ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 126: เมื่อนรกปรากฏขึ้นอีกครั้ง
บทที่ 126: เมื่อนรกปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“ลองพูดดูสิ เจ้าตายแน่” ดวงตาของฉินเย่กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง และเอ่ยนิ่ง ๆ ว่า “ปล่อยเขา”
เขารู้ดีว่าไม่ว่าเขาจะมีภาพลักษณ์แบบใดในแดนมนุษย์ แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่…เขาจะมีเพียงภาพลักษณ์เดียวเท่านั้น
ซึ่งก็คือภาพลักษณ์ของความเย็นยะเยือก
ยุติธรรมและซื่อตรง
นี่คือนรก
จุดจบของบาปกรรมทุกรูปแบบ และจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่
นี่คือสถานที่ซึ่งวัฏจักรของชีวิตวนมาบรรจบ และมันยังเป็นดินแดนแห่งการพิพากษาอีกด้วย
ในฐานะของผู้ปกครองหนึ่งในสามโลก ฉินเย่รู้ดีว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้ผู้อื่นจดจำเขาในภาพลักษณ์ที่สบาย ๆ ได้ เขาคือพระเจ้าของโลกนี้ และพระเจ้าก็ไม่จำเป็นจะต้องมีอารมณ์ความรู้สึก
ซูตงเซวี่ยผละถอนริมฝีปากของตัวเองออกจากนักศึกษาหนุ่มอย่างไม่เต็มใจนัก นางแลบลิ้นเลียปากของตัวเองอย่างยั่วยวน ราวกับในหัวของนางยังคงจมอยู่กับช่วงเวลาแห่งความหลงใหลนั้น นักศึกษาหนุ่มอ้าปากและหอบอย่างหนักขณะที่ใช้แขนของตนพยุงตัวขึ้นจากพื้น
ไม่ชัดเจนนักว่ามันเกิดจากความกลัว ความวิตกกังวล หรือเพียงเพราะเขายังไม่ตื่นจากภวังค์กันแน่
เพียงเมื่อเท้าคู่หนึ่งหยุดลงตรงหน้าของเขาเท่านั้นเขาจึงยืดตัวตรงราวกับมีคลื่นกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่าง
“นะ นะ นะ นาย…นายท่าน…” เสียงที่เอ่ยออกมานั้นสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ขาทั้งสองข้างของเขาไร้เรี่ยวแรงและชาจนไม่รู้สึก “ผะ ผะ ผะ ผม….”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว เพราะว่ามีเรื่องด่วนที่ต้องไปจัดการ ข้าจึงมาช้าเล็กน้อย” ฉินเย่เอ่ย “เมื่อครู่นี้เจ้าจะพูดอะไร?”
ทันทีที่ได้ยินคำถาม ขาของนักศึกษาหนุ่มก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะยืนอีกต่อไป เขาทรุดลงกับพื้น…ดวงตาเหลือกขึ้น หากวิญญาณสามารถเป็นลมได้เขาก็คงจะหมดสติไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
น่าเศร้าที่มันไม่เป็นแบบนั้น
เขายังคงมีสติดี
อันที่จริง เขาตกใจมากที่ผู้หญิงแปลกหน้าที่ขโมยจูบแรกของเขาไปกำลังพยุงเขาด้วยท่าทางที่น่าสงสัย ทำให้ตอนนี้เขาเหมือนจมเข้าไปในอ้อมกอดเธอไม่มีผิด
“นะ นะ นะ นาย…นายท่าน…” มันใช้เวลาสักพักก่อนที่เขาจะสามารถรวบรวมแรงและยืนขึ้นด้วยตัวเองได้ ด้วยฟันที่กระทบกันไม่หยุด เขาเอ่ยว่า “ท่านจะไปที่นั่นไม่ได้นะ!”
“ท่านลองมองดูก่อนเถอะ” เขาชี้ไปที่กำแพงแสง “ท่านไม่สามารถสู้กับคนพวกนั้นได้แน่”
ฉินเย่มองไปยังทิศทางที่นักศึกษาหนุ่มชี้ไปก่อนจะหรี่ตาเพื่อเพ่งดู
กลุ่มวิญญาณกลุ่มหนึ่งกำลังยืนขวางทางอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของถนน
หัวหน้าของพวกนั้นคือชายร่างสูงที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ใบหน้าของเขาดูน่ากลัว และเขายังสวมเครื่องแบบนักโทษอีกด้วย รอบ ๆ กันนั้นมีชายอีกสี่คนที่แต่งกายเหมือนกัน ทั้งหมดล้วนหัวโล้น เขาสามารถบอกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเลยว่าพวกเขาไม่มีเจตนาดีเลยสักนิด ยิ่งกว่านั้นยังมีกลุ่มคนอีกประมาณร้อยคนยืนอยู่รายล้อมนักโทษพวกนั้น บางคนดูเหมือนกับวัยรุ่นที่ชอบแหกกฎ บางคนดูเหมือนกับคนเร่ร่อนว่างงาน ในขณะที่คนอื่น ๆ เป็นเพียงชายฉกรรจ์ที่ไม่แสดงออกสีหน้าท่าทางอะไร
มีพื้นที่ว่างที่กว้างประมาณสิบกว่าเมตรถูกเว้นอยู่รอบ ๆ คนทั้งหมด ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้พวกเขาเลยสักนิด
“มาที่ยมโลกโดยสวมชุดนักโทษ….คนพวกนี้คือนักโทษประหารสินะ?” ฉินเย่หัวเราะอย่างเย้ยหยันพร้อมกับพึมพำออกมา
“ถูกต้องแล้วนายท่าน” นักศึกษาหนุ่มตอบด้วยความเคารพ “ท่านคงจะยังไม่เห็นข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้สินะ? เมื่อสามวันก่อนเมืองไดซานได้มีคำสั่งประหารชีวิตผู้กระทำผิดกลุ่มหนึ่ง แก๊งเกาเจียทั้งกลุ่มที่สร้างความเดือดร้อนให้กับชุมชนโดยรอบ จนต้องถูกตัดสินประหารชีวิต ผมไม่คิดเลย…ว่าพวกเขาจะมาอยู่ที่นี่”
ดวงตาของฉินเย่ฉายแววเย็นชา ความจริงที่ว่าชายพวกนี้ถูกตัดสินประหารไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก แต่การปรากฏตัวของคนพวกนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้อีกหลายอย่างที่จะมาถึงในอนาคต! กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การหายไปของกงล้อแห่งสังสารวัฏและนรกทั้ง 18 ขุมนั้นเป็นตัวแปรขนาดใหญ่และเป็นแหล่งที่มาของความขัดแย้ง!
ใครจะสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะมีอาชญากรอีกกี่คนที่มาที่ยมโลกในอนาคต?
“พูดสิ่งที่เจ้ารู้มา” เด็กหนุ่มเอ่ย
นักศึกษาตรงหน้าพยักหน้าและเอ่ยต่อ “แก๊งเกาเจีย…เมื่อมาคิดดูแล้ว แม้แต่ที่มาของชื่อของพวกเขาก็ค่อนข้างน่าขบขัน มันคือชื่อที่พวกเขาคิดขึ้นมาด้วยตัวเอง บางทีอาจจะเป็นผลของการยุ่งอยู่กับพวกอันธพาลมากเกินไป ลุงของเขาได้เริ่มต้นด้วยการเป็นมาเฟียในชุมชน และจากนั้นจึงเลื่อนตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าเขตแห่งหนึ่ง นั่นคือสิ่งที่ทำให้หัวหน้าแก๊ง เกาต้าหู สร้างชื่อให้กับตัวเอง และเมื่อเวลาผ่านไป ธุรกิจของพวกเขาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเขาก็ได้ก่อตั้งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เถิงหลงขึ้นมา และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นทางธุรกิจที่แท้จริงของแก๊งเกาเจีย…”
“ข้าได้ยินมาว่า…วิธีการของพวกเขานั้นโหดเหี้ยมมาก การหักแขนหักขามีให้เห็นแทบทุกวัน มันเป็นเหมือนกับโรคระบาดที่แพร่กระจายจากหมู่บ้านโดยรอบเข้าสู่ในกลางเมือง เพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายของข้าทั้งหมดต่างเคยได้ยินชื่อของแก๊งเกาเจีย
ในตอนนั้นทุกคนต่างยืนยันว่าพวกเขารู้จักแก๊งเกาเจียอย่างดี คนพวกนั้นอาจจะดูดี แต่จริง ๆ แล้วก็เป็นเหมือนกับกลุ่มอันธพาลกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แทบจะเหมือนกับเรื่องเรียกเขาว่าอีกาไม่มีผิด [1] พอลองมองย้อนกลับไป พวกเราโง่เง่าและเด็กเกินไปจริง ๆ”
เขาเกาศีรษะอย่างเขินอาย ฉินเย่หัวเราะ “แก๊งเกาเจีย…ไม่มีทางที่พวกมันจะสามารถสร้างแก๊งอาชญากรขึ้นมาบนผืนแผ่นดินจีนได้ คำพูดพวกนั้นก็เป็นเพียงการคุยโวโอ้อวดเท่านั้น”
เด็กหนุ่มเหลือบไปมองนักศึกษาหนุ่ม “ตั้งใจทำงาน และบอกข้าหากเจ้าต้องการจะติดตามนาง”
นักศึกษามองซูตงเซวี่ยอย่างหวาดกลัว เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของหญิงสาว เขาก็แทบจะเป็นลมหมดสติลงไปตรงนั้น ชายหนุ่มรีบส่ายศีรษะ
“นายท่าน…ผมขอติดตามท่านแทนได้หรือไม่?”
ฉินเย่ “???”
“เกี่ยวกับเรื่องที่ท่านว่า….” นักศึกษาหนุ่มเอ่ยอย่างเจื่อน ๆ “ผมตายแล้ว…”
นี่เจ้ากำลังมองหาผู้สนับสนุนที่มั่นคงอย่างนั้นหรือ?
พวกเรารู้จักกันดีขนาดนั้นแล้วหรืออย่างไร?
นักศึกษาหนุ่มกระแอมออกมาแห้ง ๆ “แฟนหนุ่มของผมจะต้องเสียใจมากแน่ ๆ…ท่านช่วยเมตตาผม ส่งข้อความให้เขาผ่านความฝันได้หรือไม่? ท่านเป็นยมทูตไม่ใช่เหรอ?…ผมเคยเห็นจากในละครโทรทัศน์”
ฉินเย่ “?!!”
เดี๋ยวก่อนนะน้องชายหมายความว่าอะไรกันแน่…เจ้ามีแฟนแล้ว?! แสดงว่าตอนที่เจ้าผลักร่างของนางก่อนหน้านี้ เจ้าก็ปฏิเสธมันทั้งกายและจิตใจเลยอย่างนั้นสินะ?
รอยยิ้มของซูตงเซวี่ยแข็งค้างไป ไม่กี่วินาทีต่อมานางก็พึมพำอย่างเย็นชาว่า “พอกันที”
“หะ?” ฉินเย่ไม่เข้าใจเลยว่าหญิงสาวหมายถึงอะไร “ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการตักตวงผลประโยชน์ให้เต็มที่ก่อนอย่างนั้นหรือ?”
ซูตงเซวี่ยหมุนตัวและเอ่ยลอดไรฟัน “ไม่….ข้าเกรงว่าตัวเองจะไม่สามารถหลอกล่อเขาได้สำเร็จ….”
ฉินเย่ยักไหล่ เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการมีนักศึกษาหนุ่มติดตามไปด้วยอยู่แล้ว
ที่เขามาที่นี่วันนี้ก็เพื่อสำแดงความยิ่งใหญ่ของตัวเองเท่านั้น
วิญญาณที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่จะนั่งอยู่บนต้นไม้หรือไม่ก็นั่งอยู่กับพื้น มีไม่มากนักที่ยังยืนอยู่ ฉินเย่ยืดตัวขึ้นและเดินตรงไปที่ประตูนรก ที่ซึ่งมีกำแพงแสงและแก๊งเกาเจียยืนอยู่ สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ร่างของเขาทันที
พวกที่พิงต้นไม้ยืดตัวตรง ขณะพวกที่อยู่บนพื้นในตอนแรกพากันลุกขึ้น สีหน้าเซื่องซึมเมื่อครู่พลันหายไป
เมื่อฉินเย่เดินไปถึงปลายสุดของทางเดิน เหล่าผู้อยู่วงนอกของแก๊งเกาเจียก็เปิดทางให้เขาอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขาเดินผ่านกลุ่มคนทั้งหมด เหล่าสมาชิกของแก๊งทุกคน นอกจากพวกที่อยู่กลางวงแล้ว ต่างก็มองเขาด้วยสายตาเหมือนกับงูพิษที่พร้อมจะจู่โจมอยู่ตลอดเวลา
“หยุดก่อน…” ในขณะที่เขาเดินผ่านวงนอกและก้าวเข้าไปในพื้นที่ว่างระหว่างกลุ่มผู้ติดตามและหัวหน้าของกลุ่มเกาเจียง ชายร่างผอมคนหนึ่งก็เดินมาหยุดเขาเอาไว้และเอ่ยว่า “น้องชาย นายคิดว่าตัวเองกำลังจะเดินไปที่ไหนกัน?”
ฉินเย่หัวเราะออกมา
“พอดีเจ้าหน้าที่ผู้นี้มาถึงช้าไปเล็กน้อย….” ฉินเย่เอ่ยอย่างสบาย ๆ ขณะที่เอามือไพล่หลังและมองไปรอบ ๆ “ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีดวงวิญญาณมาถึงที่นี่มากมายขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ ทั้งที่ข้าคิดว่าทางเข้าสู่สถานที่แห่งนี้นั้นถูกซ่อนจากสายตาของมนุษย์ได้แล้วเชียว”
“ฮะ…”
“อะไรนะ…เจ้าหน้าที่?”
“เขาคือ…เจ้าหน้าที่ของที่นี่อย่างนั้นเหรอ?!”
“ยมทูต? ยมทูตในตำนานเนี่ยนะ? ยมทูตหัววัวหน้าม้า? ยมทูตขาวดำใช่ไหม?”
ชายร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายของประตูนรก ลุกขึ้นยืนยันทันทีเมื่อได้ยินเสียงแตกฮือของผู้ตน แต่ทันทีที่เขาเห็นว่าฉินเย่นั้นมาที่นี่เพียงตัวคนเดียว และดูเหมือนจะเป็นเพียงวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนจากตกใจอย่างรุนแรงไปเป็นสงบนิ่งทันที
“แกน่ะเหรอ?” ในขณะที่ชายหัวโล้นทั้งสี่ยังคงอ้าปากค้าง ชายร่างใหญ่เพียงหันไปแสยะยิ้มให้กับฉินเย่ “ผู้ที่รับผิดชอบที่นี่? ยมทูตยังนั้นเหรอ?”
ฉินเย่ยิ้มบางและพยักหน้า
ชายร่างใหญ่จ้องมองคนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น จากนั้นเขาจึงเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าของฉินเย่ราวกับภูเขาสูง “ไอ้หนู แกคิดว่าฉันโง่มากใช่ไหม?”
ฉินเย่ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า ก่อนจะเมินชายร่างใหญ่และหมุนตัวกลับไปอีกทางรอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันหายไป เมื่อกวาดสายตาไปมองเหล่าวิญญาณโดยรอบ หลังจากนั้น เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอันทรงพลัง
“ทุกท่าน…ยินดีต้องรับสู่นรก”
ฮือฮา!!
ไม่มีวิญญาณดวงใดที่อยู่ห่างออกไปสามารถมองเห็นได้ว่ามันกำลังเกิดสิ่งใดขึ้นที่หน้าประตูนรก พวกเขาสัมผัสได้เพียงความร้อนและความตึงเครียดที่ปะทุขึ้น คำประกาศของฉินเย่นั้นดังก้องไปทั่วทุกตารางนิ้วของพื้นที่ราวกับเสียงระฆังที่ดังก้อง ทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบภายในนรกลงในทันที
“นะ นะ นี่มัน…” ชายสูงวัยถือไม้เท้าคนหนึ่งจับจ้องไปที่ร่างของฉินเย่ด้วยปากที่อ้าค้าง ร่างของเขาสั่นเทา “เจ้าหน้าที่คุมกฎของนรกมาถึงแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ยมทูตขาวดำ? ยมทูตหัววัวหน้าม้า?” วิญญาณของชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึงขณะที่ถอยหลังไปชนกับต้นไม้ คนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบเองก็พากันถอยห่างตามสัญชาตญาณของตน
“พวกเขามาแล้ว….ในที่สุดพวกเขาก็มา!”
“ใช่เขาหรือ? แต่เขาดูไม่ต่างอะไรกับเด็กนักเรียนบนโลกมนุษย์เลยนะ…”
“ขะ เขาคือยมทูตอย่างนั้นเหรอ? ละ…แล้วที่นี่มีขุมนรกทั้ง 18 ขุมจริง ๆ หรือเปล่า?”
สีหน้าของ เกาต้าหูเปลี่ยนไปทันที เมื่อครู่นี้เขาไม่เชื่อมันเลยสักนิด แต่หลังจากที่ฉินเย่ได้ประกาศอำนาจของตนไปแบบนี้ เขายังจะสามารถเชื่ออย่างนั้นได้อยู่อีกหรือ?
สถานที่แห่งนี้นั้นกว้างใหญ่นัก เขาจะสงสัยในอำนาจของฉินเย่ได้อย่างไรเมื่ออีกฝ่ายสามารถทำให้เสียงของตัวเองดังไปทั่วทุกตารางนิ้วของที่นี่ได้?
พรึ่บ…ฉินเย่ตกเป็นเป้าสายตาในทันที ไม่มีใครกล้าก้าวเข้ามาใกล้เขาเลยแม้แต่ก้าวเดียว วิญญาณนับหมื่นอ้าปากค้างอย่างพร้อมเพรียงกัน การอ้าปากค้างอาจจะเบาและไม่ได้ยิน แต่เสียงร้องที่ตามมานั้นกลับทำให้หูแทบแตก!
ในขณะนี้ ดวงวิญญาณทั้งหมดเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าพวกเขาได้ตายไปแล้ว
“พวกเจ้าช่างโชคดียิ่งนัก แต่ก็โชคร้ายจนน่าเหลือเชื่อเช่นกัน” ฉินเย่หันกลับมามองเกาต้าหูและลูกน้องของอีกฝ่าย
ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “นรกแห่งเกาได้ล่มสลายไปเมื่อครั้งที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้ตรัสรู้ พระตำหนักทั้งสิบ ขุมนรกทั้ง 18 ขุม และกงล้อแห่งสังสารวัฏได้หายไปทั้งหมด และมันก็คือเหตุผลว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงยังมีความทรงจำจากชาติสุดท้ายของตนเองหลงเหลืออยู่ และข้าก็คือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้สร้างนรกขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ต้น ตอนนี้จึงมีข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นข้าจะพูดสั้น ๆ ที่นี่มีกฎเพียงข้อเดียวเท่านั้นที่พวกเจ้าต้องจำให้ขึ้นใจ”
ฉินเย่ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “ข้าคือกฎของที่นี่ ข้าคือผู้ที่สั่งการทุกอย่างที่นี่ สิ่งที่พวกเจ้าทุกตนจะต้องทำก็คือทำตามที่ข้าสั่ง ไม่ต้องร้อนใจไป ทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อย ๆ และการที่พวกเจ้ามีส่วนร่วมในการสร้างนรกขึ้นมาจะส่งผลดีกับการกลับชาติไปเกิดของพวกเจ้าในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน”
“มีคำถามอะไรหรือไม่?”
คำถามได้ถูกถามออกไปแล้ว แต่ทุกคนกลับเงียบกริบ
“ไม่มี? ดี อันดับแรก พวกเจ้าทุกตน…”
“เดี๋ยว…” ทันใดนั้น เสียงของเกาต้าหูก็ดังขึ้น เขามองไปที่ฉินเย่ด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง “ท่านผู้ทรงอำนาจ แก๊งเกาได้กระทำการมากมายให้กับท่านก่อนที่ท่านจะมาถึง”
ฉินเย่ยิ้มกว้างกว่าเดิม
ซูตงเซวี่ยก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างเงียบ ๆ
“อย่างเช่น?”
“อย่างเช่น…” เกาต้าหูผิวปาก ทันใดนั้นวิญญาณจำนวนมากก็ลุกขึ้นยืน หนึ่งร้อย สองร้อย…ในท้ายที่สุด มีวิญญาณทั้งหมดเกือบ 400 ตนที่ตอบรับเสียงเรียกของเขา!
พวกเขาทั้งหมดเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ และทุกตนต่างก็เดินมารวมตัวกันที่ประตูนรกอย่างเงียบ ๆ เมื่อเทียบกับคนหลายร้อยคนพวกนี้ พวกฉินเย่ทั้งสามคนก็ดูตัวเล็กไปทันที นักศึกษาหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวลและหลบอยู่ด้านหลังของฉินเย่ ขาสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้
มันเหมือนกับว่าพลังที่มองไม่เห็นกำลังกดทับมาที่ร่างของเขาจากทุกทิศทาง
ตึก ตึก ตึก…ชายฉกรรจ์นับร้อยก่อตัวเป็นกำแพงวิญญาณที่ล้อมรอบคนทั้งสามอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เกาต้าหูเพียงยืนกอดอกอยู่ตรงกลางวงและมองฉินเย่
“นี้เป็นคำขู่อย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่ถามเสียงเรียบ
“แน่นอนว่าไม่ใช่” เกาต้าหูหัวเราะและก้าวเข้าไปหาฉินเย่ “แต่ก็อย่างที่ท่านเห็น จำนวนคนของทางเรามีมากกว่า เพราะฉะนั้นแล้วท่าน…ก็ควรจะหลีกทางและปล่อยให้ฉันจัดการที่นี่เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปดีไหมล่ะ?”
ฉินเย่มองลึกเข้าไปในดวงตาของคนตรงหน้า นี่มันเป็นวิธีที่ต่ำช้าและเอาแต่ใจที่สุด
พวกเขากำลังบังคับให้จ้าวนรกอย่างข้าต้องประกาศศักดาใช่ไหม!!
[1] ภาพยนตร์แนวต่อสู้ที่ทำมาจากมังงะญี่ปุ่นเรื่อง Crows เรียกเขาว่าอีกา