ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 120: ตราความดีขั้นที่ 2
บทที่ 120: ตราความดีขั้นที่ 2
คำตอบฉายชัดขึ้นมาในหัวของฉินเย่ทันที ริมฝีปากอ้า ๆ หุบ ๆ แต่ก็ไม่มีคำพูดใดออกมา
ผู้เฝ้าประตูนรก ผู้ตรวจสอบอดีตกรรม…
การมอบหมายที่นั่งให้นางที่ประตูนรกย่อมเป็นการเสริมขีดความสามารถในการบังคับใช้กฎของยมโลกแห่งใหม่ ยิ่งนางแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะสามารถระงับการจลาจลของวิญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าซูตงเซวี่ยจะเพิ่งอยู่แค่ขั้นยมเทพ แต่ความสามารถในการลอกเลียนแบบของนางจะสามารถทำให้นางขึ้นเป็นขั้นนักล่าวิญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน!
แต่ถึงอย่างนั้น…
เขาจะสามารถแต่งตั้งให้ผู้ที่ทำงานในสถานเปลื้องผ้า ที่มีความสุขจนลืมเก็บเงินจากแขกของตัวเองเป็นผู้ตรวจสอบอดีตกรรมได้จริง ๆ น่ะหรือ? นางจะไม่ทำอะไรดวงวิญญาณในนรกของเขาใช่หรือไม่…
“ท่านแน่ใจหรือ?” ฉินเย่หันไปถามอาร์ทิสด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความสงสัย
“ข้าแน่ใจ…หรือเจ้าอยากจะกลับไปฆ่าเพื่อนร่วมชั้นหวังเฉิงห่าวของเจ้ากัน? หากเจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ นางก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้” อาร์ทิสเอ่ยต่ออย่างไม่แยแสนักว่า
“นรกเพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ และวิญญาณทุกตนในบริเวณใกล้เคียงก็จะหลั่งไหลมาที่นี่ราวกับกระแสน้ำ เจ้าจะเชื่อหรือไม่หากข้าบอกเจ้าว่าจำนวนของวิญญาณทั้งหมดในยมโลกในเวลานี้นั้นเพิ่มมากขึ้นประมาณหมื่นหรือสองหมื่นตนในหนึ่งวันที่เจ้าไม่อยู่น่ะ? หรือเจ้าตั้งใจที่จะลงไปยังยมโลกเพื่อบริหารกิจการของที่นั่นทุกวัน?”
นางมองหน้าฉินเย่ “ดูรอยคล้ำใต้ตาของตัวเองเสียบ้าง เจ้าเตรียมพร้อมที่จะสูญเสียเวลานอนทั้งหมดของตัวเองแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ฉินเย่ถอนหายใจยาวเหยียด นี่คือเรื่องที่ทำให้เขาปวดหัวมากที่สุดในตอนนี้
ผู้คน… ไม่สิ ผี!
เขาต้องการกำลังคนในการถางป่า เขาต้องการกำลังคนในการสร้างสิ่งปลูกสร้างหลังจากนี้ และเขาก็ต้องการคนมานั่งที่ประตูนรกและทำหน้าที่ในฐานะผู้ตรวจสอบอดีตกรรม ทุกอย่างล้วนต้องการกำลังคน! แต่ตอนนี้ในนรกกลับไม่มีใครสักคนที่เขาสามารถไว้ใจได้เลย!
อาร์ทิสคิดที่จะเสนอความคิดก่อนหน้านี้ของตัวเอง แต่นางก็ต้องเงียบไปเมื่อพบว่าฉินเย่กำลังตกอยู่ในความคิดของตัวเอง
บางสิ่งบางอย่างไม่สามารถสอนกันได้ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการบริหารและการปกครอง ฉินเย่กำลังอยู่บนเส้นทางของการเป็นจ้าวนรกคนต่อไป และอีกฝ่ายก็ต้องจัดการกับเรื่องต่าง ๆ มากมายเกินกว่าที่ได้พบเจอในแดนมนุษย์ ประชากรทั้งหมดบนแผ่นดินจีนมีจำนวนประมาณ 1.5 พันล้านคน แต่จำนวนประชากรวิญญาณในโลกใต้พิภพนั้นสามารถเพิ่มได้ถึงหลายหมื่นล้านตนหลังจากนี้! หากนางต้องสอนฉินเย่ทุกอย่าง…ยมโลกก็คงจะต้องตกอยู่ในความโกลาหลเป็นแน่
“คืนนี้ลงไปยังยมโลกกับข้า นับว่าเจ้าโชคดีมากนะ…” ฉินเย่หันไปสั่งซูตงเซวี่ย “ทีนี้ก็หาวัตถุอะไรสักอย่างแล้วสิงเข้าไปในนั้นเสีย”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างเชื่อฟังทันที จากนั้น…
นางก็กลายร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินและพุ่งตรงเข้าไปในกางเกงของฉินเย่ทันที
“ให้ตายเถอะ…เจ้าช่วยสงวนท่าทีกว่านี้สักนิดไม่ได้หรือ?! ออกไป!”
“นายท่าน…เท่านี้ข้าก็สงวนท่าทีมากอยู่แล้ว…ที่นี่อบอุ่นและสบายตัวดี เพราะตัวข้าเองก็ไม่ได้ดูดซับพลังหยางมาเกือบจะร้อยปีแล้ว…”
“…อย่าคิดที่จะเข้าไปในนี้อีกเป็นอันขาด! ไม่ใช่นั้นข้าฟันวิญญาณของเจ้าให้ขาดเป็นชิ้น ๆ!! ไม่เชื่อก็ลองดู!!” ฉินเย่กัดฟันแน่นและคลายปมกางเกงของตนเอง
ซูตงเซวี่ยลอยออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก ต้องบอกว่านางเป็นผู้หญิงที่สวยมาก การขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อยของหญิงสาว แทบทำให้บรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิหม่นหมองลงเล็กน้อยได้เลย ในขณะที่ดวงตาที่เป็นประกายของนางดูเหมือนจะเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมาย
“นายท่าน…ยังใหญ่ไม่พอ และพลังหยางของท่านเองก็น้อยนัก อย่างไรข้าก็ไม่สามารถอยู่ในนั้นได้อยู่แล้ว…” นางบ่นเบา ๆ อย่างไม่พอใจนัก
ฉินเย่เงยหน้ากลอกตามองท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นจึงหันไปมองภาพถ่ายของซงเจียฝางและชี้พร้อมกับหันไปบอกอีกฝ่ายด้วยใบหน้าขรึม “เข้าไป!”
“ขี้เหนียวจริง” ซูตงเซวี่ยพึมพำพร้อมทำหน้ามุ่ย ก่อนจะกลายร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินที่พุ่งตรงเข้าไปในกรอบรูปถ่าย
เขาหยิบกรอบรูปขึ้นมาและเดินกลับขึ้นไปด้านบน และทันทีที่เขากระโจนออกจากหลุม เด็กหนุ่มก็ต้องตกตะลึง
มันยังเป็นเวลาก่อนรุ่งสาง และดูเหมือนจะเป็นช่วงประมาณตี 4
แต่รถตำรวจจำนวนมากกลับจอดอยู่ห่างจากตำแหน่งของเขาออกไปประมาณ 20 เมตร เจ้าหน้าที่หลายคนต่างจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บ้านที่พังทลายลงถูกปิดล้อมด้วยเทปตำรวจ และตอนนี้ก็มีคนเจ็ดคนกำลังยื่นอยู่นอกหลุม!
ชายผมขาวยืนอยู่ตรงหน้าของคนทั้งหมด เขามีชายสามคนในชุดปฏิบัติการสีขาวยืนอยู่ข้างๆ สัญลักษณ์ SRC ถูกปักที่บนอกของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่อีกสองคนที่มีตราของหน่วยสอบสวนพิเศษสาขามณฑลอันฮุ่ยยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขา และสุดท้ายก็คือซู่เฟิงและหลินฮั่น
“S9527?” ชายสูงวัยมองเด็กหนุ่มตรงหน้าของตนด้วยแววตาที่ลุกโชน “ข้างล่างนั่น…จบลงแล้วหรือ?”
บางทีเขาอาจจะตระหนักได้ว่าตัวเองยังไม่ได้เจาะจงมากพอ เขาจึงรีบก้าวไปด้านหน้าและถามอย่างเป็นกังวลอีกครั้งว่า “ผมหมายถึง คุณ…ทำลายเขตไล่ล่าได้แล้วอย่างนั้นใช่ไหม?”
ฉินเย่ปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดและเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาฉลาดแค่ไหนน่ะหรือ? ด้วยคำถามเมื่อครู่นี้ การคาดเดาของเขาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับความจริงที่อยู่หลังเงื่อนไขสุดท้ายของหลี่เทาได้รับการยืนยันทันที
“ประการที่สี่ เมืองไดซานมีทีมวิจัยที่กำลังทำงานในโครงการร่วมกับทาง SRC อยู่ การกระทำส่วนตัวซึ่งส่งผลให้เกิดการหยุดลงของงานจะถือว่าเป็นการแทรกแซงทันที”
ราชาผีทั้งสามกำลังเผชิญหน้ากับกองกำลังของแดนมนุษย์ และไม่มีห้องว่างสำหรับการประนีประนอมของพวกเขา โดยธรรมชาติแล้ว ยิ่งแดนมนุษย์มีความเข้าใจเกี่ยวกับวิญญาณมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งดีกับเขามากเท่านั้น นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าเขาจะได้รับผลประโยชน์หรือรางวัลบางอย่างจากการที่แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในเขตไล่ล่าแห่งนี้ได้อย่างนั้นหรือ?
“ครับ” ฉินเย่ยิ้มบาง ๆ ให้กับอีกฝ่าย
“เยี่ยมมาก” หนึ่งในชายที่สวมชุดปฏิบัติการสีขาวจ้องลึกเข้าไปในตาของฉินเย่ “เราพยายามศึกษาคดีนี้กันมาเกือบจะครึ่งปีแล้ว น่าเสียดายที่มันไม่ค่อยมีความคืบหน้าเท่าไหร่นัก เพราะเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะเริ่มที่ตรงไหน แต่คุณกลับสามารถแก้ไขมันได้ภายในชั่วข้ามคืน ไม่แปลกในเลยว่าทำไมคุณถึงเป็นที่รู้จักในฐานะยอดฝีมือที่ได้สามารถทำลายเขตไล่ล่าเก้าเขตได้ภายในคืนเดียว”
ดวงตาของหลินฮั่นและซู่เฟิงเป็นประกายขึ้น
ทันใดนั้นเอง กรอบรูปในมือก็ขยับเล็กน้อย และฉินเย่ก็รีบกระชับมือรอบกรอบรูปแน่นกว่าเดิมทันที
ซูตงเซวี่ยสงบลงอย่างไม่เต็มใจ
“ไม่เลว” ชายสูงวัยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “คุณพอจะมีเวลาอีกสักนิดหรือเปล่า? ทางเราอยากจะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสักหน่อย รวมถึงข้อสันนิษฐานบางอย่างที่คุณอาจจะมีเกี่ยวกับสถานการณ์เหล่านี้ด้วย”
“ตอนนี้เลยหรือครับ?” ฉินเย่รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย คุณนี่มัน…ผมเพิ่งจะทำภารกิจเสร็จ ไม่ใช่ว่าคุณควรจะพูดเกี่ยวกับรางวัลก่อนหรอกหรือ?
จะทำงานไปทำไมถ้าไม่ได้เงินเดือน…ไม่คำนึงถึงสุขภาพจิตอันบอบบางของเขาเลยหรือไง?
ความเป็นมนุษย์ของคนพวกนี้อยู่ที่ไหนกัน?
“ใช่” ชายในชุดปฏิบัติการอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “หัวข้อวิจัยของศาสตราจารย์ยวีก็คือ ‘ความหลากหลายของวิญญาณ’ และคดีนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อการวิจัยอย่างมาก! ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการจัดการกับเขตไล่ล่าพวกนี้ได้ เพราะฉะนั้นเราจึงอดใจรอแทบไม่ไหวที่จะได้ฟังการรายงานของคุณอย่างละเอียด!”
นี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงมีคนพูดว่า…พวกนักวิชาการเป็นพวกเข้าใจยาก นี่พวกคุณไม่เห็นสีหน้าของผมในตอนนี้หรือไง? ไม่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติบ้างเหรอ? เกิดอะไรขึ้นกับการให้ความสำคัญของผู้ฝึกตนกับพวกรัฐบาลพวกนี้?
แม้ว่าสีหน้าของฉินเย่จะย่ำแย่เป็นอย่างมาก แต่อีกฝ่ายกลับดูไม่สนใจเลยสักนิด ทั้งสี่ยังคงจ้องไปที่ร่างของฉินเย่ด้วยแววตาที่ลุกโชน
เราจะทำให้สี่คนนี้ไม่พอใจไม่ได้…ฉินเย่ลอบถอนหายใจ หลายวินาทีต่อมา เขาก็เอ่ยตอบในที่สุดว่า “ผมจะทำตามคำขอครับ….แต่ การต่อสู้กับวิญญาณก่อนหน้านี้ส่งผลกระทบกับร่างกายของผมมาก วิญญาณตนนั้นทั้งแปลกประหลาดและไม่สามารถคาดเดาได้ และร่างกายของผมตอนนี้ก็เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย…”
เขาหยุดพูดไปอย่างจงใจ กระแอมเบา ๆ สองสามครั้ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกเวียนหัวอยู่เล็กน้อย แต่หากพวกคุณให้เวลาผมได้พักฟื้น…หรือสิ้นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมคิดว่าผมน่าจะจำอะไรได้บ้าง…”
ซู่เฟิงและหลินฮั่นอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น
หน้าด้าน!
หน้าด้านที่สุด!
นายถามหารางวัลจาก SRC ออกไปตรง ๆ แบบนั้นได้อย่างไร? ไม่รู้หรือว่า SRC เป็นหน่วยงานแบบไหน? พวกเขาเป็นหน่วยงานอิสระของจีนที่มีอำนาจพอ ๆ กับหน่วยสอบสวนพิเศษเชียวนะ!
“บ้าชัด ๆ…” หลินฮั่นกระซิบเสียงเบา “ให้ตายเถอะ…ไอ้เด็กนี้มันกล้าพูดกับผู้เฒ่ายวีแบบนี้เลยเหรอ…นี่มันต่างอะไรกับการแบมือขอรางวัลตรง ๆ กัน? เขารู้หรือเปล่าว่าผู้เฒ่ายวีเป็นใคร?”
ซู่เฟิงเองก็ตกใจไม่น้อย ริมฝีปากของเขาเปิดปิดอยู่หลายครั้งก่อนที่เขาจะตั้งสติได้ในที่สุด “ให้ตายเถอะ…ฉันน่าจะไปแก้ข่าวลือของหมอนี่ให้หมดได้แล้ว…”
น่าเสียดายที่โลกแห่งความเป็นจริงนั้นช่างโหดร้าย แม้ว่าฉินเย่จะเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม แต่นักแสดงประกอบคนอื่น ๆ กลับไม่เต็มใจที่จะให้ความร่วมมือกับเขาเลยสักนิด
ผู้เฒ่ายวีก้าวมาข้างหน้าด้วยแววตาที่วาวโรจน์และคว้ามือของฉินเย่มาจับ “วิญญาณที่อยู่ในเขตไล่ล่านี้เป็นเพียงแค่วิญญาณขั้นยมเทพ คุณกำลังจะบอกว่าวิญญาณขั้นยมเทพสามารถทำร้ายคุณได้อย่างนั้นหรือ? คุณเจ็บตรงไหน? แล้ววิญญาณตนนั้นแปลกประหลาดอย่างไร?”
“… ผู้เฒ่ายวี… ผมหมายถึง…”
ตาเฒ่านี้มีปัญหาเรื่องจับประเด็นสำคัญใช่หรือเปล่าเนี่ย?
ฉัน! อยากได้รางวัล!! ถ้าไม่ห่วงในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็ช่วยจ่ายเงินมาสิ ไม่เข้าใจหรือไงเจ้าทึ่ม?!
“คุณฉิน การรายงานของคุณนั้นมีความสำคัญกับงานวิจัยของเราเป็นอย่างมาก!” ศาสตราจารย์ยวีสูดหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนจะลากฉินเย่ให้เดินไปพร้อมกัน
เขาพูดต่อว่า “ทันทีที่เราทำงานวิจัยนี้สำเร็จ พวกเราทุกคนจะได้รับตราความดีขั้นที่ 2 เลยนะ…ผมกำลังพูดถึงสิทธิพิเศษสี่ประการ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เห็นชื่อของคุณอยู่ในนั้นเช่นกัน”
ฮะ?
ฉินเย่พยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมของผู้เฒ่ายวีอย่างสุภาพและกระแอมด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น “ไม่ต้องห่วงครับ! มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นโดยละเอียด!”
น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและแน่วแน่
“แต่ร่างกายของคุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ผู้เฒ่ายวีถามอย่างกังวลหลังจากที่ก้าวไปได้เพียงสองก้าว ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้
“ผมมักจะสู้เพื่อนโยบายสี่ทันสมัยของแผ่นดินจีนอยู่เสมอ! [1] การบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจะทำอะไรผมได้ล่ะครับ?!” ฉินเย่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่และตรงไปตรงมา
ศาสตราจารย์ยวีปรับระดับกรอบแว่นตาของตัวเองและเดินนำออกไปนอกพื้นที่ปิดล้อม
“คุณนี่น่าตกใจจริง ๆ…” หลินฮั่นและซู่เฟิงรีบเดินตามไปติด ๆ หลินฮั่นจองมองฉินเย่ราวกับตัวเองเพิ่งเห็นผี
“คุณรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร? คุณกล้าพูดกับผู้เฒ่ายวีแบบนั้นได้ยังไงกัน? จะเชื่อหรือเปล่าหากผมบอกว่าเขามีอำนาจที่จะไล่คุณออกจากสำนักฝึกตนแห่งแรกได้โดยแต่การโทรเพียงครั้งเดียว? คุณไม่สามารถสอนคนอื่นได้โดยที่มีทัศนคติแย่ ๆ แบบนี้ เข้าใจหรือเปล่า?”
“เขาเป็นใครเหรอ?” ฉินเย่ค่อนข้างตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “แต่จะว่าไป พวกคุณมาที่นี่ทำไมเนี่ย?”
“หึหึ ผมว่าแล้วว่าคุณต้องยังไม่ได้เข้าไปดูในห้องแชท” ซู่เฟิงกลอกตาใส่อีกฝ่าย “ลองดูเองเถอะ”
ผู้เฒ่ายวีได้เข้าไปในรถแล้ว และเขาก็กำลังหารือหรืออธิบายบางอย่างกับชายในชุดปฏิบัติการสีขาวคนอื่น ๆ เจ้าหน้าที่หลายคนเองก็เริ่มลงไปในหลุมอย่างเป็นระเบียบ หลังจากที่ได้ตรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอีกครั้งฉินเย่ก็เปิดแอปดูในท้ายที่สุด
แอปก็แทบจะระเบิดในทันที
กลุ่มแชทของเหล่าอาจารย์ของสำนักฝึกตนแห่งแรกปีการศึกษา 2018 ได้ระเบิดด้วยข้อความจำนวนมาก
เขาเลื่อนดูข้อความมากมายก่อนจะที่จะไปถึงข้อความที่กระตุ้นคนทั้งหมด และข้อความแรกก็เพิ่งถูกส่งมาเมื่อสิบนาทีที่แล้วเท่านั้น
โจวเซียนหลง: “อาจารย์ S9527 – เป็นบุคคลแรกที่ทำภารกิจระดับ C ‘เขตไล่ล่าที่สาบสูญ’ ได้สำเร็จ + 20 คะแนนการสอน และอีก 5 คะแนนการสอนสำหรับความสำเร็จแต่ละอย่างต่อไปนี้ เป็นบุคคลแรกที่ทำภารกิจสำเร็จ และความยากของภารกิจ”
“ตอนนี้ S9527 มีคะแนนการสอนทั้งสิ้น 40 คะแนน อันดับ: สูงสุดของตารางจัดอันดับ”
“ขอให้ทุกคนพยายามตั้งใจมากกว่านี้”
ข้อความที่ถูกส่งต่อมาหลังจากนั้นได้ระเบิดอย่างบ้าคลั่ง!
ตอนนี้เป็นเวลาตี 4 แต่ผู้ฝึกตนพวกนี้กลับพูดคุยกันราวกับแมลงวันที่ไม่จำเป็นต้องพักผ่อนในเวลากลางคืน
“จริงเหรอ?! นี่เพิ่งแค่วันแรกเท่านั้น แต่กลับมีคนที่ได้คะแนนการสอนถึง 40 คะแนน? S9527 เขาเป็นปีศาจหรือเปล่าเนี่ย?!” — A5423
“จะบ้า…ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามอย่างหนักในการทำภารกิจระดับ D แถมตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าควรเริ่มตรงไหน แต่กลับมีใครบางคนทำภารกิจระดับ C สำเร็จแล้วเนี่ยนะ? ผมถึงกับทรุดเข่าลงกับพื้นตอนที่อ่านแชทกลุ่มเลยนะ!” —B0769
“ผมขอนมัสการคุณเลย…สาขาการต่อสู้นี่โชคดีจริง ๆ ที่มีคนแบบเขา อยากจะรู้จริง ๆ ว่านักเรียนระดับไหนที่จะได้อยู่ภายใต้การดูแลของเขา? ผมเริ่มรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดีเกี่ยวกับคะแนนการสอนในภาคการศึกษาที่จะมาถึงเสียแล้ว…นอกจากนี้ ผมคิดว่าคนแบบนี้สมควรที่จะถูกตัดออกจากการเป็นอาจารย์ไปซะ! เขาควรไปสู้กับพวกผู้ที่อยู่ขั้นยมทูตขาวดำแทน!” —A6859
“เงียบ!” โจวเซียนหลงระงับข้อความที่จะถูกส่งเข้ามาในกลุ่มทั้งหมดและส่งข้อความมาเพิ่มอีกว่า “ในตอนแรกภารกิจระดับ C นั้นคาดว่าจะใช้เวลาในการทำทั้งสิ้น 15 วัน แต่เนื่องจาก S9527 ได้ทำภารกิจสำเร็จเร็วเกินไป ทำให้เงื่อนไขบางอย่างได้มีการปรับเปลี่ยนไป”
“ประการแรก อาจารย์ทุกท่านที่ได้รับภารกิจระดับ C สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจาก S9527 ได้ เนื่องจากระดับของภารกิจไม่ได้กำหนดอันดับสูงสุดในตารางจัดอันดับอีกต่อไป”
“ขอย้ำอีกครั้งว่าในอีกสองเดือนหลังจากนี้ อาจารย์คนใดที่ได้คะแนนการสอนไม่ถึง 60 คะแนนจะต้องถูกบังคับให้ลาออก คุณไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสอนในสำนักฝึกตนแห่งแรก ประการที่สอง…”
“อาจารย์คนใดที่ได้คะแนนการสอนมากกว่า 90 คะแนนจะมีคุณสมบัติที่จะได้เป็นอาจารย์ดีเด่นของสำนักฝึกตนแห่งแรกของเรา”
“และเมื่อระยะเวลาฝึกอบรมสองเดือนจบลง รองผู้อำนวยการหลี่จะประกาศสิทธิประโยชน์และสิทธิพิเศษสำหรับแต่ละตำแหน่งและอันดับของทางสำนัก ทุกๆท่าน…โปรดคว้าโอกาสของตัวเองเอาไว้ให้ดี เวลา…ได้เหลือน้อยลงเต็มทีแล้ว”
[1] นโยบายสี่ทันสมัยคือนโยบายที่ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปีค.ศ. 1977 เพื่อที่จะปฏิรูปด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การป้องกัน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ