ฉันนี่แหละจ้าวนรก - ตอนที่ 58
ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – บทที่ 58 การเปลี่ยนรูปของกระบี่ (2)
บทที่ 58 การเปลี่ยนรูปของกระบี่ (2)
ตู้ม! เวลา 21.02 น. ร่างของฉินเย่ถูกล้อมรอบไปด้วยกลุ่มพลังหยินที่มืดมนขณะที่เขายืนอยู่ด้านหน้าของบ้านที่ทรุดโทรมหลังหนึ่ง
ตอนนี้เขาอยู่ที่หมู่บ้านเซียงหยาง หมู่บ้านที่ตั้งอยู่บริเวณเขตชานเมือง เด็กหนุ่มถูกล้อมรอบไปด้วยตึกสูงหลายแห่งในละแวกนั้น นี่คือย่านที่ดีที่สุดของหมู่บ้าน และบ้านหลังตรงหน้าของเขาก็คือบ้านเพียงหลังเดียวที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยแผ่นไม้และก้อนอิฐ ภายในบ้านประกอบด้วยหนึ่งห้องนั่งเล่นและสองห้องนอนที่ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดใหญ่
บ้านอิฐตั้งอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหมู่บ้านเซียงหยาง ฉินเย่ได้ยินข่าวลือมาว่าเมื่อแปดปีก่อน มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งและลูกสาวของพวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่ ทั้งคู่ค่อนข้างเบื่อหน่ายกับชีวิตและกำลังล่องเรือไปเรื่อย ๆ ขณะที่ได้รับการแจ้งว่าทั่วทั้งละแวกบ้านของตนจำเป็นจะต้องได้รับการรื้อถอนและพวกเขาจะต้องย้ายออก
ด้วยความดีใจกับโชคที่หล่นทับอย่างกะทันหัน ทางครอบครัวจึงเรียกเงินเป็นจำนวน 20 ล้านหยวนเพื่อแลกกับการตอบตกลงในการรื้อถอนนั้น!
พึงรู้ว่าต่ำแหน่งของบ้านหลังนี้ไม่ได้อยู่ใกล้กับเมืองหลวงเลยสักนิด ไม่ว่าจะในแง่ของขนาดและความต้องการ อย่างดีที่สุดมันก็เป็นเพียงเมืองระดับ 3 ภายในมณฑลอันฮุ่ย แน่นอนว่าพวกสถาปนิกไม่ยินยอม แต่ทางครอบครัวก็ยังดื้อรั้นและไม่ยอมผ่อนปรนแต่อย่างใด หลังจากผ่านไปครึ่งปี เมื่อพวกสถาปนิกตระหนักได้ว่าไม่มีสิ่งใดคืบหน้า พวกเขาจึงเริ่มต้นการรื้อถอนและงานก่อสร้างในบริเวณพื้นที่โดยรอบด้วยความโกรธ และเหลือไว้แค่บ้านของครอบครัวและที่ดินของพวกเขาเอาไว้เท่านั้น
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ครอบครัวของทั้งคู่ก็ต้องเผชิญหน้ากับเสียงก่อสร้างที่ดังก้องในทุกวัน และพวกเขาก็ทำได้เพียงมองเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ ต่างเคลื่อนย้ายเข้าสู่บ้านหลังใหม่ด้วยสายตาอิจฉา ทั้งสองจึงได้ทำการว่าจ้างสถาปนิกอีกครั้ง แต่การเปลี่ยนแผนจะทำให้ต้องแก้ไขงานก่อสร้างที่กำลังดำเนินอยู่ทั้งหมดใหม่ แล้วพวกเขาจะยอมตกลงได้อย่างไร?
ประมาณหนึ่งเดือนต่อมา ครอบครัวที่สิ้นหวังได้นำขวดยาฆ่าแมลงและมุ่งหน้าไปยังเขตก่อนสร้างอีกครั้ง เมื่อไม่ประสบผลสำเร็จเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะดื่มยาฆ่าแมลงเข้าไป
พวกเขาต้องการใช้ความตายของตนเองในการบีบบังคับเหล่าสถาปนิกพวกนั้น
พวกเขาไม่ได้กินมันเข้าไปมากนัก หรืออาจจะเป็นเพราะพวกเขาหวังว่าจะมีคนนำพวกตนไปส่งที่โรงพยาบาลได้ทันเวลาเพื่อรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ แต่ช่างน่าเศร้า ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิด และพวกเขาไม่ได้ถูกช่วยทันเวลา ดังนั้นบ้านที่ทำด้วยอิฐหลังนี้จึงยังคงตั้งตระหง่านอย่างมั่นคงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
“พวกเจ้ามีความแค้นอะไรกัน?” ฉินเย่หัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน ขณะที่ถีบประตูบ้านให้เปิดออก
โครม! ประตูไม้ที่ผุพังกระเด็นเข้าไปในบ้านทันที ในมือของฉินเย่ได้ถือกระบี่ปีศาจอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตัวกระบี่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีเขียวหยก แม้แต่ขอบของใบมีดเองก็มีร่องรอยของความไม่สม่ำเสมอ คล้ายกับว่ามันจะถูกเปลี่ยนเป็นขอบของใบเลื่อยในท้ายที่สุด
อย่างไรก็ตาม วิญญาณอาฆาตไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นตามที่เขาคาดการณ์ อันที่จริง หากจากพูดให้ถูกก็คือไม่มีใครมองมาที่เขาเลยแม้แต่นิดเดียว
บ้านทั้งหลังมืดสนิท และแหล่งกำเนิดแสงเพียงแหล่งเดียวก็คือตะเกียงน้ำมันโบราณ ดวงวิญญาณหยินสามตนหมอบอยู่บนพื้นข้างตะเกียง ทั้งสามแต่ตัวซอมซ่อ เหมือนกับที่เคยสวมก่อนตาย แต่ท่ามกลางคนทั้งสามมีสิ่งของบางอย่างกองรวมกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเทียน กระดูกมนุษย์ที่ถูกขุดขึ้นมาจากหลุม เศษซากจากโลงศพ เงินกระดาษที่ถูกเผาแล้ว…
พวกเขามองหน้ากันอย่างหวาดกลัวขณะที่จับธนบัตรนรกที่ขาดวิ่นและถูกเผาไหม้ของตนแน่น ไม่สนใจการปรากฏตัวของยมทูตหนุ่มแต่อย่างใด มันเหมือนกับว่าพวกเขาระมัดระวังดวงวิญญาณหยินอีกสองตนที่อยู่ข้าง ๆ มากกว่า
หนึ่งครอบครัว
รังของผี
ความรักที่พวกเขามีต่อเงินนั้นมากกว่าความรักที่มีต่อชีวิต
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “ขุดหลุมฝังศพของคนคนหนึ่งเพื่อที่เจ้าจะได้มีคนคอยตามรับใช้หลังจากที่ตายไป….ความปรารถนาที่อยู่เหนือแม้กระทั่งความตาย…ข้าจะส่งพวกเจ้าไปตามทางของพวกเจ้าเอง…”
เขาแกว่งกระบี่ในมือก่อนที่ตัวเองจะเอ่ยจบ ร่างวิญญาณของเด็กหญิงร้องเสียงหลงก่อนที่จะหายไปในกลุ่มควัน แต่พ่อแม่ของเด็กหญิงกลับไม่ชายตามองบุตรสาวของตนเลยสักนิด กลับกันพวกเขากรีดร้องเสียงดังและพุ่งตัวเข้าหากัน ฉีกกระชากร่างของอีกฝ่ายราวกับเป็นศัตรูของกันและกันมายาวนาน
ฉินเม้มริมฝีปากอย่างรังเกียจและแกว่งกระบี่ในมือของตนอีกครั้ง
ฟึ่บ! เงินกระดาษที่กองอยู่บนพื้นปลิวว่อน ราวกับเสียงระฆังหมดเวลาดังขึ้น ดวงวิญญาณหยินทั้งสองที่กำลังฉีกกระชากร่างของกันและกันพลันสงบลงในที่สุด
พวกเขาจ้องเขม็งไปที่ฉินเย่ แววตาที่สงบนิ่งเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความโกรธ พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนที่ดังขึ้น พวกมันอ้าปากกว้างและพุ่งตัวเข้าหาฉินเย่อย่างบ้าคลั่งทันที
“เงิน… เงินของข้า!!”
——————————–
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด….
เวลา 21.20 น. ณ ชั้นใต้ดินของศาลากลาง จางเชิงไห่และเจ้าหน้าที่ในชุดเครื่องแบบสีขาวทั้งหมดต่างจ้องมองดูหน้าจออย่างตกตะลึง ไม่สามารถเปล่งคำพูดใด ๆ ออกมาได้
เขตไล่ล่าที่ 10 ถูกทำลายแล้ว!
“มะ…ไม่น่าเชื่อ!” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ในชุดเครื่องแบบสีขาวสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดและขยับแว่นสายตาที่สวมอยู่ให้เข้าที่ “นี่เขา…พยายามจะทำลายเขตไล่ล่าทั้งหมดเลยอย่างนั้นเหรอ?”
แววตาของจางเชิงไห่ลุกโชนด้วยความมุ่งมั่น วินาทีต่อมา เขาตะโกนถามเสียงดัง “มีใคร…มีใครสามารถติดต่อกับชายลึกลับคนนี้ได้แล้วบ้าง?!”
แม่ชีซุยเยวียส่ายหน้าไปมา “ไม่ เขาเร็วเกินไป และเขายังตั้งใจที่หลบหลีกพวกเราอีกด้วย อย่างไรก็ตาม จำนวนของเขตไล่ล่ากำลังลดน้อยลงเรื่อย ๆ หากความตั้งใจของเขาคือการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ เพื่อบรรลุสู่ขั้นนักล่าวิญญาณ สิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องทำก็คือไปรอเขาอยู่ที่เขตไล่ล่าที่เหลืออยู่ แบบนั้น…เราจะสามารถพบตัวเขาได้แน่!”
“ผมอยากให้คุณมุ่งหน้าไปที่นั่นด้วยตัวเองครับ”จางเชิงไห่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อข่มความรู้สึกดีใจในใจและเอ่ยต่อว่า “คุณอย่าลืมเชิญเขาให้มาเข้าร่วมกับหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติของเราด้วยนะครับ จากความเร็วที่เขาใช้ในการปัดเป่าภูตผีพวกนี้ บวกกับข้อเท็จจริงที่ว่าเขายังไม่หยุดเคลื่อนไหวเลยแม้แต่ครั้งเดียว มันชี้ชัดให้เห็นว่าเขาห่างจากขั้นนักล่าวิญญาณอีกไม่ไกลนัก!”
“นอกจากนี้…” เขาเอ่ยขณะหันไปมองที่มอนิเตอร์ “จับตาดูการเคลื่อนไหวของกลุ่มดวงวิญญาณหยินด้วยนะครับ…มีความเป็นไปได้ที่ตัวผู้บงการที่คอยควบคุมดวงวิญญาณหยินพวกนี้จะอาศัยอยู่ภายในเมืองเป่าอัน ผมไม่เชื่อว่าเขาจะยอมนิ่งเฉยแน่ หลังจากที่เขตวิญญาณอาฆาตของตนสามแห่งถูกทำลายไป!”
แม่ชีซุยเยวียพยักหน้า และขณะที่เธอกำลังจะเริ่มเดินทางไปยังจุดหมาย เสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด
ทุกคนต่างผงะไปเล็กน้อย ไม่นานหลังจากนั้น แผนที่ของเมืองเป่าอันก็หายไปจากหน้าจอหลัก มันถูกแทนที่ด้วยภาพของชายแก่ในชุดคลุมสีดำสนิท เขามีใบหน้าซูบผอมและขอบตาดำคล้ำ มันแทบจะดูเหมือนกับว่าเขาเพิ่งคลานออกมาจากโลงศพก็ไม่ปาน
“ทำความเคารพครับท่าน” จางเชิงไห่โค้งคำนับ อีกฝ่ายเพียงยิ้มอย่างจริงใจ “ไม่ต้องพิธีรีตองมากนัก….ข้าได้ยินมาว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองเป่าอันอย่างนั้นหรือ?”
“ครับ พวกวิญญาณหยินในเมืองเป่าอันเริ่มเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ผมได้สั่งการไปแล้วว่า…นี่คือการต่อสู้ที่พวกเราจะต้องชนะให้ได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม!”
“ตัดสินใจได้ดี” ชายชราหัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าจะไปถึงที่นั่นภายในหนึ่งชั่วโมง อยากจะเห็นเหลือเกินว่าตัวการใหญ่ของเหตุการณ์ในครั้งนี้จะยังกล้าสำแดงฤทธิ์ของมันภายใต้การจับตาดูของตาแก่คนนี้อยู่อีกหรือไม่!!”
ที่ใต้ดินของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย ณ หอสมาคมอวี๋หลาน หากอธิบายปฏิกิริยาของหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติที่มีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นว่าคือการตกตะลึงในระดับธรรมดา ปฏิกิริยาของเชาโยวเต่าในตอนนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าคือ การรวมกันระหว่างความประหลาดใจสุดขีดและเดือดดาลอย่างสุดขั้ว
เขาไม่ได้ดื่มไวน์จากแก้วอีกต่อไป
ไวน์แดงยังคงวางอยู่ข้างกายของเขา แต่มันยังไม่ถูกแตะต้องเลยสักนิด
“เขาทำมันได้ยังไง?!”
“นั่นมันเป็นไปไม่ได้…ร่องรอยพลังของยมทูตนั้นแตกต่างจากพลังที่พวกผู้ฝึกตนที่อยู่ในแดนมนุษย์ใช้อย่างสิ้นเชิง! ทำไมพวกมนุษย์ถึงเมินเฉยกับสถานการณ์เช่นนั้น?!”
เขาเชื่อมาตลอดว่าตัวเองคือชายที่โชคดีมากคนหนึ่ง
นรกนั้นกว้างใหญ่และไร้ที่สิ้นสุด มันได้บรรจุดวงวิญญาณหยินหลายแสนล้านตนอยู่ในนั้น ยมทูตที่ทรงพลังจำนวนมากถูกพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ปัดเป่าไปในตอนที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ตุลาการนรกได้จากไป ในขณะที่ยมทูตขาวดำไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะปฏิเสธได้ และก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงนักล่าวิญญาณที่ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก
เขาเป็นเพียงคนเดียวที่เหลือรอดอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้
เขาเชื่อมาตลอดว่านี่จะต้องเป็นเจตจำนงของสวรรค์
สวรรค์ได้เลือกให้เขาเป็นผู้สร้างนรกขึ้นมาใหม่
และมันก็คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงพยายามตามหาเหล่าวิญญาณที่จะมาเป็นยมทูตด้วยตัวเอง เขาต้องการเจ้าหน้าที่ที่จะมาช่วยเขาในการก่อตั้งนรกขึ้นมาใหม่
ยกตัวอย่างเช่นพวกวิญญาณอาฆาต วิญญาณที่เขาได้ทำการบ่มเพาะขึ้นมาอย่างพิถีพิถันเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง พยายามเลี้ยงดูพวกมันด้วยเลือดและอาหารมากมายพร้อมกับหยุดการสร้างความวุ่นวายใด ๆ ให้กับพลเมืองของเมืองเป่าอันเพื่อแลกกับการประนีประนอมจากจางเชิงไห่ และมันก็คือเหตุผลว่าทำไมเขตไล่ล่าทั้งสิบยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาจนถึงวันนี้
แต่ในเวลานี้ สามในสิบของมันกลับถูกกวาดล้างไปจนหมดภายในเวลาแค่สามชั่วโมง! สิบปีแห่งหยาดเหงื่อและความพยายามของเขาสูญเปล่า!
“เจ้า!!…เจ้าต้องตาย!!”
ตู้ม! พลังหยินอันเข้มข้นเริ่มหมุนรอบร่างของเขาอย่างรุนแรง เครื่องแบบยมทูตเริ่มประกอบกันเป็นรูปร่างและดาบสีขาวเล่มใหญ่พลันปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา พร้อมกับเสียงตะโกนแห่งความโกรธเกรี้ยว เขากลายร่างเป็นสายน้ำแห่งพลังหยินและพุ่งตรงออกไปนอกหอสมาคมอวี๋หลานทันที
หากข้าไม่ฆ่าได้เด็กเวรนี่ซะ ข้าก็คงจะไม่สามารถขจัดความเกลียดชังในใจไปได้แน่!
แต่ไม่ทันไรเชาโยวเต่าก็ต้องหยุดชะงักลงและสบถออกมาเสียงดังลั่น “ให้ตายเถอะ!!!”
เขาเหวี่ยงดาบไปมาด้วยความโกรธ ส่งเสียงคำรามดังก้องไปทั่วหอสมาคม ลานเต้นรำที่แพงแสนแพง แม้แต่เก้าอี้นั่งที่ถูกสั่งทำมาเป็นพิเศษต่างก็ถูกฟันเป็นชิ้น ๆ!
เวลานี้เขารู้แล้วว่าปัญหาของเรื่องนี้มันอยู่ตรงไหน
“มันมีความเป็นไปได้สูงมากว่าที่พวกมนุษย์เมินเฉยต่อเรื่องทั้งหมดนี้ก็ เพราะว่าเศษตราจ้าวนรกที่อยู่กับไอ้เด็กเวรนั่นคอยปกปิดพลังที่แท้จริงของมันเอาไว้!”
เรายังลงมือตอนนี้ไม่ได้…
คู่ต่อสู้ของเขาคือยมทูตผู้ซึ่งรอดชีวิตมาจากการล่มสลายของนรก เพราะถือครองเศษตราจ้าวนรกเอาไว้…
หากเราเคลื่อนไหวตอนนี้และไม่สามารถฆ่ามันได้ในทันที มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกมนุษย์จะตรวจจับพลังของเราและตามไล่ล่าหาตัวเราในภายหลัง และเมื่อถึงเวลานั้น ทุกสิ่งที่เราทำมาตลอดร้อยปีที่ผ่านมาก็ต้องสูญเปล่า!
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายมทูตจะตกต่ำถึงขนาดนี้! ร่วมมือกับพวกมนุษย์เพียงเพื่อการอยู่รอดของตนเอง! เจ้าไร้ยางอายสิ้นดี!!” มือของเชาโยวเต๋าสั่นเทิ้มขณะที่เอ่ยลอดไรฟันว่า “กระจายคำสั่งออกไป…ดวงวิญญาณหยินทั้งหมดจงรีบไปล้อมรอบเขตไล่ล่าที่เหลืออยู่เดี๋ยวนี้! ทันทีที่พบตัวชายผู้นั้น….”
ชายวัยกลางคนสูดหายใจเข้าและกัดฟันแน่น “กำจัดมันซะ! ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม!!!”
————————
ฉินเย่ไม่ได้รับรู้ถึงความโกรธของเชาโยวเต๋าเลยสักนิด
เวลา 22.40 น.
ฉินเย่ถีบประตูทางเข้าของชั้นดาดฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยเลือด รอยขีดข่วน และถูกล่ามไว้ด้วยโซ่จนเปิดออก กระบี่ปีศาจที่อยู่ที่หลังของเขายาวขึ้นจนมีความยาวเกินหนึ่งเมตร ตัวฝักเปลี่ยนเป็นสีหม่นโดยมีสัญลักษณ์ของดาวไถ สลักอยู่บนพื้นผิวของมัน ดาวแต่ละดวงถูกเชื่อมต่อกันด้วยเส้นด้ายสีแดงบาง
ด้านบนของชั้นดาดฟ้าถูกฉาบด้วยแสงสลัวของดวงจันทร์ บนพื้นเต็มไปด้วยคราบเลือดที่มีอายุหลายปีจนกลายเป็นคราบสีดำน่ากลัว ในขณะที่ราวด้านบนถูกพันด้วยเส้นด้ายสีแดงและยันต์จำนวนมาก ฉินเย่มองเห็นร่างเล็ก ๆ ร่างหนึ่งนอนขดตัวหันหลังให้กับเขาอยู่บริเวณจุดกึ่งกลางของชั้นดาดฟ้าที่ดูคล้ายกับโถงไว้ทุกข์ แม้แต่ตอนที่ประตูของชั้นดาดฟ้าถูกเปิดออก ร่างเล็ก ๆ นั้นกลับไม่หันมามองเขาเลยสักนิด
ครืดดดดด….ฉินเย่ถอดหน้าอุลตร้าแมนที่สวมอยู่ออกและลากกระบี่ไปตามพื้นราวกับเพชฌฆาตผู้น่ากลัว ฝักกระบี่ถูกลากไปตามพื้นพร้อมกับเสียงกระทบของโลหะ เมื่อประตูของชั้นดาดฟ้าถูกปิดลงอย่างแรง ในที่สุดร่างของเด็กน้อยก็ค่อย ๆ ขยับกาย
ฟิ้ว~….สายลมเย็นพัดผ่าน ส่งผลให้แผ่นยันต์ที่อยู่บนชั้นดาดฟ้าทั้งหมดปลิดปลิวอย่างรุนแรงจนทำให้รู้สึกไม่ดีนัก ทันใดนั้นเองเด็กน้อยก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันไร้วิญญาณปราศจากความเป็นเด็ก “เล่นกับหนูไหม?”
“เอาล่ะ..” ฉินเย่ดึงกระบี่ออกมาจากฝัก “พี่ชายคนนี้เอาของเล่นที่หนูอาจจะชอบด้วยนะ…”
“เล่นกันหนูไหม?” มันแทบจะเหมือนกับว่านี่คือประโยคเดียวก็ที่เด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้ารู้
“ทำไมรีบนักล่ะ?” โดยที่ยังลากกระบี่ของตนไปตามพื้น ฉินเย่พุ่งตัวไปข้างหน้า ทันทีที่กระบี่พุ่งผ่านอากาศ มันเกิดเป็นเสียงฟิ้วดังขึ้นเบา ๆ จากนั้น ในขณะที่เขาอยู่ห่างจากเด็กน้อยประมาณสามเมตร อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้น
อ้าปากกว้างจนฉีกไปถึงใบหู เผยให้เห็นฟันที่แหลมคมซึ่งอยู่ด้านใน พร้อมกับพุ่งตัวเข้าหาฉินเย่ด้วยความเร็วสูง!
“กรรร!!….อาา…ฮ่าาา…ขะ….เข้าใจผิด…เข้าใจผิดทั้งหมด…”
ภาพของวิญญาณตรงหน้านั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก
ทว่าสิ่งที่ปะทะกับวิญญาณอาฆาตที่น่ากลัวตรงหน้า ก็คือกระบี่ปีศาจที่น่ากลัวยิ่งกว่า
ใบมีดของมันใหญ่และแข็งแรง ขณะที่ขอบของใบมีดถูกเปลี่ยนให้เป็นขอบหยักโดยสมบูรณ์ พร้อมกับวงแหวนสามวงติดอยู่บริเวณสันของใบมีด แต่หากมองดูใกล้ ๆ ก็จะพบว่าวงแหวนทั้งสามนั้นไม่ใช่สิ่งที่มีตัวตนอยู่จริง
กลับกัน… มันคือดวงวิญญาณ!
ดวงวิญญาณของวิญญาณอาฆาตที่เขาเคยปัดเป่าก่อนหน้านี้ ที่ได้เปลี่ยนร่างเป็นดวงวิญญาณที่ผูกติดอยู่กับใบมีดของกระบี่ เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดภายใต้เปลวไฟนรกอันไร้ขอบเขตของเขา
ใครก็ตามที่ยืนอยู่ใกล้กับฉินเย่ในตอนนี้จะสามารถได้ยินเสียงร้องอย่างน่าสังเวชของดวงวิญญาณเหล่านี้
จากนั้น ด้ามกระบี่ก็พุ่งแหวกอากาศและตรงไปศีรษะของเด็กน้อย
“หืม?” ฉินเย่เลิ่กคิ้วขึ้นเล็กน้อยและชะงักไปเล็กน้อยในวินาทีสุดท้าย ทว่าเปลวไฟสีเขียวหยกพุ่งออกไปข้างหน้าพร้อมกับการเหวี่ยงกระบี่ได้เผาไหม้ไปทั่วร่างของเด็กน้อย แต่แม้ว่าอีกฝ่ายจะกรีดร้องอย่างทรมาน ร่างตรงหน้ายังคงคุกเข่าและพยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “ทะ…ท่าน…ขะ…เข้าใจผิด…ขะ ข้าเพียง…ตื่นเต้น…มะ มากเกินไป…”
“เจ้าเปลี่ยนเป็นคนขี้ขลาดได้เร็วดีนะ” ฉินเย่เอ่ยพร้อมแค่นยิ้มและฟันดวงวิญญาณตรงหน้าไปในวินาทีต่อมา!
“ตัวซับจะมาทำให้แครี่กลัวได้ยังไงกัน?! ไม่คิดว่าออกนอกลู่นอกทางไปหน่อยเหรอ?” [1]
“วี๊ดดดดดดด!!” ด้วยเสียงกรีดร้องที่น่าสังเวช ร่างวิญญาณจองเด็กน้อยหายไป กลายเป็นพลังหยินที่ถูกสูบเจ้าไปในกระบี่ปีศาจเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้มันมากขึ้น หลักฐานยืนยันตัวตนยมทูตของฉินเย่พุ่งออกมาจากอกและเริ่มบันทึกความสำเร็จที่เพิ่งได้รับ
“ปัดเป่าวิญญาณอาฆาตหนึ่งตน: แต้มกุศล +20”
“แต้มสะสมปัจจุบัน: 100 แต้มกุศล จำนวนแต้มที่ต้องใช้สำหรับการเลื่อนขึ้นสู่ขั้นนักล่าวิญญาณ: 100 แต้มกุศล”
[1] นี่เป็นการอ้างถึงบทบาทที่ผู้เล่นสมมติขึ้นมาจากเกม ROV