ฉันนี่แหละจ้าวนรก - ตอนที่ 60
บทที่ 60: นักล่าวิญญาณ (2)
เป็นไปได้ยังไง?!
นัยน์ตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำแทบจะในทันที เหลืออีกแค่สองแห่งเท่านั้น…วิญญาณอาฆาตทั้งสิบที่เขาได้ฟูมฟักมาด้วยความยากลำบาก ตอนนี้เหลืออีกแค่สองตนเท่านั้น!
รู้หรือไม่ว่าในสมัยนี้การหาดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นนั้นยากเพียงใด? วิญญาณพวกนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการคัดเลือกและฟูมฟักจากวิญญาณนับแสน ยิ่งกว่านั้น สาเหตุที่เขาไม่กล้าก้าวออกไปจากเมืองเป่าอันก็เพราะเขารู้ดีว่าวิญญาณในที่อื่น ๆ…นั้นอันตรายกว่าที่นี่มาก
และตอนนี้ มันก็แทบจะเหมือนกับว่าเขาต้องกลับมานับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้?!
ข้ายอมปล่อยให้เจ้าหลุดจากเบ็ดโดยการสั่งถอนกำลังแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร? แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังไม่หยุดและขอบคุณกับดวงดาวนำโชคของตัวเองแทนล่ะ? ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้เจ้ายังมีชีวิตรอดแล้วก็หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้หรือไง?
ทำไมต้องทำตัวเหมือนกับหมาบ้าด้วย? ตอนนี้โลกเป็นของเจ้าแล้ว จะทำอะไรก็ทำไปสิ ทำไมถึงยังเลือกที่จะทำตัววุ่นวายอยู่อีก?!
นี่เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่าข้าจะรู้สึกอย่างไร?!
ตู้ม! เสียงบางอย่างดังขึ้นภายในหัวของเขา และเชาโยวเต๋าก็รับรู้ได้ในทันทีว่าวิญญาณอาฆาตในเขตไล่ล่าได้ถูกปัดเป่าไปจากโลกนี้แล้ว
เขตไล่ล่าที่ 4 ถูกทำลาย
01.30 น.
ทุกอย่างโดยรอบเงียบสนิท
หอสมาคมอวี๋หลานถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงกรีดร้องที่โกรธเกรี้ยวของเชาโจวเต๋าก็ดังก้องไปทั่วห้อง “ไอ้เด็กเนรคุณ!!”
“เป็นยมทูตแท้ ๆ แต่กลับไปสุงสิง เกลือกกลั้วอยู่กับพวกมนุษย์เพื่อเอาชีวิตรอดแบบนี้เนี่ยนะ?! ศักดิ์ศรีของเจ้ามันหายไปไหนหมด?!!”
“ยมทูตและมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถก้าวเดินบนเส้นทางเดียวกันได้ ที่ปรึกษาของเจ้าไม่สอนเรื่องพวกนี้ให้หรืออย่างไร?!”
“ไร้ยางอาย!! ไร้ยางอายมาก!! ไร้ยางอายสิ้นดี!!”
โดยที่ตัวของฉินเย่เองไม่รับรู้ถึงคำก่นด่าของเชาโยวเต๋าเลยสักนิด
ขณะที่ฉินเย่วิ่งไปตามท้องถนน ทหารทุกนายที่บังเอิญพบกับอุลตร้าแมนลึกลับต่างรีบหลีกทางให้เขาทันที และมันจึงทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกัน เมื่อการต่อสู้ขยายตัว ฉินเย่ก็พบว่าการมาถึงของผู้ตรวจการนั้นไม่เพียงแต่ทำให้กองกำลังตั้งหลักได้เท่านั้น แต่พวกเขายังเริ่มโต้กลับด้วยเช่นกัน!
เชาโยวเต๋าได้ประสบความสำเร็จในการทดสอบความสามารถของกองกำลังมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่มันก็ต้องแลกด้วยค่าตอบแทนที่แพงแสนแพง ซึ่งเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขาได้มาเลยสักนิด!
สวนสาธารณะปินหูในเมืองเป่าอันคือหนึ่งในสวนสาธารณะที่มีผู้คนไปน้อยที่สุด มันแทบจะไม่มีใครไปที่นั่นในเวลากลางวันเลยสักคน มีข่าวลือว่าในเวลา 6 โมงเย็นของทุก ๆ วัน คุณจะเห็นชายร่างท้วมคนหนึ่งที่กำลังถือบุหรี่ชื้น ๆ หนึ่งมวนและกำลังมองหาใครสักคนเพื่อจะขอยืมไฟแช็ก
ปูมหลังของเรื่องนี้ก็คือเรื่องที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักกันดี เมื่อสิบปีก่อน แม่ยายของประธานบริษัทแห่งหนึ่งเกิดล้มป่วยหนัก และเขาก็ได้ทำการขายบริษัทของตนเองเพื่อช่วยชีวิตของเธอเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ ทางฝั่งครอบครัวของภรรยาจึงติดหนี้บุญคุณเขาอย่างใหญ่หลวง สองปีต่อมา ประธานคนนั้นเกิดประสบอุบัติเหตุซึ่งทำให้เขาต้องตัดขาทิ้งและต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต แต่ช่างน่าเศร้า ภรรยาของเขากลับลงเอยด้วยการนอกใจ ในขณะที่พ่อตาแม่ยายของเขาก็เริ่มแก่งแย่งทรัพย์สินที่มีอยู่ของเขา
สามเดือนต่อมา เขาก็ได้ผูกก้อนหินไว้กับรถเข็นของตนและเข็นตัวเองลงไปในแม่น้ำของสวนสาธารณะปินหู
เขาเป็นคนที่ชอบสูบบุหรี่มาก โดยเฉพาะบุหรี่ของแบรนด์ยู่ซี[1] มีข่าวลือว่าเขาได้เผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าคนหนึ่งในวันที่เขาตายและได้ขอให้อีกฝ่ายช่วยเข็นเขาลงไป แต่คนแปลกหน้าคนนั้นกลับวิ่งหนีไปแทน คำพูดสุดท้ายของเขาก็คือ “มีไฟแช็กไหม?”
“มีไฟแช็กไหม?” คนตรงหน้าเอ่ยขึ้น
เวลานี้ฉินเย่กำลังยืนอยู่ด้านหลังของชายร่างท้วมคนหนึ่ง เมื่อลองสังเกตอย่างละเอียดจะพบว่าส่วนที่เป็นเท้าของชายผู้นี้ดูเลือนรางและไม่มีอยู่จริง
เขามีรูปร่างที่อ้วนเป็นอย่างมาก ทั้งยังเปียกโชกไปทั้งตัว แต่ฉินเย่รู้ดี นี่ไม่ใช่แค่โรคอ้วนธรรมดา แต่มันคืออาการบวมและขึ้นอืด
ไม่ว่าใครก็ตามที่ตายเพราะจมน้ำล้วนมีลักษณะเช่นนี้ทั้งสิ้น
นอกจากนี้เขายังเห็นน้ำโคลนไหลออกมาจากหูของชายตรงหน้าเสียด้วยซ้ำ อีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าแม่น้ำในสวนสาธารณะปินหู
“มีสิ” ฉินเย่ชักกระบี่ออกจากฝักอย่างช้า ๆ ทันใดนั้น ใบมีดก็ลุกโชนขึ้นด้วยเปลวไฟสีเขียวหยก
“เจ้า…ไม่น่า…ตอบเลย…จริงๆ…” ศีรษะของชายตรงหน้าหันกลับมา 180 องศา ดวงตาทั้งสองข้างถูกแทนที่ด้วยรูโหว่ดำมืด ในขณะที่เนื้อบนใบหน้าถูกปลาในแม่น้ำกัดแทะจนเผยให้เห็นกระดูกสีขาวน่าสยดสยองที่อยู่ข้างใต้ ด้วยเสียงกรีดร้องที่น่าสังเวช ลิ้นของอีกฝ่ายพุ่งตรงมาที่หัวใจของฉินเย่ราวกับงูเลื้อย
ฉึก!!
ด้วยการแกว่งกระบี่ในมืออย่างดุเดือด ตัดสิ้นที่อ่อนปวกเปียกและศีรษะที่บวมอืดจนน่าขยะแขยงของชายตรงหน้าออกเป็นสองส่วน
ฟึ่บ! พายุพลังหยินสาดซัดไปทั่วทั้งบริเวณ และร่างของชายตรงหน้าก็กลายเป็นก้อนพลังหยินก้อนหนึ่ง ทว่าครั้งนี้ ก้อนพลังหยินไม่ได้พุ่งตรงเข้าไปในอกของฉินเย่อีกต่อไป กลับกัน มันเริ่มหมุนวนอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับพายุพลังหยินที่กำลังพัดไปทั่ว ภายในไม่กี่วินาที มันก็กลายเป็นกระแสน้ำวงของพลังหยินที่มีความสูงประมาณสามเมตร
ข้อมูลยมทูตของฉินเย่ลอยออกมาและเปล่งประกายด้วยแสงสีทอง ตัวหนังสือที่อยู่บนนั้นไม่ได้ถูกเขียนด้วยสีดำอีกต่อไป กลับกัน มันถูกเขียนด้วยสีแดงสด
“ปัดเป่าวิญญาณอาฆาตหนึ่งตน: แต้มกุศล +20”
“แต้มสะสมปัจจุบัน: 200 แต้มกุศล จำนวนแต้มที่ต้องใช้สำหรับการเลื่อนขึ้นสู่ขั้นนักล่าวิญญาณ: 0 แต้มกุศล”
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ…ข้อมูลทั้งหมดพลิกกลับสู่หน้าแรกอย่างรวดเร็วขณะที่มันยังคงบันทึกเนื้อหาเพิ่มด้วยตัวของมันเอง
ชื่อ: ฉินเย่ (ชื่อเล่น – โก่วต้าน)
สถานที่เกิด: หมู่บ้านเนินเขาหลิวเอ๋อ แม่น้ำกาจือ เมืองถังอัน นครฉิงกวง
สมาชิกในครอบครัว: ปู่ (เสียชีวิต) บิดา-มารดา (เสียชีวิต)
เกิด: 1 ตุลาคม 1938
อาชีพ: นักล่าวิญญาณ
ระยะเวลา: 5 วัน 13 ชั่วโมง
“เห้อ…” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุด ค่ำคืนที่ยากลำบากอันยาวนานก็จบลงเสียที
พรึ่บ!!
ทันใดนั้น ก่อนที่ความคิดของเขาจะสงบลง เครื่องแบบยมทูตที่สวมอยู่ก็พลันกระพืออย่างรุนแรงด้วยตัวของมันเอง พลังหยินที่กักเก็บอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มเริ่มพลุ่งพล่านจนทำให้เกิดเป็นเสียงเบา ๆ
มีบางอย่างแปลกไป…
วินาทีนั้นเองที่เด็กหนุ่มตระหนักได้ว่าเลือดในกายของเขาเริ่มเปลี่ยนไป!
มันยังคงเป็นเลือดอยู่ แต่มันไม่ได้อยู่ในสถานะของเหลวหนืดอย่างที่เคยเป็น กลับกัน พวกมันได้เปลี่ยนไปอยู่ในสถานะของก๊าซที่ไหลผ่านเส้นเลือดของเขาอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ลักษณะภายนอกของเขาก็เริ่มเปลี่ยนสีไป รูม่านตาสีดำขลับของเขาในเวลานี้เปลี่ยนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ดุจพระจันทร์ ในขณะที่เส้นผมสีดำสนิทกลายเป็นสีขาวของหิมะ
เหนือสิ่งอื่นใด เขารู้สึกเหมือนกับว่าพลังมหาศาลกำลังจะระเบิดออกมาจากข้างใน ฉินเย่พยายามกลั้นมันเอาไว้ และในที่สุด พวกเขาก็ไม่สามารถทนมันได้อีกต่อไป!
“อ๊ากกกก!!!” เขาเงยหน้าขึ้นและตะโกนออกมาสุดเสียง! ทันใดนั้นทั่วทั้งท้องฟ้าเหนือสวนสาธารณะปินหูก็เต็มไปด้วยพลังหยินที่เบ่งบานราวกับดอกพลับพลึงสีดำกว่าล้านดอก! คลื่นพลังที่น่าสะพรึงกลัวและทรงพลังมากกว่ายมทูตขั้นยมเทพทั่วไปแพร่สะพัดไปทั่วทางตอนเหนือของเมือง!
กึก….เหล่าดวงวิญญาณที่อยู่ภายในเมืองทั้งหมดหยุดชะงักลง จากนั้นจึงหันไปตามทิศทางที่สวนสาธารณะปินหูตั้งอยู่ แววตาของพวกมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสับสน
นี่คือยมทูตตนสุดท้ายในประวัติศาสตร์
ผู้ซึ่งมีอำนาจสูงสุดเหนือดวงวิญญาณหยินและสามารถกำจัดพวกมันได้ แม้ว่าดวงวิญญาณหยินทั้งหมดจะเป็นดวงวิญญาณที่อายุน้อย แต่พวกมันก็รู้สึกราวกับว่าตรงหน้าของพวกตน….ประตูบานใหญ่ที่สูงเสียดฟ้าและปกคลุมไปด้วยพลังหยินกำลังเปิดออกอย่างช้า ๆ
ประตูนรกได้เปิดออก นักล่าวิญญาณได้ถือกำเนิดแล้ว!
“ซ่ากกก…แซ่!!!” เขตไล่ล่าเขตสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเชาโยวเต๋าเองก็ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเช่นกัน และในวินาทีนี้วิญญาณอาฆาตที่ดูคล้ายกับชายวัยกลางคนก็เปล่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างน่ากลัว จากนั้น…มันก็คลานไปทางสวนสาธารณะปินหูทันที
อย่างไรก็ตาม เมื่อบรรลุสู่ขั้นนักล่าวิญญาณ ปริมาณพลังหยินที่อยู่ล้อมรอบตัวเขาก็หนาแน่นนิ่งขึ้น และเศษตราเจ้านรกก็ไม่สามารถปกปิดพลังของเขาได้อีกต่อไป ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีเพียงแค่ดวงวิญญาณหยินเท่านั้นที่ได้เห็นภาพที่น่าตื่นตะลึงนี้
ทางตอนเหนือของเมือง ณ ตรอกของร้านอาหารริมทาง
สถานที่แห่งนี้เองก็เป็นสนามรบเช่นกัน ทหารจำนวน 100 นายได้ประจำการอยู่ที่นี่ สีหน้าของพวกเขาเริ่มแสดงออกถึงความเหนื่อยล้า ทว่าพวกเขาก็ยังคงไม่ลดละอาวุธในมือ เล็งหน้าไม้ไปด้านหน้าตามเดิม
ดวงวิญญาณหยินประมาณ 100…หรืออาจจะ 1000 ตนถือโคมไฟแดงและปะทะเข้ากับเหรียญทองแดงอย่างต่อเนื่อง อาจจะมีดวงวิญญาณมากมายถูกกำจัดไป แต่แนวหลังของก็หลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ อย่างไม่ลดละ
“ผู้การครับ!” ทหารนายหนึ่งตะโกนขึ้นอย่างร้อนรน “หน่วยที่ 2 จะทนไม่ไหวแล้วครับ! พวกเขาถึงขีดจำกัดแล้ว กรุณาส่งกำลังเสริมมาที่นี่ทีครับ!”
“ไม่มีกำลังเสริมใด ๆ ทั้งนั้น” เจ้าตัวเอ่ยพร้อมกับคว้าหน้าไม้และรีบเดินไปที่แนวหน้าของกองกำลังและตะโกนเสียงดังว่า “ทุกคน…ตอนที่พวกคุณกำลังปกป้องเมืองอยู่นี้ ผมอยากให้พวกคุณระลึกไว้เสมอว่าครอบครัวของคุณและคนที่พวกคุณรัก ผู้ที่กำลังทุกข์ทรมานจากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็กำลังได้รับการปกป้องด้วยเช่นกัน!”
“พวกคุณอาจจะยังไม่เข้าใจมันทั้งหมด แต่นี่คือหน้าที่ของเรา!”
“พวกเราจะต้องยืนหยัดอยู่ที่นี่จนกว่ากำลังเสริมจะมาถึง การถอยทัพไม่ได้อยู่ในตัวเลือก! ยิง!”
ทว่าทันทีที่เอ่ยจบ แววตาของเขาก็ต้องเปลี่ยนเป็นเหม่อลอย
และมันก็ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว หากพูดกันตามจริง ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างชะงักค้างไปพร้อมกัน และมองไปยังเหล่าดวงวิญญาณหยินอย่างมึนงง เมื่อ จู่ ๆ ดวงวิญญาณตรงหน้าก็หยุดโจมตีอย่างกะทันหัน!
พร้อมกับโคมไฟสีแดงที่ถืออยู่ ดวงวิญญาณหยินทั้งหมดต่างหันร่างวิญญาณของพวกมันไปยังทิศทางหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้น ในเสี้ยววินาทีต่อมา แสงไฟที่อยู่ในโคมไฟสีแดงก็ดับลง
นักล่าวิญญาณเพิ่งถือกำเนิด และเชาโยวเต๋าก็ไม่ใช่นักล่าวิญญาณที่แท้จริง! ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่ดวงวิญญาณทั้งหมดจะมอบความเคารพให้กับนักล่าวิญญาณที่แท้จริงแทน!
หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ…พวกมันเลิกเคารพเชาโยวเต๋า
นักล่าวิญญาณที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นคือเจ้าเหนือหัวที่แท้จริงของพวกมัน
ฟึ่บ…ดวงวิญญาณตนหนึ่งคุกเข่าลง จากนั้นก็ตามมาด้วยตนที่สอง และตนที่สาม…100! 300! 500!
ภายในสิบวินาที กลุ่มวิญญาณที่พุ่งเข้าใส่กองกำลังทหารรักษาการณ์อย่างบ้าคลั่งเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนก็คุกเข่าลงและแสดงความเคารพต่อเจ้านายคนใหม่ของพวกมัน
“ทะ ท่านครับ…” ดวงตาของนายทหารคนก่อนหน้านี้เบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึง ขณะที่ชี้ไปทางสวนสาธารณะปินหู “ตะ…ตรงนั้น…”
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรทั้งสิ้น
คนทั้งหมดต่างหันไปมองในทิศทางเดียวกัน
กลุ่มพลังหยินปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและก่อตัวกันเป็นดอกปี่อั้น[2] สีดำขนาดใหญ่ที่สูงประมาณ 20 เมตรและกว้างประมาณ 50 เมตร นอกจากนี้…ใบไม้และกิ่งก้านสาขาของมันต่างยื่นออกมาจนคลุมไปทั่วทั้งสวนสาธารณะ
“พระเจ้า…” มันใช้เวลากว่าสามวินาทีกว่าที่ผู้บัญชาการจะกลับมาได้สติ และหยิบวิทยุสื่อสารของตนขึ้นมา “กองกำลังรักษาการณ์พูด ต่อสายกับผู้ตรวจการให้ผมเดี๋ยวนี้เลย! มีบางอย่าง…เกิดขึ้นที่ทางตอนเหนือ!”
แต่มันสายไปเสียแล้ว
ทางฝั่งตะวันตกของเมือง ผู้ตรวจการสูงวัยดีดนิ้ว ทันใดนั้นศพจำนวนสิบร่างก็กระโดดลงไปยังพื้นที่เป้าหมายของพวกมันทันที ในความคิดของชายสูงวัย เขาแค่กำลังอยู่ในสนามเด็กเล่นที่มีวิญญาณหยินนับร้อยตนอยู่รอบ ๆ เท่านั้น
“หืม?” วินาทีนั้นเอง ขณะที่เขากำลังจะเริ่มลงมือ ชายสูงวัยก็แน่นิ่งไปและมองไปทางตอนเหนือของเมืองอย่างตกตะลึง “นี่มัน…”
เขากะพริบตาอยู่หลายครั้งอย่างไม่อยากเชื่อและสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด “เป็นพลังหยินที่ทรงพลังจริง ๆ …นี่มัน…คือการถือกำเนิดของขั้นนักล่าวิญญาณอย่างนั้นเหรอ?!”
“มีวิญญาณบรรลุเป็นขั้นนักล่าวิญญาณในตอนนี้จริง ๆ หรือ? หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของตัวการใหญ่ของเรื่องทั้งหมดในเมืองเป่าอันกัน?”
“นั่น…ทางเขตไล่ล่าเขตที่ 7?”
สิ้นเสียงพูด เขาก็พุ่งไปที่รถของตนและสั่งคนขับว่า “มุ่งหน้าไปทางตอนเหนือของเมืองเดี๋ยวนี้! บอกให้ผู้ฝึกตนทั้งหมดรวมตัวกันที่นั่นทันที!”
แต่มันก็ยังมีใครอีกคนหนึ่งที่ตกตะลึงกับ เรื่องที่เกิดขึ้นมากกว่าเหล่าเจ้าหน้าที่…
และคนคนนั้นก็คือคนที่อยู่ภายในหอสมาคมอวี๋หลาน ที่อยู่ใต้ดินของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย…เชาโยวเต๋า
เขายืนนิ่งอยู่ที่กลางห้องราวกับขอนไม้ จ้องมองเพดานด้วยสีหน้าว่างเปล่า ดวงตาเหม่อลอย
เขาสัมผัสได้ทันทีที่พลังหยินของฉินเย่ที่ระเบิดออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือ นี่มันอะไรกัน? เป็นไปไม่ได้! นี่มันเป็นไปไม่ได้! นี่มันเป็นเรื่องล้อเล่นแน่ ๆ!
ครืนนนน….ทั่วทั้งหอสมาคมสั่นสะเทือน และร่างของชายวัยกลางคนก็สั่นเทิ้มขณะที่กลับมาได้สติ
“นะ…นี่มันเป็นไปไม่ได้…” มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ขณะที่ยื่นมือเพื่อจะไปหยิบแก้วไวน์อย่างที่มักจะทำเป็นประจำ แต่ก็ต้องพบว่าทุกอย่างโดยรอบของเขานั้นว่างเปล่า
ทั่วทั้งหอสมาคมในเวลานี้ตกอยู่ในความยุ่งเหยิง ก่อนหน้านี้เขาได้ทำลายห้องด้วยความโกรธ และมันก็ไม่มีขวดไวน์เหลืออยู่แม้แต่ขวดเดียว แล้วจะนับประสาอะไรกับแก้วไวน์ของเขากัน
ดังนั้น เมื่อเขายื่นมือเพื่อที่จะไปหยิบแก้วไวน์ เขาจึงพบแต่ความว่างเปล่า
เวลานี้ เชาโยวเต๋าดูไร้จิตวิญญาณอย่างสิ้นเชิง วินาทีต่อมา เขาก็รีบพุ่งไปที่หลุมที่อยู่ด้านล่างและคำรามอย่างบ้าคลั่ง “มันเป็นไปได้อย่างไร?!! บันทึกนรกอยู่ในมือของข้า!! แล้วเขาบรรลุสู่ขั้นนักล่าวิญญาณได้อย่างไร?!!”
“ข้าไม่เชื่อ….มันเป็นเรื่องโกหก! มันจะต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ ๆ!”
หากบอกว่าความเจ็บปวดจากการสูญเสียเขตไล่ล่า ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดจนเลือดตาแทบกระเด็น ข้อเท็จจริงที่ว่าฉินเย่เพิ่งบรรลุสู่ขั้นนักล่าวิญญาณก็เป็นการระเบิดครั้งสุดท้ายที่ทำให้ชีวิตของเขาจบลง!
หากพูดกันตามความจริง การปลดปล่อยดวงวิญญาณหยินสำหรับการทดสอบของเขาในคืนนี้เกิดขึ้นจากข้อสันนิษฐานเพียงข้อเดียว
และมันก็คือการสันนิษฐานว่าฉินเย่จะไม่มีทางบรรลุเป็นขั้นนักล่าวิญญาณได้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะสะสมแต้มกุศลได้ครบ 200 แต้มก็ตาม
แต่ความเป็นจริงได้ตบหน้าเขาอย่างจัง
“นี่มัน..ไม่จริง…” เขาเอ่ยลอดไรฟันขณะที่กลับเข้าสู้สถานะยมทูตอีกครั้ง เครื่องแบบของเขากระพืออย่างแรง ชายวัยกลางคนย่อตัวลงและเอื้อมมือลงไปในหลุม
ไม่กี่วินาทีตามา เขาก็ดึงมือกลับขึ้นมาพร้อมกับสมุดโบราณเล่มหนึ่ง เปิดมันออกดูอย่างรีบร้อน เพียงเพื่อที่จะถูกความเป็นจริงตีแสกหน้าอย่างแรง
“นักล่าวิญญาณ: ฉินเย่ เวลาการดำรงตำแหน่ง: ตอนนี้”
ในนี้ไม่มีชื่อของตัวเขาเองด้วยซ้ำ!
ความแข็งแกร่งของเขานั้นอยู่ในขั้นยมเทพ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตนเหมือนกับที่ยายเมิ่งได้มอบให้กับฉินเย่!
“ไม่มีชื่อข้า….แต่กลับมีชื่อเจ้าอย่างนั้นน่ะหรือ?!!!” เขาถูชื่อของฉินเย่อย่างเดือดดาล ต้องการที่จะลบมันจากบันทึกนรก แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามมาเพียงใด มันก็ไม่จางลงเลยแม้แต่น้อย
ฉึก…เขาเอื้อมมือไปจับด้ามดาบของตนเอง ดึกมันออกจากปลอกและแทงมันลงพื้นอย่างแรง
เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว
และมันก็ชัดเจนสำหรับเขาด้วยเช่นกัน
ทันทีที่ฉินเย่ได้บรรลุสู่ขั้นนักล่าวิญญาณ สิ่งแรกที่อีกฝ่ายจะทำก็คือมาสังหารเขา!
พวกเขาทั้งสองมีนิสัยที่เหมือนกัน…จะไม่ยอมหยุดจนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะตาย
มันคือการต่อสู้ระหว่างยมทูต
เขาจะอดทนรอถึงการมาของอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ!