ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 108: แมว
บทที่ 108: แมว
“แมว?” เท้าข้างหนึ่งฉินเย่ที่กำลังจะเดินออกจากร้านหยุดชะงักไปทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น จากนั้นเขาจึงหันกลับไปมองปรมาจารย์เฒ่า “แมวไหน?”
“คุณไม่รู้หรือ?” อย่างไม่คาดคิด ชายสูงวัยประหลาดใจมากกว่าเดิมเมื่อเขาได้ยินแบบนั้น เขารีบปิดปากตัวเองทันที “ไม่มีอะไรครับ”
ฉินเย่มองคนตรงหน้านิ่ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจกฎที่หลี่เทาตั้งขึ้นมา
ด้วยจำนวนประชากรที่มีอยู่กว่าล้านคน มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีเขตไล่ล่าปรากฏขึ้นมาทั่วทั้งเมือง ต่อให้รัฐบาลจะพยายามอย่างถึงที่สุดในการกำจัดเขตไล่ล่าออกไปทันทีที่มันปรากฏขึ้น แต่มันก็ย่อมมีบางแห่งเหลืออยู่ และมันก็คือจุดที่วิญญาณอาฆาตกำลังจ้องไปที่เหยื่ออันโอชะของมันด้วยดวงตาแดงก่ำ แต่ยังไม่กล้าลงมือ
การลงมือเพียงหนึ่งครั้งสามารถทำให้มันตายได้
นี่คือสิ่งที่สัญชาตญาณของพวกมันบอก
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถต่อต้านต่อแรงกระหายของตัวเองได้ ดังนั้นฉินเย่จึงคิดว่าคะแนนการสอนของพวกเขาน่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในเขตไล่ล่าพวกนี้ เพราะอย่างไรแล้ว ด้วยจำนวนประชากรที่มากมายมหาศาล จำนวนผู้ฝึกตนที่ประจำอยู่ในเมืองไดซานจึงไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ เหล่าภูตผีที่เหลืออยู่ก็ซ่อนตัวอย่างมิดชิด แทบจะเหมือนกับก้างชิ้นที่บางที่ซ่อนอยู่ภายในเนื้อของปลาไม่มีผิด ไร้รสชาติ และไม่สามารถกำจัดได้ ปรากฏการณ์ดังกล่าวถือเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบในการฝึกฝนเหล่าอาจารย์กลุ่มใหม่ที่เพิ่งถูกจัดตั้งขึ้นมา
หลี่เทาได้บอกเงื่อนไขในการอยู่ที่เมืองไดซานให้กับพวกเขาแล้ว และเงื่อนไขสุดท้ายที่อีกฝ่ายได้บอกมาก็คือ พวกเขาห้ามทำร้ายผู้บริสุทธิ์หรือผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง
“แน่ใจนะ?” ฉินเย่ไม่กดดันชายสูงวัยเกินไปขณะที่เอ่ยถาม
ปรมาจารย์หนิงกลืนน้ำลายอย่างร้อนรน อกของเขากระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อยขณะที่จังหวะการหายใจเริ่มติดขัด หลายวินาทีต่อมา เขาก็กัดฟันแน่นและโบกมือปฏิเสธ “เสี่ยวเฉิน…ตามไปส่งคุณเขาที่หน้าร้านด้วย…ไปส่งพวกเขาในนามของฉัน”
เมื่อเอ่ยจบ เขาจึงโค้งคำนับฉินเย่และหมุนตัวเดินกลับเข้าไปที่ห้องหลังร้านตามเดิม
“ไม่เลว” อาร์ทิสเอ่ยออกมาหลังจากที่ทั้งคู่เดินออกมาจากร้าน นางดูเหมือนต้องการจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ก่อนที่นางจะไปถึงจุดนั้น โทรศัพท์ของฉินเย่ก็สั่นอย่างไม่หยุดหย่อน
โม่โม่ยังคงเป็นแอปที่ทำงานได้ดีเยี่ยมอย่างเคย
มันสามารถเข้าถึงฟังก์ชันเสียงและวิดีโอทั้งหมดของโทรศัพท์ และมันยังสามารถส่งเสียงหรือการสั่นเพื่อแจ้งเตือนผ่านทางโทรศัพท์ได้ด้วย
อย่างเช่นตอนนี้เป็นต้น
ฉินเย่ปลดล็อกโทรศัพท์ของตนและเห็นคำขอโทรด้วยเสียงมาจากผู้ที่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก “หัวหน้าสาขาโจวเซียนหลง”
ฉินเย่กดรับทันทีโดยไม่ลังเล
เขาถูกดึงเข้าประชุมสายอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มดูรายชื่อผู้เข้าร่วมทั้งหมดและพบว่าอาจารย์ทุกคนที่มาฝึกอบรมที่เมืองไดซานต่างอยู่ในสายทั้งสิ้น
“อาจารย์ทุกท่าน ผมหวังว่าพวกคุณคงจะไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย” เสียงพูดของโจวเซียนหลงยังคงนิ่งเรียบเหมือนเคย “ตอนนี้ ผมอยากจะแจ้งคะแนนการสอนของพวกคุณทุกคนในตอนนี้ให้ทราบ”
………………………………
ในเวลาเดียวกัน ซู่เฟิงที่กำลังนั่งดื่มอยู่ในภัตตาคารบริเวณใกล้เคียงด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ทันทีที่เขาได้ยินสิ่งที่โจวเซียนหลงกำลังจะประกาศ เขาก็รีบเอายื่นมือไปปิดปากหลิงฮั่น คนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบก็เงียบเสียงลงอย่างตั้งใจฟัง
บนถนนแห่งหนึ่ง หญิงวัยกลางคนที่กำลังเลือกเสื้อผ้ารีบสวมหูฟังและรอฟังด้วยลมหายใจที่ขาดห้วง
ณ ที่อื่น ๆ ในห้องคาราโอเกะ ชายหนุ่มและหญิงสาวหลายคนต่างก็กดปิดเสียงและหยุดเพลงที่เล่นอยู่เป็นการชั่วคราว ทั่วทั้งห้องถูกปกคลุมด้วยความเงียบอย่างกะทันหัน
ในวินาทีนี้ คนเกือบ 200 คนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งเมืองไดซานรีบวางสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่และเปิดหูทั้งสองข้างเพื่อฟังการประกาศคะแนนนี้
ห้าวินาทีต่อมา โจวเซียนหลงก็เริ่มประกาศคะแนนต่อ “รหัส S9527 + 5 คะแนนการสอน รหัส A8574 -10 คะแนนการสอน รหัส A1298 -10 คะแนนการสอน รหัส A5648 + 5 คะแนนการสอน รหัส S3221 + 5 คะแนนการสอน…..”
เสียงของโจวเซียนหลงดังออกมาจากกลุ่มแชท หมายเลขลงทะเบียนของอาจารย์ 13 ท่านถูกเอ่ยออกมา
และมันกลับมีอาจารย์เพียงสามท่านเท่านั้นที่ได้รับคะแนนการสอนเพิ่ม หรือพูดอีกอย่างก็คือ มีอาจารย์ที่ถูกหักคะแนนการสอนถึงสิบท่าน!
“ผมมีเรื่องจะประกาศเพิ่มเติมอีกสองเรื่อง”
จากนั้นจึงเอ่ยต่ออย่างไม่รีบร้อนนัก “เรื่องแรก ยกเว้นแต่ว่าคุณจะได้รับการลงทะเบียนว่าเป็นกลุ่มเดียวกันจากสำนักงานใหญ่ พวกคุณห้ามพูดคุยกับอาจารย์คนอื่น ๆ เกี่ยวกับวิธีการหรือกระบวนการในการหักหรือได้มาซึ่งคะแนนการสอนเป็นอันขาด”
“ประการที่สอง เมื่อสิ้นสุดสองเดือนนี้ อาจารย์ที่ได้คะแนนการสอนรวมต่ำกว่า 60 คะแนนจะถูกไล่ออกทันที”
“และทุกท่านไม่ต้องกังวลไป ทางเราจะไม่เปิดเผยถึงสาเหตุของการไล่ออกให้ทางหน่วยของพวกคุณแน่นอน”
ตู้ม!
หินเพียงก้อนเดียวทำให้ผิวน้ำเกิดกระเพื่อมได้ทันที!
ใครจะไปคิดว่าการเดินทางเพื่อฝึกอบรมที่ดูเงียบสงบ แท้จริงแล้วกลับซ่อนภาพลักษณ์ที่น่ากลัวเอาไว้?!
สำนักฝึกตนแห่งแรกไม่ได้ต้องการพวกไม่มีฝีมือมาเป็นส่วนหนึ่งของคณะอาจารย์ของพวกเขาแม้แต่คนเดียว!
พวกเขาต้องการเพียงสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น สุดยอดในสุดยอด!
การแข่งขันก่อนหน้านี้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของการประเมินทั้งหมดเท่านั้น ทักษะการต่อสู้ไม่สามารถสะท้อนพลังที่แท้จริงของคนคนหนึ่งได้
“เป็นไปได้ยังไง?” หลินฮั่นมึนงงไปชั่วขณะจากคำประกาศที่ทำให้โลกสะเทือนนี้ “เสี่ยวฉินได้คะแนนการสอนเพิ่ม 5 คะแนน? เขาไปได้มันมาได้ยังไง? แถมคนที่ได้คะแนนการสอนต่ำกว่า 60 คะแนนจะต้องถูกไล่ออกเนี่ยนะ? ทำไมพวกเขาไม่บอกเราตั้งแต่แรก?”
“เงียบหน่า!” ดวงตาของซู่เฟิงลุกโชนขึ้นขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่โทรศัพท์ “นั่นมันเป็นหน้าที่ของเรา”
ราวกับตอบรับความมึนงงของคนทั้งหมด เสียงของโจวเซียนหลงจึงดังผ่านแชทเสียงว่า “ทางเราได้มองคำใบ้ให้พวกคุณผ่านสิ่งที่ประกาศบนรถบัสก่อนหน้านี้แล้ว อาจารย์ทุกท่าน ผมขอพูดเรื่องนี้อีกครั้ง พวกคุณทั้งหมดต่างเป็นหัวกะทิจากเมืองเป่าอัน และในฐานะของเจ้าหน้าที่ระดับหัวกะทิ มันควรจะเป็นส่วนหนึ่งของลักษณะนิสัยที่สองของพวกคุณที่จะทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในสถานที่ต่าง ๆ แยกแยะ และไขว่คว้าโอกาส หรือหนีจากอันตรายใด ๆ ได้โดยผ่านคำพูดไม่กี่คำ”
“ในไม่ช้านี้พวกคุณจะได้เป็นอาจารย์ของนักเรียนกลุ่มแรกที่มาจากทั่วทุกสารทิศของประเทศ บางคนมาจากนิกายที่มีชื่อเสียงซึ่งมีประวัติมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉินตอนต้น บรรพบุรุษของพวกเขาบางคนเป็นถึงบรรพบุรุษของเหล่าผู้ฝึกตนในทุกวันนี้…”
“บางคนมาจากนิกายที่เป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่ยุคสามก๊ก…”
“แม้แต่กลุ่มของผู้ที่ยกย่องเพียงลัทธิขงจื๊อก็ยังส่งสาวกของพวกเขามาที่นี่!”
“ทั้งสาวกของลัทธิเต๋า พุทธศาสนา และลัทธิขงจื๊อ…ทั้งหมดจะมารวมตัวกันที่สำนักฝึกตนแห่งแรกเมื่อเปิดภาคการศึกษา พวกเขาทุกคนจะต้องอาศัยประสบการณ์และความรู้ของพวกคุณ และมันก็เป็นหน้าที่ของคุณที่จะต้องนำทางพวกเขาด้วยความรู้เกี่ยวกับศัตรูที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าอยู่!”
“ศัตรูของเราคือศัตรูที่เราไม่เคยเผชิญหน้ามาก่อน กองกำลังที่มองไปเห็น และไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว! หากคุณไม่มีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมที่จำเป็นสำหรับงานนี้ คุณก็จะไม่มีความสามารถที่จะสอนใครเพราะไม่เช่นนั้น มันจะเป็นการพาพวกเขาไปตายแทน!”
จากนั้น เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “และสิ่งที่ผมรู้สึกว่าเสียดายที่สุดก็คือแม้สาขาการต่อสู้ของเราจะต้องมีเรื่องให้รับผิดชอบมากมาย มีอาจารย์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถดื่มด่ำไปกับความสุขของชีวิตได้…พวกคุณคิดว่าเวลา 60 วันนั้นยาวนานมากหรือไง? คุณคิดว่าคะแนนการสอน 60 คะแนนนั้นเป็นสิ่งที่ได้มาง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ?”
“ผมจะบอกอะไรให้นะ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่นั้นมักจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง หากคุณต้องการจะดื่มด่ำไปกับผลประโยชน์ สิทธิพิเศษ และแม้แต่ชื่อเสียงของสำนักฝึกตนแห่งแรก พวกคุณก็ต้องแสดงให้พวกเราเห็นด้วยการกระทำของพวกคุณว่าพวกคุณทั้งหมดควรค่าพอ!”
ติ๊ด… แชทกลุ่มดับไป
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ แต่กลับไม่มีอาจารย์คนไหนในเมืองไดซานที่ไม่เดือดดาลในตอนนี้
หญิงวัยกลางคนที่กำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ชะงักไป ผู้ดูแลร้านที่เห็นเช่นนั้นจึงเดินมาถามอย่างเป็นกังวลว่า “ไม่ทราบว่าคุณลูกค้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ? หรือว่าใส่ไม่พอดี? ทางเรามีไซซ์อื่นให้เลือกดูอีกนะคะ….”
“ขอโทษด้วยค่ะ พอดีมีเรื่องด่วนเข้ามา” หญิงวัยกลางคนวางชุดทั้งหมดลงบนมือของอีกฝ่ายก่อนจะรีบเดินออกจากร้านไป คิ้วเรียวของเธอขมวดเข้าหากันยุ่ง
“นี่เราพลาดอะไรไป?”
“คนพวกนี้ได้คะแนนการสอนเพิ่มได้ยังไง…ถ้าระยะเวลา 60 วันทำให้เราได้คะแนนเพียง 60 คะแนน แล้วทำไมผู้ที่จะได้รับการประเมินว่าเป็นระดับ A ถึงจะต้องได้คะแนนการสอน 100 คะแนนเต็ม? อีก 40 คะแนนที่เหลือมันมาจากไหน?”
ภายในห้องคาราโอเกะเองก็ตกอยู่ในความเงียบเช่นกัน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนก็ลุกขึ้นยืนและพูดกับทุกคน “ทุกท่าน ผมคงต้องขอตัวก่อน”
ทันทีที่เขาเดินออกมาจากห้อง เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาและเปิดแอปโม่โม่ทันที “หมายเลข 3 เรียกรวมพลแล้วไปเจอกันที่มหาวิทยาลัยอันฮุ่ยเดี๋ยวนี้”
………………………………
ย้อนกลับมาที่ภัตตาคาร ปากของหลินฮั่นยังคงอ้าค้าง ใบหน้าของคนทั้งหมดในทีมเปลวเพลิงต่างฉายชัดถึงความอับอาย
พวกเขาเพิ่งถูกดูถูก…
ซ้ำร้าย มันยังออกมาจากปากของผู้ที่เป็นหัวหน้าของพวกเขาอีกด้วย….
“เกินไปแล้ว! เสี่ยวฉินทำเกินไปแล้ว!” หลินฮั่นวางแก้วของตนลงบนโต๊ะอย่างแรง “หัวหน้า เราอย่ามัวแต่กินกันต่อเลย! ผู้เฒ่าโจวกำลังจับตาดูพวกเราอยู่!”
“จะรีบทำไม?” ซู่เฟิงยังคงจิบไวน์ในแก้วนิ่ง ๆ ด้วยแววตาที่ลุกโชน “มันเป็นความผิดของเราเอง เราไม่ควรประมาทเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเรื่องของโลกใต้พิภพ….แต่เราก็ไม่ควรรีบร้อนเช่นกัน รอดูก่อนว่าในเกมนี้มันยังมีกฎอะไรอีก….”
………………………………
กลับไปที่ถนนของผู้ล่วงลับ ฉินเย่เอ่ยกับตัวเองขณะที่ดึงหูฟังออก
“นี่คือการแข่งขัน และมันก็ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่วินาทีที่พวกเราก้าวเท้าเข้าสู่เมืองไดซานแล้ว” อาร์ทิสเอ่ยเบา ๆ
ฉินเย่ลูบคางของตนอย่างครุ่นคิด การคาดเดาของเขาก่อนหน้านี้ทั้งหมดได้รับการยืนยันจากการประกาศคะแนนแล้ว นอกจากนี้ มันยังชัดเจนแล้วว่าอาจารย์ที่ได้คะแนนการสอนต่ำกว่า 60 คะแนนเมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรมสองเดือนจะถูกไล่ออกทันที แล้วฉินเย่จะยอมแพ้ในเรื่องนี้ได้อย่างไร?
“เราได้คะแนนมาเพิ่มห้าคะแนน มันก็หมายความว่า….เราได้บรรลุหนึ่งในเงื่อนไขของภารกิจที่พวกเขาตั้งเอาไว้แล้ว… แมวงั้นเหรอ?”
“มิใช่เพียงเท่านั้น แต่เมื่อครู่นี้ ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกแซ่โจวยังเปิดเผยข้อมูลเล็กน้อยผ่านคำประกาศของเขา ประการแรก ไม่ใช่เพียงแค่เราที่คิดและสังเกตถึงเรื่องนี้ แต่ยังมีอาจารย์อีก 13 ที่จับสังเกตเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ได้เช่นกัน ช่างน่าเสียดาย…ที่พวกเขาส่วนใหญ่ถูกหักคะแนนแทน”
“นี่เป็นคำเตือน” ฉินเย่หรี่ตาลงและมองไปยังถนนของผู้ล่วงลับที่อยู่ด้านหลังของเขา “พวกเขาคงจะละเมิดข้อกำหนดบางอย่างที่รองผู้อำนวยการหลี่เทาได้วางเอาไว้ ข้าเดาว่ามันคงจะเป็นข้อกำหนดที่ว่าห้ามทำร้ายผู้บริสุทธิ์ หรือผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง พวกเขาคงจะละเมิดกฎข้อนั้นเพราะอยากจะทำภารกิจให้สำเร็จ นอกจากนี้ หัวหน้าสาขาก็บอกเราอ้อม ๆ ว่าทุกสิ่งที่เราทำนั้นอยู่ภายใต้การเฝ้าดูของเขาโดยสมบูรณ์ เราควรจะคิดให้ดีก่อนที่จะสร้างเรื่องวุ่นวายอะไร”
“ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ล้วนเกี่ยวข้องกับการแสดงประสาทสัมผัสที่เฉียบคมและทักษะในการสังเกตสิ่งรอบตัวและสถานการณ์ของคนคนหนึ่ง”
อาร์ทิสเอ่ยต่อ “ในฐานะของผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรก เขาสามารถจับตาดูการกระทำของผู้ฝึกตนทุกคนที่อยู่ทั่วเมืองอันฮุ่ยได้หากเขาต้องการ นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงชมเจ้าเกี่ยวกับการรับมือกับสถานการณ์ก่อนหน้านี้ เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับแมวตัวนั้น”
ฉินเย่สอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและเดินตามถนนต่อไป
แม้ว่าปรมาจารย์หนิงจะไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มันก็ยังมีปรมาจารย์หม่า หรือปรมาจารย์โกวอยู่
ด้วยเหตุนี้ ฉินเย่จึงเดินวนเวียนอยู่รอบ ๆ ถนนของผู้ล่วงลับ ถามทุกคนที่เขาสามารถถามได้ว่าพวกเขารู้เรื่องเกี่ยวกับ ‘แมว’ ตัวนั้นบ้างหรือไม่
เห็นได้ชัดว่าคนกว่า 20% ต่างรู้เรื่องนี้ แต่กลับไม่มีคนใดยอมบอกข้อมูลกับเขาเลยสักนิด
ทุกคนทำเหมือนกับว่ามันเป็นหัวข้อต้องห้ามไม่มีผิด
“น่าสนใจ…” หนึ่งชั่วโมงต่อมา เด็กหนุ่มเดินออกมาจากอีกด้านหนึ่งของถนนของผู้ล่วงลับ “ข้า…ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะรู้หรือเคยได้ยินเกี่ยวกับการมีอยู่ของเขตไล่ล่าซ่อนเร้นมาแน่ ๆ แต่อาจจะมีใครบางคนสั่งห้ามพวกเขาไม่ให้บอกข้อมูลพวกนี้กับคนอื่น”
“แล้วคนผู้นั้นคือใคร?” อาร์ทิสถามทันที
“ข้าเองก็นึกใครอื่นไม่ออกนอกจากหน่วยสอบสวนพิเศษ…ดูเหมือนว่าทางสำนักจะได้เตรียมโปรแกรมความบันเทิงหลังเลิกเรียนไว้ให้เราก่อนที่เราจะเดินทางมาถึงที่นี่….” สายลมเย็นที่พัดผ่านส่งผลให้ผมที่ปรกลงมาด้านหน้าของฉินเย่ปัดไปด้านข้าง
เด็กหนุ่มยังคงแย้มยิ้มบาง ๆ “ดูจากความรวดเร็วในการเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ข้าไม่คิดว่าระยะเวลาสองเดือนที่เราจะต้องอยู่ที่นี่คงจะไม่น่าเบื่อนัก…”
“เจ้ามีเวลาพอให้คิดถึงเรื่องพวกนั้นด้วยอย่างนั้นหรือ?” อาร์ทิสยิ้มเย้ย “พวกเจ้า 13 คนไม่ได้เป็นเพียงแค่กลุ่มเดียวที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าเกรงว่าอาจารย์คนอื่น ๆ เองก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน เจ้าไม่ลอง…ใช้ดวงเนตรแห่งนรกในการหาที่ตั้งของเขตไล่ล่าซ่อนเร้นและทำลายมันเสียล่ะ?”
ฉินเย่ส่ายศีรษะ “ผู้เฒ่าโจวแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบข้า หากเขารู้ว่าข้าใช้วิธีลัดในการหาคำตอบ ข้าเกรงว่าเขาจะต้องไม่ปล่อยข้าไปแน่”
“แล้วทีนี้เจ้าจะเอาอย่างไรต่อไป?”
ฉินเย่ยิ้มและหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมา “ตอนนี้น่ะหรือ? คำถามบางคำถามก็ไม่จำเป็นจะต้องถามโดยผ่านปากเพียงอย่างเดียว”
เขาเปิดหน้าจอโทรศัพท์ แตะฟังก์ชันการค้นหาแล้วจึงพิมพ์ว่า “กระทู้เมืองไดซาน”
ตัวเลือกที่เกี่ยวข้องกับสามตัวเลือกปรากฏขึ้นมาทันที
ตัวเลือกแรกคือกระทู้ท้องถิ่นเมืองของไดซาน ตัวเลือกที่สองคือ กระทู้บันเทิงของเมืองไดซาน และตัวเลือกที่สามก็คือกระทู้ชุมชนเมืองไดซาน
เขาคลิกลงไปบนตัวเลือกแรก และทันทีที่เข้าไปเขาก็พบกับโพสต์ที่มีกรอบสีแดงถูกปักหมุดอยู่ด้านบนสุดของโพสต์ทั้งหมด
“มีใครเห็นแมวของผมบ้าง?”
“มันมีจริง ๆ ด้วย…” อาร์ทิสเอ่ยออกมาอย่างเหลือเชื่อ อย่างไรก็ตาม ฉินเย่เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ “มันเป็นเรื่องธรรมดา…ผู้ฝึกตนเองก็ต้องการช่องทางในการสื่อสารและสร้างปฏิสัมพันธ์เช่นกัน แต่ท่านคิดหรือว่าผู้ฝึกตนพวกนี้จะมีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี? ท่านคิดหรือว่าพวกเขารู้วิธีในการสร้างเว็บไซต์ของตัวเอง? ท่านคิดหรือว่าทุกคนจะเหมือนกับหน่วยสอบสวนพิเศษ?”
เด็กหนุ่มไม่รอช้าและตอบคำถามของตัวเองทันที “หากพวกเขาต้องการจะพูดคุยกัน ท่านคิดว่าพวกเขาจะทำอย่างไร? นั่นง่ายมาก พวกเขาก็จะสอดแทรกสารที่แท้จริงของตัวเองกับข้อความธรรมดาๆที่ดูไม่มีพิษมีภัย และจัดการให้ผู้ดูแลดันโพสต์ของตนขึ้นไปด้านบนสุดของฟอรัม หรือปักหมุดมันเอาไว้ ด้วยโลกในตอนนี้ล้วนเต็มไปด้วยการรายงานข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ โพสต์พวกนี้จึงไม่ดูแปลกหรือเป็นที่ผิดสังเกตเลยสักนิด และผู้ที่เข้ามาอ่านโพสต์พวกนี้ ผู้ที่เข้าใจก็จะเข้าใจสารที่ถูกซ่อนเอาไว้ทันที และผู้ที่ไม่เข้าใจก็ไม่มีทางที่จะสามารถถอดรหัสนี้ได้เช่นกัน”
เขากดเข้าไปในโพสต์ที่ถูกปักหมุดอันนั้น
“คุณเคย… เห็นแมวตัวนี้หรือเปล่า?’
“มันมีขนสีดำสนิท และผอมแห้ง”
“มัน…มันปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูบ้านของผมเมื่อคืนนี้ จากนั้น…มันก็จ้องมาที่ผมนิ่ง…ราวกับว่า….มีอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลังผม”