ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 123: การเลียของสุนัขนามฉินเย่ (2)
บทที่ 123: การเลียของสุนัขนามฉินเย่ (2)
“คุณไปเรียนเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหนกัน?” ผู้เฒ่ายวีเปิดฝาถ้วยน้ำชาและถามออกมาอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
ฉินเย่ยิ้ม “ผมเป็นเด็กกำพร้าครับ เลยได้เดินทางไปที่ต่าง ๆ มาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะว่าผมเกิดมาพร้อมกับดวงเนตรแห่งนรก [1] ผมเลยได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างจากการเดินทาง คำว่า ‘วิญญาณแห่งฝันร้าย’ คือคำที่ผมคิดขึ้นมาเองเพราะว่า….มันน่ากลัวราวกับฝันร้าย ที่แพร่หลายและไม่มีรูปร่าง
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ และหลับตาลงราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำที่นานแสนนาน “มีครั้งหนึ่ง ตอนที่ผมอยู่ที่หลุมหลบภัยทางอากาศที่พวกคนจรจัดและคนเร่ร่อนมารวมตัวกัน ตอนนั้นผมยังเด็กมากและหวาดกลัวเกินกว่าที่จะเข้าสู่ห้วงนิทรา ซึ่งมันก็เป็นตอนนั้นเองที่ผมพบว่า…มันยังมีคนอีกคนหนึ่งที่มีปัญหาในการนอนหลับเช่นกัน อันที่จริงต้องพูดว่าเขามักจะฝันร้ายซ้ำ ๆ มากกว่า”
“ทุกครั้งที่เขาตื่นขึ้นมา เขาจะตะโกนเสียงดังว่า ‘มีผี…มีผีกำลังจะตามมาฆ่าฉัน!’ หลังจากนั้นร่างกายของเขาก็เริ่มซูบผอม คุณอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่คนเร่ร่อนอย่างพวกเราใช้ชีวิตกันแบบหาเช้ากินค่ำ และไม่มีใครว่างมากพอที่จะใส่ใจคนอื่นได้นัก แม้กระทั่งพวกเราต้องคอยระวังไม่ให้ใครมาแย่งอาหารไปด้วยซ้ำ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผม…ถึงหลบซ่อนตัวดีมาก มากจนมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเปิดเผยตำแหน่งของผมได้”
ผู้เฒ่ายวีมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างครุ่นคิด “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงนึกถึงหลุมหลบภัยอย่างนั้นเหรอ?”
“หลุมหลบภัยแห่งนี้ถูกสร้างมานานมากแล้ว มันไม่ได้มีบันทึกอยู่ในแบบแปลนของอาคารจากเมื่อ 30 ปีก่อนด้วยซ้ำ นอกจากนี้ หลุมหลบภัยพวกนี้ยังอยู่ลึกลงไปจากพื้นดินถึง 12 เมตร ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับปกติ มันอาจจะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของคนจีนก็เป็นได้ และนี่ก็คงจะเป็นเหตุผลว่าทำไมที่ผ่านมาพวกเราถึงไม่ค้นพบถึงการมีอยู่ของมัน”
ฉินเย่ไม่คิดเลยว่าความเก่งกาจในการหลบซ่อนตัวของเขาจะสามารถช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดที่อาจเกินขึ้นในเรื่องที่เขาเล่าได้ เขาจึงกลบเกลื่อนมันไปว่า “กลับมาต่อจากที่ผมพูดค้างไว้เถอะครับ…ผมใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนกระทั่งวันแห่งชะตากรรม วันที่ความตายของคนเร่ร่อนคนหนึ่งได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชุมชนเล็ก ๆ ของเรา”
“บนร่างของชายคนนั้นมีรอยของการถูกแทงด้วยมีดอยู่หลายจุด มันเป็นโศกนาฏกรรม แต่แม้ว่าจะเกิดเรื่องนั้นขึ้น หลุมหลบภัยแห่งนี้ก็ดีเกินกว่าที่จะปล่อยไปได้ง่าย ๆ ไม่มีใครอยากจะออกจากที่นั่นเลยสักคน ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่จัดการศพเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ใช้ชีวิตอยู่ในนั้นต่อไป”
เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าจนลึกสุดปอดก่อนจะเอ่ยต่อว่า “และนั่น….ก็คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง”
“ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มันก็มีคนเสียชีวิตทุกวันเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน! ตอนนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะออกมาจากที่นั่นทันที แต่ขณะที่ผมกำลังจะจากไป ผมก็เห็นผู้ชายที่ฝันร้ายเดินมาข้างกองไฟ”
“ทุกคนต่างตื่นตระหนกเกินกว่าที่จะให้ความสนใจกับเขา แต่ผมเห็นมัน…” ฉินเย่กัดฟันแน่น “ผู้ชายคนนั้น…ไม่มีเงา!”
ผู้เฒ่ายวีที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “เงาก็เป็นกุญแจสำคัญในการแยกแยะระหว่างมนุษย์และภูตผี การที่เขาไม่มีเงา…หมายความว่าเขาคือภูตผี เขาคือวิญญาณแห่งฝันร้ายอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ แต่หากมองย้อนกลับไป ดูเหมือนว่ามันจะเกิดมาจากฝันร้ายของคนคนหนึ่ง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงเรียกมันว่าวิญญาณแห่งฝันร้าย อันที่จริง ดูเหมือนว่ามันจะมีบันทึกเกี่ยวกับสิ่งพวกนี้ไว้ในคัมภีร์โบราณครับ ตอนนั้น…ผมเห็นตัวตนของมันด้วยตาของตัวเอง” ฉินเย่กลืนน้ำลายลงคออย่างเป็นกังวล “แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้เท่านั้น!”
ผู้เฒ่ายวีไม่ได้ฟังมันเหมือนกับที่ฟังเรื่องเล่าทั่วๆไป
ตอนนี้ ข้อมูลทุกอย่าง โดยเฉพาะที่ออกมาจากปากของผู้ฝึกตนตรงหน้า เป็นข้อมูลที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับหัวข้อวิจัยของเขา!
“หลังจากที่เดินเตร็ดเตร่ไปอีกสิบเดือน ผมก็กลับไปที่หลุมหลบภัยอีกครั้ง”
“แต่ครั้งนี้…ผมไม่ได้เข้าไปด้านใน” ฉินเย่อดไม่ได้ที่จะชมทักษะในการแสดงของตัวเอง สีหน้าของเขาตอนนี้แสดงออกถึงความหวาดกลัวที่ยังเหลือค้างอยู่จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น “เพราะว่าทันทีที่ผมอยู่ห่างจากหลุมหลบภัยประมาณ 25 เมตร สัญชาตญาณของผมก็ร้องเตือนเสียงทันที บอกให้ผมไม่เข้าไปในนั้น ตอนนั้น ผมมีความรู้สึกว่าการเข้าไปในหลุมหลบภัยจะทำให้ผมต้องตายแน่ ๆ! ยิ่งกว่านั้น….”
จังหวะการหายใจของเขาหนักหน่วงขึ้น “ด้วยตาคู่นี้….ผมเห็นว่ามีดวงวิญญาณหลายสิบดวงลอยอยู่ด้านนอกของหลุมหลบภัย นอกเหนือจากคนที่ได้เสียชีวิตไปแล้วตอนที่ผมออกมาจากที่นั่น มันยังมีดวงวิญญาณของคนอื่นอีก หรือก็คือ…หลุมหลบภัยแห่งนั้นได้กลายเป็นรังของปีศาจที่กลืนกินชีวิตมนุษย์ทุกคน”
“เมื่อกลับมาทวนดูอีกครั้ง ผมค่อนข้างมั่นใจด้วยว่าตัวเองมองเห็นกลุ่มพลังหยินอันหนาแน่นรายล้อมอยู่ที่นั่นด้วย และระดับพลังของมัน….ก็จะต้องอยู่เหนือกว่าขั้นนักล่าวิญญาณอย่างแน่นอน!”
ผู้เฒ่ายวีพยักหน้าอย่างลึกล้ำ แต่ในวินาทีต่อมา ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น จ้องมองคนตรงหน้าอย่างตกตะลึง “คุณกำลังจะบอกว่า…มันคือวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำอย่างนั้นหรือ?!”
“ใช่”
“ในปีเดียวเนี่ยนะ?!” ผู้เฒ่ายวีอ้าปากค้าง “คุณแน่ใจใช่ไหม?!”
“ผมแน่ใจ” ฉินเย่พยักหน้ายืนยัน “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ผมอายุประมาณสิบขวบ มันได้สร้างบาดแผลลึกไว้ภายในใจของผมมาก”
“คุณยังจำได้หรือเปล่าว่าหลุมหลบภัยแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ไหน?” ชายสูงวัยถามต่อ
ฉินเย่เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ มากมายในชั่วชีวิตของตัวเอง และเขาก็ได้คาดเดาถึงทำถามพวกนี้เอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงตอบออกไปทันทีว่า “เมืองซู่ฟาง”
ต่อให้คนพวกนี้จะเดินทางไปที่นั่น พวกเขาก็จะเจอเพียงหลุมหลบภัยรกร้างและร่องรอยการอาศัยอยู่ของเขาในอดีตเท่านั้น
มันคืออดีตในวันที่เต็มไปด้วยเลือด หยาดเหงื่อ และหยดน้ำตาของเขา ก่อนที่เขาจะเปิดกิจการ ‘ร้านชีวิตหลังความตาย’…ย้อนกลับไปในสมัยวันประกาศอิสรภาพ ตอนที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับชัยชนะเหนือพรรคก๊กมินตั๋ง [2]…และเขาก็ได้กลับไปที่นั่นอีกครั้งเมื่อไม่กี่ปีก่อน…
ชีวิตในตอนนั้นช่างน่าเศร้า…
“ด้วยเหตุนี้ หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น…ผมก็รีบวิเคราะห์เหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ตัวเองเคยเผชิญหน้าอีกและตั้งสมมติฐานได้ว่า ยิ่งข้อกำหนดในการเกิดของดวงวิญญาณหยินชนิดนั้นเฉพาะเจาะจงมากเพียงใด พวกมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงรู้สึกว่าทาง SRC นั้นอาจจะไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับหัวข้อวิจัยของคุณมากเท่าที่ควร คุณคงจะเข้าใจดีนะครับว่าวิญญาณร้ายที่อยู่ขั้นยมทูตขาวดำหมายถึงอะไร? หากเรื่องนี้ยังถูกปล่อยทิ้งไว้ เมืองทั้งเมืองอาจจะล่มสลายก็เป็นได้!”
“คุณภาพนั้นสำคัญกว่าปริมาณ!”
เงียบ
ผู้เฒ่ายวีกำลังจมอยู่ในความคิดของตนเอง หากว่ากันตามตรง เขายังดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
สมมติฐานของเขาเพิ่งได้รับการสนับสนุนและยืนยันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้จะยังขาดหลักฐานและการพิสูจน์ในบางประเด็น แต่การได้รับการยืนยันก็ยังหมายความว่าประเทศจีนต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่น่ากลัวว่าที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้!
ชีวิตผู้คนนับล้านอาศัยอยู่ในนครนครหนึ่ง และในเมืองหลวงของมณฑลก็มีประชากรกว่าสิบล้านครัวเรือน! การเกิดวิญญาณร้ายหายากขึ้นในสถานที่ที่ผู้คนหนาแน่นขนาดนี้….
ผลกระทบที่ตามมาคงมิอาจจินตนาการได้!
ยิ่งไปกว่านั้น…เขาเริ่มตัวสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ยิ่งกว่านั้น…หาสมมติฐานของพวกเขาเป็นจริง… วิญญาณที่พวกเขากำลังพูดถึงในตอนนี้มีเพียงแค่สองกลุ่มเท่านั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันยังมีภูตผีที่น่ากลัวกว่านี้อยู่ข้างนอกนั่น? วิญญาณที่เกิดขึ้นจากเงื่อนไขที่เคร่งครัด ที่จะสามารถเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงมากกว่านี้ในท้ายที่สุด
มันถึงเวลาแล้วที่จะจัดตั้งหน่วยจำแนกวิญญาณ…เรื่องนี้ถูกปฏิเสธไปในครั้งที่แล้วที่เขาเสนอเรื่องให้เบื้องบน แต่ครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรทุกอย่างจะต้องจบลง นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว! ด้วยความคิดเหล่านี้ที่หมุนวนอยู่ภายในหัว เขามองไปยังฉินเย่ด้วยรอยยิ้มสดใส “คุณฉิน คุณมีแผนว่าอย่างไรในอนาคต?”
ฉินเย่ได้หวนกลับสู่ความเหนียมอาย ตามแบบของเด็กวัยรุ่นทั่วไปอีกครั้ง และเขาก็ก้มหน้าลงพร้อมกับยิ้มอาย ๆ “ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากครับที่ได้รับเลือกให้มาสอนในสำนักฝึกตนแห่งแรก และผมจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดครับ”
ชายสูงวัยแย้มยิ้ม
ในตระกูลของเขาเองก็มีเด็ก ๆ ที่อายุประมาณฉินเย่ แต่เขากลับพบว่าตัวเองค่อนข้างสนุกที่ได้คุยกับคนตรงหน้ามาก เขานั้นทั้งรู้สึกทึ่งกับความคิดที่แปลกใหม่ของเด็กหนุ่มตรงหน้า และยังมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์และไร้ซึ่งขอบเขตของอีกฝ่ายด้วย
“ผมหมายถึงแผนการหลังจากที่จบจากตรงนี้แล้วน่ะ” ยวีกั๋วฮุยยิ้มอย่างสบาย ๆ “มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เจ้าหน้าที่ระดับ S อย่างคุณจะอยู่ที่สำนักฝึกตนตลอดไป อย่างมากที่สุด คุณก็น่าจะสอนอยู่ที่นี่แค่สองปีเท่านั้น จากนั้นคุณก็จะถูกเรียกตัวกลับไปยังแนวหน้าและทำหน้าที่รักษาการณ์ตามเดิม”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเคยคิดที่จะเข้าทำงานกับทาง SRC บ้างหรือเปล่า?”
“ที่ SRC ของเรามีแผนกพิเศษที่ชื่อว่ากองปฏิบัติการอยู่ เพราะสุดท้ายแล้ว เราก็คงไม่สามารถรบกวนทางหน่วยสอบสวนพิเศษได้ทุกเรื่อง ดังนั้นทาง SRC จึงจัดตั้งกองปฏิบัติการของเราขึ้นมาเอง ตลอดจนกลุ่มผู้ฝึกตนของตัวเองด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น….”
“มีเพียงผู้ที่อยู่ระดับรองศาสตราจารย์เท่านั้นที่จะสามารถรวบรวมกองปฏิบัติการเพื่อหัวข้อวิจัยของพวกเขาได้”
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อคุณมาที่ SRC คุณจะกลายเป็นตัวละครสำคัญที่ยืนอยู่ในแนวหน้าของการต่อสู้กับกองกำลังจากยมโลกทันที!
“บ้าหน่า….” ชายในชุดปฏิบัติการทั้งสามต่างมึนงงจนพูดอะไรไม่ออก
ไม่มีใครคิดว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นแบบนี้!
ฉินเย่ได้พูดเรื่องที่ไม่เคยอยู่ในหัวของพวกเขามาก่อน!
ไม่ว่าจะเป็นสมมติฐานที่ว่า พลังหยินสามารถซุกซ่อนตัวอยู่ภายในสายเลือดของคนได้ ไม่ใช่สิ…พลังหยินนั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์มาโดยตลอด ร่างกายของคนเราถูกสร้างขึ้นจากความสมดุลของทั้งหยินและหยาง อย่างไรก็ตาม แนวคิดที่ว่าพลังหยินที่แอบแฝงอยู่อาจถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยภายนอกนั้นเป็นแนวคิดที่บ้ามาก แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เช่นกัน!
แล้วยังเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณที่เขาตั้งชื่อว่าวิญญาณแห่งฝันร้าย วิญญาณอาฆาตที่สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว จนอาจทำให้กลายเป็นวิญญาณร้ายภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปีนั่นอีก!
และบทสรุปสุดท้ายนั่น…แม้ว่าคำพูดของฉินเย่จะไม่ได้มีน้ำหนักมากนัก แต่เขาก็ยังยืนยันในสมมติฐานของผู้เฒ่ายวีที่บอกว่ามันมีความหลากหลายอยู่ภายในหมู่ดวงวิญญาณทั้งหมดด้วยวิธีของเขาเอง แถมเขายังก้าวไปอีกขั้นด้วยการพูดว่า ยิ่งเงื่อนไขในการเกิดวิญญาณจำพวกนี้ยากมากเท่าไหร่ พวกมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งสามประเด็นนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าฉินเย่นั้นมีทักษะในการสังเกตที่ชาญฉลาด และยังมีความละเอียดรอบคอบในการวิเคราะห์
“ผู้เฒ่ายวีเป็นคนเอ่ยปากเชิญเขาด้วยตัวเอง….” หนึ่งในชายทั้งสามยิ้มออกมาอย่างขมขื่นขณะที่เอ่ยต่อว่า “พวกเราอยู่ที่นี่มาสองสามปีแล้ว…แต่กลับไม่มีใครทำดีพอที่จะได้รับคำแนะนำจากผู้เฒ่ายวีเป็นการส่วนตัวเลยสักคน…แต่ดูเหมือนว่าฉินเย่จะทำได้ดีมากจริง ๆ….”
ซู่เฟิงและหลินฮั่นเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
แม้ว่าหลินฮั่นจะยังไม่เข้าใจนักว่าคำแนะนำที่อีกฝ่ายพูดนั้นหมายถึงอะไร แต่เขาก็รู้ถึงน้ำหนักของคำพูดของผู้ที่เอ่ยออกมาเป็นอย่างดี
“หนึ่งในสามผู้ก่อตั้งของ SRC…นี่เจ้าเด็กนี่โตมาโดยการกินขี้วัวหรือเปล่า? คนเรามันไม่น่าจะสามารถโชคดีขนาดนี้ได้โดยแค่เหยียบก้อนขี้หรอกนะ”
คนทั้งหมดต่างมองภาพที่แสดงอยู่บนหน้าจออย่างเงียบ ๆ ตอนนี้พวกเขาอดรู้สึกอยากเป็นฉินเย่เองไม่ได้เลย ในขณะเดียวกันพวกเขาก็อยากรู้ด้วยว่าฉินเย่จะตอบว่าอย่างไร
“ขอบคุณครับ” ฉินเย่ยิ้ม “แต่โดยส่วนตัวแล้วผมชอบการกำจัดภูตผีและปัดเป่าดวงวิญญาณมากกว่า การทำวิจัยอาจจะไม่เหมาะกับผมเท่าไหร่”
นี่นายล้อเล่นหรือเปล่า?!
เจ้าฮัสกี้ตัวนี้ควรจะเข้าร่วมกลุ่มชั้นยอดในฝูงหมาป่าไม่ใช่เหรอ? อีกฝ่ายเป็นถึงกลุ่มหัวกะทิเชียวนะ!
ฉันล่ะอยากจะฆ่าตัวตายจริง ๆ …
“เข้าใจแล้ว” ยวีกั๋ยฮุยเองก็ไม่ได้กดดันอะไรเช่นกัน เขาได้ทำการละเมิดไปตามกฎโดยการถามฉินเย่ไปตรง ๆ แล้ว เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางที่เขาจะเซ้าซี้ให้อีกฝ่ายเข้าร่วมอีก ชายสูงวัยจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำกว่าเดิม “ถ้าอย่างนั้น คุณมีอะไรที่อยากจะให้ผมช่วยหรือเปล่า?”
เขาล่ะชอบจริง ๆ ที่คนตรงหน้าต้องการจะตอบแทนน้ำใจของเขาทันทีแบบนี้!
ฉินเย่ยิ้ม “ตอนนี้ยังไม่มีครับ…”
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะจัดส่งวิดีโอไปที่เมืองเยียนจิงทันที เราไม่อาจรั้งตัวคุณไว้นานกว่านี้อีกแล้ว” ผู้เฒ่ายวีลุกขึ้นและส่งแขกของตนด้วยประโยคที่เรียบง่าย
หมายความว่ายังไง?
คุณช่วยรอฟังคนอื่นพูดให้จบก่อนไม่ได้หรือไง?
ฉินเย่รู้สึกว่าหัวใจของเขาแข็งกระด้างขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถามซ้ำอีกทีน่ะ! คุณเคยได้ยินหรือเปล่า? นี่มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของคนจีนไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่ว่าคุณควรถามเป็นครั้งที่สองก่อนแล้วค่อยยืนยันหรือไง? แล้วตอนนั้นถึงจะเป็นตอนที่ผมพูดถึงปัญหาที่ตัวเองประสบอยู่ในตอนนี้!
ทำไมถึงไม่ทำตามแบบที่มันควรจะเป็น!
“เอ่อ…อันที่จริง…มันมีอยู่เรื่องหนึ่ง ถ้าผม…” หลังจากสบถและก่นด่าอยู่ภายในใจสักพักใหญ่
เขาก็พยายามแย้มยิ้มออกมา “คืออย่างนี้ครับ ตอนนี้พวกเราจะต้องทำการสอนทันทีหลังจากที่เปิดภาคเรียน และอย่างที่คุณก็เห็น ตัวผมเองนั้นยังค่อนข้างเด็กมาก แม้ว่าผมจะมีประสบการณ์ที่สามารถแบ่งปันกับนักเรียนในห้องได้ แต่ผมก็กังวลว่าผมอาจจะไม่สามารถควบคุมพวกเขาได้ หากคุณพอมีเวลา ผมอยากจะขอให้คุณช่วยไปดูการสอนของผมและช่วยชี้แนะแนวทางให้น่ะครับ”
“ไอ้เด็กเวร!!!” ซู่เฟิงและหลินฮั่นต่างสบถออกมาพร้อมกัน
ยางอายล่ะ?!
ยางอายบนหน้าของนายมันหายไปไหน?!!
เมื่อครู่นี้นายเพิ่งพูดไปว่าไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรไม่ใช่เหรอ? แล้วตอนนี้กลับกลับคำเนี่ยนะ?! ยางอายบนหน้าของนายมันถูกหมากินไปแล้วหรือไง?!
“ไอ้เด็กนี่…” ริมฝีปากของหลินฮั่นสั่นระริก “ทุกคนต่างก็ต้องทำการสอนสดนี่เหมือนกันไม่ใช่หรือไง?! นี่นายจะโกงเหรอ!!!”
ซู่เฟิงเองก็โกรธไม่แพ้กัน แค่การที่นายได้ก้าวเข้ามาอยู่ในอันดับครูผู้สอนที่โดดเด่นภายในคืนเดียวมันยังไม่พออีกหรือไง? นี่นายถึงกับเตรียมการล่วงหน้าสำหรับการเปิดภาคเรียนที่กำลังจะมาถึง…ไม่สิ นายวางแผนที่จะเริ่มต้นที่เส้นชัยเลยหรือยังไง?!
การแข่งขันที่ยุติธรรมอยู่ที่ไหนกัน?
เกิดอะไรขึ้นกับความไว้วางใจและข้อตกลงระหว่างเรา?
นี่นายไม่คิดจะรอพวกเราบ้างหรือไง?
“การมาเยี่ยมของผู้เฒ่ายวี…จะต้องได้รับความสนใจจากทั้งอาจารย์ใหญ่และหัวหน้าสาขาของพวกเราทุกคนแน่ ๆ…” กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าของซู่เฟิงกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้
“และถ้าผู้เฒ่ายวียอมตกลงที่จะไปเข้าร่วมฟังการบรรยายของเขา มันก็ไม่สำคัญแล้วว่าฉินเย่จะพูดเรื่องไร้สาระอะไรขณะชั้นเรียนของเขา ทางสำนักจะต้องกัดฟันประเมินการสอนของเขาให้อยู่ในระดับสูงอยู่ดี! เพราะหาพวกเขาพูดตำหนิอะไรออกมา มันก็หมายความว่าพวกเขาไม่ได้ชื่นชมหัวข้อในการวิจัย อีกทั้งยังหมายถึงพวกเขาไม่เคารพศูนย์วิจัย SRC ด้วย… นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน…หลินฮั่น ไปกันได้แล้ว!!”
“หะ? แล้วพวกเราไม่รอถามเขาเรื่องภารกิจของ ‘เขตไล่ล่าที่สาบสูญ’ แล้วหรือไง?” หลินฮั่นไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้ทัน
“มีอะไรให้ต้องถามอีกล่ะ?!” ซู่เฟิงไม่สามารถระงับความโกรธที่พวยพุ่งภายในใจและความต้องการที่จะตบหน้าฉินเย่ได้อีกต่อไป สำหรับเขา…คืนนี้สามารถอธิบายได้ว่าเป็นคืนแห่งการเรียนรู้ถึงนิสัยเสียของฉินเย่ในทุก ๆ ด้าน
เขาตะโกนออกมาด้วยใบหน้าที่แทบจะไร้สีเลือด “กลับไปเตรียมการสอนได้แล้ว!!”
“อย่างนั้นมันก็น่าจะได้เกิน 100 คะแนนหากเราเตรียมการสอนทั้งหมดอย่างจริงจัง ถ้าเรายังคงอยู่ที่นี่ต่อละก็…หึหึ…นายอยากจะให้เจ้าเด็กนี้วิ่งนำหน้าเราไปแบบนั้นหรือไง?”
[1] ความสามารถที่สามารถมองเห็นหรือรับรู้ถึงวิญญาณหรือสิ่งเหนือธรรมชาติที่คนปกติทั่วไปมองไม่เห็น
[2] ประมาณปีค.ศ. 1949