ฉันนี่แหละจ้าวนรก - ตอนที่ 22
บทที่ 22 หน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติ
โดยปราศจากคำพูดใด ๆ ฉิเย่หยิบโทรศัพท์ของผีสาวขึ้นมาและมุ่งหน้าไปที่ชั้นดาดฟ้าทันที
ชั้นที่ 5 ของอาคารนั้นว่างเปล่า ขณะที่มุมมุมหนึ่งมีบันไดเล็กทอดยาวขึ้นไปสู่ชั้นดาดฟ้า เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ เขาก็พบว่าแม่กุญแจที่ล็อกประตูดาดฟ้าเอาไว้ได้รับความเสียหาย
ฉินเย่ใช้เท้าถีบประตูจนเปิดออก เมื่อเขาก้าวออกไป เขาก็ต้องอ้าปากค้าง ทุกอย่างบนชั้นดาดฟ้าล้วนเป็นสีขาวโพลน
ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำและเสียงฟ้าร้องไม่หยุดหย่อน สายฟ้าสีขาวอมเขียวที่ผ่าลงมายิ่งทำให้โถงไว้ทุกข์สีขาวราวหิมะที่ตั้งอยู่บนดาดฟ้าดูน่าขนลุกมากขึ้น!
ธงคำอธิษฐานสีขาวที่ประดับอยู่บนชั้นไม้พลิ้วไหวในอากาศอย่างรุนแรง ขณะที่ม้าและคนรับใช้กระดาษจำนวนมากถูกวางอยู่ล้อมรอบเงาดำทั้งสามร่างที่นั่งอยู่อย่างเงียบเชียบ โลงศพสีดำถูกวางอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของทั้งหมด ขณะที่เปลวไฟจากเทียนที่สูงประมาณสองเมตรพลิ้วไหวไปมาอย่างบ้าคลั่ง เปล่งแสงสลัวออกมายังพื้นที่โดยรอบ
แม้ว่าสายฝนจะเทลงมาอย่างหนัก แต่เปลวไฟที่ถูกจุดขึ้นยังคงลุกไหม้อย่างอ่อนโยน
ฉินเย่ค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้า ในคืนที่มืดมนและฝนตกหนักเช่นนี้ ธงคำอธิษฐานส่งเสียงพลิ้วไหวดังก้องไปพร้อมกับสายลมที่พัดกระหน่ำ ทำให้เกิดเป็นบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวกว่าปกติ หวังเจ๋อหมิงและภรรยาน้อยของเขาแต่งกายด้วยชุดสีดำ ดวงตาของทั้งคู่ปิดสนิท พวกเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ของตัวเองอย่างเงียบเชียบ ปราศจากลมหายใจ ผิวหนังเน่าเปื่อยและบวมอืด ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาเสียชีวิตมานานแค่ไหนแล้ว
หวังเฉิงห่าวหมดสติไปบนเก้าอี้นั่งระหว่างพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปแล้วของตน เขายังคงหายใจอยู่ แต่ฉินเย่ก็เลือกที่จะไม่ปลุกเขาขึ้นมา เพราะอย่างไรแล้ว เรื่องบางอย่าง ถ้าเขาไม่รู้ มันก็อาจจะดีที่สุด
“นี่เป็นฝีมือคน…” เขามองไปยังสถานที่ไว้ทุกข์และเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ “ในคัมภีร์ลับที่ยายเมิ่งทิ้งไว้ให้เขาเขียนเอาไว้ว่าวิญญาณไม่สามารถสัมผัสกับสิ่งของที่อยู่ในโลกมนุษย์ ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถสร้างสถานที่ไว้ทุกข์แบบนี้ได้แน่”
“ไม่ใช่แค่นั้น…” อาร์ทิสหัวเราะเย็นยะเยือก “เจ้าลองดูที่โลงศพนี่ให้ดี….”
โลงศพสีดำถูกผูกไว้ด้วยด้ายสีแดงเลือดจำนวนนับไม่ถ้วน น้ำมันตะเกียงสัมฤทธิ์สี่ดวงถูกจุดวางไว้อยู่ในแต่ละมุมของโลง ส่องแสงไฟสลัวออกมา
“ขอบเขตอัญเชิญวิญญาณสี่ดาว…ตะเกียงทั้งสี่ดวงเป็นตัวแทนของหนึ่งในสี่ดาวแห่งสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ ดาวจี้โตว ดาวหลัวโหว ดาวทันหลาง ดาวหยิงฮั่ว เส้นด้ายสีแดงถูกถักทอมาจากเส้นผมของมนุษย์ที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือด เจ็ดวันต่อมา ดวงวิญญาณร้ายจะกลับเข้าสู่ร่างของมัน วิชานี้เป็นหนึ่งในศาสตร์ลับของเฟิงสุ่ย ให้ตายเถอะ…ดูเหมือนว่าเราจะประเมินผีตัวนี้ต่ำไป เขาอาจจะติดต่อกับมนุษย์ที่มีสัมผัสพิเศษบางคนเพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งหมดนี้ก็เป็นได้”
ฉินเย่ค่อย ๆ ลูบมือไปตามมุมของโลงศพ จากนั้นมุมปากทั้งสองข้างพลันยกยิ้มขึ้น “เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าผีตนนี้จะจับข้าได้หรือไม่”
“ใครจะไปรู้กัน?” อาร์ทิสเอ่ยก่อนจะถามอย่างตั้งข้อสังเกต “เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่? แล้วยังรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นอีก”
“ข้าเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้น่ะ…” ฉินเย่เปิด ฝาโลงขึ้น “บางทีมันอาจจะมีทางทำให้หัวใจของข้าสงบลงก็ได้…แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคุยเรื่องนั้น”
อาร์ทิสเองก็ไม่ได้ติดใจกับเรื่องนี้นักเนื่องจากทันทีที่ฝาโลงศพถูกเปิดออก พลังหยินที่หนาแน่นก็พวยพุ่งออกมา ก่อตัวกันเป็นวังวนพลังหยินอันทรงพลังที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมองเห็น!
สิ่งที่ถูกวางอยู่ในโลงศพคือร่างของ ‘ชู้รักคนนั้น’ ที่มีรูปร่างเหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่ไม่มีผิด แม้แต่ร่องรอยที่เกิดขึ้นจากการกระโดดลงจากตึกก็แทบจะไม่มีให้เห็น เธอสวมชุดกระโปรงสีดำสนิทเหมือนกับตัวที่เธอสวมในวิดีโอ มือทั้งสองข้างถูกจัดให้วางอยู่บนอกอย่างเรียบร้อย ทว่าภายใต้ฝ่ามือข้างขวาของเธอ หินสีแดงเข้มยังคงปล่อยพลังหยินออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
เศษตราจ้าวนรก!
…………………………………………
ในเวลานี้ ภายในนครเซี่ยเจียง เจ้าหน้าที่จากหน่วยสืบสวนพิเศษสองคนพลันหันไปมองทิศทางที่ฉินเย่อยู่ทันที
ณ สุสานเขาชิงหลงในนครเซี่ยเจียง เสียงอู้อี้ดังมาจากหลุมฝังศพโบราณ วินาทีต่อมา หลังจากที่เสียง ‘ครืดดด’ ที่น่าขนลุกดังขึ้น มือเหี่ยว ๆ ข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากหลุมฝังศพ
“อาา….” เสียงเย็นยะเยือกที่ดูราวกับคนเพิ่งหัดพูดก็ดังออกมาจากรอยแยกของหลุม “ขะ…ข้า…ข้าหิว…”
ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง บนถนนที่ดูเก่าแก่ ร่างของสตรีในชุดกระโปรงสีแดงสดคนหนึ่งที่กำลังยืนหวีผมของตัวเองอยู่หน้ากระจกพลันหมุนตัว 180 องศา น้ำลายไหลออกมาจากปากราวกับน้ำตกขณะที่มองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไป
…………………………………………
เมืองชิงซี
การระเบิดของพลังหยินดำเนินไปไม่ถึงเสี้ยววินาที และก่อนที่หน่วยสอบสวนพิเศษจะสามารถติดตามตำแหน่งของเขาได้ ฉินเย่ก็สะบัดแขนเสื้อและหยิบเอาเศษตราจ้าวนรกใส่เข้าไปในถุงผ้าที่ผูกติดอยู่กับแขนของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในที่สุดก็เจอ…แม้แต่ตัวของเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทว่าเขาก็ไม่ได้มีเวลาเหลือพอที่จะทันได้ตรวจดูว่าเศษตราจ้าวนรกมันมีรูปร่างเป็นอย่างไรกันแน่ ทันทีที่เขาสัมผัสกับมัน เขาก็รู้สึกถึงความสมดุลทันที
พลังหยินและหยางกลับมาสมดุลกันอีกครั้ง และคำสาปการตายในสามวันก็ถูกทำลาย แต่ก่อนที่เขาจะได้ถอนหายใจออกมาจนสุด จุดสีแดงนับสิบจุดก็ปรากฏขึ้นและบินวนอยู่รอบนอกของโถงไว้ทุกข์ ดูคล้ายกับพวกแมลงวัน
“เกิดอะไรขึ้น?” อาร์ทิสมองจุดสีแดงที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันด้วยความอยากรู้ นี่คือสิ่งที่นางไม่สามารถระบุตัวตนได้แม้ว่าจะมีความรู้และประสบการณ์มามากก็ตาม อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งของฉินเย่ แม้จะเห็นจุดสีแดงเพียงแค่แวบเดียว แต่ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง
แน่นอนว่าท่านจะต้องไม่รู้จักอยู่แล้ว…คนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตตามเวลาจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งพวกนี้คืออะไร? อันที่จริง มันคงจะยิ่งพิลึกเข้าไปใหญ่หากป้าแก่ ๆ อย่างเจ้าจะรู้จักอะไรแบบนี้!
“หืม? ทำไมมือของเจ้าสั่นนักเล่า…หรือว่าเจ้าตั้งใจจะยอมจำนน? เจ้าจะยอมจำนนต่อผู้ใดกันแน่?!” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาท้ายประโยคของอาร์ทิสเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ
ศักดิ์ศรีของความเป็นยมทูตของเจ้าหายไปไหนจนหมด?
“ช่างมันก่อนเถอะ!” เส้นเลือดที่ขมับของฉินเย่นูนออกมา “จุดแดง ๆ พวกนี้เรียกว่าแสงเลเซอร์! โง่เอ้ย!” ไอ้แสงเวรนี่มันน่ากลัวกว่าดาบฟอร์สมอร์นเสียอีก แค่การเหนี่ยวไกเพียงครั้งเดียวนั้นเท่ากับการประหารชีวิต…เจ้ารู้ถึงข้อแตกต่างระหว่างอาวุธปืนกับอาวุธปกติหรือเปล่าล่ะ?
“อืม…” อาร์ทิสเองก็ดูเหมือนจะเริ่มรู้ถึงประเด็นสำคัญของมัน จากนั้นจึงหันมามองฉินเย่ราวกับเห็นผี “เจ้าจะกลัวไปทำไม?”
“ท่านพูดอะไร…”
“มนุษย์ธรรมดาจะไม่สามารถมองเห็นเจ้าได้เมื่อเจ้าสวมชุดยมทูต แล้วเหตุใดเจ้าจึงคิดว่าพวกเขาจะจ่อแสงเลเซอร์พวกนี้มาที่เจ้ากัน?”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและลดแขนทั้งสองข้างลงก่อนจะหันไปสบตากับอาร์ทิส “พวกเขามองไม่เห็นข้า…แต่…พวกเขายังสามารถยิงถูกตัวข้าได้หรือเปล่า?”
“แน่นอนสิ!” อาร์ทิสตอบอีกฝ่ายราวกับนางกำลังพูดอยู่กับคนโง่
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกแขนขึ้นอีกครั้ง ร่างกายสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว
“โง่จริง!” อาร์ทิสเอ่ย “ไปหลบอยู่หลังเพื่อนของเจ้าสิ!”
หะ? ว่าไงนะ?! ฉินเย่มองอีกฝ่ายอย่างชื่นชมก่อนจะพุ่งตรงไปหลบอยู่ด้านหลังของเฉิงห่าว
ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบอีกครั้งแม้ว่าสายฝนจะกระหน่ำลงมา จุดสีแดงสิบกว่าจุดยังคงชี้ไปมารอบ ๆ ชั้นดาดฟ้าของตึกอย่างต่อเนื่อง จากนั้น ประมาณสิบนาทีต่อมา ร่างสี่ร่างก็ปรากฏขึ้นที่มุมหนึ่งของถนนที่อยู่ติดกัน
ทั้งสี่ล้วนแต่งการด้วยชุดสูทสีดำและถือร่มสีดำ มันเป็นเรื่องยากที่จะแยกความแตกต่างของพวกเขาแต่ละคนได้ภายในค่ำคืนที่มืดมิดนี้ แต่สิ่งที่สามารถบอกได้อย่างหนึ่งก็คือ…พวกเขาแต่ละคนดูเหมือนจะมีพลังบางอย่างแผ่ออกมาจากร่าง
“ผู้ฝึกตน” อาร์ทิสเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจทันทีที่นางเห็นกลุ่มคนตรงหน้า “แต่พวกเขาค่อนข้างอ่อนแอ พลังของเราพวกสร้างขึ้นจากพลังหยิน ขณะที่พวกเขาบ่มเพราะโดยการใช้พลังที่มีอยู่ภายในร่างกาย พวกเราเดินอยู่บนเส้นทางที่แตกต่างกัน”
ฉินเย่ยังคงลอบสังเกตคนทั้งสี่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา สายตาของเขาบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญคนพวกนี้เลยสักนิด
ทั้งสี่คน อย่างมากที่สุด พวกเขาเพิ่งก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตนเท่านั้น เมื่อดูถึงขอบเขตความสามารถแล้ว เขาสามารถกำจัดทั้งสี่คนได้พร้อมกันโดยที่ไม่มีปัญหาอะไรเลยสักนิด
อย่างไรก็ตาม อำนาจของพวกเขานับว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง พวกเขามาที่นี่ในฐานะของตัวแทนจากโลกมนุษย์ หรือในอีกความหมายหนึ่ง การกำจัดเจ้าหน้าที่คนใดคนหนึ่งในสี่นี้แทบจะไม่ต่างกับการประกาศสงครามกับโลกมนุษย์ และด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้ มันเท่ากับการรนหาที่ตาย ชัด ๆ
“ขออนุญาตครับท่าน” ทันทีที่พวกเขามาถึงที่ตึก ชายทั้งสี่ก็หยุดเดินอย่างพร้อมเพรียงกันก่อนที่ชายคนหนึ่งในกลุ่มจะโค้งคำนับเก้าสิบองศา แม้ว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่ได้ดังนัก แต่มันกลับดังก้องไปทั่วทั้งอาคาร “พวกเราเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติ สาขาเมืองชิงซี เลขทะเบียน AC-276 ครับ!”
“ผม AC-265 ครับ” “ผม AC-285 ครับ” “ผม AC-281 ครับ”
“พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย” ชายที่โค้งคำนับเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเคารพ “พวกเราติดตามวิญญาณตนนี้มาตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่ครั้งแรกที่มันสามารถข้ามเส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติของเรามาได้ แต่ความสามารถของเรานั้นอ่อนแอเกินกว่าที่จะสามารถปัดเป่ามัน แม้ว่าเราจะสามารถระบุตำแหน่งของมันได้แล้วก็ตาม ผีตนนี้ถูกจัดอยู่ในขั้นลวงหลอก”
“แต่เมื่อครู่นี้ พวกเรากลับพบว่าร่องรอยทั้งหมดของวิญญาณตนนี้ได้หายไปโดยสิ้นเชิง ผู้ใดก็ตามที่สามารถกำจัดวิญญาณขั้นลวงหลอนไปได้นั้นถือว่าเป็นแขกสูงสุดสำหรับหน่วยงานเล็ก ๆ ของเรา อย่างไรก็ตาม….”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อว่า “พวกเรากลับไม่มีบันทึกหมายเลขทะเบียนของท่าน”
“ไม่ทราบว่าท่านมาจากนิกายซูฉาน นิกายเซียงซี หรือนิกายเจิงอี้หรือเปล่าครับ? หรือว่ามาจากที่อื่น? ด้วยความแข็งแกร่งขนาดนี้…หากผู้อาวุโสยังไม่ได้มีชื่ออยู่ในหน่วยงานอื่น ๆ พวกเราก็อยากจะเชิญชวนท่านเขาร่วมกับหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติของเราครับ”
“เครื่องตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติ?” ฉินเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
อาร์ทิสตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “มันน่าจะเป็นมาตรการป้องกันบางอย่าง….”
“มาตรการป้องกัน?” ฉินเย่กลับพบว่าแนวคิดในเชิงนามธรรมนั้นไม่สามารถเข้าใจได้เลยสักนิด
“…ถ้าเช่นนั้นลองอย่างนี้ มันก็เหมือนกับการที่น้องชายของเจ้าได้รับการป้องกันโดยชั้นป้องกันบาง ๆ ของถุงยางอนามัยเพื่อไม่ให้อสุจิจำนวนพันล้านตัวของเจ้าเข้าสู่เป้าหมาย แต่ทันทีที่การป้องกันนี้เกิดช่องโหว่ขึ้น มันก็อาจหมายความได้ว่าแจ๊คพอตแตก ทีนี้เข้าใจหรือยัง?”
“…ถึงแม้ว่าการเปรียบเทียบนี้จะค่อนข้างแปลกประหลาด…แต่ข้าก็เข้าใจมันแจ่มแจ้งทีเดียว…”
สายฝนยังคงเทลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่มีผู้ใดนอกจากบุคคลที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงความจริงที่ว่าบทสนทนาอันน่าแปลกประหลาดกำลังเกิดขึ้นภายในตึกเลยสักนิด AC-276 ยังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ดูเหมือนว่าท่านจะไม่สนใจข้อเสนอของทางเราสินะครับ เช่นนั้น…อย่างน้อยที่สุด มันเป็นไปได้หรือไม่ที่เราทั้งสองฝ่ายจะพบหน้ากัน?”
“ผู้อาวุโส ท่านเองก็คงตระหนักได้แล้ว โลกมนุษย์ในยามนี้กำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของภัยคุกคามครั้งที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ประเทศจีนของเราดำรงมาถึงปัจจุบัน ในความจริงแล้ว ขนาดของสิ่งที่จะมาถึงอาจจะเป็นภัยคุกคามต่อโลกที่เราอยู่เลยด้วยซ้ำ ภาพยนตร์เกี่ยวกับการล่มสลายของโลกไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป ไม่ว่าท่านจะแข็งแกร่งเพียงใด มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะต่อกรกับพายุที่โหมกระหน่ำลูกนี้เพียงลำพัง”
ชายอีกคนที่อยู่ในชุดสีดำจึงเอ่ยเสริมขึ้นว่า “ด้วยความสามารถของท่าน ท่านจะได้รับการแต่งตั้งทันทีที่ท่านเข้าร่วมหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติ โดยปกติแล้ว เมื่อท่านตกลงเข้าร่วมหน่วยของเรา ท่านจะได้รับสิทธิ์การเข้าถึงทรัพยากรมากมายและจะเป็นผู้แรกที่ได้รับการรายงานหากมีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติใดที่เกิดขึ้น” ขณะที่พูด คนทั้งหมดก็กระจายตัวกันไปอยู่รอบ ๆ ตัวอาคารอย่างระมัดระวัง
ฉินเย่ย่นคิ้วเข้าหากันขณะที่เอนหลังพิงกับกระจก “เจ้ามีวิธีที่จะทำให้ข้าออกไปจากที่นี่ได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ เอาไว้หรือไม่?”
อาร์ทิสจึงเอ่ยนิ่ง ๆ ว่า “เอาเศษตราจ้าวนรกออกมาและกำมันไว้ในมือ”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมา จากนั้น เพียงสะบัดแขนเสื้อ ถุงผ้าก็เปิดออก เขารีบกำเศษตราจ้าวนรกเอาไว้อย่างรวดเร็ว และทันใดนั้นเอง ในหัวของเขาพลันเกิดการสะเทือนอย่างรุนแรง! โลกทั้งใบรอบตัวก็เริ่มหมุนไปรอบ ๆ
พลังหยินมหาศาลแผ่ออกมา…
ปริมาณของมันนั้นมากเกินกว่าที่จะสามารถวัดได้ ฉินเย่รู้สึกราวกับว่าเขาเป็นเพียงหยดน้ำที่ตกลงสู่มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้ไปเห็นนรกทั้ง 18 ขุม จากนั้นจึงรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเห็นดวงวิญญาณหลายพันดวงที่เดินอยู่บนทางหวงเฉวียนขณะที่เขาเพียงบินผ่าน และสุดท้าย เสาแสงสีทองขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขาและฉินเย่ก็พบว่าตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ตรงเท้าของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์
รูปปั้นตรงหน้าสูงเสียดฟ้า บางทีอาจจะกว้างพอ ๆ กับขอบฟ้าก็ได้
ในเวลาก่อนการถือกำเนิดของนรก ผืนดินทอดยาวไกลสุดของฟ้า ในขณะที่ท้องฟ้านั้นกว้างไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กลุ่มดาวจำนวนมากปกคลุมไปทั่ว และแม่น้ำที่คดเคี้ยวทั้งหมดต่างก็มาบรรจบกันที่มหาสมุทรอันไร้ขอบเขต
เขาเป็นเพียงมดตัวหนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของสิ่งเหล่านี่เท่านั้น
ในช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์นั้นหัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้น หลังจากที่ผ่านไปสักพักใหญ่ ร่างกายที่สั่นสะท้านของเขาก็กลับมามีสติอีกครั้ง ในเวลานี้ ร่างของเขาทั้งร่างกำลังเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ
นี่คือพลังของเศษตราจ้าวนรกอย่างนั้นเหรอ? แถมยังเป็นพลังที่ถูกแบ่งออกมาจากเศษชิ้นส่วนเพียงชิ้นเดียวของมันเนี่ยนะ?
หัวใจของฉินเย่ยังคงเต้นแรงขณะสายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่เศษตราในมือ ขนาดของมันไม่เกินหนึ่งนิ้วครึ่งด้วยซ้ำ ทว่าในตอนนั้นเอง ราวกับตรวจพบถึงเจ้าของคนใหม่ พลังหยินอันไร้ขอบเขตของมันก็เริ่มพรั่งพรูและห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ในทันที ครู่ต่อมา ชายหนุ่มก็กลายร่างเป็นชายผอมแห้งในชุดสีดำและสวมหมวกทรงสูง
“เจ้ามีเวลา 20 นาที ไม่ต้องสนใจเรื่องหวังเฉินห่าว เขาจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยสักอย่าง” อาร์ทิสเอ่ย
ฉินเย่พยักหน้า ทว่าทันทีที่เขาจะพุ่งตัวออกไป เขาก็ต้องร้องครางออกมาพร้อมกับทรุดลง กุมศีรษะของตนเอง
วูดด….ในหัวของเขากำลังหมุนวนราวกับกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ ภาพมากมายปรากฏขึ้นในหัว ทัศนวิสัยของเขาแปรเปลี่ยนเป็นทัศนวิสัยของเทพ!