ฉันนี่แหละจ้าวนรก - ตอนที่ 79
บทที่ 79 แก้ไขบางสิ่ง
ฉินเย่กลับมาที่ห้องอีกครั้ง
“พูดต่อเถอะ” ฉินเย่กระแอมเบา ๆ
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ตอบอาร์ทิสไปว่าจะทำหรือไม่ และรอฟังแผนการของคนอื่น ๆ ต่อ
ซู่เฟิงพยักหน้า “เอาล่ะ ต่อจากเมื่อกี้ แต้มความดีจะได้รับจากภารกิจและงานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น แต่คราวนี้…ฉันรับประกันได้ว่าตราบใดที่เรารู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร รางวัลต้องไม่น้อยกว่าจำนวนนี้แน่”
เขาชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว
“สามหมื่น?” ดวงตาของฉินเย่สั่นเล็กน้อย
“คนละสามหมื่น” ซู่เฟิงเลียริมฝีปากของเขาราวกับหมาป่าที่หิวโหย
“แต่แต้มความดีที่เราได้รับนั้นเป็นเพียงผลพลอยได้ ของรางวัลที่แท้จริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ยิ่งพลังงานหยินในสถานที่นั้นหนาแน่นมากเท่าไหร่ โอกาสในการค้นพบสิ่งประดิษฐ์หยินก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น สิ่งประดิษฐ์หยินระดับนักล่าวิญญาณจะมีค่า 10,000 คะแนน สิ่งประดิษฐ์ระดับยมทูตขาวดำ จะมีค่า 30,000 คะแนน ในขณะที่สิ่งประดิษฐ์ระดับตุลาการนรกจะมีค่า…100,000 คะแนน!”
100,000 …
เสียงสูดลมหายใจของทุกคนดังขึ้นทันทีที่ได้ยินตัวเลข หลินฮั่นสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
“ถ้าค่าพลังหยินสามสิบล้านเป็นของจริงละก็… ถ้าอย่างนั้นเจ้าหินรูปร่างแปลก ๆ ที่เราพบด้านล่างอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะประมาณห้าหมื่น! นี่แค่ราคาตลาดทั่วไปนะ ถ้าเราเอาไปขายตลาดมืด ราคาก็จะสูงขึ้นไปอีก! ถ้าโชคดี พวกเราแต่ละคนอาจจะได้แต้มความดีคนละหลายหมื่นคะแนนได้เลยนะเนี่ย!”
ฉินเย่พึมพำเบา ๆ “ แต่ถ้าดวงไม่ดีล่ะ?”
หลินฮั่นแสยะยิ้ม “ก็ตายยังไงล่ะ”
“ฉันเชื่อว่าดวงของเราจะไม่เลวร้ายขนาดนั้น” ซู่เฟิงเม้มริมฝีปากนิด ๆ
“พลังหยินสามสิบล้าน…แค่คิดฉันก็ขนลุกแล้ว… แต่ถ้าเราไม่ลองดู จะมีภารกิจไหนน่าทำได้เท่านี้อีก?”
หลี่หยุนเซวี่ยมองไปที่ฉินเย่ “มีคนมากมายที่พร้อมแย่งชิงภารกิจดี ๆ ตลอดเวลา ตอนนี้โอกาสอยู่เพียงแค่เอื้อมแล้ว หรือคุณ…กลัว?”
ความเงียบปกคลุมขึ้นทันทีที่ซู่เฟิงพูดจบ
ทุกคนกะพริบตาอย่างเชื่องช้าและมองที่ฉินเย่
ซู่เฟิงขยับแว่นตาตัวเองเล็กน้อย “ ไม่ … คุณฉิน คุณอาจไม่รู้ว่าการได้รับแต้มความดีจากหน่วยสอบสวนพิเศษนั้นยากเพียงใด แก่นตะวันและดวงจันทร์เป็นสิ่งที่หาได้จากที่อื่น แต่มีสมบัติล้ำค่าบางอย่างที่หาได้จากแต้มความดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็มีอยู่ไม่น้อย แล้วคุณจะรู้ว่ามันสำคัญขนาดไหน”
หลินฮั่นกะพริบตากระแอมไอเล็กน้อย ความเงียบที่ถูกปกคลุมขึ้นอย่างกะทันหันก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“…ไม่ใช่ว่าคุณกลัวขึ้นมาหรอกนะ? คุณคือฮีโร่ที่จัดการผีทั้งหมดคนเดียวทั้งเก้าเขตในคืนเดียวไม่ใช่หรือไง… ”
จู่ ๆ ฉินเย่ก็รู้สึกอยากตบปากหลินฮั่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น!
หมายถึงอะไร กลัว? ขอเวลาเตรียมใจหน่อยไม่ได้เหรอ คนกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงต่อไปดีน่ะ เข้าใจไหม!
“คือว่า… ” สายตาทั้งสี่คู่จ้องมองไปที่ฉินเย่ขณะที่เขากระแอมในลำคอแล้วเอ่ยขึ้น
“ฉันสงสัยว่าของที่เอาไว้แลกแต้มความดี สามารถหาดูในแอปของหน่วยสอบสวนพิเศษได้หรือเปล่า? ฉันยังไม่เคยเปิดดูเลย”
เขาพยายามเปลี่ยนหัวข้อ
“คุณดูในแอปโม่โม่ก็ได้” หลี่หยุนเซวี่ยกะพริบตาและถามต่อ
“ว่าแต่คุณไม่กลัวจริง ๆ เหรอ?”
“เหอะ ๆ … ผมจะกลัวได้ยังไง…ฮ่า ๆ ๆ … ”
ฉินเย่กระแอมไอ เพื่อคลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดในห้อง “แต่เอาจริง ๆ … คุณวางแผนจะเริ่มภารกิจเมื่อไหร่?”
“วันมะรืนนี้” ซู่เฟิงตอบอย่างมั่นใจว่า
“การฝึกอบรมของผู้สอนในสำนักกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งสัปดาห์ เท่าที่ฉันรู้ก็คือ พวกเราตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวกทหาร ใครจะรู้ว่าจะมีอะไรรอเราอยู่ ถ้าเราไม่ทำตอนนี้ พวกเราอาจไม่มีเวลาอีกแล้ว”
ฉินเย่ยืนขึ้น “ได้ ต่อไปเราจะสื่อสารผ่านโม่โม่ ยังไงพวกเราทุกคนก็อยู่ในกลุ่มแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัว”
หลังเขาจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินฮั่นก็จางหาย เขามองไปที่ซู่เฟิง “คิดว่าไง?”
“แล้วนายคิดยังไง?” ซู่เฟิงถามหลี่หยุนเซวี่ย
หลี่หยุนเซวี่ยยังคงหมุนมีดสั้นของเธอ เธอเลิกคิ้ว “ฉันบอกไม่ได้เลย”
“ความสามารถพิเศษของฉันคืออ่านใจคน ตราบใดที่มีคนมองฉันนานเกินสิบวินาที ฉันก็จะสามารถเห็นความคิดในใจของพวกเขาในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ แต่ชายคนนี้ … หัวใจของเขาดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ ฉันมองอะไรไม่เห็นเลย”
รอยยิ้มขี้เล่นบนใบหน้าของหลินฮั่นก็ลดลงเช่นกัน “ คนที่สามารถทำลายเขตไล่ล่าเก้าแห่งได้ในคืนเดียวก็น่าจะไม่ใช่คนธรรมดา เรายังไว้ใจอะไรเขามากไม่ได้หรอก”
“ดูเหมือนเขาจะระวังตัวเป็นพิเศษ แต่ถ้าให้พูดตรง ๆ ก็คือดูเหมือนว่าเขาจะกลัวตายมากกว่า…แต่ฉันว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็นแน่”
แม้แต่โจวฉินเฟิ่นยังเอ่ยสนับสนุน “ถูกต้อง ฉันเชื่อว่าทั้งหมดนี้เขากำลังเสแสร้งอยู่ น่าเสียดายที่ทักษะการแสดงของเขายังไม่ดีพอ ซึ่งก็ดีแล้ว นั่นทำให้ฉันรู้ว่าเขาระแวงและไม่มั่นใจในตัวพวกเรา”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ หลังจากนั้นไม่นานซู่เฟิงก็พยักหน้า “เอาล่ะ สองทุ่มวันพรุ่งนี้ ฉันจะนัดวันรวมตัวอีกที”
……………………………………
ฉินเย่ไม่รู้เลยว่าถูกผู้เชี่ยวชาญระดับ S ของมนุษย์ประเมินตัวเองอยู่ แต่เรื่องที่เขากลัวตายเป็นเรื่องจริง จนแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเพิ่งแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
ฉินเย่เปิดแอปโม่โม่ขึ้นมาเปิดดูตลอดทั้งวัน
“ฉินเย่นายอยาก…ขนาดนี้เลยเหรอ?” เสียงของหวังเฉิงห่าวเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“วันนี้ฉันไม่เห็นนายใช้แอปอะไรเลยนอกจากโม่โม่!”
ฉินเย่กลอกตา “… ทำไมยิ่งนานวันฉันถึงยิ่งรู้สึกว่านายเคารพฉันน้อยลงทุกที เกิดอะไรขึ้นกับเด็กว่านอนสอนง่ายคนนั้นที่ฉันเคยรู้จักกันเนี่ย?”
“น่าจะหายไปตั้งแต่วันที่เจ้าทำตัวไร้ยางอายวันนั้นก็ได้…” อาร์ทิสคร่ำครวญเบา ๆ
ฉินเย่เล่นแอปโม่โม่ต่ออย่างไม่สนใจ แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เขาทำคือการดูโปรไฟล์ของผู้หญิงคนหนึ่งในแอป
“แอปนี้มันเสื่อมมากจนฉันไม่เข้าใจว่าคนอื่นจะใช้มันเพื่ออะไรกันแน่!” ฉินเย่สาปแช่งอย่างเกลียดชัง เขากัดฟันคลิกเข้าไปที่ช่องทางติดต่อเจ้าหน้าที่
ฉินเย่พิมพ์เข้าไปในกล่องข้อความ “รายการสิ่งของที่ฉันสามารถเอาแต้มความดีไปแลกได้มีอะไรบ้าง? และฉันจะรับของที่แลกได้อย่างไร”
“สวัสดีค่ะ นี่คือระบบตอบข้อความอัตโนมัติ เรียนคุณลูกค้า คำตอบสำหรับคำถามของคุณอยู่ในหมวดหมู่ A คำถามที่ 7 ของรายการคำถามที่พบบ่อยของเรา โปรดรอสักครู่ในขณะที่เรา … ”
“เราจะทำการจัดส่งให้ท่านฟรีในระยะหนึ่งพันไมล์ ตราบใดที่การจัดส่งอยู่ภายในประเทศจีน ท่านจะได้รับของของท่านภายในสองวัน รายการแลกเปลี่ยนการแลกของรางวัลมีดังต่อไปนี้”
“สิ่งประดิษฐ์หยิน กะโหลกผีเด็กเกรดยมเทพจำนวน 5,000 แต้มความดี ระดับนักล่าวิญญาณจำนวน 10,000 แต้มความดี ระดับยมทูตขาวดำจำนวน 30,000 แต้มความดี”
ฉินเย่ดูตัวอย่างของสิ่งประดิษฐ์ที่แสดงบนโทรศัพท์ของเขาและบ่นพึมพำกับตัวเองถึงราคาที่แพงแสนแพงของมัน
เขาเลื่อนดูสิ่งประดิษฐ์แปลก ๆ มากมาย มีทั้ง น้ำตาผี รากของต้นตั๊กแตนที่ถูกฟ้าผ่าไปจนถึงผลไม้และของกินเล่น
“หน่วยสอบสวนพิเศษรวบรวมสิ่งเหล่านี้เพื่ออะไรกัน” เขาถามด้วยความประหลาดใจ
“โดยปกติแล้วจะเพื่อนำมาวิจัย นอกจากนี้สิ่งของบางอย่างเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เจ้าสร้างนรกขึ้นมาใหม่ได้ด้วย” น้ำเสียงของอาร์ทิสสั่นเล็กน้อยจากความตื่นเต้น
“เจ้าหนู … การเข้าร่วมหน่วยสอบสวนพิเศษถือเป็นเรื่องดีต่อเจ้าจริง ๆ นั่นแหละ เป็นเหมือนขุมทรัพย์ดี ๆ นี่เอง!”
อาร์ทิสพูดต่อว่า “ของพวกนี้บางอย่างมันไม่สามารถใช้ในแดนมนุษย์ได้ด้วยซ้ำ! แต่มันกลับเป็นของชั้นยอดที่จะสร้างนรกขึ้นมาใหม่ ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าพวกมนุษย์จะสามารถสะสมสิ่งของเหล่านี้ได้ถึงเพียงนี้ ข้าว่าเจ้าอยู่ที่หน่วยสอบสวนพิเศษนี่ก่อน พอเราได้สิ่งที่ต้องการแล้วค่อยเผ่นก็ได้…”
ฉินเย่ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่คิดภาพตัวเองเป็นหนูท่อที่แอบย่องไปขโมยข้าวในห้องครัวออกไปจากหัวตัวเอง
โทษของการขโมยของก็คือ ถูกมีดสามด้ามเสียบทะลุร่างหกรู…[1]
แต่ถึงอย่างนั้น ในใจเขาก็เอนเอียงไปที่การทำภารกิจพิเศษเสียแล้ว
ใช่ เขาขี้เกียจออกไปหาแล้ว แต่ในความเกียจคร้านของเขาคือจะต้องไม่มีสถานการณ์ที่คุกคามชีวิตของเขาด้วย
ในวันนั้นที่มีวิญญาณมาหวีผมของเขา มันทำให้เขารู้ได้ทันทีเลยว่าผนึกของวิญญาณพลังหยิน 30 ล้านนั่นจะต้องเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นแล้ว! แล้วก็…ทำไมกันล่ะ?
ทำไมต้องเป็นเขา?
วันนั้นมีคนตั้งมากมาย ทำไมมันถึงเลือกเขา? หรือเพราะเขาเป็นยมทูตอย่างนั้นหรือ?
เมื่อเขาไม่ได้รู้ความจริง มันก็ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายมาโดยตลอด
คืนถัดมาซู่เฟิงกลับมาบอกข้อมูลสำคัญมากมายกับเขา
และทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับเขตไล่ล่าที่สี่
เนื่องจากเขาได้ตัดสินใจแล้ว ฉินเย่จึงละทิ้งความขี้เกียจในใจ และเริ่มหาข้อมูลของเขตไล่ล่าที่สี่อย่างละเอียด
สถานที่นั้น เป็นอาคารเก่าขนาดเล็กซึ่งครึ่งหนึ่งได้พังทลายไปแล้ว ในขณะที่อีกหลังดูเหมือนจะอยู่ในระหว่างการรื้อถอน ผนังด้านนอกเป็นสีขาว มีจุดด่างเป็นดวง ๆ เผยให้เห็นร่องรอยว่ามันได้อยู่มาหลายทศวรรษแล้ว นอกจากนี้ทางเดินในอาคารยังเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและคราบเลือดนับไม่ถ้วน อีกทั้งบางรอยก็ดูเหมือนจะมาจากเล็บมือคนอีกด้วย ราวกับว่าจะมีมือที่มองไม่เห็นโผล่ออกมาได้ทุกเมื่อ
บรรยากาศรอบ ๆ ที่แม้ว่าจะเข้ามาตอนกลางวัน ก็ทำให้คนรู้สึกขนหัวลุกได้ไม่ยาก
“ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นบ้านพักคนชราจริงหรือ” หลังจากใช้เวลาสามชั่วโมงเต็ม ๆ ในการหาข้อมูล ในที่สุดฉินเย่ก็ปิดแอปโม่โม่ลง และหลับตาพักผ่อน
เวลานัดหมายถูกกำหนดเป็นห้าทุ่มในคืนวันพรุ่งนี้
เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในคืนของวันที่สามฉินเย่สวมชุดลายพราง และมาถึงจุดนัดพบที่ตกลงกันไว้ก่อนครึ่งชั่วโมง เมื่อมาถึงฉินเย่ก็พบว่าคนอื่น ๆ ได้มาถึงแล้ว
ทุกคนสวมเครื่องแบบลายพรางเหมือนเขาโดยบังเอิญทั้งหลินฮั่นและหลี่หยุนเซวี่ย ส่วนโจวฉินเฟิ่นมีมีดบินหลายเล่มที่เสียบแนบกับเข็มขัด ฉินเย่มองแต่ละคนมีอาวุธครบมือพร้อมสู้สุด ๆ
สิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญคือวิญญาณพลังหยินที่วัดค่าได้สูงถึง 30 ล้าน แม้ว่ามันจะถูกปิดผนึกเอาไว้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถวางใจได้
ไม่ว่าความเสี่ยงจะต่ำแค่ไหน แต่เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด พวกเขาย่อมต้องระวังตัวเอาไว้ตลอดเวลา
ละแวกที่ตั้งบ้านพักคนชราเป็นเขตชานเมือง พวกเขารวมตัวกันที่ตึกสูงสิบชั้น ทำให้มองเห็นบ้านพักคนชราที่ทรุดโทรมนั่น ถูกปิดล้อมด้วยเชือกสีแดงโดยมีเครื่องรางของขลังจำนวนมากผูกติดรายล้อมสถานที่นั้นไว้ พวกเขาเห็นทหารหลายร้อยนายคอยยืนเฝ้าและเดินลาดตระเวนรอบอาคารเป็นพัก ๆ
“นี่คือเขตไล่ล่าเขตสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเมืองเป่าอัน” หลินฮั่นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“สถานที่แห่งนี้ถูกปิดตาย ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสถานที่นี้ พวกทหารจะเปลี่ยนเวรยามทุก ๆ ห้าทุ่มของทุกคืน ตามที่ตกลงกันไว้ เราจะเข้าทางเข้าที่สามในเวลานั้น”
ไม่มีใครกล้าสอดปากพูดแม้แต่คำเดียว
เวลาผ่านไปนาทีต่อนาที ทุกคนต่างพากันหลับตาเพื่อพักผ่อน สายลมยามค่ำคืนพัดพาต้นไม้และทำให้ใบไม้สั่นไหวเบา ๆ บริเวณบ้านพักคนชราตั้งตระหง่านอย่างสง่างามในเวลากลางคืนราวกับว่ามันเป็นสัตว์ร้ายที่รอคอยจะกลืนกินวิญญาณผู้ที่กล้ารุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของมัน
ติ๊กต๊อก … ติ๊กต๊อก … ทันทีที่เข็มนาฬิกาชี้ที่เลข 11 ทุกคนก็ลืมตาขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ซู่เฟิงพยักหน้าให้สัญญาณเบา ๆ จากนั้นหายใจเข้าลึก ๆ และออกคำสั่ง
“ตอนนี้แหละ!”
ทันทีที่ทุกคนได้ยินคำสั่งของเขา ร่างทั้งห้าก็กระโดดลงจากอาคารโดยไม่ลังเล!!
[1] เป็นการลงโทษนักโทษลักขโมยวิธีหนึ่งของยุทธจักร