่าสงสาร“เพราะหลงเอ๋อรู้สึกว่าคนเหล่านี้ดูท่าจะอร่อยดี จึงน่าเสียดายที่ปล่อยให้พวกเขาอยู่เป็นทาส”
เดิมทีพวกผู้ใหญ่เหล่านั้นต่างก็รู้สึกเสียใจที่ต้องรอคอยให้เสี่ยวหลงเอ๋อมาทำสัญญาอย่างเงียบๆ
ทว่าด้วยวาจาแบบเด็กๆ ของเด็กหญิงน้อย กลับทำให้ทุกคนหน้าซีด พวกเขาก้าวถอยหลังสองสามก้าวด้วยความหวาดกลัว
ผู้ใดจะจินตนาการได้ล่ะว่าเด็กน้อยเยี่ยงนางจะกล่าววาจาโหดร้ายด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาเช่นนั้นได้ ?
ทว่าเด็กน้อยคนนี้ถึงจะสวยและน่ารักเพียงใด ? ก็เห็นได้ชัดว่านางเป็นอสูรน้อย !
”แม่นางเจ้าล้อพวกเราเล่นงั้นหรือ ?” เหอหลิงแลดูโกรธเล็กน้อย “เราทุกคนต่างสัญญาว่าจะเป็นทาสสัตว์อสูร เหตุใดจึงจะให้นางกินพวกเราอีกล่ะ ?”
ใบหน้าของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นสีเข้มมุมปากของนางกระตุกสองสามครั้ง ก่อนที่นางจะหันไปจ้องมองเหอหลิงและคนอื่น ๆ ด้วยความโกรธ ไม่นานใบหน้าของนางก็กลับคืนสู่ความสงบ
“บุตรสาวบุญธรรมของข้าตะกละมากหากพวกเจ้าเชื่อฟัง ข้าก็จะไม่ให้นางกินพวกเจ้า แต่หากพวกเจ้าไม่เชื่อฟัง … ข้าเกรงว่า พวกเจ้าอาจได้กลายเป็นอาหารของบุตรสาวบุญธรรมของข้าแน่”
เสี่ยวหลงเอ๋อกัดนิ้วของตนนางยังรู้สึกว่า น่าเสียดายที่ปล่อยให้คนเหล่านี้เป็นทาส ทำให้นางไม่ได้ลิ้มรสของยอดฝีมือระดับเชิงเจี่ยขั้นสูง …
”หลงเอ๋ออย่าสร้างปัญหา” ไป๋หยานมองดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากกินของเสี่ยวหลงเอ๋อ พลางขมวดคิ้วน้อย ๆ “หากไม่เชื่อแม่ ประเดี๋ยวเจ้าก็ท้องอืดอีกหรอก”
”อ้อ”
เสี่ยวหลงเอ๋อกลืนน้ำลายพลางพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“ข้าเชื่อฟังท่านแม่”
ตั้งแต่ได้ลิ้มรสชาติของคนนางก็ไม่สามารถปฏิเสธสิ่งล่อใจนี้ได้เลย หากแต่เมื่อท่านแม่ของนางไม่อยากให้นางกิน นางก็จะเชื่อฟังท่านแม่ ทั้งจะไม่ทำให้ท่านแม่โกรธ
“เอาล่ะ…ตอนนี้เจ้าไปทำพันธะสัญญากับคนเหล่านั้นได้แล้ว”
ไป๋หยานคลายคิ้วที่ขมวดมุ่นของนางพลางลูบศีรษะเสี่ยวหลงเอ๋อพร้อมรอยยิ้ม เอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
เสี่ยวหลงเอ๋อเชื่อฟังเป็นอย่างดีนางปล่อยพลังจิตออกไปราวกับภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับทุกคนในที่นั้น
ตอนแรกเนื่องจากมีคนที่อยู่ในระดับเชิงเจี่ยขั้นสูงหลายคน จึงเป็นการยากที่จะทำพันธะสัญญากับยอดฝีมือเหล่านี้ด้วยความแข็งแกร่งระดับเสี่ยวหลงเอ๋อ เมื่อพวกเขารู้สึกได้ว่ามีพลังบางอย่างบุกรุกเข้าสู่ร่างกายของพวกเขา พวกเขาก็เริ่มต่อต้านโดยสัญชาตญาณ
บทที่ 990 : พิชิตเมืองชายแดน (4)
น่าเสียดายเนื่องจากการปรากฏกายของตี้คัง กลิ่นอายของตี้คัง ทำให้พวกเขาไม่สามารถขับไล่พลังของเสี่ยวหลงเอ๋อได้ และเมื่อเพิ่มพลังผลักดันลงไปอีก ก็ยิ่งทำให้ความต้านทานเดิมของพวกเขาอ่อนลง กระทั่งปล่อยให้เสี่ยวหลงเอ๋อทำสัญญากับพวกเขาจนสำเร็จ
หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวหลงเอ๋อก็ถอนพลังจิต นางหันกลับไปมองไป๋หยานพร้อมรอยยิ้ม “ท่านแม่ ข้าทำงานให้ท่านสำเร็จแล้ว”
”ดีแล้วแม่จะให้รางวัลเจ้าภายหลัง” ไป๋หยานลูบศีรษะเสี่ยวหลงเอ๋อ พลันรอยยิ้มสดใสก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง
ใบหน้าของเสี่ยวหลงเอ๋อแดงระเรื่อนางซุกศีรษะเข้าไปในอ้อมแขนของไป๋หยาน มือของนางดึงแขนเสื้อไป๋หยานแน่น น้ำเสียงของนางอ่อนโยน
“ข้าไม่อยากได้รางวัลท่านแม่คือรางวัลที่ดีที่สุดที่ข้าเคยได้รับ”
ในอดีต…นางไม่ได้รับความเอ็นดูจากบิดาทั้งไม่เคยได้รับความรักจากมารดา ส่วนญาติ ๆ เหล่านั้นก็ปฏิบัติกับนางไม่ดีเลย ราวกับนางเป็นเพียงสาวใช้ โชคดีที่สวรรค์ไม่ทอดทิ้งนาง สวรรค์ส่งไป๋หยานมาเป็นแม่บุญธรรมของนาง ทำให้นางได้รับรู้ถึงความรักในครอบครัวอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน โดยเฉพาะความรักจากมารดา
เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้นางจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาแย่งท่านแม่ไปเด็ดขาด !
ประกายแสงแน่วแน่ฉายวาบผ่านนัยน์ตากลมโตของเสี่ยวหลงเอ๋อนางดึงแขนเสื้อของไป๋หยานแน่นขึ้น
ในตอนนี้เสี่ยวหลงเอ๋อยังไม่รู้ว่าหลายปีต่อมา ไป๋หยานจะถูกบังคับให้ทิ้งนางไปจริง ๆ ความโกรธและความเสียใจของนางทำให้แดนสวรรค์แปรเปลี่ยนกลายเป็นขุมนรก ทั้งผู้คนก็ไม่อาจเหลือชีวิตรอด
ทว่านางไม่สนใจนางยืนยันที่จะทำตามใจตนเอง กระทั่งนางเกือบจะกลายเป็นอสูรทำลายล้างโลก …
”หยานเอ๋อ”ตี้คังเหลือบมองหลงเอ๋อน้อยที่กำลังอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของไป๋หยาน จากนั้นก็จ้องมองใบหน้าที่งดงามของไป๋หยาน เขายกยิ้มขึ้นน้อย ๆ “มานี่สิ”
ไป๋หยานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ ดันตัวหลงเอ๋อน้อยในอ้อมแขนของนางออก พลางเดินไปหาตี้คัง
ตี้คังปฏิเสธที่จะให้โอกาสนางได้พูดเขาคว้าข้อมือของนางรั้งกายนางเข้าสู่อ้อมแขน นิ้วเรียวงามของเขาลูบไล้เรือนผมของนาง รอยยิ้มของเขาช่างน่าทึ่ง ราวกับเทพบุตรซาตานที่รูปงามไร้ผู้ใดเทียบ จนทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจ
”หยานเอ๋อประสงค์จัดการกับคนที่ทำร้ายเจ้าอย่างไร ?”
ครั้นหวู่เสียงซึ่งแกล้งทำเป็นตายได้ยินเช่นนั้นเขาก็ตกใจจนแทบจะลุกขึ้นจากพื้น
หากแต่เขาก็พยายามต่อต้านแรงกระตุ้นยังคงแกล้งนอนอยู่กับพื้น ทว่าก็ปรือตาขึ้นเล็กน้อยลอบมองบุรุษและสตรีที่นั่งอยู่ด้านบน
ไป๋หยานลูบคางพลางยิ้มน้อยๆ “ข้าคิดว่าออกจะง่ายเกินไปที่จะให้เขาเป็นทาส … ”
”หือ?” ตี้คังเลิกคิ้ว “เช่นนั้นหยานเอ๋อมีแผนกระไรรึ ? ราชารอฟังอยู่”
“เมื่อครู่เขาถูกตี้เสี่ยวอวิ๋นเตะไปแล้ว ทว่าสัตว์อสูรบางตัวในแดนอสูรของเราก็มีงานอดิเรกแปลก ๆ เหตุใดท่านไม่ส่งเขาไปให้สัตว์อสูรเหล่านั้นล่ะ ?
ไป๋หยานยกริมฝีปากขึ้นเอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ครั้นบทสนทนาดังกล่าวจบลงหวู่เสียงก็ไม่สามารถแสร้งทำเป็นตายได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คุกเข่าต่อหน้าไป๋หยานพร้อมกับร้องห่มร้องไห้อย่างขมขื่น
“นายหญิง…ให้ข้าทำพันธะสัญญากับเด็กน้อยคนนี้ก็ได้ข้าก็จะมิอาจขัดขืน ข้าจะเป็นทาสที่ดี ทั้งซื่อสัตย์ของสัตว์อสูร อย่าให้ข้า … อย่าให้ข้าต้องเป็นเพื่อนเล่นของสัตว์อสูรวิปริตเหล่านั้นเลย”
หากจะพูดให้ฟังดูดีก็คือเพื่อนเล่น แต่หากพูดตรง ๆ ก็คือต้องตอบสนองความต้องการของบรรดาสัตว์อสูรที่ชื่นชอบผู้ชายพวกนั้น
หวู่เสียง…จะยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
แววตาของไป๋หยานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม”ข้ายังไม่ลืมว่า เจ้าเป็นคนยั่วยุให้เกิดการต่อสู้ครั้งก่อนนี้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหูหรือคนอื่น ๆ ก็เป็นเพียงผู้ให้การช่วยเหลือเจ้า ทว่าเจ้าคือตัวการแท้จริงของเหตุการณ์ครั้งนั้น แม้แต่ตระกูลหูเองก็ยังไม่อาจพ้นจากความตายไปได้ เจ้ายังคิดจะมีชีวิตรอดโดยไม่ต้องชดใช้อะไรเลยกระนั้นรึ ?”