ฉันนี่แหละจ้าวนรก - ตอนที่ 18
บทที่ 18 เยี่ยมเยียน
“เธอทำอย่างนี้เพื่อประท้วงงั้นเหรอ?” ฉินเย่เคาะขอบโทรศัพท์อย่างใช้ความคิดก่อนที่เขาจะกดรับสายในที่สุด
เขาเปิดเสียงออกลำโพง แต่มันกลับไม่มีเสียงใด ๆ ราวกับว่าโทรศัพท์ของเขาเชื่อมต่ออยู่กับหุบเหวลึกไร้ก้นในนรก
ทุกอย่างพลันเงียบกริบอย่างไม่น่าเชื่อ จากนั้นอีกราวยี่สิบวินาทีต่อมา ในที่สุดฉินเย่ก็ได้ยินเสียงแรกที่ดังออกมาจากโทรศัพท์
มันเป็นเสียงของน้ำหยด
ความจริงก็คือ มันเป็นเสียงน้ำหยดที่หยดลงจากกลางอากาศแล้วกระทบพื้น
ติ๋ง ๆ ๆ จังหวะน้ำหยดฟังดูเงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ ทว่าชวนขนลุกในขณะเดียวกัน
“คร่อกกก….คร่อกกกกกกก….” จากนั้นก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังมาจากโทรศัพท์ มันเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่มันเป็นเสียงพึม ๆ ที่ดังอย่างต่อเนื่อง
มันฟังดูเสียงอึกอักอย่างสิ้นหวังที่ออกมาจากคนที่ถูกขังในคุกเป็นเวลาหลายทศวรรษและไม่ได้ดื่มน้ำมานาน เป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอตีบตัน แทบจะเหมือนเสียงเศษแก้วที่เสียดสีซึ่งกันและกัน
“เฮ้ที่รัก มันไม่เท่เลยนะ” ฉินเย่ตอบกลับในที่สุด
“หยุดใช้วิธีหลอกหลอนล้าสมัยจากยุคเก้าศูนย์ซะที? ทนฟังไม่ได้เลย อย่าเข้าใจฉันผิดนะ…ฉันไม่ได้จะแซะเธอ แต่ในฐานะที่เธอเป็นผียุคปัจจุบัน ไม่คิดเหรอว่าเธอควรทันสมัยเสียหน่อย? คิดยังไงถึงเลียนแบบเสียงจากหนังสยองขวัญน่ะ? ที่สำคัญเลยคือ เธอได้ขอลิขสิทธิ์มาจากคุณจูออนหรือยัง?”
“อย่า…” เสียงทุ้มต่ำแหบแห้งดังมาจากปลายสาย มันขาดห้วงราวกับว่าใครบางคนกำลังกรอเสียงที่อัดในเทปบันทึกเสียงโบราณกลับ
ฉินเย่แค่นเสียง “อย่า? เธอหมายความว่าอย่างไรว่าอย่า? ในที่สุดก็กลัวฉันขึ้นมาแล้วเหรอ? ก่อนหน้านี้เธอยังดูสนุกกับการปั่นหัวฉันเล่นอยู่เลยไม่ใช่หรือไง?”
แต่มันฟังดูราวกับว่าคำข่มขู่ของฉินเย่ไม่ได้เข้าไปในเสียงปลายสายเลย เสียงแหบแห้งดังต่อด้วยความถี่ต่ำแบบเดียวกัน “แต่…”
“ข้างใน!”
ตื้ดดดด…ทันทีที่เธอพูดจบ สายก็ถูกตัดไป
“เธอเปรี้ยวใช่ย่อยเลยนะเนี่ย…” สีหน้าไม่จริงจังค่อย ๆ จางหายจากใบหน้าของฉินเย่ขณะที่เขาเหลือบมองอย่างมีความหมายไปยังลูกบอลผนึกวิญญาณที่อยู่บนโต๊ะ “ท่านคิดว่าอย่างไร?”
“เป็นการปฏิสัมพันธ์ที่ค่อนข้างลึกซึ้งทีเดียว” อาร์ทิสหยุดไปครู่หนึ่งอย่างจงใจก่อนจะเอ่ยต่อ “ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจในการจำแนกชั้นผีแต่ละชั้น เจ้าได้ฟังเรื่องความแตกต่างระหว่างผีระดับ S จนถึงผีระดับ E ไปแล้ว ความจริงก็คือมันยังมีการแบ่งชั้นผีแบบยิบย่อยที่สอดคล้องกันอยู่”
“ผีระดับ E จะสัมพันธ์กับผีหรือวิญญาณทั่วไป พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกนี้คือผีที่รู้จักทั่วไปในชื่อของผีเร่ร่อนหรือผีพเนจร ผีระดับ D จะหมายถึงวิญญาณอาฆาต ผีพวกนี้จะยินดีกับอัตตาของพวกเขาก่อนที่จะตาย ทำให้วิญญาณของพวกเขาไม่สามารถไปผุดไปเกิดหลังตายไปแล้วได้ จึงกลายมาเป็นวิญญาณอาฆาต วิญญาณอาฆาตจะมีแค่ความสามารถธรรมดาเท่านั้น”
“ผีระดับ C คือผีร้าย ผีร้ายจะพัฒนาความสามารถจนสามารถแทรกซึมและมีอิทธิพลต่อจิตใจของผู้คนได้พอ ๆ กับการควบคุมวัตถุภายนอก ผีร้ายพวกนี้ต้องถูกกำจัดแบบถอนรากถอนโคนเมื่อใดก็ตามที่เจอ ยิ่งกว่านั้นผีร้ายยังมีความรู้สึกนึกคิดและความสามารถในการพูดเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาด้วย”
“ผีที่เราเพิ่งติดต่อกันเอาแต่พูดพึมพำตะกุกตะกักตลอด นั่นบอกเราได้ว่ามันไม่ใช่ผีร้ายระดับ C หากเราใช้การจัดจำแนกที่เหมาะสม มันก็สามารถเป็นทั้งผีร้ายไม่จริงหรือเป็นอย่างมากที่สุดแค่วิญญาณอาฆาต”
อาร์ทิสครุ่นคิด “นี่หมายความว่า…เธอไม่มีทางใช้ตราจ้าวนรกได้อย่างเชี่ยวชาญ เธอคงดูไม่น่ากลัวมาก เป็นไปได้ว่าแค่ความสามารถของเจ้าก็สยบเธอได้แล้ว”
“มันไม่ใช่แค่ เป็นไปได้” ฉินเย่ถูโทรศัพท์ของเขาไปมา ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็เอ่ยต่อด้วยคำประกาศเด็ดขาด “มันคือ แน่นอน”
“เธอไม่ได้ตอบโต้แม้แต่น้อยแม้จะได้ยินฉันพูดแย้งเมื่อก่อนหน้านี้ น้ำเสียงของเธอไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว นี่พิสูจน์ว่าเธอไม่มีความรู้สึกนึกคิดแต่อย่างใด การมีอยู่ของเธอเกิดขึ้นจากอัตตาของเธอล้วน ๆ และเธอต้องการเพียงความตายของตระกูลหวัง ไม่มีอะไรอื่นที่เป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจของเธอ”
เขาย่นคิ้วเล็กน้อยและหยุดไปหลายวินาทีก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่…ท่านเห็นเรื่องนี้ไหม…ความสามารถของเธอห่างไกลจากคำว่าแข็งแกร่ง แต่เธอกลับกล้าอวดดีท้าทายยมทูตของนรกเต็มตัว เธอยังมีความสามารถในการลงมือกับหวังเฉิงห่าว ในตอนกลางวันแสก ๆ ด้วย เรื่องนี้เป็นความสามารถที่เหนือกว่าวิญญาณอาฆาตแล้วนะ”
อาร์ทิสเงียบไป นางใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยเสียงเรียบเย็น “เจ้ารู้อะไรไหม…มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจนะ”
“ข้าอยากรู้อะไรบางอย่างจริง ๆ เลยนะ ข้าเห็นท่านเยาะเย้ยยายเมิ่งและขัดคอกับนางเมื่อก่อนหน้านี้ที่สะพานนรก ก่อนหน้านี้ชีวิตของท่านยึดเหนี่ยวอยู่กับหลักความเชื่อในการเอาชีวิตรอดและดำเนินตามหลักนี้ แต่ตอนนี้ท่านกลับมีความกล้าที่จะเผชิญกับผีเจ้าปัญหาอย่างไม่ประหวั่นพรั่นพรึงใด ๆ แม้การสืบเรื่องนั้นมันจะต้องใช้ความอดทนและเผชิญกับความยากลำบากขนาดไหน เจ้าตัวจริงเป็นอย่างไรกันแน่?”
เป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีนับจากเวลาที่ฉินเย่รับโทรศัพท์จนถึงเวลาที่เขาเริ่มรุมทึ้งผีร้ายตนนั้นด้วยคำถามลองใจ แต่แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เขาต้องเตรียมตัว เขาก็ได้ทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดโดยการถามคำถามที่ฟังดูไม่มีพิษภัยเพื่อให้ได้คำตอบที่พวกเขาอยากได้
ตอนนี้พวกเขาสามารถเข้าถึงความสามารถที่แท้จริงของผีตนนี้แล้ว!
อาร์ทิสเข้าใจในทันทีถึงสิ่งที่ฉินเย่พยายามจะทำในทันทีที่เขาถามคำถาม หนึ่งคนแก่ และหนึ่งผีแก่ ต่างร่วมมือกันอย่างไร้ที่ติดอันน่าอัศจรรย์ใจโดยไม่มีการเตี๊ยมกันมาล่วงหน้า
“…จงขยายความคำพูดของเจ้าหน่อย เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันเรื่องที่เยาะเย้ยและขัดคอ? มันก็แค่กลยุทธ์การหนีในสถานการณ์นั้นเอง” ฉินเย่เอ่ยต่อเสียงห้วน
“ความจริงก็คือ ข้าชอบที่จะทำงานแบบเรื่อย ๆ และทำตามความสามารถของตัวเอง แต่มันก็ไม่มีทางที่จะทำเช่นนั้นอีกแล้วโดยไร้ซึ่งการเผชิญหน้ากับปัญหาตรงหน้าข้าตอนนี้ ดังนั้น…”
อาร์ทิสเอ่ยแทรก “เจ้าก็เลยสรุปว่าไม่มีประโยชน์ที่จะทำต่อไปอีกงั้นเหรอ?”
“ไม่เชิง” ฉินเย่ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด “เป้าหมายของข้าก็คือแค่การกินแล้วหนีไป…”
เจ้าเด็กนี่รู้ตัวเองดีไม่น้อย…อาร์ทิสพบว่าคำตอบของเขาค่อนข้างเหมาะเจาะต่อสถานการณ์ และนางก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี “ถ้างั้น เจ้าวางแผนที่จะทำอะไรต่อไปล่ะ?”
ฉินเย่แสยะยิ้ม “เดิมทีข้าก็คิดว่าจะจัดการต้นตอปัญหาขณะเว้นช่องว่างไว้ให้ตัวเองได้หลบหลีก…แต่ดูจากการที่หวังเฉิงห่าวยังไม่กลับมา ข้าก็ไม่มีทางเลือก”
“ข้าต้องลงมืออย่างไร้ปรานีแล้ว” เขาประกาศอย่างแน่วแน่ “เธอกล้าสู้กลับต่อคำประกาศิตนรกงั้นเหรอ? ผีตนนี้ช่างไม่รู้จักความหมายของคำว่าตายเสียแล้ว”
“…ข้าควรจะดีใจไหมเนี่ย? ทำไมดูเหมือนเจ้ามั่นใจในตัวเองมากเหลือเกินหลังรู้พลังของศัตรูของเจ้า? เหมือนเจ้ากำลังเปลี่ยนจากการเป็นตัวละครในกินทามะไปเป็นตัวละครในดราก้อนบอลเพียงชั่วพริบตาเดียวเลย ข้ายังไม่คุ้นชินกับความเปลี่ยนแปลงบุคลิกแบบปุบปับของเจ้าเสียที…”
“…เจ้าไม่รู้อะไรซะแล้ว ข้าเพียงแค่เลือกทางที่ฉลาดที่สุดเท่านั้นเอง”
………………………………………..
อากาศในวันนี้ช่างพิกลนักหากกล่าวถึง ท้องฟ้าวันนี้ปลอดโปร่งไร้เมฆมาตลอดทั้งเช้า แต่เมื่อเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาบ่ายสามโมง ท้องฟ้าพลันขมุกขมัวอย่างรวดเร็ว
วูบบบบ…ลมกรรโชกแรกเริ่มพัดกวาดไปทั่วพื้นดิน ทุกคนต่างบอกได้ว่ามันเป็นสัญญาณแรกที่จะเกิดฝนเทกระหน่ำลงมา
เมื่อถึงหกโมงเย็น เสียงฟ้าร้องก็ดังสนั่นทรงพลัง พร้อมกับสายฟ้าแลบสีขาวอมเขียวแลบออกมาจากเมฆดำราวกับมังกรในตำนานกำลังเต้นรำบนท้องฟ้า ทั้งแผ่นดินถูกปกคลุมอยู่ในความมืดและสั่นสะเทือนร้องขอความเมตตาจากความพิโรธแห่งเทพเจ้าสายฟ้า
แอ๊ดดดด…ประตูไม้ถูกผลักเปิดออกเบา ๆ ในร้านชีวิตหลังความตาย ร่มกระดาษโผล่ออกมาจากช่องว่างระหว่างบานประตูและกรอบประตู ฉินเย่ยืนอยู่ใต้ร่ม แต่งตัวในชุดเครื่องแบบยมทูตที่บ่งบอกยศว่าเป็นสายตรวจแห่งนรก เขามุ่งหน้าออกจากบ้านไปในชั่วโมงปีศาจ
วูบบบ! ลมหอบใหญ่พัดวูบมาพร้อมกับสายฝนห่าใหญ่สาดกระเซ็นจนชายเสื้อคลุมของเขาปลิวสะบัด กิจกรรมเหนือธรรมชาติล่าสุดได้ปรากฏในรายงานบนฟอรัมออนไลน์และโซเชียลมีเดีย บวกกับทางรัฐบาลที่ไม่ได้มาแทรกแซงในเรื่องนี้ ก็หมายความว่าทั้งย่านนี้ได้ปราศจากสิ่งมีชีวิตในทันทีที่เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาหกโมงเย็น ร่องรอยอารยธรรมหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่คือแสงสีเหลืองสลัวรางของดวงไฟตามสองฝั่งถนนเท่านั้น
นี่คือถนนของผู้ล่วงลับ
เปาะแปะ เปาะแปะ!
ฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงมาราวกับเส้นด้ายเงินนับไม่ถ้วนที่เชื่อมต่อท้องฟ้ากับพื้นดิน บางเวลาฉินเย่ก็เห็นคนบางคนทั้งเด็กและแก่ล่องลอยไปบนถนนที่ควรจะร้างว่างเปล่า แต่สิ่งที่แปลกที่สุดก็คือคนเดินถนนพวกนี้แต่งตัวในชุดเขียวหรือขาว หรือทั้งสองสีนี้เท่านั้น ไม่มีสีอื่นบนร่างของพวกเขาเลย
ความจริงก็คือ บางคนมีกลุ่มควันลอยออกมาจากร่างของพวกเขาด้วย หากมองใกล้ ๆ จะพบว่าเท้าของคนเหล่านี้ไม่เคยสัมผัสพื้นดินเลย พวกเขาทำตัวราวกับหุ่นเชิด กระทำท่าทางเดียวกันซ้ำ ๆ อย่างที่เคยทำในชีวิตก่อนหน้านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
สิ่งเหล่านี้คือวิญญาณ วิญญาณเร่ร่อนที่มีอีกชื่อหนึ่งว่าวิญญาณพเนจร
“วิญญาณพวกนี้ไม่มีที่จะไปเพราะนรกล่มสลาย นี่เป็นเหตุที่ว่าทำไมพวกเขาจึงล่องลอยไปมาอย่างไร้จุดหมาย” อาร์ทิสอธิบายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หากไม่มีผู้พิพากษาเกิดขึ้นในเร็ววัน โลกมนุษย์ก็จะประสบกับความพินาศใหญ่หลวง”
ฉินเย่พยักหน้า ฝนยังคงชะไปตามขอบร่มกระดาษของเขา เกิดเป็นม่านน้ำฝนบาง ๆ ตรงหน้าเขาขณะที่เขาย่ำเดินตรงไปยังจุดหมาย ไม่ว่าเขาจะผ่านที่ใดก็ตาม วิญญาณเร่ร่อนก็จะก้มหัวขนานกับพื้นให้เขา แสดงความเคารพต่อเขาด้วยตัวสั่นเทิ้มราวกับว่าเขาเป็นองค์จักรพรรดิที่เสด็จพระราชดำเนินอยู่ท่ามกลางข้าราชบริพาร
เบื้องหลังการกระทำเหล่านี้ไม่มีระบบการคิดเป็นตรรกะ พวกมันเป็นแค่การกระทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น
เคร้ง ๆ…โซ่ล่ามวิญญาณรอบเอวของเขากระทบกันไปมา ฉินเย่เหลือบมองทางทิศที่ตั้งของบริษัทไฮแอตต์คอร์ป “สวรรค์กำลังพิโรธ และประตูนรกกำลังเปิด แกคิดเหรอว่าจะสามารถออกจากสถานการณ์นี้ไปแบบยังมีชีวิตอยู่ได้?”
นี่เป็นเหตุการณ์ที่ชี้ชัดว่าไม่ว่าเขาจะอยู่หรือตายในสามวันหลังจากนี้ เขาก็มีความชอบที่จะสำรวจหาทางแก้ไขแบบสมานฉันท์ต่อปัญหานี้ แต่ตอนนี้เขาถูกบีบให้จนมุม ใครก็ตามที่มาเป็นเขาต่างต้องตกที่นั่งลำบากกันทั้งนั้น
ขณะเดียวกัน บนหลังคาของตึกไฮแอตต์คอร์ป ดวงตาสีเลือดคู่หนึ่งเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่างท่ามกลางสายฝนเทกระหน่ำ และพวกมันก็มองตรงมาทางถนนของผู้ล่วงลับอย่างมาดร้าย
“คร่อกก…คร่อกกกกก…”
ฉินเย่เดินต่อไปอย่างช้า ๆ เขาเห็นวิญญาณเร่ร่อนลอยไปมาทุกที่ภายในย่านอาศัย แต่ด้วยอำนาจแห่งนรก ผีทั้งหมดต่างกระเจิดกระเจิง ไม่มีวิญญาณตนใดกล้าเข้ามาใกล้ยมทูตจากนรกเลยแม้แต่ตนเดียว
ย่านอาศัยไม่ได้ใหญ่นักไม่ว่าจะมองมุมไหน และฉินเย่ก็พบทางเข้าสู่อาคารไฮแอตต์คอร์ปไม่นานนัก
แม้มันจะเป็นตึกเล็ก ๆ ที่มีห้าชั้น มันก็นับว่าเป็นตึกที่โดดเด่นที่สุดในย่านนี้ มันเป็นตึกที่ก่อสร้างมาตั้งแต่ยุคสองพัน และตอนนี้ก็เริ่มแสดงสัญญาณผุพังไปตามกาลเวลา จากนั้นประตูหลักที่น่าจะปิดตายก็ได้เปิดเงียบ ๆ แสงเรืองสีเหลืองจากส่องสว่างจากภายใน ดูราวกับว่าประตูนรกได้ถูกเปิด
“เราเป็นยมทูตมาจากนรกตั้งแต่แรกแล้ว” โดยไม่ลังเล ฉินเย่ก็ก้าวเท้าผ่านเข้าไปในประตูหลักของตึก
ฉินเย่เจอกับโต๊ะรับรองขนาดใหญ่ในทันที แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น สายฟ้าแลบแปลบปลาบทำให้โถงหลักตกอยู่ในความสว่างสลับกับความมืด ฉินเย่เดินเข้าไปในลิฟต์และกดปุ่ม จากนั้นเมื่อประตูปิดลง แสงไฟในลิฟต์ก็ติด ๆ ดับ ๆ พร้อมกับส่งเสียง ซ่า ๆ ก่อนจะดับไปในที่สุด ดวงตาคมกริบของเขาเหลือบมองรอบด้าน
มีบางอย่างอยู่ที่นี่
ลิฟต์ว่างเปล่าตั้งแต่แรกตั้งแต่ที่เขาเข้าไป แต่เมื่อประตูปิดลง เงาสะท้อนตัวเขาในกระจกได้เผยให้เห็นว่าเบื้องหลังเขา…มีผู้หญิงผมยาวยุ่งเหยิงคนหนึ่งยืนอยู่ เธอสวมเดรสยาวสีดำและรองเท้าส้นสูงสีแดงกำลังก้มหน้าลง
เธอยืนเงียบ ๆ ข้างหลังฉินเย่อยู่อย่างนั้น ใกล้เสียจนเกือบจะรวมร่างกับเงาของเขาแล้ว!
เมื่อไฟดับสนิท ดวงตาสีแดงเลือดก็ฉายภายใต้ม่านเรือนผมยุ่งเหยิง เธอกำลังจ้องมองตรงมาที่ฉินเย่!
มันเป็นชั่วขณะนั้นเองที่ความสว่างและความมืดได้มาเจอกัน ที่แปลกที่สุดคือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็คือความจริงที่ว่าลิฟต์ยังคงเคลื่อนที่ขึ้นช้า ๆ
ฮืออออ…ในตอนนี้เอง เสียงประหลาดก็ได้ดังมาจากความมืดมิดภายในลิฟต์
“คร่อกก….คร่อกกกก…” มันมาจากทางด้านหลังของฉินเย่!
ฝ่ามือของฉินเย่กำรอบด้ามกระบี่ในความมืด หูของเขาตั้งชันและกระดิกเล็กน้อยราวกับเป็นเสือที่กำลังระแวดระวัง เขาปรับลมหายใจให้เบาที่สุด
หนึ่งมนุษย์ หนึ่งผี ทั้งคู่ต่างพยายามที่จะสัมผัสแต่ละฝ่ายในความมืด
ฟึ่บบ…สายลมแผ่วเบาเย็นเยือกทำให้ขนด้านหลังคอของฉินเย่ลุกชัน พร้อมกันนั้นแสงสว่างวาบก็ได้ตัดผ่านความมืดภายในลิฟต์ราวกับดาวตกสุกสว่าง
มันเป็นประกายแสงสว่างจากกระบี่
ประกายแสงพุ่งผ่านอากาศราวกับดาวตกหยก และคมกระบี่ก็เป็นประกายแวววาวราวเกล็ดหิมะในฤดูใบไม้ร่วง
เสียงกระบี่ถูกชักออกจากฝักเหมือนจะดังสะท้อนในทันที เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่น จากนั้นก็เกิดเสียงคลิก ไฟในลิฟต์ส่องสว่างอีกครั้ง และเงาคนที่สะท้อนจากกระจกภายในลิฟต์ก็มีแต่เงาของฉินเย่ ประตูลิฟต์เปิดในทันที
ชั้นสาม
ก่อนหน้านี้ชัดเจนว่าเขากดปุ่มชั้นห้า
“เจ้ามีความผิดในข้อหาต่อต้านการจับกุมและขัดขวางกระบวนการยุติธรรม” เสียงฟ้าผ่าดังเป็นเสียงประกอบเบื้องหลัง แขนของฉินเย่โอบรอบด้ามกระบี่ไว้แน่น “ถ้าอย่างนั้น…ต้องขออภัยด้วยที่ข้าต้องเสียมารยาท”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ โซ่ล่ามวิญญาณรอบเอวของเขาก็เริ่มสั่นไหว เพียงชั่วพริบตาเดียวโซ่ก็ได้เปลี่ยนเป็นโซ่นับสิบพุ่งออกไปทุกทิศทางรอบตัวเขา
โซ่เหมือนจะมีจำนวนไม่สิ้นสุด และกระทำตนราวกับดวงตาของฉินเย่ ด้วยการปะทะอย่างหนักหน่วง ทุกสิ่งที่อยู่บนชั้นสาม รวมถึงประตู โต๊ะ และลิ้นชักก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ!
กล่าวคือตะขอบนปลายโซ่ไม่ได้เจาะทะลุผนัง แต่มันกลับกระทำตัวราวกับดวงตาของฉินเย่ เพียงไม่ถึงสิบวินาที โซ่นับไม่ถ้วนก็ได้กระจายไปทั่วทั้งชั้น มุดผ่านช่องว่างไปยังห้องที่เล็กกว่าขณะที่พวกมันติดตามวิญญาณอย่างน่ากลัว
กระดาษสำนักงานปลิวว่อนในอากาศราวกับกระดาษสี ๆ ในงานเลี้ยง
คริ้ง…เสียงกังวานสะท้อนเบา ๆ จากปลายโซ่ล่ามวิญญาณที่พันรอบเอวของเขา ภายในไม่กี่นาที เสียงกรุ๊งกริ๋งหลายเสียงก็สะท้อนไปทั่วห้องราวกับเสียงคลื่นกระทบฝั่ง
“มันหนีไปแล้ว” อาร์ทิสเอ่ยเสียงเรียบ “เธออ่อนแอกว่าที่เราคิดไว้อีก เธอคิดว่าจะหนีไปไหนได้? ตึกนี้มีเพียงห้าชั้น เราสามารถปิดตึกแต่ละชั้นได้เป็นระบบจากชั้นล่างขึ้นไป มันมีพายุฝนฟ้าคะนองอยู่ด้านนอก และผีร้ายก็คงมอดม้วยแน่ถ้ามันออกไปในตอนนี้”
ฉินเย่เงียบไป ดวงตาของเขาเป็นประกายเจิดจ้า
ยมทูตปฏิบัติการจากนรกไม่นับว่าเป็นยมทูตนรกยศสูงนัก ความจริงก็คือเขาไม่ต่างจากหัวหน้าหมู่บ้านในโลกใต้พิภพ เขาไม่มีพลังวิเศษใด ๆ เหมือนกับยมทูตขาวดำหรือตุลาการนรก นอกจากอาวุธระดับล่างอย่างกระบี่เศียรปีศาจในมือและโซ่ล่ามวิญญาณรอบเอวของเขาแล้ว สิ่งอื่นเพียงหนึ่งเดียวที่เขาพึ่งพาได้ก็เป็นแค่สิทธิพิเศษและความสามารถที่ยมทูตนรกทุกตนมีเท่านั้น
กล่าวในเรื่องนี้ หนึ่งในความสามารถพื้นฐานที่ยมทูตนรกทุกตนมีก็คือดวงตานรก เมื่อใช้งานแล้ว ทุกอย่างที่อยู่ในสายตาของคนคนนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นสีขาวดำและไม่มีอะไรสามารถหลุดพ้นจากสายตาได้ ไม่ว่าเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ไม่มีความแตกต่างสำหรับผู้ใช้ดวงตานรก
“หนีเหรอ?” เขายังคงกำด้ามกระบี่ไว้แน่น “ถูกแล้ว…กายเนื้อของเธอน่ะหายไป แต่ท่านบอกข้าทีได้ไหมว่านี่คืออะไร?”
อาร์ทิสตกใจไปในทันที “นี่มัน…”