ฉันนี่แหละจ้าวนรก - ตอนที่ 25
บทที่ 25 ผู้หามหีบศพ
ทันทีที่เดินออกมาด้านนอก เจ้าหน้าที่ตำรวจนายนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งก่อนจะหยิบสมุดโน๊ตของตนออกมา บนหน้ากระดาษนั้นเต็มไปด้วยชื่อของผู้คนจำนวนมาก ไล่นิ้วไปตามรายชื่อพวกนั้น มีหลายชื่อที่ถูกขีดฆ่าออกไป มีเพียงชื่อของฉินเย่เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายชื่อที่เขามีอยู่
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออก “ครับ ช่วยตรวจสอบสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพิงจิงให้ผมหน่อย ผมอยากจะให้คุณช่วยดึงข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่ขื่อฉินเย่แล้วส่งให้ผมที….ไม่ ๆ ผมไม่ได้สงสัยเขา มันก็แค่พวกเราไม่ควรปล่อยความเป็นไปได้ใด ๆ หลุดลอยไปก็เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่ไม่ใช่คนในท้องถิ่น…. แถมเขายังเป็นคนสุดท้ายที่ได้ติดต่อกับหวังเฉิงห่าวด้วย นอกจากนี้ วิญญาณระดับ E ที่ AC-285 ต้องรับมือก่อนหน้านี้ก็คือตนเดียวกันกับที่ฉินเย่และหวังเฉินห่าวไปเจอ”
“ดังนั้นไม่ว่าจะมองยังไง เขาก็ตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยอยู่ดี”
ทว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนี้ไม่รู้เลยก็คือเวลานี้ ฉินเย่กำลังลอบสังเกตเขาอย่างเงียบ ๆ จากหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังของเขานี่เอง
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าเป็นห่วงและร้อนรน เกี่ยวกับความเป็นตายของคนอื่นนอกจากตัวเอง?” อาร์ทิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ในโลกนี้มีผู้ที่ถูกล่วงละเมิดจนถึงแก่ความตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เจ้าคิดว่าตัวเองสามารถไปช่วยพวกเขาได้ทุกคนอย่างนั้นหรือ?”
ฉินเย่ส่ายหน้าและหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะตอบว่า “กลิ่นของซากศพนั้นค่อนข้างแตกต่างกับพลังงานหยินอื่น ไม่ว่าอย่างไรแล้ว พลังหยินก็คือสิ่งที่มีแต่พวกเราที่มีดวงเนตรแห่งนรกเท่านั้นที่จะสามารถมองเห็นได้ และแม้ว่าร่างกายของเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นซากศพที่รุนแรง แต่มันกลับไม่มีพลังหยินหรือกลิ่นเหม็นของเลือดเลยสักนิด…ซึ่งมันก็ชัดเจนแล้วว่าเขาไม่ใช่คนที่เพิ่งฆ่าใครมา”
อาร์ทิสไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านี้ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไม่สามารถดึงความสนใจจากอดีตเจ้าหน้าที่ระดับมณฑลอย่างนางได้
“…ทำไมจู่ ๆ ถึงเลิกสนใจไปล่ะ? ข้าจะรู้สึกเหมือนไม่ถูกเติมเต็มนะหากเจ้าเป็นเช่นนี้”
อาร์ทิสเพียงกลอกตาขณะที่เอ่ยถามอย่างเฉื่อย ๆ “แล้ว?”
ทว่าฉินเย่กลับเงียบไป
“???” อาร์ทิสเองก็รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรออกมา
“อย่าเพิ่งพูด ข้ากำลังหาความรู้สึกของการเติมเต็มอยู่” ฉินเย่หลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมกับถอนหายใจออกมา “หายากจริง ๆ”
“…”
“…ช่างเถอะ ท่านลองคิดดูสิ ในเมื่อเขาไม่ได้ฆ่าใครมา แล้วทำไมกลิ่นเหม็นจากซากศพถึงปกคลุมไปทั่วทั้งร่างของเขาได้?”
อาร์ทิสเข้าใจทันทีว่าชายหนุ่มกำลังพูดถึงอะไร “การติดต่อ”
“เขาจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่มีกลิ่นเหม็นจากซากศพติดตัวแน่ ๆ และพวกเขาก็น่าจะพูดคุยกันพักใหญ่เสียด้วย นอกจากนี้มันยังเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นด้วย”
ฉินเย่จึงถามอย่างมีนัยว่า “…ท่านคิดว่าคนแบบไหนที่มีกลิ่นเหม็นจากซากศพติดตัว?”
“มันก็ต้องเป็น…” อาร์ทิสพึมพำเบา ๆ ทว่านางกลับหยุดพูดไปกลางคัน
เมื่อนางเอ่ยขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของนางก็ทุ้มต่ำกว่าเดิม “…ผู้หามหีบศพ? หรืออาจจะเป็นผู้สื่อสาร”
ในหมู่ช่างฝีมือของโลกใต้พิภพทั้งหมด ผู้ผลิตหุ่นจำลองสามารถตัดออกจากตัวเลือกได้ทันทีเพราะว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะได้สัมผัสกับศพอย่างแน่นอน หมอผีเองก็ทำงานกับพวกปรสิต ในขณะที่เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพและเพชฌฆาตต่างก็ไม่ใช่อาชีพที่มีให้เห็นกันตามทั่วไป มันจึงเหลือเพียงผู้หามหีบศพและผู้สื่อสารเท่านั้น ทั้งสองอาชีพนี้จะต้องสัมผัสกับศพตลอดการทำงานของพวกเขา ส่วนคนขับรถขนศพ พวกเขามักจะทำงานคนเดียว และมันก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะไปปรากฏตัวรอบ ๆ สิ่งเหล่านี้อยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
“เจ้าแน่ใจหรือ?”
“ก็ไม่ทั้งหมดหรอก แต่มันก็อย่างที่ข้าเคยพูดก่อนหน้านี้ ตลาดไสยเวทย์นั้นมีจุดเด่นในเรื่องของการย้ายตำแหน่งไป เรื่อย ๆ แต่การปรากฏตัวของช่างฝีมือทั้ง 7 ของโลกใต้พิภพได้แสดงให้เราเห็นแล้วว่า…ตลาดไสยเวทย์ได้มาถึงที่เมืองชิงซีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!”
“ยิ่งกว่านั้น มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีนิสัยขี้สงสัย” ฉินเย่ยิ้ม “เมื่อครู่นี้ข้าเห็นในสมุดโน๊ตของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้น เขาเป็นคนที่มีความเป็นระเบียบมาก รายชื่อของพวกเราถูกเขียนเรียงจากบนลงล่างโดยที่เขียนที่อยู่ของเราอยู่ถัดจากชื่อ ชื่อของข้าคือชื่อสุดท้ายที่อยู่ในรายชื่อทั้งหมด เช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ เขาจะต้องไล่ตรวจสอบตั้งแต่ชื่อแรกแล้วจึงมาจบลงที่บ้านนี้เป็นหลังสุดท้าย และบังเอิญว่าข้าเป็นคนที่ความจำค่อนข้างดี ข้าเห็นรายชื่อ 5 รายที่อยู่เหนือชื่อของตัวเอง”
ช่างฝีมือของโลกใต้พิภพจะต้องเป็นหนึ่งในห้ารายชื่อพวกนั้นแน่!
การตามหาตัวของอีกฝ่ายก็เท่ากับการหาตำแหน่งของตลาดไสยเวทย์ แม้ว่าหากผู้หามหีบศพไม่ใช่คนที่เคลื่อนย้ายศพมาที่นี่ ฉินเย่ก็แค่ต้องไปตรวจสอบดูว่าทางตลาดไสยเวทย์ได้ติดต่อกับผู้หามหีบศพคนอื่น ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาและร่วมงานกับอีกฝ่ายหรือเปล่า และหากโชคดีพอ เขาก็อาจจะสามารถรู้ถึงตัวตนของผู้ที่ถือครองเศษตราจ้าวนรกคนต่อไปได้เลยด้วยซ้ำ!
ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบาย เพราะอย่างไรแล้ว พวกเขาทั้งสองต่างไม่ใช่คนโง่ อาร์ทิสเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าค่อนข้างสนใจตลาดไสยเวทย์ที่เจ้าว่า และข้าเองก็อยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคนระดับล่างด้วย”
ฉินเย่ยังคงนั่งอยู่ที่บ้านอีกสักพัก เขานั่งเงียบ ๆ อยู่กับที่จนกระทั่งเวลา 16.00 น. ก่อนที่เขาจะหยิบลูกบอลผนึกขึ้นมา เก็บของใส่กระเป๋า จากนั้นจึงเดินไปทางตะวันออกของเมืองชิงซี เขาจำได้ว่าสามในห้าของรายชื่อที่อยู่บนสมุดโน๊ตของตำรวจคนนั้นอาศัยอยู่ที่นี่
เมืองชิงซีคือสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน และตำนานบางเรื่องก็มีมากว่าพันปี มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่บางส่วนของพื้นที่แถวนี้จะยังคงรูปลักษณ์และรูปแบบดั้งเดิมเอาไว้ หากไม่ใช่เพราะความพยายามในการอนุรักษ์นั้นได้รับความเปลี่ยนแปลงและถึงขีดจำกัด ทั่วทั้งมณฑลก็คงจะได้รับการตกแต่งใหม่ให้เป็นรูปแบบโบราณไปแล้ว
ปลายทางของพวกเขาตอนนี้คือถนนทางตะวันออกของเมืองชิงซี ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อถนนของชนกลุ่มน้อย เมืองชิงซีตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวน ติดกับมณฑลคังซีที่เป็นที่ปักหลักของชนกลุ่มน้อย มีบางครั้งที่คนทั่วไปอาจจะพบเห็นผู้คนที่มีผ้าคลุมศีรษะหรือเครื่องประดับสีเงินอยู่บนศีรษะเดินตามท้องถนน นี่คือเห็นผลว่าทำไมทางรัฐบาลถึงจัดสรรให้ถนนสายนี้เป็นที่รู้จักและพัฒนาจนเป็นถนนของชนกลุ่มน้อยโดยเฉพาะ
การใช้คำว่า ‘จัดสรร’ อาจจะเป็นการใช้คำผิด ถนนสายนี้มีความกว้าง 2 เมตรและยาว 67 เมตร ทั้งสองฝั่งของถนนเรียงรายไปด้วยบ้านทรงโบราณที่มีอิฐและหลังคาสีดำ ประตูและหน้าต่างที่ควรจะถูกประดับประดาไปด้วยภาพวาดและภาพแกะสลักกลับเต็มไปด้วยรอยด่างดำมากมาย พื้นดินโดยรอบปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ โคมไฟสีแดงถูกห้อยลงมาจากด้านข้างของตัวบ้าน ทว่าเมื่อราตรีมาเยือน บรรยากาศของที่แห่งนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นน่าขนลุกทันที
กว่าที่ฉินเย่มาถึงที่ทางเข้าของถนนของชนกลุ่มน้อยมันก็เป็นเวลา 17.00 น.แล้ว ร้านค้าและบ้านเรือนส่วนใหญ่ต่างก็เริ่มเก็บของและเตรียมที่จะปิดร้านสำหรับวันนี้
หลังจากที่เงินให้กับคนขับรถ เขาก็เดินเข้าไปในตรอกที่อยู่ใกล้เคียง งานบางอย่างก็ไม่สามารถทำได้จนกว่าจะถึง 6 โมงเย็น
เวลายังคนดำเนินผ่านไปอย่างราบรื่น และมันก็ใกล้จะถึงเวลา 6 โมงเย็นแล้ว เสียงประกาศที่ทุกคนคุ้นชินเป็นอย่างมากดังขึ้นไปทั่วทุกที่อีกครั้ง ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าและสูญเสียความวาวโรจน์ของตัวเอง ความโศกเศร้าที่เย็นยะเยือกเริ่มปกคลุมไปทั่วท้องถนน สายลมยามราตรีเริ่มพัดผ่าน ฉินเย่หลับตาลงอีกครั้งและรอคอยอย่างอดทนจนกระทั่งนาฬิกาตีบอกเวลา 20.00 น. เมื่อนั้น เขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เขาเปิดกระเป๋าเป้ของตัวเองก่อนจะหยิบชุดสีดำหมึกและหมวกไม้ไผ่ทรงสูงออกมา ผ้าคลุมสีดำที่พาดลงมารอบ ๆ หมวกทำบดบังใบหน้าที่แท้จริงของเขาเอาไว้อย่างสิ้นเชิง จากนั้นเขาก็ยืนรออีกประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนจะเดินออกมาจากตรอกอย่างช้า ๆ
เด็กหนุ่มเดินไปตามท้องถนน ผนังขาวซีดโดยรอบถูกประดับด้วยโคมไฟสีแดงที่ห้อยไปตามทาง ไม่เหลือร่องรอยของผู้คนบนท้องถนนอีกต่อไป มีเพียงความเงียบที่เย็นยะเยือกอยู่ทั่วทุกที่
ฉินเย่หยิบขลุ่ยขนาดเล็กออกมาจากอกของตนเอง ตัวด้ามของขลุ่ยสีขาวราวหิมะ ทว่าแตกต่างกับสีของหยกอย่างชัดเจน อย่างน้อย ขลุ่ยเลานี้ดูพิเศษกว่าที่มองเห็นตามร้านขายทั่วไป อันที่จริง บางส่วนของมันงอ คดเคี้ยว และมีรูมากมายถูกเจาะเอาไว้ เป็นสิ่งของที่ไม่มีใครสนใจ แม้ว่าจะเห็นมันจากข้างถนนก็ตามที
เมื่ออาร์ทิสของที่ฉินเย่หยิบออกมาก็เอ่ยอย่างประหลาดใจ “ขลุ่ยกระดูกมนุษย์อย่างนั้นหรือ? ขลุ่ยที่ทำมาจากกระดูกส่วนหน้าแข้งของหญิงสาวพรหมจรรย์ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างโลกใต้พิภพและโลกมนุษย์ ชื่อทางการของมันก็คือขลุ่ยกังต่ง เจ้ามีของแบบนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?”
ฉินเย่ยิ้มบางเบา “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าหน้าที่ระดับมณฑลผู้สูงส่งอย่างท่านจะรู้ด้วยว่าชื่อที่แท้จริงของขลุ่ยเลานี้คือขลุ่ยกังต่ง”
ขณะที่เดินไปตามท้องถนนที่เงียบงัน เขาก็ยกขลุ่ยขึ้นมาแนบกับปากของตนและเริ่มเป่า
ท่วงทำนองที่โหยหวนระคนโศกเศร้าทว่าคมชัดดังออกมาจากขลุ่ย ไม่เขาจะเดินไปที่ใด ดวงวิญญาณเร่ร่อนที่อยู่บนท้องถนนจะต้องสั่นสะท้านและหมอบคลานต่อหน้าของเขา จากนั้น พลังหยินที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็เริ่มปรากฏออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของเขา เมื่อท่วงทำนองของขลุ่ยไพเราะยิ่งขึ้น พลังหยินที่อยู่รอบเท้าของเด็กหนุ่มก็หนาแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากผ่านไปสักพัก กลุ่มพลังหยินดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นจนดูราวกับว่าเขากำลังเดินอยู่บนก้อนเมฆสีดำ
ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนี้เรื่อย ๆ เขาเดินผ่านบ้านหลังต่อหลัง ทันใดนั้น ขณะที่เขากำลังจะเดินไปถึงท้ายสุดของถนน อีกาสองตัวที่เกาะอยู่บนหลังคาบ้านทั้งสองฝั่งของถนนก็ส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน
กา! กา!
ตลอดทางที่จูอันเดินผ่านมา มันมีอีกาอยู่เพียงแค่สองตัวเท่านั้น
“นี่มัน…” อาร์ทิสดูสดชื่นขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว ครั้งสุดท้ายที่นางต้องเอาตัวเองมายุ่งกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ก็คือตอนที่ทำงานเป็นบริวารกว่าหลายร้อยปีในฐานะของตุลาการนรกไม่ใช่หรือ? อันที่จริง นางเองก็เริ่มที่จะหลงลืมความรู้สึกตรงนั้นไปแล้วเช่นกัน
อืม ผู้ที่สามารถใช้ชีวิตกลมกลืนไปกับมนุษย์ได้โดยที่มีสิ่งชั่วร้ายอยู่ภายในตัวย่อมมีทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือว่าตัวข้าถูกกำหนดมาให้เป็นดอกไม้ที่ประดับอยู่บนบัลลังก์น้ำแข็งจริง ๆ อย่างนั้นหรือ…?
“พวกเขาอยู่ที่นี่…” ฉินเย่หยุดเป่าขลุ่ยและแกว่งมันเบา ๆ “นี่คือวัตถุหยิน ช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพมืออาชีพจะสามารถแยกแยะเสียงของวัตถุหยินได้ทันที ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้ยินเสียงของวัตถุหยินที่แท้จริง เหล่าช่างฝีมือพวกนี้ก็มักจะมาต้อนรับผู้เป็นเจ้าของวัตถุหยินชิ้นนั้นด้วยตัวเองในฐานะแขก เพราะอย่างไรแล้ว มันก็หมายความว่าพวกเราทั้งสองฝ่ายก้าวไปในเส้นทางเดียวกัน และอีกาเองก็เป็นที่รู้จักในฐานะของนกสำหรับการต้อนรับของช่างฝีมือในโลกใต้พิภพ ตราบใดที่พวกเขาเต็มใจที่จะช่วยเหลือดวงวิญญาณพวกนั้น อีกาของพวกเขาก็จะปรากฏตัวเพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือนทันที”
เมื่อเอ่ยจบ ฉินเย่จึงมองไปยังทั้งสองฝั่งของถนนก่อนจะเอ่ยว่า “จะว่าไป…ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่าช่างฝีมือทั้งสองคนจะปรากฏตัวขึ้นในสถานที่เดียวกันพร้อมกันเช่นนี้ ตอนนี้ข้ามั่นใจ 90% แล้วว่าตลาดไสยเวทย์มาที่เมืองชิงซีจริง ๆ”
เอี๊ยดดดดด….
ทันใดนั้นเอง ร้านค้าด้านหน้าทั้งสองฝั่งของถนนก็ถูกเปิดออกมาพร้อมกัน ร้านทางซ้ายมีถูกเปิดโดยชายสูงวัยที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมเต๋า เขาหาวออกมาก่อนจะกล่าวว่า “สหายเต๋า ท่านมาจากที่ใดกัน?”
เป็นชายร่างผอมวัยประมาณ 60-70 ปีที่สวมแว่นตาและมีเคราแพะอยู่บนใบหน้า
ประตูของร้านทางฝั่งขวาเองก็เปิดออกเช่นกัน เผยให้เห็นร่างของหญิงวัยประมาณ 40 ปีที่กำลังเคี้ยวขนมอยู่ เธอตัวอ้วนกลมราวกับลูกบอล แก้มทั้งสองข้างแดงก่ำและมีเลือดฝาด ซึ่งถูกขับให้เด่นด้วยผมสั้นประบ่าที่ล้อมกรอบหน้า ทันทีที่เปิดประตูออกมา นางก็พึมพำว่า “ใครกันที่มาเป่าขลุ่ยส่งเสียงดังแบบนี้?! นี่ฉันกำลังตามดูละครให้ทันอยู่แท้ ๆ จะปล่อยให้คนแก่อยู่อย่างสงบหน่อยไม่ได้หรือไงกัน….”
พวกเขาเปิดประตูออกมาพร้อมกัน ก้าวออกมาพร้อมกัน และยังเห็นสังเกตเห็นฉินเย่พร้อม ๆ กัน…พลังหยินที่หมุนวนอยู่รอบ ๆ เท้าของฉินเย่ ทำให้เสื้อคลุมของเขาพลิ้วไหวทั้ง ๆ ที่ไร้ซึ่งสายลมพัดผ่าน
เงียบกริบ
วินาทีต่อมา “ผี! ผีหลอก!!!!!!!!!!” เสียงร้องโหยหวนของทั้งสองดังขึ้นทำลายความเงียบสงบยามราตรี จากนั้นก็ตามมาด้วยการปิดประตูเสียงดัง ปัง!!!
…………………………………………..
เวลา 20.45 น.
สถานที่ – ระหว่างบ้านเลขที่ 3/82 ถนนของชนกลุ่มน้อย เมืองชิงซี มณฑลเสฉวน
ฮวงซันเหอเอนกายพิงกับประตู ร่างทั้งร่างของเขาสั่นระริกและฟันก็กระทบกันอย่างไม่หยุดหย่อน มันเป็นค่ำคืนที่ไม่ได้หนาวมากนัก แต่ความเย็นยะเยือกกลับไล่ไปตามกระดูกสักหลัง
ในหัวของเขามันยุ่งเหยิงไปหมด มันยุ่งเหยิงมากจริง ๆ
“ไม่ใช่ ไม่ใช่แน่ ๆ…มะ…มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครสามารถควบคุมพลังหยินได้มากขนาดนั้นได้ในคราวเดียว แต่ก่อน ตอนที่คุณปู่ของคุณปู่แขวนรูปของยมทูตขาวดำและอัญเชิญวิญญาณของพวกเขามาจากโลกใต้พิภพ ยมทูตขาวดำไม่แม้แต่จะแสดงตัวเลยสักนิด เราจะต้องเข้าใจผิดไปแน่ ๆ เราคงมองผิดไป…”
แม้ว่าเขาจะยังพึมพำไปเรื่อย ๆ แต่นิ้วมือของเขากลับไม่หยุดเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว เส้นด้ายสีดำยังคงเคลื่อนไหวไปตามร่องนิ้วของเขาไปมาราวกับมีชีวิต จนดูเหมือนว่าเขากำลังเล่นเกมเชือกอยู่
ทว่าเชือกพวกนั้นกลับดูแปลกพิกล มันไม่ใช่ทั้งผ้าไหมหรือขนสัตว์ อันที่จริง หากลองมองดูใกล้ ๆ ก็จะพบว่าเส้นด้ายพวกนี้ถูกถักทอมาจากเส้นผมของมนุษย์! มันเปล่งประกายมันเยิ้ม ซึ่งแทบจะไม่สามารถบอกได้เลยว่าพวกมันผ่านการใช้งานมาแล้วกี่ครั้ง
ทว่ายิ่งนิ้วมือของเขาเคลื่อนไหวเร็วเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งลุกลี้ลุกลนมากขึ้นเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเขารู้ดีว่านี่จะต้องเป็นดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคบเผชิญหน้ามา และอีกฝ่ายก็คงไม่มาปรากฏตัวที่นี่โดยไร้เหตุผลแน่ ๆ
ปัง! ทันใดนั้นเสียงประตูดังขึ้น ชายคนดังกล่าวสะดุ้งจนตัวโยนราวกับถูกเข็มทิ่ม เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว เขายังคงยืนพิงประตูอยู่เลย แต่วินาทีต่อมา เขากลับถอยกลับเข้าไปจนหลังชนเข้ากับตู้เก็บของ ตะโกนร้องบอกอย่างสุดเสียง “ยะ…อย่าเข้ามานะ!”
“ตะ..ตระกูลของผม มะ…ไม่เคยก่อเรื่องโหดร้ายอะไรทั้งนั้น! ทะ…ท่านไม่ควรมาที่นี่!”
ที่หน้าประตูยังคงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นน้ำเสียงราบเรียบก็ดังขึ้น “ผู้สื่อสารอย่างนั้นเหรอ?”
กริ๊ก!…
สิ้นเสียงพูด ตัวล็อกบนประตูก็ปลดล็อกด้วยตัวของมันเอง ชายสูงวัยก็เห็นผู้หญิงร่างอวบอ้วนคนหนึ่งกำลังยืนตัวสั่นอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำ จากนั้นเขาก็เห็นว่าชายชุดดำคนดังกล่าวก็…ลอยเข้ามา!
ปัง!
เสียงประตูปิดลงเบา ๆ ฉินเย่สอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว ห้องของชายสูงวัยผู้นี้เรียบง่ายเป็นอย่างมากมี กล่องธูป บทสวด วัตถุและยันต์ต่าง ๆ นานา
ฉินเย่เพียงแสยะยิ้มในใจ
คนเหล่านี้เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการหาประโยชน์จากความตายของผู้อื่น พวกเขาปรากฏตัวอย่างถ่อมตัว ทว่าคิดค่าจ้างในการทำงานแต่ละครั้งสูงเสียดฟ้า มีตั้งแต่ 20,000 ถึง 30,000 หยวน! คนพวกนี้ร่ำรวยกว่าเขามากทีเดียว!