ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 103: ข้ากำลังหาความสมดุลในยมโลก (2)
บทที่ 103: ข้ากำลังหาความสมดุลในยมโลก (2)
“มันจะเป็นเช่นนี้อีกในภายภาคหน้าหรือไม่?” ฉินเย่เอ่ยลอดไรฟัน
“ไม่…เมื่อโถงสื่อสารถูกสร้างขึ้น พวกเขาจะสร้างยันต์ชนิดพิเศษขึ้นมาและแปะมันลงที่หน้าผากของวิญญาณเมื่อยมทูตไปเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณมา ด้วยวิธีนั้น วิญญาณที่มาถึงยมโลกจะไม่สามารถจดจำเรื่องราวเกี่ยวกับชาติแล้วของพวกเขาได้” อาร์ทิสยังคงเอ่ยต่อเสียงเรียบ
“แต่แทนที่จะสนใจเรื่องในอนาคต เจ้าจำเป็นจะต้องแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้าของตนเองตอนนี้เสียก่อน”
“วิญญาณพวกนี้…พวกเขาทั้งความกังวลและหวาดกลัว หากคำตอบของเจ้าอยู่เหนือขอบเขตความอดทนของพวกเขา…เจ้าไม่กลัวว่าตัวเองจะได้เป็นจ้าวนรกเพียงแค่วันเดียวหรืออย่างไร?”
ฉินเย่มองวิญญาณทั้งหมดด้วยเส้นเลือดที่เต้นตุบ ๆ จนปวดหัว เราจะทำยังไง? ตอนนี้เราจะทำยังไงดี?
เขายังไม่มีสถานที่ให้วิญญาณพวกนี้อยู่ และนี่ก็เป็นเพียงวิญญาณกลุ่มแรกเท่านั้น!
“ยังมีอะไรอีกหลายอย่างในนรกที่กำลังรอให้เราจัดการ วิญญาณทั้งหมดที่เข้ามาที่นี่ล้วนต้องมีส่วนร่วมในงานก่อสร้างทั้งสิ้น แต่ไม่ต้องห่วง ทันทีที่งานก่อสร้างนี้สิ้นสุดลง พวกเจ้าทุกตนจะได้รับรางวัลที่เหมาะสมกับแรงงานและเวลาที่เสียไปอย่างแน่นอน”
ไม่มีวิญญาณตนใดเอ่ยอะไรออกมา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “โดยรางวัลนั้น ข้าไม่ได้พูดถึงธนบัตรนรกอะไรนั่น แต่ข้ากำลังพูดถึงผลประโยชน์ที่จับต้องได้ซึ่งเป็นของประชากรวิญญาณที่ได้ช่วยในการสร้างนรกขึ้นมาโดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น สิทธิ์ในการเลือกที่อยู่อาศัยของตนเองในเขตก่อสร้างแห่งใหม่ หรืออย่างเช่นสิทธิ์ในการสอบเข้าหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ….”
“เฮ้อ~…” อาร์ทิสถอนหายใจออกมาและลุกขึ้นนั่ง
ฉินเย่ยังคงเอ่ยถึงผลประโยชน์ทั้งหมดต่อไป อย่างไรก็ตาม ยิ่งเขาพูดมาเท่าไหร่ แววตาของพวกเขาก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นเท่านั้น
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าแววตาของเหล่าวิญญาณตรงหน้าแทบจะไม่แสดงถึงวี่แววของความขอบคุณเลยแม้แต่น้อย อันที่จริง เมื่อสบตากัน เด็กหนุ่มมองเห็นเพียงความไม่เชื่อถือเท่านั้น
“…นรกกำลังเผชิญหน้ากับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด และมีสิ่งก่อสร้างอีกมากมายหลายอย่างที่จำเป็นจะต้องถูกสร้างขึ้น…” เขาเอ่ยต่อเสียงเข้ม แต่ถึงกระนั้น เขาก็เริ่มถามตัวเองในใจแล้วว่า นี่เราพูดอะไรผิดหรือเปล่า? มีตรงไหนที่ผิดพลาดไปหรือไม่?
“นายท่าน” ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ ชายวัยกลางคนที่สวมแว่นก็ยืนขึ้นและถามอย่างเคารพ “ประตูที่ใช้เดินทางมาสู่นรกทุกบานจำเป็นจะต้องถูกสร้างขึ้นมาใหม่อย่างนั้นหรือ?”
“ใช่” ฉินเย่ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องโกหก ตอนนี้เขาต้องการกำลังคน
“…ถ้าเช่นนั้น…เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ เล่า? พวกเขาจะไม่เข้ามาช่วยเลยเหรอ?” ชายสวมแว่นเผยรอยยิ้มที่กว้างมากกว่าเดิมและเอ่ยต่อ “ฉันเคยเป็นข้าราชการอยู่ที่เมืองล๋ายตง พอดีคำพูดของท่านเมื่อครู่นั้นทำให้ฉันนึกสงสัยขึ้นมา”
ริมฝีปากของฉินเย่สั่นเทา เขาไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล หรือบริหารคนมาก่อน เขายังใหม่กับงานนี้และทำได้เพียงลอกเลียนแบบจากสิ่งที่เคยเห็นมาเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเขาจะผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากมาย แต่เรื่องการบริหารบ้านเมืองจริง ๆ นั้น เขาไม่เคยทำมาก่อนเลย
“ที่ประตูนรกแห่งนี้มีเจ้าหน้าที่เพียงผู้เดียวเท่านั้น และข้าเองก็คือผู้ที่รับผิดชอบทุกอย่างที่นี่”
“อ๋า…มีแค่ท่านผู้เดียว…” ชายร่างใหญ่จากก่อนหน้านี้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับรอยยิ้มที่น่ากลัวประดับบนใบหน้า “ให้ตายเถอะ! ฉันก็อุตส่าห์เป็นกังวลเรื่องกงล้อแห่งสังสารวัฏ แล้วก็ขุมนรกทั้ง 18 ทำไมวะ…ฉันไม่สนแล้วเว้ย!!”
แววตาของฉินเย่ลุกโชนขึ้น ฝ่ามือกำเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
ขณะที่ชายร่างใหญ่พูด วิญญาณอีกประมาณร้อยตนก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน สายตาของพวกเขาเป็นประกายสดใส แต่ก็ยังมีความลังเลอยู่เล็กน้อย
“ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ นรกที่ฉันหวาดกลัวนักหนา ในเวลานี้ไม่ได้ต่างอะไรไปกับเปลือกหอยที่ว่างเปล่าเลยสินะ?” ชายร่างใหญ่เลียริมฝีปากของตนอย่างถือดี
“ท่านผู้อาวุโส รอบข้างของท่านเต็มไปด้วยเก้าอี้ว่างมากมาย….ไม่ใช่ว่ามันหมายความว่าพวกเราสามารถนั่งบนเก้าอี้พวกนั้นและโอ้อวดอำนาจของตัวเองเหมือนอย่างที่ท่านทำก็ได้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”
“บางที่พวกเราอาจจะทำได้ดีกว่าเขาก็ได้” วิญญาณวัยรุ่นผมทองตนหนึ่งมองไปยังพระราชวังเบื้องหน้าด้วยสายตาตื่นเต้น และถูกฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันอย่างละโมบ
กร็อบ…กร็อบ…ชายกล้ามโตคนหนึ่งลุกขึ้นยืนและดัดคอของคนเอง “นรกแตกต่างจากที่ฉันคาดคิดเอาไว้มาก ตอนเราฉันก็กลัวแทบตาย ใครไปคิดว่านรกจะดีกว่าที่คิดเอาไว้ตั้งหลายร้อยเท่า ให้ตายเถอะ…. ท่านแทบจะประเคนเก้าอี้ไว้ให้พวกเรานั่งด้วยซ้ำ”
“จะรออะไรกันอยู่อีกล่ะ?!” ชายร่างใหญ่ชี้ไปที่พระราชวังและตะโกนอย่างน่ากลัว “ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่หน้าไหนอยู่ในนรกอีกแล้ว?! เราไปจับจองที่นั่งกันเถอะ! พวกเราทั้งหมดจะได้เป็นยมทูตแบบที่เห็นในทีวีแล้ว!! ยังจะกลัวอะไรอีก!?”
“ใช่แล้ว! เรามีกันพันกว่าคนแต่อีกฝ่ายมีแค่คนเดียวเท่านั้น! มีอะไรให้ต้องกลัว?!!”
“เก้าอี้ว่างพวกนั้นกำลังรอเราอยู่! เปิดประตู!!”
“ถอยไป! ข้าจะเข้าไปในนั้น!!”
ทั่วทั้งพื้นที่ตกอยู่ในความวุ่นวายขึ้นมาทันที
วิญญาณนับร้อยต่างลุกขึ้นยืนและพุ่งตัวเข้ามาในโถงพระราชวังด้วยดวงตากระหายอยาก ฉินเย่หลับตาลงและถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “ข้าพลาดอะไรไป?”
“เจ้าอ่อนข้อเกินไป” อาร์ทิสไล่ขาที่ทำจากยางซิลิโคนของตนไปตามหลังคาของวัง “เจ้าไม่เข้าใจในความคิดของวิญญาณพวกนี้เลยสักนิด แต่ไม่เป็นไร นี่คือสถานการณ์ที่ยมบาลทุกตนในนรกเคยพบเจอมาก่อนทั้งนั้น”
“พวกเขาลงมาจากแดนมนุษย์ด้วยความหวาดกลัวในจิตใจ เพียงเพื่อที่จะพบว่านรกนั้นแตกต่างไปจากสิ่งที่ตนคิด และพบว่ามันได้กลายเป็นสถานที่ที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์และข้อบังคับ ไม่มีกฎหมาย ไม่มีตำรวจ ไม่มีรัฐบาล และสิ่งเดียวที่อยู่ในห้องโถงของพระราชวังก็คือรูปแกะสลักและรูปปั้นมากมาย และพวกเขาก็ถูกล้อมรอบด้วยดินแดนรกร้าง ความปรารถนาและความทะเยอทะยานในจิตใจของพวกเขายิ่งขยายใหญ่ขึ้น ขอเพียงมีคนเริ่ม วิญญาณนับพันก็พร้อมที่จะก่อจลาจลทันที”
“นี่นับว่าเป็นการก่อการจลาจลของดวงวิญญาณ แต่มันก็ยังถือว่ามีขนาดเล็กมาก หากมันขยายใหญ่ขึ้นอีก เราก็จะเรียกว่าการปฏิวัติของวิญญาณ และหากมันยังขยายใหญ่ขึ้นอีก มันก็จะเรียกว่าการก่อกบฏของเหล่าวิญญาณ ตลอดเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ของนรก เราเคยมีการก่อกบฏแค่สองครั้ง และการปฏิวัติแค่ห้าครั้งเท่านั้น ส่วนการก่อจลาจลมักจะเกิดขึ้นเป็นประจำทุก ๆ ร้อยปี….”
“สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือการสู้กับวิญญาณพวกนี้เพื่อซื้อเวลา ทันทีที่เจ้าไม่สามารถควบคุมการก่อจลาจลได้…เวลาของเจ้าในฐานะของจ้าวนรกก็จะต้องจบลง”
“จงอย่าลืมว่านี่เป็นเพียงเริ่มต้นเท่านั้น เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนที่อาหารจานหลักจะถูกนำมาเสิร์ฟ เมื่อวิญญาณบนแผ่นดินจีนทั้งหมดสัมผัสถึงการมีอยู่ของที่นี่ และเจ้ายังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้…เมื่อถึงเวลานั้นต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่”
ตูม!!!
ตอนนี้มีวิญญาณประมาณ 700 ตนที่เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ทั้งหมดต่างมีดวงตาสีแดงก่ำอย่างน่าหวาดกลัว แต่ทันทีที่เข้ามาถึงบริเวณทางเข้าของพระราชวัง ม่านพลังสีขาวอ่อน ๆ ก็ปรากฏขึ้น ปิดกั้นประตูไว้ด้วยข้อความที่อ่านไม่ออก
“เปิดเดี๋ยวนี้!! ให้พวกเราเข้าไป!!”
“ยังไงมันก็ไม่มีใครอยู่ในนั้นอยู่แล้ว! เหตุใดท่านจึงไม่ให้พวกเราช่วยล่ะ?!”
“ท่านไม่มีความรับผิดชอบ ท่านจะต้องถูกไล่ออกจากการเป็นยมทูตเดี๋ยวนี้!! เปิด!”
ฉินเย่มองดูใบหน้าบิดเบี้ยวของเหล่าวิญญาณที่อยู่ตรงหน้า ทั้งหมดเกาะกลุ่มกันอย่างแน่นหนาจนแทบจะไม่เห็นร่างของพวกเขาแล้ว ถึงกระนั้น ฉินเย่ก็ยังสัมผัสได้ถึงประกายไฟลุกโชนบนใบหน้าของชายวัยกลางคน ใบหน้าพึงพอใจของชายร่างใหญ่ และรอยยิ้มที่ดุร้ายบนใบหน้าของชายกล้ามโตที่มองมายังกลุ่มวิญญาณทั้งหมด
“ความกลัวที่หายไป และกฎเกณฑ์ที่หละหลวม ก่อให้เกิดความโลภผุดขึ้นมาในใจของพวกเขา” ฉินเย่พึมพำกับตัวเองเบา ๆ และพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ข้าจะจำบทเรียนครั้งนี้เอาไว้”
“ไม่ต้องห่วง ประตูนรกคือหน้าตาของยมโลก และมันไม่มีทางที่มันจะถูกทำลายได้นอกเสียจากมีวิญญาณล้านตนขึ้นไปมาทำลาย ในฐานะของผู้สร้างยมโลกแห่งใหม่ เจ้าสามารถควบคุมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในพื้นที่นี้ได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ เจ้าคิดจะทำสิ่งใดต่อ??” อาร์ทิสเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นและอยากรู้
ฉินเย่แย้มยิ้มบางและดีดนิ้ว ด้วยเสียงนั้น ม่านพลังแสงสีขาวก็สลายไปทันที
ทันทีที่บาเรียเปิดวิญญาณทั้งหมดก็หลั่งไหลเข้าไปในเขตห้องโถงของพระราชวังอย่างรวดเร็ว ทว่าในเสี้ยววินาทีต่อมา วิญญาณที่นำอยู่ด้านหน้าก็ร้องออกมาอย่างหวาดกลัวและตะเกียกตะกายเพื่อถอยหนี ในขณะที่กลุ่มที่อยู่ด้านหลังก็ยังคงดันมาด้านหน้า กลุ่มที่อยู่ด้านหน้ากลับพยายามที่จะถอยหลัง วิญญาณทั้งหมดติดอยู่กึ่งกลางอย่างไม่สามารถขยับตัวได้
เสียงกรีดร้อง เสียงตะโกน และเสียงโวยวายหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงความเงียบที่ปกคลุมไปทั่ว จากนั้นวิญญาณที่เหลืออยู่ทั้งหมดก็ค่อย ๆ ถอยหลังออกมาอย่างหวาดกลัว
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าฉินเย่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาทั้งหมด และในเวลานี้ เขาก็ดึงกระบี่ปีศาจออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ใบมีดสีเงินกำลังลุกโชนไปด้วยเปลวไฟนรกสีเขียวหยก เขาตบโต๊ะและกระโจนไปด้านหน้า
“ทำยังไงดีล่ะ?” ฉินเย่ยิ้มบาง “พวกเจ้าทำให้ข้าได้สติ….”
“ข้าคง…อ่อนข้อให้พวกเจ้ามากเกินไป”
ทันทีที่เอ่ยจบ เขาก็วาดกระบี่ปีศาจไปด้านหน้าของตนในแนวขนาน
ฟึ่บ!! ผลของมันในตอนนี้แตกต่างจากตอนที่เขาใช้มันในแดนมนุษย์เป็นอย่างมาก ฉินเย่เพียงวาดกระบี่เบา ๆ ก็สามารถทำให้เกิดเสียงดังกระหึ่มไปทั่วทั้งดินแดน
ในขณะที่วิญญาณนับไม่ถ้วนถูกดึงเข้ามาสู่กระบี่ปีศาจราวกับคลื่นสึนามิของพลังหยิน แสงสีเข้มของใบมีดที่สูงประมาณสิบเมตรพุ่งออกมาจากห้องโถงและพุ่งตรงไปที่ทางเข้า
ตูม!! เศษหินบนพื้นกระจัดกระจายไปทั่ว เหลือไว้เพียงรอยแยกขนาดใหญ่ที่ลึกลงไปหลายเมตร วิญญาณจำนวนมากที่อยู่รอบด้านต่างกระเด็นออกไปจากผลของการโจมตีดังกล่าว ในขณะที่เหล่าวิญญาณที่ถูกโจมตีนั้นสลายหายไปอย่างสมบูรณ์
วิญญาณร้อยตนเป็นอย่างน้อยถูกกำจัดไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“หืม?” อาร์ทิสม้วนผมของตัวเองเล่นขณะเอ่ยถาม “เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“เมื่อครู่นี้” ฉินเย่ยิ้มขณะที่เดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ไหน วิญญาณทั้งหมดที่อยู่บริเวณนั้นก็จะมองเขาด้วยสายตาที่เหลือเชื่อก่อนจะหันไปมองรอยแยกบนพื้น ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างขึ้น ปากอ้ากว้างอย่างตกตะลึงและเปิดทางให้อีกฝ่าย
เงียบ….
ไม่มีแม้แต่เสียงใด ๆ
วิญญาณทั้งหมดถอยห่างจากยมทูตตรงหน้า ในขณะที่ฉินเย่ยังคงเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหยุดอยู่ตรงหน้ากระถางธูปสี่ขา
“ท่านเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าวิญญาณจะยังมีความทรงจำเกี่ยวกับชาติที่ผ่านมาหากปราศจากยมทูตนำทางพวกเขามายังนรก? แต่…ข้าเป็นยมทูตเพียงตนเดียวที่นี่ไม่ใช่หรือ?” ฉินเย่พาดกระบี่ปีศาจไว้บนไหล่และมองไปรอบ ๆ ไม่มีวิญญาณตนไหนกล้าสบตาเขาเลยสักนิด ไม่ว่าเขาจะมองไปทางไหน วิญญาณทั้งหมดจะหลุบตาลงทันที
อาร์ทิสลอยออกมาจากโถงพระราชวัง วิญญาณที่อยู่โดยรอบต่างสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของตุ๊กตายางที่แสนประหลาดนี้ แต่ไม่มีใครกล้าแย้มยิ้มเลยแม้แต่คนเดียว
“จำไว้ ยมโลก…คืออาณาจักร และเจ้า…ในฐานะของผู้ที่สร้างนรกขึ้นมา ย่อมสามารถพูดได้อยู่แล้วว่าเจ้าคือผู้สร้างอาณาจักรทั้งหมดนี้”
“ชีวิตของเจ้าเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว แต่ดินแดนแห่งนี้จะสามารถอ่อนแอหรือแข็งแกร่งก็ได้ ชีวิตของเจ้าจะจบลงตรงไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะสามารถทำให้ยมโลกพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหน”
“หากเจ้ามีความสามารถมากพอ เจ้าก็อาจจะสามารถทำสงครามศักดิ์สิทธิ์กับโลกใต้พิภพอื่น ๆ และปราบปรามพวกเขาให้อยู่ใต้อาณัติของเจ้าด้วยก็ได้ ในเวลานั้น เจ้าก็จะเทียบได้กับเทพเจ้าในตำนานต่าง ๆ อย่างพระเยซู หรือเทพผานกู่ [1] เลยด้วยซ้ำ”
“ในสถานที่แห่งนี้ เจ้าคือพระเจ้า พระเจ้าเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้ ไม่มีใครสามารถทำร้ายเจ้าได้”
ฉินเย่พยักหน้า เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว
ใช่แล้ว ‘ไม่มีใครสามารถทำร้ายเจ้าได้’ ไม่ได้มีความหมายเหมือนกับ ‘เจ้าคือผู้ปกครองของภพนี้’
เหล่าวิญญาณที่เบื่อหน่ายกับวิธีการคิดของตนเองมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น หากมันถึงจุดที่ตัวเลขของวิญญาณพวกนี้เพิ่มขึ้นเร็วกว่าจำนวนตัวเลขที่ฉินเย่สามารถกำจัดได้ พวกเขาก็อาจจะตั้งตนเองขึ้นมา และเมื่อถึงเวลานั้น ผู้ที่เป็นเจ้าผู้ปกครองของภพนี้ตัวจริงคือใครกัน?
ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบหน้าที่ของนรก?!
“ดูเหมือนว่าจะมีอีกหลายอย่างให้ต้องเรียนรู้สินะ…” เขาก้าวไปด้านหน้าช้า ๆ และทำท่าคล้ายกับต้องการจะคว้าบางอย่าง ชายสวมแว่นลอยมาด้านหน้าและร่วงลงในท่านั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของฉินเย่
“ท่าน…ท่านกำลังจะทำอะไร…” เสียงที่เอ่ยออกมานั้นสั่นเทา “ฉัน…ฉันจะร้องเรียนเรื่องนี้! พะ พวกเราต่างก็ถือว่าเป็นประชากรวิญญาณ…พะ พวกเราต่างมีสิทธิ์ของตัวเองเช่นกัน…”
ฉินเย่หัวเราะ
จากนั้นจึงแกว่งกระบี่ในมือของตน
ฟึ่บ….กระบี่ผ่านร่างของชายตรงหน้า โดยที่อีกฝ่ายไม่สามารถขัดขืนได้เลย
ร่างของชายสวมแว่นสลายไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม ลูกไฟวิญญาณลอยขึ้นและลอยเข้าไปในโถงหลักของพระราชวังก่อนจะไปจุดไฟของโคมไฟโบราณที่ถูกถือโดยรูปแกะสลักของรากษส
“มีใครอีกไหม?” เขาค่อย ๆ หันหลังกลับไปและไล่สายตามองฝูงชน วิญญาณทุกตน รวมถึงชายร่างใหญ่ต่างมีสีหน้าหวาดกลัว และแม้แต่ชายกล้ามโตเองก็ปากสั่นระริกอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ…หลังจากผ่านไปประมาณห้าวินาที เสียงอู้อี้ก็ดังขึ้นติดต่อกัน และวิญญาณ 900 กว่าตนที่เหลืออยู่ต่างก็คุกเข่าลงและก้มหน้าจนหน้าผากแนบติดกับพื้นอย่างยอมจำนน ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“ผู้ใดเป็นคนบอกว่าพวกเจ้าสามารถต่อรองกับยมบาลอย่างข้าได้กัน?”
[1]เทพผานกู่ ตามความเชื่อของตำนานจีนเชื่อว่าเป็นเทพแห่งการสร้างโลก