ฉันนี่แหละจ้าวนรก - ตอนที่ 28
บทที่ 28 เข้าสู่รังของศัตรู
“ข้ามั่นใจ 90%!” ฉินเย่ดีดนิ้ว “อันดับแรก เจ้าคิดว่าองค์กรป้องกันปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติของจีนแข็งแกร่งเพียงใด?”
“ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก” อาร์ทิสเอ่ยตอบ “เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และมันก็เป็นความจริง ที่ในตอนนี้มีเพียงผู้คนไม่กี่คนที่เชื่อเรื่องพวกนี้ และเพราะสาเหตุนี้ทำให้ความแข็งแกร่งของจีนจึงลดลง”
“นั่นสินะ อันดับที่สอง คนที่มีอำนาจถึงขนาดที่สามารถดำรงตำแหน่งที่สูงพอสมควรในหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติ ด้วยจำนวนเจ้าหน้าที่ที่มีอยู่ไม่มากนัก วิธีการที่ดีที่สุดในการรับมือกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นภายในเมืองชิงซีทั้งหมดในคราวเดียวคืออะไร?”
“จากสิ่งที่ข้าเข้าใจเกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์ พวกเขานั้นรวดเร็วและเด็ดขาด ไม่ชอบทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องยาก ดังนั้นการตัดสินใจของพวกเขา จึงน่าจะเป็นการส่งบุคคลที่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้จบลงภายในครั้งเดียวมาที่นี่ และมันก็ช่างบังเอิญที่ตลาดไสยเวทย์กำลังจะถูกจัดขึ้นพอดี ดังนั้นตัวเลือกใดจะดีไปกว่าการมอบหมายงานให้กับผู้ที่เจ้าภาพของตลาดไสยเวทย์กันเล่า?”
“เพราะฉะนั้น เขาจะต้องเป็นเจ้าภาพของตลาดไสยเวทย์แน่นอน!”
อาร์ทิสพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “แล้ว….เจ้าวางแผนไว้ว่าอย่างไร?”
“ในตอนแรก ข้ากำลังลังเลที่จะเผชิญหน้ากับกองกำลังทหารโดยตรง แต่….” ฉินเย่เอ่ยขณะเริ่มออกเดินต่อ “แต่เพราะเรื่องตัวตนที่แท้จริงของผู้บงการ ข้าจึงไม่ที่ทางเลือกอื่นนอกจากปะทะกับพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงและคนจากลัทธิโดยตรงเสียก่อน….”
……………………………………….·
เมื่อถึงเวลากลางคืน
ดวงจันทร์ที่ถูกบดบังส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบมืดมนกว่าที่เคย ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์กลายเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ยากในแถบมณฑลเสฉวน
ภายในห้อง 302 ของโรงแรมที่หรูหราที่สุดในเมืองชิงซี โรงแรมจินซิน นักบวชเต๋าวัยกลางคนที่มีเครายาว กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กึ่งกลางของห้อง แต่ละครั้งที่เขาหายใจเข้าและหายใจออก อากาศที่อยู่โดยรอบจะแปรปรวนเล็กน้อย เมื่อเวลาเที่ยงคืนมาถึง เขาก็พ่นลมหายใจออก เกิดเป็นควันสีขาวที่ออกมาทางรูจมูกทั้งสองข้าง
“อืม….” เขาถามหายใจออกมาขณะที่ลืมตาขึ้น หลังจากสวมรองเท้าเสร็จแล้ว เขาก็เดินตรงไปที่โต๊ะที่อยู่ภายในห้องของตัวเอง
สิ่งที่อยู่บนโต๊ะคือแผนที่ของเมืองชิงซีที่ถูกกางเอาไว้ ชายวัยกลางคนเริ่มตรวจสอบมันอย่างละเอียด
เมื่อเช้านี้เขาเพิ่งได้รับรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติระดับ D ที่เกิดขึ้นที่สนามบิน ตัวตนเหนือธรรมชาติได้เล็ดลอดผ่านเส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติไปได้โดยไม่ถูกตรวจพบ เข้าสู่มณฑลเสฉวนในตอนกลางดึก และปลายทางของมันก็คือเมืองชิงซี
โรงพยาบาลที่หวังเฉิงห่าวพักอยู่ถือว่าเป็นพื้นที่สีแดง หากพูดอีกอย่างก็คือ มันคือตำแหน่งที่พวกเขาตรวจสอบและป้องกันอย่างใกล้ชิดที่สุด รองลงมาคือถนนของชนกลุ่มน้อยที่กำลังอยู่ในช่วงเฝ้าระวัง ที่เป็นพื้นที่สีส้มและจะถูกใช้เป็นที่ตั้งของตลาดไสยเวทย์ที่กำลังจะมาถึง ในขณะที่พื้นที่อื่น ๆ เป็นเพียงพื้นที่สีเหลืองหรือสีเขียวเท่านั้น
สิ่งที่ฉินเย่คิดไว้นั้นไม่มีผิด นักบวชเต๋าผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าภาพของตลาดไสยเวทย์ นอกจากนี้ เขาก็เป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติสาขานครเซี่ยเจียงด้วย
“อืม….” หลายนาทีต่อมา เขาก็ยกมือขึ้นนวดขมับของตนเพื่อบรรเทาอาการปวดหัว
หัวใจของเขามันร้อนรุ่มและหงุดหงิดทุกครั้งที่มองดูแผนที่ของเมืองนี้ พื้นที่สีส้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การเปลี่ยนแปลงที่เหนือธรรมชาติ…เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว
ทางรัฐบาลได้พยายามที่จะรวบรวมผู้มีความสามารถและผู้เชี่ยวชาญที่มีความเกี่ยวข้องกับโลกใต้พิภพในทุกรูปแบบมาไว้ด้วยกัน แต่คนพวกนั้นกลับไม่ผ่านข้อกำหนัดพื้นฐานอย่างการมีดวงเนตรแห่งนรกด้วยซ้ำ มันดูเหมือนกับว่าความพยายามของพวกเขายังไม่มากพอ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เป็นเหมือนกับคลื่นน้ำขนาดใหญ่ที่เป็นเพียงการเตือนภัยก่อนที่จะเกิดสึนามิครั้งใหญ่ขึ้น คลื่นแล้วคลื่นเล่า โดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงในเร็ว ๆ นี้ และเมื่อมันถึงจุดพลิกผันเมื่อไหร่ล่ะก็….
เขาไม่กล้าคาดการณ์ถึงส่งที่จะตามมาเลยสักนิด
ทว่าขณะที่เขากำลังพับแผนที่เก็บนั้น ชายวัยกลางคนก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “สหายเต๋า ในเมื่อคุณมาถึงที่นี่แล้ว ทำไมถึงไม่แสดงตัวออกมากันล่ะ?”
ไร้เสียงตอบรับ
นักบวชชายหันกลับมาด้วยไปใบหน้าที่เคร่งขรึมว่าเดิม มือทั้งสองข้างจับแส้หางม้าแน่น จากนั้น เมื่อเขาดึงมันออกจากกัน เผยให้เห็นดาบเล่มหนึ่งที่อยู่ด้านใน
ฟึ่บ….ด้วยการสะบัดข้อมือ ดาบเล่มดังกล่าวก็ลอยขึ้นด้วยตัวของมันเองและเริ่มร่ายรำอยู่ข้าง ๆ กายของเขาราวกับผีเสื้อ
“ฉันคือหัวหน้านักบวชแห่งวัดยวี้ชิง จางเฟิงจือ ไม่ทราบว่าสหายเต๋ามีนามว่าอะไร?”
แต่ก่อนจะเขาจะได้เอ่ยจนจบ ประกายแสงสีเงินก็ปรากฏขึ้น จางเฟิงจือร้องออกมาอย่างตกใจ ดาบของเขาพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงภาพติดตาตรงบริเวณที่มันเคยอยู่ ทันใดนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าของนักบวชวัยกลางคนพล่าเลือน
ครืดดด ครืดด….สายโซ่จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา ปะทะกับดาบจนเกิดเป็นประกายแสงสีทอง
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! โซ่ทั้งหมดเคลื่อนไหวราวกับมันสามารถมองเห็น พวกมันพุ่งตรงมาที่ใจกลางห้อง ลดพื้นที่ภายในลงอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเกิดเป็นคุกที่ก่อตัวขึ้นมาจากโซ่ที่ล้อมรอบร่างของจางเฟิงจือเอาไว้ ดวงตาของนักบวชวัยกลางคนลุกโชนขึ้นขณะที่รีบมองหาจุดที่เปิดกว้างที่สุดที่ยังคงเหลืออยู่
ฝ่ายตรงข้ามได้แบ่งแยกอาณาเขตของการต่อสู้อย่างชัดเจน แต่…อีกฝ่ายก็มีร่างกายที่เป็นรูปธรรมอยู่เช่นกัน! จุดที่มีโซ่น้อยที่สุดก็คือจุดที่เราจะหาตัวเขาพบ!
“ตรงนั้น!” ขณะที่เอ่ยออกมา ดวงตาของตัวเป็นประกายเจิดจ้า ตัวดาบระเบิดออกก่อนจะกลายเป็นสายฟ้าที่พุ่งตรงไปที่ประตู
แต่ในวินาทีต่อมา สายฟ้าดังกล่าวกลับพุ่งตรงไปที่ด้านหลังที่ปราศจากการป้องกันของเขาเสียเอง!
“เกิดอะไรขึ้น!” ในขณะอาการตกใจของเขา จี้หยกก็พลันหลุดจากมือ จางเฟิงจือพยายามเอื้อมมือเพื่อคว้ามันเอาไว้ ทว่าในวินาทีต่อมา เขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่สัมผัสอยู่บริเวณลำคอของตน
ฟึ่บบ….พายุแห่งความวุ่นวายหยุดลงในทันที
ทุกอย่างหยุดลงอย่างรวดเร็วเหมือนกันกับที่เริ่มขึ้นตอนแรก
ในเวลานั้น ร่างในชุดเสื้อคลุมสีดำและสวมหมวกไม้ไผ่ทรงสูงปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของจางเฟิงจือ มือของอีกฝ่ายยังคงจับใบมีดให้กดอยู่บริเวณลำคอของนักบวชวัยกลางคนเอาไว้
“คุณเป็นใครกัน?” จางเฟิงจือเอ่ยถามลอดไรฟัน “คุณไม่ใช่ดวงวิญญาณ…วิญญาณทั่วไปไม่สามารถสัมผัสวัตถุได้ เว้นแต่ว่าจะเป็นวิญญาณอายุกว่า 100 ปี….และถ้าคุณคือดวงวิญญาณระดับนั้น มักก็ไม่มีเห็นผลที่คุณจะต้องต่อต้านฉันเลยสักนิด…แต่….”
การต่อสู้เมื่อครู่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและรวดเร็วเกินไป เขาทำได้เพียงยืนมองโซ่วนรอบกายตัวเอง ทันใดนั้นร่างของนักบวชวัยกลางคนก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง “นั่นโซ่ทองสัมฤทธิ์หรือ?! ”
“นี่คือโซ่ทองสัมฤทธิ์หรือ?! ทะ…ท่านเป็นยมทูตอย่างนั้นเหรอ?! เดี๋ยวก่อน…ยมทูตยังมีอยู่อีกหรือ?!”
“เงียบเสีย” ฉินเย่จงใจกดเสียงของตัวเองให้ต่ำลงขณะที่กดใบมืดลงไปที่คอของจางเฟิงจือมากกว่าเดิม ส่งผลให้รอยแดงซิบของเลือดปรากฏขึ้น “บอกข้ามา เจ้าคือเจ้าภาพของตลาดไสยเวทย์ในครั้งนี้ใช่หรือไม่?”
“ชะ…ใช่…” สัมผัสเย็นยะเยือกที่คอทำให้ความรู้สึกดีใจภายในใจของจางเฟิงจือลดลงอย่างรวดเร็ว เขารีบตอบออกไปตามจริง
อย่างไรก็ตาม หัวใจของเขายังคงเต้นแรงด้วยอารมณ์มากมาย นี่จะต้องเป็นยมทูตแน่ ๆ…เขาเคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้มาจากคัมภีร์ลับของผู้เป็นอาจารย์ ผู้ที่สามารถใช้ โซ่ทองสัมฤทธิ์ ได้มีเพียงยมทูตเท่านั้น! เพราะมันคือโซ่ตรวนที่ใช้จับกุมเหล่าดวงวิญญาณร้าย!
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศจีนกำลังทวีความรุนแรงขึ้น จนไม่สามารถควบคุมได้ และหากแม้แต่นรกเองก็เข้ามาแทรกแซง….พวกเขาก็ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความอีกแล้ว!
อย่างไรก็ตาม นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องเหล่านั้น
“ไปหยิบบันทึกการรับมอบหมายงานในอดีตทั้งหมด ที่ดำเนินการโดยตลาดไสยเวทย์ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาให้ข้า”
จางเฟิงจือที่ได้ยินเช่นนั้นจึงชี้ไปที่โทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงของเขาและเอ่ยตอบด้วยเสียงแหบแห้ง “รหัสคือ 642321….ท่านผู้ทรงอำนาจ หากท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้า ท่านสามารถเอ่ยออกมาได้เลย ผมมีคำถามเพียงข้อเดียวที่อยากจะถาม…เกิดอะไรขึ้นกับนรก? เหตุใดพวกเราจึงไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ ยามเมื่อพยายามติดต่อกับโลกใต้พิภพ?”
ฉินเย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายเสียงต่ำว่า “มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในนรก โลกมนุษย์เองก็ควรจะสวดภาวนาเพื่อตัวเองเช่นกัน”
“ท่านวะ…”
ทว่าก่อนที่จางเฟิงจือจะพูดจบ เขาก็รู้สึกถึงแรงมหาศาลที่กระแทกลงมาที่หลังคอและหมดสติไป
“กระดูกแข็งชะมัด!” ฉินเย่สบถออกมาขณะที่สะบัดมือเพื่อไล่ความเจ็บปวดที่ฝ่ามือของตน จากนั้นจึงจุดธูปลบความทรงจำ เดินไปหยิบโทรศัพท์ของจางเฟิงจือและจากไป
เขารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถอยู่ที่นี่นานกว่านี้ได้ ตอนนี้เขาอยู่ในอาณาเขตตรวจจับของอีกฝ่าย แม้ว่ากองกำลังส่วนใหญ่ถูกส่งไปประจำที่โรงพยาบาล หรือไม่ก็สถานที่ที่จะใช้จัดตลาดไสยเวทย์ แต่มันก็ยังมีมาตรการอื่นในการเฝ้าระวังความปลอดภัยอยู่
ฉินเย่เปิดหน้าต่างและกระโดดออกไปในความมืดของยามค่ำคืน
หลังจากที่ฉินเย่จากไปเพียง 30 วินาที ประตูห้องก็ถูกผลักให้เปิดออก ชายในชุดสูทสีดำสามคนรีบเดินเข้ามาพร้อมกับปืนในมือ!
“ท่านครับ!” เมื่อเห็นนักบวชวัยกลางคนนอนหมดสติอยู่กับพื้น พวกเขาก็รีบพุ่งไปหาอีกฝ่ายทันที ทว่าขณะที่พวกเขากำลังจะช่วยพยุงร่างของอีกฝ่ายขึ้นมา มือของชายวัยกลางคนก็จับแขนของเขาไว้แทน
“ปะ…” ด้วยดวงตาที่แดงก่ำและผมเผ้ากระเซอะกระเซิง จางเฟิงจือตะโกนสั่งเสียงดัง “ดับธูปลบความทรงจำ…แล้วติดต่อหน่วยของเราที่นครเหลียนฮวาเดี๋ยวนี้! เร็วเข้า!”
“ท่าน…”
“ทำตามที่ฉันบอก!!” ขณะที่จางเฟิงจือพยายามลุกขึ้นยืน กระดูกหลังคอของเขาลั่นดังกึก! ชายวัยกลางคนเผยสีหน้าเหยเกออกมา “รายงานทางนครเหลียนฮวาด้วยว่า…ยมทูตได้ปรากฏตัวขึ้นในเมืองชิงซี! พวกเราจะต้องหาตัวท่านผู้นั้นให้เจอให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม!”
“ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ฉันสบายดี…ฉันได้ฝึกการเคล็ดวิชาตัดกระดูกมาตั้งแต่ที่เด็ก การโจมตีตรงนี้ทำให้ฉันหมดสติไม่ได้หรอก” จางเฟิงจือถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะเอ่ยคำสั่งต่อไป “ติดต่อทางกองทัพเดี๋ยวนี้! ระบุตำแหน่งโทรศัพท์ของฉันโดยด่วน! เร็ว!”
“ครับ!”
“นอกจากนี้…ตรวจสอบประชากรทั้งหมดที่อยู่ในเมืองชิงซี! หามาให้ได้ว่ามีใครที่ไม่ได้อยู่ที่บ้านในเวลานี้! จับตาดูคนพวกนี้ไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ แล้วรอคำสั่งจากเบื้องบน!”
“ครับ…ท่านครับ ท่านไม่คิดว่านี่จะเป็น…”
ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยจบ จางเฟิงจือก็เอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและแน่วแน่ผิดปกติ “นี้ฟังนะ…นายไม่รู้หรอกว่าการปรากฏตัวของยมทูตในสถานการณ์แบบนี้ สำคัญขนาดไหน! แม้ว่าเราจำเป็นจะต้องซื้อเมืองทั้งเมือง หรือมณฑลทั้งมณฑลเพื่อตามหาท่านผู้นั้น มันก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี!”
…………………………………………….
หลังจากที่ฉินเย่ออกมาไม่นาน ทว่าภายในเวลาไม่ถึง 3 นาที ทั่วทั้งโรงแรมจินซินกลับสว่างขึ้น
“เวรล่ะ!” เด็กหนุ่มสบถออกมา ช่างเป็นการตอบสนองที่รวดเร็วจริง ๆ!
ทำไมตอนนี้มันช่างแตกต่างกับในหนังที่เขาเคยดูในทีวีเสียเหลือเกิน…ไม่ใช่ว่าพวกตำรวจมักจะมาถึงหลังจากที่การต่อสู้จบลงแล้วหรือไง…
ในเวลาเดียวกัน เขาก็เห็นรถเอสยูวีหลายคัน มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่เขากำลังอยู่ในตอนนี้
“เครื่องติดตามตำแหน่ง…” ตอนนี้เขารู้สึกเกลียดการก้าวกระโดดเทคโนโลยีเป็นที่สุด เห็นได้ชัดเลยว่าพิกัดที่เจ้าหน้าที่พวกนี้กำลังมุ่งหน้าไปเป็นบ้านของเขา และมันก็เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาติดตามมาจากสัญญาณโทรศัพท์เครื่องนั้น!
“เสียวอา หากข้าต้องการเวลาอีก 20 นาที…ท่านคิดว่าข้าจะสามารถวิ่งเร็วกว่ารถตำรวจได้หรือเปล่า?”
“นั่นมันเป็นไปไม่ได้ ร่างกายของเขาไม่สามารถต้านพลังหยินจากเศษตราจ้าวนรกได้ จะว่าไป มันก็ยังมีอีกทางหนึ่ง เจ้าสามารถบินไปเรื่อย ๆ ออกให้ห่างจากหลังคาเรือน แล้วระหว่างนั้นก็ไปดูว่ามีช่างฝีมือคนใดที่รับงานอื่นอีกไหม!
วูบบบ….ก่อนที่นางจะพูดจบ พลังหยินที่อยู่โดยรอบก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู้ใต้ฝ่าเท้าของเขา เสื้อคลุมสีดำที่สวมอยู่เริ่มที่จะกระพือไหว จากนั้นในเสี้ยววินาทีต่อมา เขาก็บินขึ้นไปบนฟ้าเหมือนกับว่าว
ในตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากและไม่รู้ว่าตนควรจะตัดสินใจอย่างไรดี
ข้อแรก เขาจำเป็นจะต้องรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของผู้บงการเรื่องนี้ ทางตะวันตกของจีนในเวลานี้กำลังเต็มไปด้วยกระถางเพาะพันธุ์ที่ผู้บงการได้เพาะเอาไว้ เศษตราจ้าวนรกทำหน้าที่คล้ายกับหนังสือเดินทาง เมื่อใดที่เขาต้องการตามหาเศษตราจ้าวนรกชิ้นต่อไป เขาก็จะถูกผู้ที่ครอบครองเศษตราชิ้นนั้นค้นพบ ในเวลานั้น หากเขายังไม่มีวิธีที่จะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ มันก็จะไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย
ข้อสอง มันไม่มีทางที่เขาจะตั้งความหวังที่จะเอาชีวิตรอดไว้ในกำมือของผู้อื่น ถูกต้อง ฉินเย่กลัวที่จะตาย กลัวมาก ๆ ดังนั้นสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือพยายามสุดชีวิตเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
นี่เป็นเพียงความปรารถนาที่แสนจะธรรมดาของเขา ทว่าตอนนี้มันกลับหนักอึ้ง และเขาไม่คิดจะไว้ใจใครทั้งนั้น ดังนั้นนับประสาอะไรกับหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติ ที่อาจเปิดเผยตัวตนของผู้บงการทันทีที่พวกเขาพบตัว หากพูดกันตามตรง มันมีความเป็นได้ว่าหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นใต้จมูกของตัวเองด้วยซ้ำ หรือหากย้อนกลับไป แม้ว่าหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติจะพบตัวของผู้บงการและเปิดเผยให้รู้เฉพาะกับกลุ่มคนภายในหรือไม่ มันก็ไม่มีทางที่ฉินเย่จะสามารถเข้าร่วมกับคนพวกนี้ได้อยู่ดี
ปัญหาคือตัวตนของเขาเอง
ไม่มีทางที่เขาจะสามารถหลอกทุกคนจากพลังหยินที่อยู่รอบตัวของเขาได้….เหตุการณ์เหนือธรรมชาติกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพียงแต่มันกำลังรอเวลาเท่านั้นเหมือนลาวาที่รอปะทุ และเขาก็ไม่คิดจะมองโลกในแง่ดีอย่างเรื่องที่ว่าจีนจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทันเวลาเช่นกัน ทันทีที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมมันได้ ใครบางคนก็คงจะนึกขึ้นมาได้อย่างแน่นอนว่าพวกเขายังมียมทูตอยู่ในหน่วยงานของตน และเริ่มคาดเดาไปต่าง ๆ นานา
แล้วเขาต่างจากคนอื่นอย่างไร?
พวกเขาจะเอาความสามารถของยมทูตมาได้หรือไม่? หากลองชำแหละร่างของเขาดูล่ะ? เราก็อาจจะสามารถควบคุมเหตุการณ์โกลาหลนี่ได้ทันเวลาใช่หรือเปล่า?…
อย่าคิดจะทดสอบหัวใจของมนุษย์ การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ฉลาดเลยสักนิด
ฉินเย่ครุ่นคิดขณะที่กำลังมุ่งไปข้างหน้า โดยพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณใกล้ถนนของผู้ล่วงลับ ในขณะเดียวกัน เขาก็กดรหัสผ่านและปลดล็อกโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เปิดเข้าเอกสารที่อยู่ในโฟลเดอร์ทันที…
เร็วขึ้นอีก…!!
หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้งด้วยความกังวล เขามองดูเปอร์เซ็นต์ที่กำลังหมุนอยู่บนหน้าจอ พร้อมกับภาวนาให้มันเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยเถอะ!!
1 นาที… 2 นาที… 5 นาที… 10 นาที!