ฉันนี่แหละจ้าวนรก - ตอนที่ 7
บทที่ 7 การเดินทางในนรก
ภาพลาง ๆ ของภูเขาตรงหน้าใหญ่กว่าตัวของหญิงชราไม่น้อยกว่าสิบเท่า ดวงตาที่เปล่งประกายด้วยเปลวไฟนรกดูคล้ายกับกลุ่มดาวท่ามกลางทะเลหมอก มันเห็นได้ชัดเลยว่าดวงตาคู่นั้นต่างจับจ้องมาที่ร่างของฉินเย่ แต่ไม่มีหนอนวิญญาณตัวไหนเลยที่กล้าเข้ามาหาเขา
ทั้งคู่ยังคงเดินไปตามทางกระดูกต่อไปเรื่อย ๆ อันที่จริง ทุกก้าวที่หญิงชราเดินไปข้างหน้า ดวงตากลมโตจะถอยหลังไปทีละก้าว มันเหมือนกับว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มดาวในท้องฟ้านั้นขึ้นอยู่กับการก้าวเดินของยายเฒ่า
“นี่คือการเดินทางในนรก ถ้าเจ้าแข็งแกร่งพอ เจ้าก็จะสามารถหาสิ่งที่ตัวเองตามหาที่นี่ได้ตราบใดที่ดวงวิญญาณดวงนั้นเพิ่งตายภายในเจ็ดวันที่ผ่านมา นี่คือสิ่งที่พระและนักบวชส่วนใหญ่ในโลกมนุษย์ทำ ตราบใดที่ดวงวิญญาณเพิ่งหลุดออกจากร่างไม่เกินเจ็ดวัน มันจะยังมีกลิ่นอายของพลังหยางอยู่ในร่างของพวกเขา พระและนักบวชก็จะสามารถเรียกหรืออัญเชิญวิญญาณของพวกเขามาได้”
“ความจริงแล้ว ถ้าหากเจ้าโชคดีพอที่จะได้เลื่อนตำแหน่งไปสูงกว่าระดับยมทูต เจ้าก็ไม่จำเป็นจะต้องเดินทางไปในนรกอีกต่อไป เจ้าจะมีอำนาจในการจับกุมหรือกักขังวิญญาณตามทางหวงเฉวียนได้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตผู้ใด เอาล่ะ ดูนั่น เรามาถึงแล้ว ทีนี้เจ้าจะพูดอะไรก็พูดมา”
ฉินเย่รวบรวมจิตวิญญาณของตัวเองก่อนจะหันไปมอง
ทางเดินกระดูกได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว และมันก็เรือลำใหญ่จอดรออยู่ที่ปลายทางเดิน
มันเป็นเรือข้ามฟากโบราณที่มีความยาวประมาณ 1,000 เมตร และมันก็ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ โดยที่มีผู้คุมกรรเชียงเรือเป็นโครงกระดูกสีทองที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว!
หมวกไม้ไผ่ทรงกรวยสีเขียวและเสื้อคลุมสีเขียวเข้มสวมทับอยู่บนโครงกระดูกที่ดูเหมือนว่าจะทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ อีกฝ่ายยังคงบังคับหางเสือของเรือด้วยลำตัวที่เอนไปด้านหลังราวกับว่ากำลังพยายามใช้แรงมหาศาล มันเป็นเรื่องแปลกที่โครงกระดูกตัวเล็ก ๆ เท่ามนุษย์คนหนึ่งจะสามารถบังคับเรือที่ลำใหญ่ขนาดนี้ได้
เวลานี้…ที่ปลายสุดของสะพานกระดูกมีกลุ่มพลังหยินมารวมตัวกันอยู่จำนวนมาก ในมือของวิญญาณแต่ละดวงจะกำปึกเงินกระดาษเอาไว้ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังโครงกระดูกสีทองที่ยืนอยู่หางเสือ
“เขา…ตายแล้วเหรอ?” ฉินเย่พึมพำเสียงเบา
หญิงชราจึงเอ่ยตอบด้วยแววตาที่ซับซ้อน “เขายังไม่ตาย…วิญญาณของเขาแค่กำลังออกเดินทาง…..”
“มันผ่านมาหลายพันปีแล้ว แต่ข้าก็ยังไม่เคยรู้ชื่อของเขา อีกฝ่ายเลยไม่เคยพูดอะไรเลยสักคำ เขาเพียงแค่ส่งดวงวิญญาณพวกนี้ไปยังสถานที่ที่ข้าอยู่อย่างเงียบ ๆ ก่อนที่จะจากไปอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน ข้านึกว่าทุกอย่างจะดำเนินไปแบบนี้ตลอด แต่ไม่คิดเลยว่า….”
นางส่ายศีรษะและไม่ได้พูดอะไรต่อ
ฉินเย่ละสายตาจากสิ่งที่มองอยู่ขณะที่จมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ทันในนั้น ราวกับความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ดวงตาของเขาโน้มหน้าลงไปที่ผู้กรรเชียงเรือตรงหน้าอีกครั้ง และก้าวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว
และทันทีที่เขาเหยียบลงไป ชายหนุ่มก็พบว่าพื้นภายใต้เท้าของเขานั้นว่างเปล่าและสูญเสียสมดุล โชคดีที่มีแรงมหาศาลได้คว้าเขาเอาไว้ และดึงเขากลับไปยืนเต็มเท้าตามเดิม
“เจ้าอยากตายหรือไง?!” หญิงชราเอ่ยอย่างโมโห “ก้มลงไปมองข้างล่างสิ!”
ฉิงเย่ก้มลงไปมองด้วยใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อ ใต้เท้าของเขา ภายใต้ทางเดินกระดูก….คือเหวขนาดใหญ่ที่ลึกจนไม่เห็นก้นเหว!
เพราะว่าเรือลำตรงหน้าลอยอยู่กลางอากาศ มันจึงทำให้คนที่มองเห็นภาพลวงตาเหมือนว่าพื้นด้านล่างของมันแบนเรียบและมั่นคง
แค่เหวลึกอาจจะยังน่ากลัวไม่พอ แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือความจริงที่ว่าการที่คุณจะมองเห็นเหวนี้ได้ก็ต่อเมื่อคุณก้าวออกจากสะพานกระดูกแล้วเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น…วินาทีที่เขาเสียการทรงตัว ฉินเย่รู้สึกเหมือนกับตัวเองได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งดังก้องมาจากก้นเหว แถมเขายังเห็นระลอกคลื่นสีดำที่ซัดเข้าหาผนังด้านข้างของเหวอย่างรุนแรงอีกด้วย
และมันก็ไม่ใช่คลื่นสีดำธรรมดา
มันคือ…มันคือเส้นผม!
มันดูราวกับว่าหุบเหวที่ไร้ก้นบึ้งนี้ ได้ซ่อนสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัว มันจะรอคอยเหยื่อที่ไม่ทันสังเกตให้ตกลงไปในกับดักของมันเหมือนอย่างแมงมุมนักล่า
หญิงชราเอ่ยเตือนออกมาอย่างจริงจัง “จงอย่าคิดที่จะประมาททางหวงเฉวียนเพียงเพราะว่าพวกเราเพิ่งอยู่แค่ส่วนแรกของมัน สะพานสายนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวอีกมากมายที่เจ้าไม่อาจหยั่งรู้ ที่แห่งนี้คือดินแดนต้องห้ามสำหรับผู้ที่ยังมีชีวิต การก้าวพลาดเพียงก้าวเดียวอาจหมายถึงความตาย!”
ฉินเย่ค่อย ๆ แกะมือของอีกฝ่ายออกพร้อมกับมองหน้าคนตรงหน้า “ข้ามีคำถามที่อยากจะถาม แต่ไม่รู้ว่ามันสมควรหรือเปล่า”
“ในเมื่อเจ้าลังเลว่าเจ้าควรจะถามมันออกมาหรือไม่ เจ้าก็ไม่ต้องถาม” จากนั้นมันก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ หญิงชราจึงเอ่ยต่อ “เจ้าใช้ชีวิตมานานเกินไป ดังนั้นสัญชาตญาณของเจ้าจึงเฉียบคมกว่าคนธรรมดาทั่วไป เพราะฉะนั้นเจ้าเองก็คงรู้ดีว่าบางคำถามก็ไม่ควรหาคำตอบ”
แต่ฉินเย่ก็ไม่ได้สนใจกับคำแนะนำของหญิงชราเท่าไหร่นัก เขายังคงถามออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นรก…มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
โดยที่ไม่รอคำตอบจากหญิงชรา ชายหนุ่มเอ่ยต่อ “อย่างน้อยข้าก็มั่นใจ….ว่าผู้กรรเชียงเรือไม่ได้กลายเป็นแบบนี้เองโดยธรรมชาติ”
“อย่างน้อยท่าทางของเขาก็ทำให้ข้ารู้ว่าเขากำลังอยู่ระหว่างการทำหน้าที่ของตัวเอง มือของเขายังคงออกแรงเพื่อควบคุมหางเสือของเรือ นี่แสดงให้เห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นการจากไปอย่างรวดเร็ว เร็วขนาดที่แม้แต่เจ้าของร่างเองก็ไม่คาดคิด ยิ่งกว่านั้น เขาจะต้องตายทันทีแน่ ไม่อย่างนั้นท่าทางของเขาคงไม่แข็งทื่อเหมือนกับตอนก่อนที่ดวงวิญญาณของเขาจะหลุดลอยไป”
หลังจากเอ่ยจบฉินเย่ก็หันไปสบตากับหญิงชราอีกครั้ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและชัดเจน “ใครกันที่จะสามารถทำให้คนอย่างผู้ส่งดวงวิญญาณตายอย่างกะทันหันแบบนี้ได้?”
ริมฝีปากของคนตรงหน้าสั่นเล็กน้อย ฉินเย่เพียงแค่ส่ายศีรษะและเอ่ยต่อ “ยิ่งกว่านั้น ก่อนหน้านี้ข้ากำลังคิดเรื่องบางอย่างอยู่ ดวงวิญญาณในเทศกาลวันสารทจีน…มันมีจำนวนมากเกินไป ทั้ง ๆ ที่พวกเขามาถึงที่ประตูนรกแล้ว แต่พวกเขากลับยังไม่สามารถผ่านมันไปได้ และมันก็ยิ่งน่าแปลกที่ไม่มียมทูตอยู่ที่นี่แม้แต่ตนเดียว”
หญิงชราเพียงเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย “เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าลึกขณะที่ความคิดไร้สาระจำนวนมากเข้ามาในหัว จากนั้นจึงก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายและกระซิบถามเสียงสั่น “นรก…หยุดทำการแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ห๊ะ?”
“การตายของผู้กรรเชียงเรือ เกิดขึ้นพร้อมกับการเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติขึ้นบนโลกมนุษย์ เพราะฉะนั้นมันถูกหรือเปล่า ที่ข้าจะคิดว่าเป็นเพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในนรก มันถึงทำให้โลกมนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบนี้?”
น้ำหนักของคำพูดพวกนี้มันมหาศาล จนแม้แต่ฉินเย่เองก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ในความเป็นจริงแล้ว…ความคิดพวกนี้มันน่าสะพรึงกลัวมาก และแม้แต่เขาเองก็ยังแทบจะไม่เชื่อมัน
แต่ละวันมีคนตายตั้งกี่คน?
ถ้าหากนรกหยุดชะงักไป….แล้ววิญญาณนับแสนล้านดวงจะไปที่ไหน?
ไม่สงสัย….ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเหตุการณ์ที่โลกมนุษย์ถึงทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว และก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมการเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติถึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแบบนั้น! โลกมนุษย์…กำลังเปลี่ยนเป็นนรกบนดิน!
“น่าสนใจ” หญิงชราไม่ได้เอ่ยตอบในทันที แต่หลังจากนั้นไม่นานนางก็หัวเราะออกมา “เจ้านี่จินตนาการสูงจริง ๆ ถึงอย่างนั้น….”
นางหันไปสบตากับฉินเย่ขณะที่อธิบายต่อ “เจ้าไม่ควรตีความเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกแบบมนุษย์…ทุกอย่างนั้นน่าสะพรึงกลัวกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้ถึงหลายพันเท่า”
“สิ่งที่เจ้าคาดเดานั้น เป็นเพียงแค่เศษหนึ่งในหมื่นของความน่ากลัวที่เจ้าจะประสบ….”
“เอาเถอะ รีบไปขึ้นเรือและบังคับหางเสือซะ พิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าเจ้ามีคุณค่าพอที่จะเป็นจ้าวนรกคนสุดท้าย”
“เดี๋ยว!” ในใจของฉินเย่เริ่มส่งเสียงเตือน เขามองหญิงชราอย่างไม่ไว้ใจ “จ้าวนรกคนสุดท้าย…ท่านหมายความว่ายังไง? นรกที่ท่านพูดถึงคือที่ไหน? ข้าไม่คิดว่าข้าเคยทำข้อตกลงอะไรกับท่านไม่ใช่เหรอ? นอกจากนั้น น้ำเสียงแบบนี้คืออะไร? มันเหมือนกับว่าท่านกำลังเอ่ยคำสั่งเสียอย่างนั้นแหละ ที่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หญิงชราแสยะยิ้ม “ไม่มีประโยชน์หรอก ยิ่งเจ้าใช้ชีวิตนานเท่าไหร่ สัญชาตญาณของเจ้าก็จะยิ่งเฉียบคมมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะพยายามแสร้งเข้มแข็งต่อหน้าข้าสักแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์ ยังไงซะเจ้ากับข้าก็มีนิสัยคล้ายกัน เมื่อถอดทุกอย่างออกไป แกนกลางหัวใจของพวกเราก็ต่างดำมืดและน่ากลัว นอกจากนี้…ตอนนี้เจ้าก็อยู่ในอาณาเขตของข้า เพราะฉะนั้นเจ้ายังคิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้อย่างนั้นหรือ?”
ก่อนที่หญิงชราจะพูดจบ ฉินเย่ก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังรุนแรงที่สาดซัดมาจากด้านหลัง ทำให้เขากระเด็นออกไปอยู่บนเรือลำใหญ่ราวกับใบไม้ที่ปลิวไปตามแรงลม ขณะที่ชายหนุ่มกำลังลอยอยู่กลางอากาศ พลังหยินก็ระเบิดออกมาจากร่างของเขา และกลายเป็นเครื่องแบบยมทูตที่สวมทับอยู่บนตัวของฉินเย่ทันที
เวร!
ร่างของฉินเย่ตกลงบนเรืออย่างแรงจนเขาต้องร้องออกมาเสียงดัง! ขณะที่เขาพยายามลุกขึ้นยืนและลูบหลังที่ปวดเมื่อยของตัวเอง เสียงของหญิงชราก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ไปบังคับหางเสือซะ แล้วเหล่าจิตวิญญาณหยินที่ได้ยินเสียงของหางเรือก็จะถูกดึงดูดมาหาเจ้า แต่ไม่ต้องกลัว พวกเขาจะไม่สามารถขึ้นมาบนเรือได้ เจ้าก็เคยแล้วก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่เรือที่ผู้ใดจะสามารถขึ้นก็ได้ นอกจากนี้ เหวลึกที่อยู่ระหว่างเรือกับสะพานที่เจ้าอยู่ก็ได้ซ่อนสิ่งที่น่ากลัวเอาไว้อยู่ เพราะฉะนั้นเจ้าวางใจได้”
ฉินเย่กัดฟันแน่น “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปส่งใคร? ท่านต้องการให้ข้าทำอะไรกันแน่? พูดมาให้ชัด ๆ เลยไม่ได้งั้นหรือ?!”
“เจ้ารีบหรือ?” หญิงชรามองเขาอย่างพิจารณาก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เรือลำนี้….ไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณทั่วไปจะสามารถขึ้นมาใช้งานได้ การที่จะบอกว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะเป็นยมทูตหรือทำงานในนรกหรือไม่นั้น ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถบังคับเรือลำนี้ได้หรือเปล่า”
“ข้า…ให้ตายเถอะ!! ข้าไม่อยากจะทำอะไรพวกนี้อีกต่อไปแล้ว ท่านเข้าใจหรือไม่?!”
“ได้โก่วต้าน…” หญิงชราจุดท่อยาสูบในมือพร้อมเอ่ยต่อ “เช่นนั้นเจ้าก็จะมีเวลาอยู่ในโลกมนุษย์อีกแค่เพียงสามวัน…”
ฉินเย่จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เข้มกว่าเดิม “…ไม่ พวกเราแค่พูดคุยกันเท่านั้นไม่ใช่เหรอ? ท่านช่วยอย่าสรุปเอาเองตามใจชอบไม่ได้หรือไง?”
“ความปรารถนาในการที่จะมีชีวิตอยู่ของเจ้านี่ช่างรุนแรงดีจริง ๆ” หญิงชราเอ่ยพร้อมพ่นขวัญออกมา “พวกที่กินเห็ดของไท่สุ้ยเข้าไปจะไม่มีทางแก่หรือตาย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็กลายเป็นสิ่งที่ทั้งโลกมนุษย์และนรกไม่ยอมรับ ยิ่งตอนนี้ที่นรกหยุดการทำงาน วันเวลาดี ๆ ของเจ้าก็จะจบลงเช่นกัน และถ้าหากเจ้าโชคดีพอ สุดท้ายเจ้าก็อาจจะกลายเป็นหนึ่งในเหล่าสัมภเวสีที่ล่องลอยอยู่บนโลกอย่างไร้จุดหมายจนกว่าจะถึงจุดจบ แต่ถ้าไม่…”
นางดึงท่อยาสูบออกจากปากก่อนจะหมุนมันเป็นวงกลมไปทางเหล่าจิตวิญญาณหยินที่รวมตัวกันอยู่ที่สะพาน “เจ้าอยากจะเป็นแบบไหนดีล่ะ?”
“…ก็ได้ ข้าจะทำเดียวนี้แหละ….อย่างไรซะความป่าเถื่อนของข้าก็น้อยกว่าพวกท่านที่อยู่ข้างล่างนี่อยู่แล้ว…” ฉินเย่น้ำตารื้นขึ้นมาขณะที่เขาหันไปโค้งคำนับให้โครงกระดูกสีทองสามครั้งก่อนที่ขยับมันออกและไปบังคับหางเสือแทน
ฟึ่บ….ทันทีที่ฉินเย่เริ่มบังคับมัน ระลอกคลื่นขนาดใหญ่ก็เริ่มกระจายไปทั่วช่องว่างด้านล่างของเรือ แม้ว่ามันจะไม่มีน้ำเลยสักหยด แต่ฉินเย่ก็ยังบังคับมันต่อไป เสียงของน้ำเริ่มดังก้องไปทั่วทุกที่
เมื่อภาพที่น่าตกตะลึงเกิดขึ้น ฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเพลงที่เหมาะกับสถานการณ์นี้ มาช่วยกันพายและบังคับเรือของเราให้เคลื่อนที่ผ่านสายน้ำนิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงเหล่าวิญญาณที่หิวกระหายและแม่มดที่ดุร้ายกันเถอะ
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรคิดตอนนี้ไม่ใช่หรือไง!
หวูดดดดดด…. เสียงแตรจากเรือข้ามฟากดังก้องไปทั่วโดยที่ไม่รู้ว่าแหล่งกำเนิดเสียงนั้นมาจากไหน ในขณะเดียวกัน วิญญาณหยินทั้งหมดที่รวมตัวกันอยู่ที่ปลายสะพานกระดูกก็เงยหน้าขึ้นและมองมาที่เรือ
หวูดดดดดด…. เสียงแตรดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง เรือก็เริ่มหันหัวไปอย่างช้า ๆ เหล่าวิญญาณบนสะพานกระดูกก็เริ่มขยับ พวกเขาต่างจับจ้องมาที่เรือพร้อมกับกำเงินกระดาษในมือแน่นและเริ่มเดินมาใกล้เรืออย่างไร้สติ จากนั้น มันเหมือนกับว่าประตูระบายน้ำถูกเปิดออก หมู่มวลวิญญาณทั้งหมดเริ่มหลั่งไหลมาที่เรืออย่างช้า ๆ
ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาจริง ๆ
แต่เพราะเรือและสะพานอยู่ห่างกันมาก ดังนั้นเหล่าดวงวิญญาณจึงไม่สามารถก้าวข้ามช่องว่างอันกว้างใหญ่และขึ้นมาบนเรือได้ ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าออกมาจากสะพาน พวกเขาก็จะตกลงไปในเหวลึกด้านล่างทันที ในขณะเดียวกัน เสียงหัวเราะสะใจของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากห้วงลึกของเหว
ความล้มเหลวของคลื่นวิญญาณกลุ่มแรกไม่ได้ขัดขวางเหล่าวิญญาณที่อยู่ด้านหลังไม่ให้ทำตามเหมือนลูกกระจ๊อกเลยสักนิด วินาทีนี้ เรือข้ามฟากนั้นสว่างไสวราวกับสัญญาณไฟที่อยู่ท่ามกลางพายุ
เหล่าดวงวิญญาณจำนวนมากยังคงตกลงไปในเหวอย่างต่อเนื่องเมื่อทั้งหมดยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้าและพยายามที่จะขึ้นมาบนเรือ และผลลัพธ์ที่ออกมา มันก็เกิดเป็นน้ำตกวิญญาณที่ไม่มีที่สิ้นสุด!
เงินกระดาษในมือของพวกเขาเริ่มกระจัดกระจายไปในอากาศ คล้ายกับน้ำที่สาดกระจายจากการตกน้ำลงไปกระทบกับหินด้านล่าง ช่างเป็นภาพที่น่าทึ่งเป็นอย่างมาก