ฉันนี่แหละจ้าวนรก - ตอนที่ 66
บทที่ 66: เจรจา
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอย่างไม่น่าเชื่อ
ฉินเย่เองก็ไม่เปิดปากพูดอะไรเช่นกัน
ในความเป็นจริง ฉินเย่กำลังฟังการวิเคราะห์สถานการณ์จากอาร์ทิสอยู่
“ก็เป็นเรื่องปกติ”
“ในปี ค.ศ.1960 ประมาณ 50 ปีหลังจากที่นรกล่มสลายลง วิญญาณร้ายที่สามารถรอดชีวิตมาจากหายนะครั้งนั้นล้วนเป็นวิญญาณที่ถูกสะกด และติดอยู่ในนรกมาเป็นพันปี ระยะเวลา 50 ปีเป็นเหมือนหยดน้ำในมหาสมุทรของพวกมันเท่านั้น พวกมันต่างหวาดกลัว กลัวว่าราชันย์วิญญาณทั้งหกจะเคลื่อนไหวอีกครั้ง เพราะสุดท้ายแล้ว พวกมันก็ไม่รู้เลยว่าจำนวนยมทูตที่พระกษิติครรภโพธิสัตว์นำพาไปพร้อมกับพระองค์ครั้งเมื่อตรัสรู้นั้นคือเท่าไหร่”
“แต่ภาวะอดอยากครั้งใหญ่ในปี 60 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 28 ล้านคนทำให้พวกมันต้องประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง และมันก็พบว่ามีวิญญาณหยินอยู่ในทั่วทุกที่ ในขณะที่ยมทูตขั้นตุลาการนรกกลับไม่ปรากฏตัวเลยสักตน สิ่งนี้ทำให้พวกมันมั่นใจและเริ่มลงมือ”
“เจ้าหนู เจ้าต้องตระหนักให้ได้เสียก่อน ไม่ใช่วิญญาณทุกดวงจะถูกปราบปรามด้วยกฎของนรก วิญญาณอาฆาตบางตน…อาจต้องใช้พลังของจ้าวนรกในการจัดการมัน แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังมีวิญญาณที่ไม่สามารถถูกปัดเป่าและทำได้เพียงสะกดพวกมันไว้ตลอดชีวิตเท่านั้น พวกวิญญาณที่มีอายุมายาวนานและหลบหนีมายังแดนมนุษย์ในช่วงการล่มสลายของนรก….ก็คงเริ่มตามหาร่องรอยของ ‘รุ่นพี่’ ของพวกมันแล้วเช่นกัน อันที่จริง มันมีความเป็นไปได้สูงว่าพวกมันบางตนอาจจะหลุดออกมาจากผนึกแล้วก็ได้!”
“เจ้าลองถามเขา ตอนที่ปีศาจฮ่านป๋าทั้งเก้าตน ถูกนำออกมาจากโลงศพสิ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกมัน?”
ฉินเย่พยักหน้า เขากำลังสับสนกับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างมาก
ร่วมมือกับภูตผี?
จะบ้าหรือไง? ถ้ามีใครรู้เข้า พวกเขาอาจจะบอกว่า…“เฮ้ย นี่มันเจ้าโง่จากนรกที่ไหนกัน? เราจับมันมาทำขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์กันเถอะ!”
จบเกมเลยนะ
เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงและร่วมมือกับมนุษย์?
“หืม? ดี! เรามีตัวอย่างของยมทูตตัวเป็น ๆ อยู่ในกลุ่มด้วยนี่? มาเร็ว มาแยกส่วนร่างของเขาและศึกษาเกี่ยวกับแหล่งที่มาของความแข็งแกร่งของคุณเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นกันเถอะ สิ่งนี้อาจจะทำให้มนุษย์เป็นฝ่ายได้เปรียบกองกำลังใต้พิภพในสงครามที่กำลังจะมาถึง…”
จบเกม
ดังนั้นเขาจึงถามคำถามที่อาร์ทิสบอกให้ถามอีกฝ่าย เพราะเขาเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่าหน่วยสอบสวนพิเศษระดับชาติแข็งแกร่งเพียงใด ประเทศที่ประสบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมาหลายสิบปี ควบคู่ไปกับการพัฒนาที่น่าทึ่งจะต้องมีความแข็งแกร่งมากมายมหาศาลอย่างแน่นอน!
สิ่งที่เขาต้องการคือความสมดุล ไม่ใช่พลังหรืออำนาจมหาศาล เพราะท้ายที่สุดแล้วเมื่อกองกำลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ยมทูตที่เหลือรอดเพียงคนเดียวอย่างเขาก็ยังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อยู่แล้ว
จางเชิงไห่พึมพำด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ตายแล้ว”
“ตาย?”
“ใช่…พวกเขาถูกปัดเป่าด้วยผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่เหลือสักคนเดียว” จางเชิงไห่เอ่ยขณะมองไปที่ฉินเย่อย่างลึกซึ้ง “คุณฉิน คุณไม่จำเป็นจะต้องถามว่าคนคนนั้นคือใคร พวกเราได้เตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่กำลังจะมาถึง มาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา นี่เป็นข้อมูลที่คุณจะสามารถเข้าถึงได้ หาคุณเข้าร่วมกับหน่วยสอบสวนพิเศษของเรา”
“เอาล่ะ ผมได้บอกคุณทุกอย่างที่ผมสามารถบอกได้แล้ว บางที…คุณอาจจะพิจารณาข้อเสนอของเราได้แล้วสินะครับ?”
เขาเอ่ยพร้อมกับดันแฟ้มหนังตรงหน้าไปทางอีกฝ่าย
ฉินเย่ผงะไปทันทีที่เขาเปิดมันออก “ศาสตราจารย์ที่สำนักผู้ฝึกตน? นี่มันอะไรกัน?”
เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน!
นี่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนเป็นโลกแฟนตาซีอย่างกะทันหันแบบนี้น่ะเหรอ?
จางเชิงไห่จึงอธิบายอย่างจริงจังว่า “ในอีกสามวัน ความจริงเกี่ยวกับโลกของเราในเวลานี้จะถูกประกาศให้กับประชากรภายในเมืองเป่าอัน ได้รับรู้รวมทั้งคนที่ถูกเลือกบางกลุ่มด้วย นอกจากนี้พวกเราจะสร้างสถาบันแห่งแรกของเหล่าผู้ฝึกตนขึ้นภายในเมืองเป่าอันอีกด้วย! จนถึงตอนนี้ พวกเราต่างไม่ค่อยพอใจกับเหล่าบุคลากรผู้สอนที่มีอยู่เท่าไหร่นัก จะว่าไป คุณเองก็ได้เห็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้ว แถมคุณยังอยู่ขั้นนักล่าวิญญาณด้วย มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงส่งจดหมายเชิญพิเศษนี้ให้กับคุณ!”
ฉินเย่อ่านรายละเอียดทั้งหมดอย่างตั้งใจ บนหน้ากระดาษไม่ได้ระบุอะไรเอาไว้มากนัก แต่ประโยคที่สำคัญที่สุดที่ถูกระบุไว้ก็คือเมื่อเขาตกลงเข้าร่วมสำนักผู้ฝึกตน มันก็หมายความว่าเขาได้เข้าร่วมหน่วยสอบสวนพิเศษแล้วโดยอัตโนมัติ!
“…แล้วถ้า… ผมไม่…”
“คุณยังไม่จำเป็นจะต้องปฏิเสธข้อเสนอนี้ทันทีก็ได้ครับ” ทว่าก่อนที่ฉินเย่จะเอ่ยจบ จางชิงไห่ก็เอ่ยและยิ้มออกมาราวกับว่าเขาพอจะเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ “อันดับแรก ผมสามารถยืนยันได้เลยว่าทางสำนักจะไม่ผูกมัดคุณ คุณจะมีอำนาจในการจัดตาราง เวลาของตัวเอง นอกจากนี้ คุณยังจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงความลับสุดยอดของประเทศจีนทั้งหมด ตลอดจนอาวุธและเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดที่มีอยู่ในคลังของเราอีกด้วย”
“พวกเราได้ป้องกันตัวจากกองกำลังใต้พิภพมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ และได้พัฒนาเพิ่มความสามารถอาวุธและอุปกรณ์ต่าง ๆ อันที่จริง อาวุธพวกนี้บางอย่างนั้นทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่เนื่องจากข้อจำกัดในการผลิต เราจึงมอบอาวุธพวกนี้ให้กับเจ้าหน้าที่ที่แข็งแกร่งที่สุดของเราเท่านั้น”
“และเราจะให้การคุ้มครองคุณในระดับสูงสุดอีกด้วย”
จางเชิงไห่ยิ้มและมองหน้าฉินเย่ “ประการแรก พวกเราไม่คิดว่าคุณฉินจะอยู่ขั้นนักล่าวิญญาณ เราจะมองข้ามเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองชิงซีและหยุดการสืบสวนทั้งหมดลง อันที่จริง พวกเราได้รับเอกสารเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นแล้ว แต่เราแค่ยังไม่มีเวลาอ่านมันอย่างละเอียดเท่านั้น”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ประการที่สอง เรามาพูดถึงเรื่องที่เป็นประโยชน์กันดีกว่า ความจริงที่ว่าเมืองเป่าอันกำลังจะอยู่ภายใต้การบริหารงานโดยตรง จากทางรัฐบาลกลางเป็นเวลาสามวันเป็นข้อสรุปที่เราคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป จำนวนของผู้ฝึกตนจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด หากคุณยอมตกลงเข้าร่วมกับเราในตอนนี้ คุณจะได้เป็นคนที่กำหนดมาตรฐานทั้งหมดของผู้ฝึกตน ผลประโยชน์ที่คุณจะได้รับนั้นย่อมแตกต่าง จากตอนที่คุณเข้าร่วมกับเราในภายหลังจากนี้อย่างแน่นอน”
“อย่างเช่น….เงิน 1 ล้านหยวนต่อปี?”
ตึง!….เสาอากาศบนศีรษะของฉินเย่ตั้งขึ้นทันทีที่ได้ยินจำนวนเงิน รอยยิ้มกว้างประดับขึ้นบนใบหน้าอย่างฉับพลัน
“ใจเย็น ๆ!” อาร์ทิสสัมผัสได้ถึงอันตรายจึงรีบเอ่ยเตือนทันที
“อย่าสับสนสิ! ลืมเรื่องที่เจ้าจะไม่แก่ไม่ตายไปแล้วหรือ?! เจ้าคิดว่าตัวเองจะอยู่รอดสายตาของหน่วยสอบสวนพิเศษไปได้นานเพียงใดกัน? สองปี? สามปี? เจ้าไม่ได้เป็นแค่สุนัขฮัสกี้ที่กำลังแอบเข้าไปอยู่ในฝูงหมาป่าเท่านั้น แต่แค่เพียงเสียงเห่าของเจ้าก็ถูกจับได้ทันทีที่เข้าไปในฝูงด้วย!”
ฉินเย่ที่ได้สติเพียงกระแอมออกมาเบา ๆ และข่มใจตัวเองเอาไว้
มันช่วยไม่ได้นี่ จะคาดหวังให้คนที่ไม่เคยได้ทานมื้อเช้าแบบนี้มานานหลายปี จะอยู่เฉย ๆ กับเงินเดือน 1 ล้านหยวนต่อปีได้ยังไงกัน?
จางเชิงไห่เป็นคนฉลาด ทันทีที่เขาสังเกตเห็นท่าทางของฉินเย่ เขาก็รู้ทันทีว่าสิ่งที่เขากระทำมาตั้งแต่ต้นนั้นผิดถนัด คิดได้ดังนั้นเขาก็ยิ้มออกมาบาง ๆ และเอ่ยต่อว่า
“นอกจากนี้ คุณจะได้รับโอกาสมากมายในการเสนอความคิดเห็น…”
สีหน้าของฉินเย่กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
จางเชิงไห่ที่เห็นเช่นนั้นจึงพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้น “….และในขณะเดียวกัน คุณก็จะได้รับการเข้าถึงภารกิจและการมอบหมายงานจากทุกมณฑลและทุกเมืองทั่วประเทศ! คุณฉิน ผมต้องขอบอกให้คุณทราบก่อนว่าผู้ที่สามารถให้ความช่วยเหลือเราส่วนใหญ่ล้วนมาจากตระกูลที่ร่ำรวย หรือรัฐบาลระดับเมืองหรือมณฑลทั้งนั้น! รางวัลตอบแทนจึงมากจนคุณจินตนาการไม่ถึงแน่นอน!”
ฉินเย่ยังคงทำให้หน้านิ่ง หยิบถ้วยชาของตนมาจิบ “ความร่ำรวยที่คุณพูดถึงมันมากแค่ไหนเชียว?”
“…ยกตัวอย่างเช่น รถที่ผมขับคือ Zenvo ST1(รถซูเปอร์คาร์)”
“เหรอครับ” ฉินเย่ยังคงนิ่ง
“เหตุใดเจ้าถึงดูไม่ประหลาดใจเลยล่ะ?” อาร์ทิสถาม
“มันมีอะไรให้ต้องประหลาดใจล่ะ?” ฉินเย่แสร้งเป็นยกถ้วยชาขึ้นจิบขณะตอบว่า “ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของมันมาก่อน อย่างมากที่สุดก็น่าจะราคาประมาณ 1 ล้านหยวน มีอะไรให้น่าอวดด้วย? เจ้าคิดว่าข้าจะเป็นคนที่จะเข่าอ่อนเพราะเงินหรืออย่างไรกัน?”
“…เจ้าเคยนึกถึงความรู้สึกของหวังเฉิงห่าว เวลาเจ้าพูดสิ่งเหล่านี้บ้างหรือไม่? เขาออกค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้เจ้าด้วยมรดกของตระกูลตัวเองทั้งหมดนะ….”
จางเชิงไห่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ปฏิกิริยาของคนตรงหน้า…ไม่ค่อยเป็นไปตามที่เขาคาด….
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยต่อว่า “หนึ่งล้านแปดแสน”
“อืม”
“ดอลลาร์สหรัฐ” จางเชิงไห่เอ่ยต่อ “มันเป็นของรางวัลที่ผมได้รับมาตอนที่จัดการกับปัญหาเรื่องการสิงสู่ของหลานสาวของตระกูลท่านเจ้าสัวที่ฮ่องกงคนหนึ่ง”
มือของฉินเย่สั่นเทาเล็กน้อย รอยยิ้มของเขาเบ่งบานออกมาราวกับดอกไม้อีกครั้ง “คืออย่างนี้ครับคุณจาง ผมไม่มีประสบการณ์ในด้านการสอนหรือการศึกษาเลย…และผมก็ไม่รู้ว่าองค์กรของคุณจะเชื่อใจผมหรือไม่…”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็ดิ้นไปมาอย่างดุเดือดอยู่ภายในลูกบอลผนึกทันที “ข้าจะบ้าตาย! นี่ข้ากำลังเจอกับยมทูตตัวปลอมอยู่ใช่หรือไม่?!”
“ศักดิ์ศรีของเจ้าอยู่ที่ไหน?! ความภาคภูมิใจในฐานะยมทูตหายไปไหนหมด?! เจ้าคือนักล่าวิญญาณคนสุดท้ายที่อาจจะกลายเป็นจ้าวนรกในอนาคต! เงินมันทำให้เจ้ากลายเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย?! คำพูดที่เจ้าเพิ่งพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ถูกสุนัขที่ไหนลากไปกินแล้วอย่างนั้นหรือ?!” นางตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง
จางเฉิงไห่หัวเราะเบา ๆ ในที่สุดเขาก็พอจะจับจุดอ่อนของเด็กหนุ่มตรงหน้าได้แล้ว
งั้นก็ถึงเวลาเลิกพูดอะไรไร้สาระ และยิงเข้าประเด็นได้แล้ว
ลูกศรเงินถูกปักเข้าที่กลางใจของฉินเย่อย่างจัง!
“สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด…” จางเชิงไห่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตนและหยิบถุงสีแดงขนาดเล็กออกมาและเปิดมันออกอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นหินสีใสขนาดเท่าเล็บมือสามก้อน
พวกมันบริสุทธิ์และไร้ที่ติ
ฉินเย่เพียงถามว่า “น้ำตาลก้อนเหรอ?”
อาร์ทิส ในทางกลับกัน เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “นะ นี่มัน…ไม่ เป็นไปไม่ได้…เทคโนโลยีของโลกมนุษย์ก้าวหน้าไปขนาดนี้ได้อย่างไร…”
จางเชิงไห่ที่กำลังจะพูดได้ยินก็ถึงกับชะงัก แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยิ้มออกมาอย่างจริงใจ “แต่ละชิ้นมีค่า 1 แสนหยวน”
เพชรเหรอ?
ดวงตาของฉินเย่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำตามสีของในมืออีกฝ่าย
ร้านที่ขายเกี่ยวกับของในงานศพของเขา คิดว่ามันง่ายนักหรือไง?
ไหนจะจะต้องจ่ายค่าใช้สาธารณูปโภคมากมาย และไหนจะค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี! แต่ถ้าเขาตกลงยอมเข้าร่วมกับหน่วยสอบสวนพิเศษ เขาก็จะกลายเป็นคนรวยขึ้นมาทันที!
จางเชิงไห่หยิบหนึ่งในเม็ดสีใส่พวกนั้นขึ้นมาและวางมันลงตรงหน้าของฉินเย่ “นี่คือสิ่ง…ที่แม้แต่ผู้ฝึกตนอิสระอย่างคุณฉินก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน มันคือสิ่งที่พวกเราพัฒนามาตลอด 5 ปี จริง ๆ มันเป็นสิ่งที่ค่อนข้างมีให้เห็นทั่วไปในนิยาย คุณจะเรียกมันว่าหินวิญญาณก็ได้”
“หินวิญญาณ?” ฉินเย่ตกตะลึง “ไม่ใช่ว่ามันคือสิ่งที่มีอยู่แต่ในนิยายแฟนตาซีหรอกหรือ? เรากำลังพูดถึงวิญญาณในยุคสมัยนี้อยู่หรือไง?”
จางเชิงไห่ส่ายศีรษะไปมา “ ‘วิญญาณ’ ที่เรากำลังพูดถึงนั้นแท้จริงแล้วคือชนิดของพลังงานที่ใช้ในการบ่มเพาะ ผู้ฝึกตนอย่างพวกเราแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยการอาศัยแก่นแท้จากดวยอาทิตย์และดวงจันทร์ เมื่อห้าปีที่แล้ว พวกเราได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเก็บเกี่ยวแก่นแท้ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์และผนึกมันไว้ภายในหินเหล่านี้ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกักเก็บ และเราเพิ่งเริ่มผลิตหินเหล่านี้เป็นจำนวนมากเมื่อปีที่แล้วเท่านั้น คุณฉิน ผมสามารถจินตนาการได้เลยว่าคุณคงจะต้องตื่นแต่เช้าตรู่และเข้านอนตอนดึกเพื่อที่จะดูดซับแก่นแท้จากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เพื่อการบ่มเพาะของตัวเอง แต่ด้วยสิ่งนี้ คุณจะสามารถฝึกฝนเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่คุณต้องการ!”
สีหน้าของฉินเย่กลับไปเรียบนิ่งตามเดิม “อ๋อ”
แต่บังเอิญว่าระบบการฝึกฝนของผมมันต่างจากของพวกคุณอย่างสิ้นเชิงน่ะสิ เหอะ! กระจอก!
“นี้…เจ้าลองหยิบมันขึ้นมาแล้วลองดูดี ๆ” ทันใดนั้นเองเสียงของอาร์ทิสก็ดังขึ้น
เด็กหนุ่มจึงหยิบมันขึ้นมาดู ทว่าทันทีที่มือของเขาสัมผัสกับหิน ดวงตาของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย
มันกำลังขยับ…
เขายังไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น แต่หินกลับเริ่มปล่อยพลังเข้าสู่ร่างของเขาราวกับกระแสน้ำไหล!
ไม่… นั่นก็ยังไม่ใช่
หากจะพูดให้ถูกก็คือภายในหินก้อนนี้มีพลังงานของสองรูปแบบ รูปแบบหนึ่งนั้นร้อนราวกับเปลวไฟ ในขณะที่อีกรูปแบบหนึ่งนั้นเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง เขาไม่สามารถดูดซับพลังงานที่ร้อนได้ แต่พลังงานที่เย็นยะเยือกกลับแพร่ไปทั่วร่างของเขาราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเขาตั้งแต่กำเนิด
ฉินเย่รีบวางหินวิญญาณลงทันที
มันไม่ใช่เพราะว่าเขาหวาดกลัวผลข้างเคียงที่อาจจะตามมา แต่ด้วยการที่จางเชิงไห่เก็บรักษาสิ่งพวกนี้ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า อีกฝ่ายจะไม่โกรธหรอกหรือหาเขาดูดพลังงานทั้งหมดที่อยู่ในหินพวกนี้ไป? เขาจะต้องโกรธมากแน่ ๆ
จางเชิงไห่ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งปกติใด ๆ ขณะเก็บหินวิญญาณทั้งหมดกลับเข้าไปตามเดิม ในขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงของอาร์ทิสก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ข้าไม่คิดเลยว่าเทคโนโลยีในโลกมนุษย์จะก้าวหน้ามากถึงขนาดนี้….”
เมื่อตระหนักได้ว่าตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะคุยกับฉินเย่อย่างสะดวกนัก นางจึงเอ่ยต่อว่า “ความจริงก็คือพลังงานที่ยมทูตอย่างพวกเราดูดซับก็คือแก่นแท้ของดวงจันทร์และปฐพี หากพูดให้ถูกก็คือ พวกเรากำลังพูดถึงก็คือแก่นแท้ของดวงอาทิตย์และแก่นแท้ของดวงจันทร์ ยมทูตสามารถดูดซับได้เพียงส่วนของดวงจันทร์เท่านั้น คำว่า ‘หยิน’ ของวิญญาณหยินหมายถึงดวงจันทร์ เจ้าหนู….หากปราศจากสิ่งพวกนี้ ความเสี่ยงในการเข้าร่วมหน่วยสอบสวนพิเศษจะมีสูงมาก แต่ด้วยสิ่งนี้…ผลประโยชน์ของการเข้าร่วมนั้นมีมากกว่าความเสี่ยงทั้งหมดรวมกันเสียอีก!”
“และถ้าเกิดมีคนเริ่มสงสัยในความเยาว์วัยของเจ้า เจ้าก็สามารถปลอมการตายของตัวเองได้ หลังจากที่กินเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไป อย่างไรเจ้าก็ไม่ตายอยู่แล้ว….นอกจากนี้เจ้าก็คงจะพิจารณาความเป็นไปได้นี้ ตั้งแต่ที่ได้ยินว่าเงินเดือนถึงล้านหยวนแล้วไม่ใช่หรือ? อืม?….ทำไมเจ้าดูลุกลี้ลุกลนขนาดนั้น? หรือว่า…ข้าพูดถูก?!! เจ้าช่วยมียางอายบ้างได้หรือไม่?!!
“มาพูดให้มันเข้าประเด็นกันเถอะ!” ฉินเย่ขมวดคิ้วอย่างอึดอัดเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ามองตนด้วยสายตางุนงง จากนั้นจึงยกถ้วยชาขึ้นจิบและกระซิบเบา ๆ
“สิ่งนี้มีค่ามากเพียงใด?”
“มหาศาล ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ข้ายังสังเกตเห็นอีกด้วยว่าเทคโนโลยีในการสกัดแก่นแท้ของมนุษย์นั้นยอดเยี่ยมอย่างน่าเหลือเชื่อ ด้วยสิ่งนี้…เจ้าสามารถเริ่มสร้างนรกขึ้นมาใหม่ได้ทันทีเลยด้วยซ้ำ! นี่คือการปูทางไปสู่การครองบัลลังก์ของเจ้าในอนาคต เพราะท้ายที่สุดแล้วเจ้าคงไม่อยากจะให้บ้านของตัวเองต้องตกอยู่ในความวุ่นวายหลังจากที่ได้กลายเป็นยมทูตขาวดำใช่หรือไม่? เอ่อ….ขอโทษที แต่มันดูเหมือนว่าเจ้าจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตแบบนั้นแล้วสินะ…”
ฉินเย่ลุกขึ้นยืนทันที “ขอโทษนะครับ ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่”
ทันทีที่เข้าไปในห้องน้ำ เด็กหนุ่มก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย?!”
“ใช่ ข้าตกลงที่จะสร้างนรกขึ้นมาใหม่ แต่….ทำไมท่านถึงไม่บอกข้าว่าข้าต้องสร้างนรกขึ้นมาใหม่ทั้งหมดตั้งแต่แรกเริ่ม?!”
นี่เรากำลังพูดถึงนครวิญญาณ เมืองเฟิงตูกันอยู่นะ!
การสร้างมันขึ้นมาใหม่ทั้งหมดจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตแน่!!