ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 111: มาตุฆาต
บทที่ 111: มาตุฆาต
“ผมเคยขอให้คนช่วยแล้ว….” หลี่เจียนคังหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “มีองค์กรหนึ่งที่มาหาผมแล้วบอกผมว่าพวกเขาจะรับดูแลเรื่องนี้ให้ และผมก็ควรจะย้ายออกไปทันทีที่เริ่มมีการรื้อถอน แต่…มันก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว แต่พวกเขายังไม่เริ่มดำเนินการอะไรเลย…”
ฉินเย่พยักหน้า “เล่าต่อสิ”
หลี่เจียนคังยกน้ำขึ้นมาจิบ
เขายกหน้ากากขึ้นเผยให้ริมฝีปากล่างซีดเผือดไร้สีเลือด เขาไอออกมาเล็กน้อยและเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “จิงเกอร์เบลหายตัวไปตั้งแต่เหตุการณ์ในคืนนั้น”
“ผมคิดว่านั่นจะเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องนี้…ดังนั้นผมจึงตกแต่งบ้านของตัวเองใหม่ มันไม่ใช่ว่าผมไม่อยากไปไหน กลับกัน…ผมแค่ไม่มีเงินมากพอในการย้ายไปอยู่ที่อื่น” เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
“ผมไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากจะต้องอยู่ในบ้านสยองขวัญหลังนี้ต่อไป…วันเวลาผ่านไป ผมต้องอดทนอยู่กับความน่ากลัวที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของบ้านตัวเอง…”
“ทุกคืน…ผมจะรู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งหรือใครบางคนกำลังจับตาดูผมอยู่ มันคล้ายกับว่ามันสามารถโผล่ขึ้นมาจากหัวเตียงของผมได้ตลอดเวลา…ผมมั่นใจว่ามันจะอยู่ตรงนั้นหลังจากผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว…” เขาตัวสั่นอีกครั้ง
“มันยืนอยู่ตรงนั้น มองผมนิ่ง ๆ โดยไม่ส่งเสียงอะไรออกมา…ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะลืมตาขึ้นมอง แต่ผมกลับไม่มีแรงเลยสักนิดเดียว…”
“มันเป็นอะพาร์ตเมนต์ที่ใหญ่พอสำหรับคนหนึ่งคน…แต่ผมกลับรู้สึกว่าไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่อยู่ที่นั่น! คุณรู้หรือเปล่าว่ามันรู้สึกอย่างไร?! มัน…มันแทบจะทำให้ผมเป็นบ้า!!”
เสียงของเขาดังขึ้นอีกครั้ง และเริ่มหอบอย่างรุนแรง เขาใช้เวลาประมาณสิบวินาทีในการสงบสติอารมณ์ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “จากนั้น ประมาณเดือนกันยายน จิงเกอร์เบลก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง”
“มันคือช่วงเวลากลางคืนของวันที่ 15 ในตอนนี้ ผม…ได้ยินเสียงร้องของแมว ประตูยังคงปิดสนิท แต่จิงเกอร์เบลก็ข่วนประตูและส่งเสียงร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง!”
เขาคว้ามือของฉินเย่มาจับอย่างกระวนกระวายใจ ฉินเย่เลิกคิ้วสูงขึ้น มือของหลี่เจียนคังเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง แทบจะไม่มีไออุ่นเลยสักนิด
เม็ดเหงื่อเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายร่างสูง “คุณอาจจะไม่เชื่อ…แต่ประตูบ้านของผมคือประตูสะท้อนเงาได้ เมื่อคุณเปิดไฟในตอนกลางคืน คุณจะเห็นเงาสะท้อนบนนั้น”
“ผม…”
“ผมเห็นมัน…ด้านหลังของผม…มีคนอยู่…มีคนยืนอยู่ตรงนั้นจริง ๆ!!! มัน…มันยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมาที่เงาสะท้อนบนประตูเหมือนอย่างที่ผมทำ!!”
“มีใครอีกคนอาศัยอยู่ในอะพาร์เมนต์เดียวกันกับผม!”
เขาตะโกนเสียงดังอย่างลืมตัว และจับมือของฉินเย่แน่น เขาใช้เวลากว่าหนึ่งนาทีเต็มก่อนที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้อีกครั้ง
สภาพของเขาในตอนนี้ดูไร้วิญญาณอย่างสมบูรณ์ มันเหมือนกับว่าวิญญาณของเขาได้จมอยู่ในความอ้างว้าง หลี่เจียนคังเอ่ยต่อด้วยเสียงแหบแห้ง “ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็ไม่เคยกลับไปที่บ้านอีกเลย ตอนนี้ผมอาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์เช่าซึ่งอยู่ถัดจากบ้านของตัวเอง เวลาเดียวที่ผมกล้ากลับบ้านมีเพียงตอนกลางวันเท่านั้น…”
“ได้โปรดช่วยผมด้วย…” เขาจับแขนของฉินเย่แน่น เอ่ยออกมาอย่างติดขัด “มะ มัน มันคือบ้านผีสิงไปแล้ว…มีผีอยู่ในบ้านของผมแน่ ๆ! ผมอยากจะกลับไปที่นั่น ยังมีข้าวของของอดีตภรรยาและลูกของผมที่ยังอยู่ในนั้น! มีหน่วยงานที่ชื่อว่าหน่วยอะไรสักอย่างติดต่อมาบอกผมว่าคนที่ตอบโพสต์ของผมเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถช่วยผมได้”
“เข้าใจแล้ว” ฉินเย่พยักและลุกขึ้นยืน “บังเอิญจริง ๆ วันนี้เป็นวันที่ 15 ของเดือนพอดี ผมจะไปที่บ้านของคุณตอนเที่ยงคืนคืนนี้”
หลังจากเอ่ยจบ ฉินเย่ก็เดินจากไปทันที
นกกระเรียนกระดาษเกาะอยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่ม ฉินเย่หักเลี้ยวที่หัวมุมถนนสายหนึ่งและแนบหลังพิงกับกำแพง “เขายังอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า?”
“เขายังอยู่” อาร์ทิสตอบอย่างเอื่อยๆ
“เขากำลังมองข้าอยู่หรือเปล่า?”
“ใช่” อาร์ทิสมองเด็กหนุ่มอย่างประหลาดใจ “ต้องยอมรับเลยว่าข้ารู้สึกชื่นชมกับประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของเจ้าเป็นอย่างมาก เหมือนอย่างคำกล่าวที่ว่ายิ่งเจ้ามีอายุมากขึ้นเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งฉลาดมากขึ้นเท่านั้น แต่ในตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้า ข้าก็ยังไม่เฉียบคมเท่านี้ เจ้าเริ่มสงสัยเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ฉินเย่แนบแผ่นหลังของตนไปกับกำแพงและขมวดคิ้ว “ใช่เรื่องที่ท่านต้องมาตั้งข้อสงสัยกับข้าเหรอ”
“มันก็แค่สีของใบหน้าของเขามันดูผิดปกติเท่านั้น” เขาลูบคางอย่างครุ่นคิด “ข้าใช้ชีวิตผ่านมาหลายยุคแล้ว รวมไปถึงยุคสงครามด้วย และข้าก็เคยเห็นความตายมาหลากหลายรูปแบบ ใบหน้าของเขาคือตัวอย่างของผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการสูญเสียเลือดในตัว”
“หากพูดตามจริง มันคือตัวอย่างของคนที่สูญเสียเลือดไปในปริมาณมาก”
อาร์ทิสนิ่งไป “บางทีมันอาจจะเป็นอาการป่วยหรืออย่างอื่นก็ได้ไม่ใช่หรือ?”
“เช่นนั้นข้าเองก็อาจจะความรู้สึกไวเกินไปเช่นกัน” ฉินเย่เอ่ยเสียงเรียบ “แต่มันยังมีอีกสิ่งหนึ่ง และนั่นก็คือรูปร่างหน้าตาของข้า”
“ด้วยความหล่อเหลาและสมบูรณ์แบบของข้า เขายังทนอยู่เฉย ๆ ตลอดการพูดคุยได้อย่างไร…”
“เจ้าช่วยพูดภาษาคนธรรมดาด้วย” อาร์ทิสเอ่ยเสียงเย็น
“เอ่อ….ที่ข้าหมายถึงก็คือข้าดูไม่ต่างอะไรไปจากเด็กนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งเลยสักนิด ท่านคิดว่าหากคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ใช่เขา แต่เป็นคนธรรมดา ๆ ทั่วไป พวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?”
โดยไม่รอฟังคำตอบของอาร์ทิส ฉินเย่ตอบคำถามของตัวเองอย่างรวดเร็ว “หรือต่อให้ข้าเป็นเขา ไม่ว่าจะสิ้นหวังมากเพียงใด ข้าก็ยังต้องมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอายุของข้าอย่างแน่นอน เขาควรจะเอ่ยเตือนไม่ให้ข้าเข้าไปข้างในนั้นเสียมากกว่า เพื่อนของเขาก็คงจะอายุพอ ๆ กัน แต่แม้แต่พวกผู้ใหญ่อย่างเขาก็ยังตายด้วยสาเหตุลึกลับ ในฐานะของผู้ที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับกองกำลังโลกใต้พิภพเลยแม้แต่น้อย เขาจะไม่มีข้อสงสัยในอายุของข้าเลยได้อย่างไรกัน? เหตุใดเขาจึงมั่นใจว่าเด็กมัธยมปลายอย่างข้าจะสามารถช่วยเขาได้?”
อาร์ทิสยังคงแน่นิ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา “นี่คือเหตุผลที่เจ้าไม่เคยตายเลยสักครั้ง แม้ว่าจะใช้ชีวิตผ่านยุคสมัยของสงครามมาก็ตามสินะ”
“ข้าว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ…เจ้าใช้รูปลักษณ์ของตัวเองหลอกลวงผู้คนมามากแค่ไหนกัน? ประสาทสัมผัสรับรู้ถึงอันตรายและวิกฤตที่กำลังใกล้เข้ามาของเจ้านั้น แม่นยำยิ่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณทั่ว ๆ ไปเสียอีก”
ฉินเย่ยิ้ม “ใช่ ฮัสกี้มีประสาทสัมผัสทางกลิ่นที่เฉียบคม…อีกสิ่งหนึ่งที่ข้าสังเกตเห็นตั้งแต่ก่อนมาที่นี่ก็คือไม่ว่าข้าจะไปที่ไหน ข้าก็มักจะต้องผ่านที่นี่เสมอ หากเขาออกมาจากร้านกาแฟหมายเลข 4 ข้าย่อมเห็นแน่ ๆ…”
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงบ่าย โจวเซียนหลงได้ประกาศอันดับของคะแนนการสอนอีกครั้ง และฉินเย่ก็พบว่าเขาไม่ได้อยู่อันดับ 1 อีกต่อไปแล้ว
กลับกัน มีคนควบอันดับ 1 ถึงสองคน!
“อันดับ 1 S9527 10 คะแนนการสอน รับภารกิจ ‘เขตไล่ล่าที่สาบสูญ’ ความยากระดับ C”
“อันดับ 1 S4532 10 คะแนนการสอน รับภารกิจ ‘อาคารร้าง’ ความยากระดับ C”
ใครบางคนตามเขาทันแล้ว…
และยังไม่หมดเพียงเท่านั้น อาจารย์คนอื่น ๆ ก็เริ่มมีคะแนนปรากฏขึ้นแล้วเช่นกัน
“เป็นอย่างที่คิด ผู้ฝึกตนของแดนมนุษย์นั้นไม่ใช่พวกยอมแพ้อะไรง่าย ๆ….” ฉินเย่ปิดหน้าจอโทรศัพท์และเอนหลังพิงกำแพงขณะที่ปิดเปลือกตาลงเพื่อพัก
การที่จะตื่นตระหนกหรือระส่ำระสายไม่ใช่นิสัยของเขาเลยสักนิด สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็คือฉกฉวยโอกาสทั้งหมดที่ตัวเองมี
ตอนนี้มีคนที่ได้อันดับ 1 อยู่สองคน และคนแรกที่ทำภารกิจในมือสำเร็จก่อนก็จะได้เป็นผู้ที่ได้อันดับ 1 อย่างแท้จริง! ด้วยธรรมชาติของสำนัก มันอาจจะมีคะแนนพิเศษสำหรับการได้อันดับ 1 ก็เป็นได้!
มันยังเป็นช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิ และดวงอาทิตย์จะตกดินเร็วกว่าปกติ ในเวลา 18.10 น. เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ฉินเย่มากขึ้นเรื่อย ๆ
ฝีเท้านั้นฟังดูรีบและร้อนรน ทันทีที่เลี้ยวที่หัวมุม ฉินเย่ก็แย้มยิ้มชั่วร้ายและกระซิบเบา ๆ “ที่รัก คุณถูกฆ่าแล้ว” [1]
“ให้ตายเถอะ พระเจ้าช่วย!!!” ด้วยเสียงตะโกนดังลั่น ชายผมบลอนด์ล้มหงายหลังลงกับพื้น เขามองฉินเย่ด้วยใบหน้าแดงก่ำขณะที่หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอนหลังพิงกับกำแพงและพยุงตัวเองขึ้น “ให้ตายเถอะ! ไอ้เด็กบ้า รู้หรือเปล่าว่าเมื่อครู่มันน่ากลัวแค่ไหน?!!”
ฉินเย่ยักไหล่ ถนนทั้งสายกำลังอยู่ระหว่างการรื้อถอน แต่เขากลับไม่เห็นวิญญาณแม้แต่ดวงเดียวตลอดบ่าย
อย่างไรก็ตาม การแกล้งใครบางคน…ก็เป็นประสบการณ์ที่ทำให้อารมณ์ดีอย่างแท้จริง…
“แล้วทำไมนายถึงยังไม่ไปอีก?” ชายหนุ่มปัดฝุ่นออกจากกางเกงของตัวเองขณะที่ควบคุมจังหวะลมหายใจของตัวเอง
“ผมรอคุณอยู่” ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นและยิ้มบาง ๆ “คุณเลิกงานตอนหกโมงเย็น ผมยืนรออยู่ตรงนี้เกือบสองชั่วโมงแล้ว”
“คุณจะรอผมทำไม?”
“รอดูว่าคุณจะแพ้ในบทบาทของเทพผู้รู้แจ้งหรือเปล่า”
“…..” การทำร้ายร่างกายของคนอื่นจนพิการนี่นับเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเปล่า? ถ้าใช่เขาจะรีบไปต่อแถวรอเลย นี่ค่อนข้างเร่งด่วน
“อ้อ!” ราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ชายหนุ่มรีบดึงฉินเย่เข้าไปในตรอกด้านข้างและสบตาเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจัง “คืนนี้…นายจะไปที่บ้านผีสิงนั่นจริงๆเหรอ?”
ฉินเย่มองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยว่า “มีอะไร? บ้านผีสิงหลังนั้นโด่งดังมาเลยหรือ?”
“อย่าไปเลย!!” ชายหนุ่มขนลุกชันไปทั่วทั้งร่าง เขาเริ่มตัวสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ หลังจากพยายามข่มความกังวลในจิตใจของตัวเองเขาถึงเอ่ยขึ้นว่า “มะ มัน….มันเป็นบ้านผีสิงจริงๆนะ….”
“หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าฉันไม่มีเงิน ฉันเองก็คงย้ายไปอยู่ที่อื่นนานแล้ว! นายอย่าไปที่นั่นเลย! มีคนเจ็ดคนหายตัวไปหลังจากไปที่นั่น! มันเป็นบ้านผีสิงจริง ๆ!! ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ในรัศมีสิบเมตรเลยสักคน!”
สีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนเป็นจริงจังเช่นกัน เขาพยักหน้าให้กับอีกฝ่าย “ไม่ต้องห่วง คุณได้แสดงเจตนาที่ดีกับเจ้านรกแล้ว ผมรับรองเลยว่าจะเก็บตำแหน่งดี ๆ ไว้ให้คุณในชีวิตหลังความตาย”
“…” สถานการณ์แบบไหนถึงนับว่าเป็นการป้องกันตัว? แล้วหมอนี่จะทำให้มันดูใหญ่โตไปทำไม? การทำร้ายด้วยวาจานี่นับหรือเปล่า? ถ้าใช่ เขาจะไปต่อแถวรอเลยเหมือนกัน นี่มันเร่งด่วนจริง ๆ
“ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ!” ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง จากนั้น เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ “หลี่เจียนคัง…บ้านของเขา…ไม่ธรรมดา นายเข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายความว่ายังไง? มันมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา”
โดยไม่รอให้ฉินเย่ตอบอะไร เขาเอ่ยต่อ “การทำมาตุฆาต”
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น ภาพเหตุการณ์บางอย่างปรากฏขึ้นในหัวของเขา
มันเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างโด่งดังพอสมควร
สามีภรรยาคู่หนึ่งออกไปทำงานนอกบ้าน ทิ้งลูกของตัวเองไว้ที่บ้านเพียงลำพัง แต่เมื่อทั้งคู่กลับมาที่บ้าน พวกเขาก็พบว่าลูกชายวัย 12 ขวบของตัวเองได้มีนิสัยที่ไม่ดี เขาสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ต่อยตี และโดดเรียน และเพื่อที่จะดัดนิสัยของลูกชาย ทั้งสองไม่ออกไปทำงานนอกบ้านอีกต่อไป พวกเขาเลือกที่จะอยู่บ้านตลอดทั้งวัน
ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้า การห่างเหินกันเป็นเวลานานก่อนหน้านี้ทำให้เกิดความบาดหมางภายในครอบครัว และลูกชายของพวกเขาก็ไม่ฟังคำสอนของพ่อแม่อีกต่อไป สุดท้ายแล้ว เมื่อลูกชายถูกจับได้ว่าแอบสูบบุหรี่ที่บ้านเป็นครั้งที่สิบกว่า ผู้เป็นแม่ก็หยิบเข็มขัดหนังขึ้นมาด้วยความโกรธและผิดหวัง ก่อนจะตีลูกชายของตนโดยคาดไม่ถึงว่าจะถูกลูกชายของตนจะตอบโต้ ด้วยความโกรธและไม่ลงรอยกัน เด็กชายวิ่งเข้าไปในห้องครัว หยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งและแทงผู้เป็นแม่ของตัวเองกว่า 20 ครั้ง จนผู้เป็นแม่เสียชีวิตคาที่
แต่นี่ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเรื่อง
เด็กชายรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองและโยนเครื่องมือสังหารลงไปในบ่อน้ำ คืนนั้นเขารับโทรศัพท์จากที่ทำงานในนามของผู้เป็นแม่ และยังตอบกลับข้อความด้วยชื่อของผู้เป็นแม่เพื่อขอลาป่วยอีกด้วย
ในวันต่อมา เพื่อนบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียงพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาจึงไปขอให้ผู้เป็นพ่อเลี้ยงของแม่เด็กชายไปช่วยเปิดประตูบ้านให้ที แต่ในเวลานั้น เด็กชายก็บอกกับคุณตาของเขาว่า “คุณแม่ออกไปข้างนอก เธอไม่ได้อยู่ในบ้าน”
เพราะว่าไม่มีรอยเลือดปรากฏให้เห็น ผู้เป็นตาจึงไม่คิดอะไรมากนัก กลับกัน พวกเขายังพากันไปทานข้าวที่บ้านของผู้เป็นตาเสียด้วยซ้ำ
จนเวลาเลยไปถึงตอนเที่ยง ในที่สุดผู้เป็นตาก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติและเดินขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน สิ่งที่พบกลับเป็นรอยคราบเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทุกที่ พร้อมกับร่างของลูกเลี้ยงที่ขาดวิ่นอย่างน่าสยดสยอง
เป็นเรื่องที่น่าเศร้า เนื่องจากอายุของเด็กชายยังไม่บรรลุนิติภาวะ เขาจึงไม่สามารถถูกตัดสินด้วยการจำคุกได้ และกฎหมายก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะปล่อยให้เขาพ้นผิด
ชาวเน็ตจำนวนมากต่างเดือดดาล และข่าวของเหตุการณ์นี้ก็แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินจีนเป็นเวลากว่าหนึ่งปีเต็ม ฉินเย่จำข่าวนี้ได้อย่างดี
“นี่มัน….” ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และก้มหน้ามองถนน
“ถนนเทียนซีที่ 4 ลูกชายของหลี่เจียนคังคือหลี่เฉิง และภรรยาของเขาผู้ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซงเจียฝาง” ชายหนุ่มกัดปากล่างของตัวเอง “ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา….ผู้คนมักจะได้ยินเสียงของเข็มขัดหนังฟาดกระทบผิวของคนดังออกมาจากบ้านของลุงหลี่ทุกคืนหลังจากเข็มนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนเป็นต้นไป…คนละแวกนั้นยังคงได้ยินเสียงด่าทอและร้องไห้ดังขึ้นเป็นครั้งคราว และบางครั้ง…ก็มีแม้กระทั่งเสียงของใครบางคนแทงมีดเข้าไปในเนื้อซ้ำ ๆ ดังให้ได้ยินด้วย….”
“แต่ลุงหลี่ไม่ได้ยินมันเลย แม้ว่าคนอื่น ๆ จะได้ยินเสียงนั้นก็ตาม! มันมีผีอยู่ในบ้านหลังนั้น…มันมีผีอยู่ในนั้นจริง ๆ! นายห้ามไปเด็ดขาดเลยนะ!”
ฉินเย่สับสนไปหมด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ถามขึ้นว่า “ก็ไหนเขาบอกว่าลูกชายของตัวเองตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันไม่รู้…” ชายหนุ่มเหลือบไปมองสองฝั่งของถนนอย่างหวาดระแวง “นั่นคือส่วนที่น่ากลัวที่สุดของเรื่อง…ลูกชายของเขา….หายตัวไป”
“เขาไม่ได้หายตัวไปเฉย ๆ แต่มันเหมือนกับว่าเขาหายตัวไปจากโลกนี้ มัน…มันเหมือนกับว่า…ป้าซงได้พาเขาไปด้วย!”
ฉินเย่พยักหน้า “คำถามข้อสุดท้าย”
“คุณรู้เรื่องของจิงเกอร์เบลบ้างหรือเปล่า? เจ้าแมวน้อยสีดำน่ะ”
“แมวน้อยสีดำ?” ชายหนุ่มถามกลับอย่างไม่เข้าใจนัก “ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”
ฉินเย่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย “แมวของหลี่เจียนคัง”
“นั่นเป็นไปไม่ได้”ชายหนุ่มตัวสั่นขณะที่มีความเย็นยะเยือกที่ไม่สามารถอธิบายได้แผ่ซ่านไปทั่วร่าง “เขาไม่เคยเลี้ยงแมว! ลองคิดดูนะ เขาจะเลี้ยงแมวได้ยังไงหากต้องไปทำงานและไม่อยู่บ้านอยู่ตลอด? เขาจะเลี้ยงแมวทั้ง ๆ ที่ไม่มีเวลาแม้แต่ดูแลลูกของตัวเองหรือไง?! ไม่มีแมว…ฉันไม่เคยเห็นแมวในบ้านของเขาเลยสักตัว!”
[1] ที่ฉินเย่พูดก็คือคำที่ใช้พูดจับหมาป่าในเกมมนุษย์หมาป่า หรือ Werewolf