ฉันนี่แหละจ้าวนรก - ตอนที่ 19
บทที่ 19 กองทัพผีดิบของท่าน
ตึกนี้ไม่ใหญ่มากนัก ไฮแอตต์ไม่ใช่เครือบริษัทใหญ่มาตั้งแต่แรก ในตอนนี้ทางเดินตั้งแต่ชั้นสามจนถึงชั้นสี่ของตึกหนาแน่นไปด้วยวิญญาณนับสิบที่ล่องลอยไปมา ขวางกั้นไม่ให้พวกเขาขึ้นไปยังชั้นบนจนมิด
“นี่กองทัพผีดิบของเจ้าหรือไง?” ฉินเย่ย่นคิ้ว
“…แน่นอนว่าไม่ กองทัพของข้าตอนนี้อยู่ในทิศเหนือ…เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมข้าต้องตอบคำถามปัญญาอ่อนของเจ้าด้วย?”
ฉินเย่เห็นว่าอารมณ์ของอาร์ทิสเปลี่ยนไป เขาเกิดความรู้สึกอยากถามนางขึ้นมาว่าอะไรที่เปลี่ยนหนึ่งในอดีตผู้ปกครองตนหนึ่ง ให้กลายเป็นบุคคลไร้ความน่าเกรงขามยิ่งกว่านกตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ ท่าทางภูมิฐานและเย็นชาทั้งหมดของนางหายไปไหนแล้ว?
“พวกนี้มันเป็นวิญญาณสมิง” อาร์ทิสอธิบายด้วยอาการตกตะลึง
“น่าแปลกที่เห็นวิญญาณสมิงแบบนี้ที่นี่ เจ้าเคยได้ยินคำพูดที่ว่า วิญญาณเสือสมิงไหม?”
“มีคำกล่าวถึงวิญญาณสมิงพวกนี้โดยตรง กล่าวกันว่ามันเป็นเสือที่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์คนใดก็ได้และกลืนวิญญาณนั้นให้เป็นของมันเองและใช้ล่อลวงนักเดินทางคนอื่น ๆ ให้เข้ามาในถ้ำเสือ ว่าแต่ทำไมสิ่งแบบนี้ถึงปรากฏขึ้นที่นี่ล่ะ?”
ฉินเย่ย่นคิ้ว “นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งที่ผมอยากรู้คือวิญญาณสมิงพวกนี้แข็งแกร่งขนาดไหน”
“พวกมันอ่อนแอมาก พวกมันไม่มีความสามารถในการต่อสู้ใด ๆ เลย วิญญาณสมิงพวกนี้อย่างมากที่สุดก็ทำได้แค่สร้างภาพลวงตา”
เมื่อนางอธิบายเสร็จ ฉินเย่ก็พุ่งตรงไปราวกับลูกธนูที่หลุดจากคันศร
ริมฝีปากของอาร์ทิสกระตุกเล็กน้อย เขายังคงกุมด้ามกระบี่ไว้อย่างตื่นเต้นเมื่อยังไม่รู้ถึงความสามารถของวิญญาณสมิง แต่เมื่อเขาพบว่าวิญญาณพวกนี้ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ใด ๆ เขาก็พลันพุ่งตัวตรงไปราวกับม้าที่ห้อตะบึง นี้เขาเป็นคนประเภทไหนกันแน่เนี่ย…
ชิ้งงง!
แสงเจิดจ้าฉายออกจากกระบี่ของฉินเย่ ศีรษะปีศาจบนกระบี่เกิดเปลวไฟขมุกขมัว ดูดกลืนวิญญาณทุกดวงที่มันฟันผ่าน ไม่ว่าแสงกระบี่จะไปที่ใด
วิญญาณต่างหลอมละลายอย่างรวดเร็วราวกับหิมะกลางดวงตะวันในฤดูใบไม้ผลิ คลื่นพลังหยินพวยพุ่งตรงมาหาเขาเป็นสายราวคลื่นยักษ์ และสลายตัวไปเพียงเสียงร้องของเขา จากนั้นหลังแสงกระบี่ลำสุดท้ายฟาดฟันลงมา พลังหยินที่ยังคงอยู่ก็ได้สลายหายไปกับบริเวณรอบด้านในที่สุด
การชำระจากนรกกำลังเกิดขึ้น ยมทูตได้ปรากฏตัว และวิญญาณเร่ร่อนที่อ่อนแอก็ได้เผชิญหน้ากับนักล่าตามธรรมชาติของพวกมัน
ครืดด…โถงเชื่อมชั้นสามและชั้นสี่ถูกเปิดในที่สุด ฉินเย่พุ่งตัวเข้าไปในทันที
ทางเข้าชั้นสี่ของตึกอยู่ในสภาพเละเทะ ราวกับว่ามีคนบางคนพังสถานที่นี้มาก่อน โต๊ะสำนักงานที่เคยเป็นระเบียบเรียบร้อยถูกคว่ำล้มหรือไม่ก็พลิกคว่ำ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์กระจัดกระจายไปทุกที่ แม้แต่หลอดไฟก็ยังแตกกระจัดกระจาย ทันทีที่ฉินเย่เดินขึ้นไปบนชั้นสี่ ประตูและหน้าต่างตามโถงทางเดินก็ปิดปังในช่วงเวลาเดียวกันทันที
เปรี้ยง!!
เสียงฟ้าผ่าดังจากด้านนอกหน้าต่าง ทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในแสงสีขาวอมเขียวระยะหนึ่ง มือของฉินเย่ยังคงกุมรอบด้ามกระบี่แน่น เขาบอกได้ว่ามีบางสิ่งบนตึกชั้นนี้ที่มีระดับพลังหยินแตกต่างจากวิญญาณเสือสมิงอย่างสิ้นเชิง แต่เขาไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้มีพลังแก่กล้ามากขนาดไหน
มันน่าจะอ่อนแอกว่าเขาอยู่ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นการฉลาดที่จะจัดการศัตรูผู้นี้อย่างจริงจังอยู่ดี
นี่คงจะเป็นสถานที่ที่ร่างจริงของชู้รักคนนั้นอยู่!
“เร็วไปไหม?” เขาพึมพำเบา ๆ ขณะเหลือบมองรอบด้านอย่างระแวดระวัง
อาร์ทิสตกอยู่ในอาการงุนงงเช่นกัน “พูดจริง ๆ ก็คือไม่ผิดหรอกที่เธอจะปรากฏตัว เธอเพิ่งได้ติดต่อกับเศษตราจ้าวนรกเมื่อไม่กี่วันก่อน และเห็นได้ชัดว่าเธอยังใช้มันได้ไม่เชี่ยวชาญนัก มีแผนการกี่แผนที่เจ้าคิดว่าวิญญาณขยะอย่างเธอน่าจะเก็บซ่อนไว้บ้างล่ะ?
กล่าวก็คือ…เธอยังสามารถครอบครองกุญแจของนายหวังได้ทั้งที่เป็นตอนกลางวัน ดังนั้นความสามารถจริง ๆ ของเธอก็คงยังถูกเก็บซ่อนไว้จนถึงตอนนี้ อย่างน้อยที่สุด มันไม่มีเหตุผลที่เธอจะแสดงพลังอำนาจของเธอออกมาเต็มที่ในเวลานี้”
ติ๋ง…
ทันใดนั้นเอง ฉินเย่ก็รู้สึกเย็นวาบที่หลังคอ เมื่อเขาแตะมันแล้วก็พบว่า มันคือเลือด
เลือดเย็นเฉียบ ที่หยดลงมาจากเหนือศีรษะของเขา
“คร่อกกก…คร่อกกกกก…” เสียงประหลาดส่งมาจากเพดานเหนือศีรษะโดยอัตโนมัติ แม้ประตูกับหน้าต่างบนชั้นสี่จะปิดตาย แต่ลมเย็นจากพลังหยินกลับเริ่มพัด ทำให้เสื้อคลุมยมทูตของฉินเย่สะบัดไหวอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกันนั้นกระบี่ศีรษะปีศาจก็ได้ฟาดฟันผ่านอากาศ ตวัดเป็นวงแสงเจิดจ้ายิ่งใหญ่กลางอากาศ
เปรี้ยง!!!
ฉินเย่ถอยกรูดไปสองเมตรพร้อมกับเสียงอู้อี้ เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงอีกครั้ง และในที่สุดฉินเย่ก็มองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของผีบนเพดานในชั่ววูบหนึ่ง
“นี่มัน…” แม้เขาจะเตรียมใจไว้แล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความตกใจ
แม้แต่อาร์ทิสยังอึ้งไป และใช้เวลาชั่วขณะหนึ่งก่อนที่นางจะอุทานออกมา “เป็นอย่างนี้นี่เอง…ข้าเข้าใจแล้วล่ะ…”
ผีตนนี้ไม่ได้อยู่ในร่างมนุษย์ด้วยซ้ำ
ในทางทั่วไปผีทั้งหลายจะคงสภาพร่างกายก่อนตายของตนเองไว้ ไม่ว่าจะเป็นระดับหรือประเภทไหน แต่ชู้รักคนนั้นไม่ได้เป็นแบบนั้น
เธอกลับมีร่างกายที่เกือบจะโปร่งใสไม่มีตัวตน ใบหน้าของเธอซีดขาวราวกับไร้สีเลือด ผมยาวยุ่งเหยิงปล่อยสยาย ดวงตาปีศาจสีเลือดของเธอมีแววขมุกขมัว ปากอ้ากว้างเต็มไปด้วยเขี้ยวฟันน่ากลัว ทุกซี่ล้วนเป็นสีดำราวกับน้ำหมึก
เธอสวมชุดสีดำ ร่างกายของเธอเคลื่อนไหวบิดเบี้ยวไร้ความเป็นมนุษย์ อีกทั้งร่างกายท่อนล่างใต้ชุดของเธอกลับเป็นร่างของเสือ!
ยิ่งกว่านั้น ร่างกายของเธอเหมือนจะไม่สมบูรณ์ มีรูดำมืดน่าขนลุกขนาดเท่านิ้วมือกระจายเต็มร่างของเธอเต็มไปหมด! มันแสดงให้เห็นว่าเธอเคยถูกทรมานจากเครื่องที่คนสมัยโบราณเรียกมันว่า สาวพรหมจรรย์เหล็ก[1] ทั้งร่างของเธอมีแต่รูพรุน ดูน่ากลัวยิ่ง!
“คร่อกกก….คร่อกกกกก…” ร่างกายครึ่งล่างของเธอยังคงยืดแน่นอยู่กับเพดาน สิ่งที่สะดุดตาฉินเย่ไม่ใช่แขนของเธอ แต่เป็นหาง พร้อมกันนั้นเธอก็กอดตู้เซฟกว้างราวหนึ่งฟุตไว้ในอ้อมแขนแน่น
“ไอ้หนู ข้าเกรงว่าสิ่งต่าง ๆ อาจจะไม่เป็นอย่างที่เจ้าคิดแล้วล่ะ” เสียงของอาร์ทิสฟังดูเบาหวิว “รูปลักษณ์ของเธอ…เหมือนข้าเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน”
“ครึ่งคน ครึ่งเสือ และมีวิญญาณสมิงหล่อเลี้ยง นี่มัน…สถานการณ์ที่เรียกว่าการสร้างเสือ”[2]
“รูบนร่างของเธอแสดงถึงการโจมตีทางคำพูดนับพันที่เธอได้รับก่อนที่จะตาย ทุกคำพูดทิ้งบาดแผลลึกน่ากลัวไว้บนร่างและคงอยู่ไปตลอดเวลาแม้จะตายไปแล้ว เสียงของหวังเจ๋อหมินที่เจ้าได้ยินในโทรศัพท์คือเสียงที่หนึ่งในวิญญาณสมิงของเธอพูดเพื่อหวังจะลวงคนอื่นให้เข้ามาสำรวจถ้ำเสือ”
“นอกเสียจากคนคนหนึ่งมีความโศกเศร้าอย่างท่วมท้นโดยไม่มีทางระบายออก มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคงร่างนี้ไว้หลังการตาย ซีอีโอหวังเวรนั่น…เขาปั่นหัวเราต่อให้ความจริงเราเรียกวิญญาณของเขาเป็นครั้งสุดท้ายน่ะเหรอ?”
ตายไปพร้อมกับความโศกาหรือ? ฉินเย่เหลือบมองวิญญาณอาฆาตบนเพดานด้วยความประหลาดใจบางส่วน เขาจำได้ในทันทีถึงโพสต์ที่เขาเคยเห็น…เรื่องที่ว่าเสียงกล่าวหาของเหล่าคนนิรนามที่มีต่อชู้รักคนนั้นช่างบาดลึกรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่ออย่างไรบ้างในทันทีที่คำตัดสินถูกประกาศ
มันเกินกำลังที่จะรับไหว
พวกมันคือเสียงนิรนามของบรรดาเกรียนอินเทอร์เน็ตที่ทำร้ายไฮแอตต์คอร์ปให้เธอหลังได้ยินตัวตนของเธอในเหตุการณ์ จากนั้นทันทีที่พวกเขาพบว่าถูกหลอกใช้ และถูกสบประมาทสติปัญญาเข้า พวกเขาจึงพากันใส่คำพูดทำร้ายและสาดโคลนอย่างดุเดือดเป็นสองเท่าต่อคนที่พวกเขาพยายามจะช่วยในคราวแรก!
มันเป็นคำสาปและคำดูหมิ่นที่เจาะลึกถึงกระดูกดำ และคลื่นคำพูดเยาะเย้ยข่มขู่ได้บาดลึกลงไปในร่างกายของเธอและเปลี่ยนให้เธอกลายเป็นอย่างทุกวันนี้!
แต่ว่า…นี่เป็นเหตุการณ์เก่าเมื่อห้าปีที่แล้ว ยังมีความลับซ่อนอยู่ในเรื่องนี้อีกเหรอ?
“คร่อกกก….คร่อกกกก…” ดวงตาสีเลือดจ้องเขม็งมาที่ฉินเย่
ขณะเดียวกัน ฉินเย่ก็ปรับอารมณ์ได้และเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ต่อให้เธอจะถูกใส่ร้ายหรือไม่ ความจริงที่คงอยู่ก็คือเธอฆาตกรรมคนบางคน ทุกอย่างมีกฎแห่งกรรมเสมอ ในเมื่อเธอก่อเหตุฆาตกรรม เธอก็จะต้องถูกลงโทษอย่างสมน้ำสมเนื้อ มอบตัวให้ผมซะ แล้วเธออาจจะได้รับความปรานีจากความทรมานที่ไม่อาจประเมินได้ที่เธออาจต้องเผชิญ เธอ…เธอเข้าใจที่ผมพูดไหม?”
“โฮกกก!!” ด้วยเสียงเสือคำรามดุร้าย วิญญาณอาฆาตก็ได้กระโดดลงมาจากเพดานเข้าใส่ฉินเย่
เร็ว เร็วเหลือเชื่อ! ความจริงแล้วมันเร็วเสียจนหมัดของมันมาอยู่ตรงหน้าของฉินเย่ก่อนที่เขาจะมีปฏิกิริยาโต้กลับหรือหลบหลีกการโจมตีของมันเสียด้วยซ้ำ
“แกรนหาที่ตายแล้ว!!” ในเมื่อมันสายเกินไปที่จะหลบหลีก ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะทำเรื่องขี้ปะติ๋วแบบนั้นเช่นกัน เขาแผดเสียงคำราม กระบี่ศีรษะปีศาจในมือสั่นสะเทือน เสื้อผ้าของเขาสะบัดไหว ขณะที่เส้นเลือดบนแขนข้างที่กำกระบี่ไว้แน่นปูดโปนอย่างน่ากลัว
ตูมมม!! พลังหยินรอบกายของเขาเริ่มพุ่งตรงมาหาเขาอย่างบ้าคลั่ง ชั่วพริบตาเดียว พลังหยินที่รวมตัวกันก็ได้เปลี่ยนเป็นพายุหมุนขนาดเมตรหนึ่งพวยพุ่งอย่างบ้าคลั่งจากเท้าของเขา! เป็นเวลาเดียวกับที่วิญญาณอาฆาตได้มาถึงตรงหน้าเขา กระบี่ศีรษะปีศาจในมือของฉินเย่เคลื่อนไหวในที่สุด
มันเชื่องช้า ช้าอย่างมากจนดูเหมือนว่ามันไม่ได้เคลื่อนที่ แต่นี่เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น เพราะการเคลื่อนไหวที่แท้จริงของเขานั้นรวดเร็วเสียจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น มันจึงดูราวกับว่าไม่มีอะไรเคลื่อนที่เลยแม้แต่น้อย
วาบบบ…เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งในชั่วขณะ เสื้อผ้าและผมของวิญญาณอากาศปลิวสะบัดอย่างบ้าคลั่งก่อนจะตกลงมาอีกครั้ง ดวงตาสีเลือดของเธอยังคงจ้องมองอย่างมาดร้ายที่ฉินเย่ จากนั้นเสียงเก็บกระบี่เข้าฝักก็ดังทำลายความเงียบน่าอึดอัด
คลิ้ง
“เธอรู้หรือไหม…” ฉินเย่หายใจหอบ สีหน้าของเขาดูซีดลง “คำสั่งจากนรกอยู่ในระดับที่ต่างจากความสามารถในการเรียกวิญญาณเร่ร่อนของเธออยู่หลายขุม…”
“ทั้งเสื้อคลุมยมทูตและกระบี่สยบวิญญาณถือเป็นสมบัติของนรก ทั้งคู่มีสมบัติทางเวทมนต์ที่ทำให้ฉันสามารถสยบผีในระดับที่เท่ากับฉันได้ อ่า…ถ้าเป็นในโลกมนุษย์ ก็เหมือนกับตำรวจที่มีปืนล่ะนะ มีเรื่องไหนที่เข้าใจง่ายกว่านี้อีก?”
“ความจริงแล้ว ฉันรู้สึกชอบที่จะบอกว่ากระบี่ของฉันเป็นกระบี่ฟันวิญญาณ และกระบวนท่านี้…ก็มีชื่อเรียกว่ากระบวนเพลงผ่าวิญญาณ ส่วนฉันน่ะเหรอ? ฉันชอบถูกเรียกว่าเก็ตสึกะ เทนโช [3]โชคไม่ดีที่มันเป็นความสามารถที่ฉันใช้ได้เพียงครั้งเดียวต่อวัน…”
กรงเล็บเสือที่เกิดจากพลังหยินโดยรอบหยุดอยู่ตรงหน้าเขาราวสิบเซนติเมตรและไม่เคลื่อนที่ต่อ
วิญญาณอาฆาตตัวสั่นเทิ้มรุนแรง จากนั้นด้วยเสียงวูบไหวดังลั่น ร่างกายโปร่งแสงของเธอก็กระจายไปกับลมกระโชกแรงทรงพลัง ทำให้เธอเป็นไม่มากไปกว่าจุดแสงสีเขียวหลายจุดล่องลอยไปบนอากาศ ตู้เซฟที่เธอกอดไว้แน่นได้ร่วงหล่นลงบนพื้น และประตูตู้เซฟก็กะเทาะเปิดออก
ปังงง!!
ทันทีที่วิญญาณอาฆาตหายไป กระจกทั่วทั้งตึกก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย! รอยขีดข่วนเล็ก ๆ ขยายตัวเป็นทรงกลมกระจายออกไปทุกทิศทาง ฝังตัวมันเองเข้ากับผนัง เพดานตึก โดยมีฉินเย่ยืนนิ่งอยู่ตรงกลาง
“ฉันเป็นคนที่ไม่เคยทำอะไรที่ฉันไม่แน่ใจมาก่อน” ฉินเย่ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก พร้อมกันนั้นตรารับรองฐานะยมทูตก็ได้ผุดขึ้นบนอกของเขา อักษรประโยคหนึ่งผุดขึ้นบนบันทึกอย่างลึกลับ
“ให้การสงเคราะห์ปลดปล่อยวิญญาณอาฆาตตนหนึ่ง – ได้รับแต้มกุศลยี่สิบคะแนน”
“เหลืออีกร้อยแปดสิบแต้มกุศลจึงจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นนักล่าวิญญาณได้”
สิ่งนี้ก็คือระบบแต้มสินะ…ฉินเย่กวาดมองคำพูดบนตรารับรองฐานะ และเขาก็กำลังจะละสายตาออกไปพอดีในตอนที่เขาหยุดนิ่งอย่างฉับพลัน จากนั้นเขาก็มองบันทึกอีกครั้ง
ไม่…มีบางอย่างผิดปกติ!
“ให้การสงเคราะห์ปลดปล่อยวิญญาณ?” อาร์ทิสที่เห็นหัวข้อเดียวกันก็ได้อุทานออกมา
“นี่มันไม่ถูก…นรกเข้มงวดเกี่ยวกับตำแหน่งและหลักการอย่างเหลือเชื่อ และระบบแต้มกุศลที่เป็นพื้นฐานของการจัดลำดับขั้นก็เข้มงวดยิ่งกว่า! มีคนเพียงไม่กี่พันล้านคนในโลกมนุษย์เท่านั้น แต่ข้าเกรงว่าจำนวนวิญญาณที่รวมตัวในนรกตอนนี้จะมากกว่าจำนวนนี้มาก”
“ดังนั้น การกำจัด ผี กับการ ปลดปล่อย ผีเป็นคนละเรื่องกันเลย ไม่มีทางที่ระบบแต้มกุศลจะรวมทั้งสองอย่างนี้เข้าด้วยกัน”
นางเอ่ยต่อ “การกำจัดใช้กับตอนที่ผีร้ายปฏิเสธที่จะมอบตัวและจบลงด้วยการถูกยมทูตทำลายเพื่อที่มันจะไม่สามารถทำอันตรายต่อโลกได้อีก การสงเคราะห์ปลดปล่อยเป็นอีกสิ่งหนึ่ง การปลดปล่อยใช้ตอนที่ผีร้ายยอมกลับตัวกลับใจ และยมทูตก็ได้สงเคราะห์ความปรารถนาก่อนตายให้ผีตนนั้น อีกนัยหนึ่ง ระบบคุณธรรมจะให้แต้มแก่ยมทูตก็ต่อเมื่อมันพบว่าผีร้ายไม่มีความโศกเศร้าหรือบ่วงติดพันอีกต่อไป”
ฉินเย่พยักหน้า อีกความหมายหนึ่ง เรื่องนี้เป็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการยอมมอบตัวกับการถูกจับกุม ฝ่ายที่ถูกจับกุมอาจกระทำอันตรายต่อสังคมในภายภาคหน้าได้ แต่ฝ่ายที่ยอมมอบตัวจะกระทำการที่เป็นการลบล้างความผิดและเปลี่ยนเป็นคนใหม่
สถานการณ์ของเขาชัดเจนว่าเป็นอย่างแรก เขาเพิ่งฆ่าวิญญาณอาฆาตไป ทำไมมันกลับบันทึกให้เขาว่าเขาสงเคราะห์ช่วยปลดปล่อยให้เธอล่ะ?
ยิ่งกว่านั้น วิญญาณร้ายนี้ยังแสดงเจตนาหวังทำร้ายเขา แล้วเขาจะช่วยปลดปล่อยให้เธอง่าย ๆ ขนาดนั้นได้อย่างไร?
หลังครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ท่านกล่าวว่าการแก้ไขที่แหล่งอัตตาของผีจะนำมาซึ่งการปลดปล่อยพวกเขาที่แท้จริงใช่ไหม และเรื่องนี้ก็เป็นหลักสามัญที่เกิดกับผีทุกตน”
เมื่อเขาพูดจบ ทั้งเขาและอาร์ทิสพลันหันไปมองตู้เซฟที่เปิดอ้าอยู่ มันเป็นตู้เซฟธรรมดา ประตูเซฟได้เปิดออกโดยบังเอิญจากการโจมตีเมื่อก่อนหน้านี้ของฉินเย่ แต่เขาก็บอกได้ว่าบนตู้เซฟมีรอยเล็บปรากฏอยู่เช่นกัน
แต่รอยเล็บนั้นไม่ใช่รอยเล็บสัตว์ รอยเล็บดูผอมบางกว่า…เกือบจะบอกได้ว่าเป็นรอยเล็บผู้หญิงที่ข่วนไปบนผิวของตู้เซฟ
“มีสิ่งเดียวที่ผมอาจจะทำลงไปก็คือการเปิดเซฟนี่โดยไม่ได้ตั้งใจ พูดอีกอย่างก็คือ แหล่งอัตตาของเธอจะต้องอยู่ในรายละเอียดข้อมูลที่อยู่ในเซฟนี่แน่ ๆ บางอย่างที่สำคัญมากถูกซ่อนไว้ในนี้ ต่อให้เธอตายไปแล้วเธอก็พยายามเปิดมันครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไร้ผล”
“พูดตรง ๆ ก็คือ สิ่งนี้แหละคือแหล่งอัตตาของเธอ”
[1] สาวพรหมจรรย์เหล็ก หรือ iron maiden เป็นหนึ่งในเครื่องทรมานที่ทำขึ้นเพื่อรีดเลือดสด ๆ ของสาวพรหมจรรย์ โดยมันจะมีลักษณะเหมือนโลงศพ ภายในจะเต็มไปด้วยเหล็กแหลมคม
[2]มาจากคำจีนที่ว่า 三人成虎 เป็นสำนวนที่หมายความว่า ข่าวลือสามารถกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้หากพูดซ้ำๆ กัน เป็นการเล่นคำอย่างหนึ่ง เพราะ 虎 แปลอีกอย่างหนึ่งว่าเสือ ที่มาของเรื่องนี้ก็คือขุนนางเจ้าปัญญาคนหนึ่งเป็นกังวลว่าหากเขาไม่อยู่แล้ว องค์จักรพรรดิจะเชื่อคำโกหกเกี่ยวกับเขาที่มาจากศัตรูทางการเมืองของเขา เขาจึงถามองค์จักรพรรดิว่า “พระองค์จะเชื่อหรือไม่หากหนึ่งในขุนนางบอกว่ามีเสือตัวหนึ่งเดินไปรอบ ๆ เมือง?” จักรพรรดิตรัสตอบว่า “ไม่อย่างแน่นอน!”ขุนนางเจ้าปัญญาจึงถามอีกว่า “หากพวกเขาสามคนบอกพระองค์เหมือนกันหมดล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”องค์จักรพรรดิลังเลไปจากนั้นก็ตรัสตอบว่า “อืม อาจจะ”ขุนนางเจ้าปัญญาพยักหน้าและเอ่ยว่า “ดังนั้นแล้ว คนสามคนก็สามารถสร้างเสือตัวหนึ่งได้”จึงกลายเป็นสำนวนจีนที่ว่าหากเรื่องโกหกถูกกล่าวซ้ำกันเป็นระยะหนึ่ง ผู้คนก็จะเริ่มเชื่อถือไม่ว่ามันจะฟังดูน่าขันขนาดไหน เป็นการกล่าวอ้างที่น่าประหลาดใจสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกทุกวันนี้ แต่ว่าเราเชือนแชต่อมันไป
[3]หากได้ดูหรืออ่านเรื่องบลีชเทพมรณะ จะพบว่ามันไม่มีอย่างอื่นนอกจากกระบวนลงมือแรกที่อิจิโกะจะปล่อยออกมาหลังปลดล็อกชิไกของเขาได้