ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 137: การมาถึงของสายลมตะวันออก
บทที่ 137: การมาถึงของสายลมตะวันออก
หลินฮั่นมองฉินเย่อย่างลึกซึ้ง
เสน่หา ลึกล้ำ และไม่กะพริบ…เหมือนกับปลาโลมาสองตัวในเรื่อง “ฝันรักอ่าวโลมา” ไม่มีผิด
อ้อ!…แต่ใน “ฝันรักอ่าวโลมา” ไม่มีโลมานะ
“คุณช่วยย้ายสายตาที่น่ารังเกียจนั่นไปทางอื่นได้หรือเปล่า?” ฉินเย่วาดบางสิ่งบางอย่างลงในกระดาษด้วยท่าทีเหมือนเป็นบวชที่ละจากทางโลก จากนั้นจึงเอ่ยต่อเสียงเรียบ “ผมเป็นชายแท้ ขอบคุณ แท้มาก ๆ ด้วย ไม่ว่าคุณจะอยู่ตำแหน่งไหนหรือโจมตีผมด้วยเจลหล่อลื่นของดูเร็กซ์หรือเควาย ผมยังคงปฏิเสธข้อเสนอของคุณอยู่ดี”
“…นับว่าน่าแปลกใจมากที่ชายแท้คนหนึ่งจะรู้เรื่องพวกนี้มากขนาดนี้นะ….” หลินฮั่นเอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“แล้วใต้ตาคล้ำทั้งสองข้างนั่นมันอะไรกัน? นี่มันสภาพของคนที่ชอบปล่อยเนื้อปล่อยตัว หมกมุ่นอยู่กับของมึนเมา…พวกเรายังไม่ทันได้มีโอกาสดูแลต้นกล้าของประเทศ* แต่คุณกลับมาด้วยสภาพแบบนั้นเนี่ยนะ?”
(*หมายถึง คนรุ่นใหม่ในที่นี้หมายถึงนักเรียน)
สีหน้าเรียบเฉยของฉินเย่หายไป และเขาก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที “ผมไม่ชอบสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่เลยสักนิด คุณหมายความว่ายังไง ‘หน้าตาแบบนั้น’? คุณไม่รู้สึกบ้างเหรอว่าใบหน้าของผมเป็นตัวแทนของคนหน้าตาดีเชียวนะ!”
หลินฮั่นรู้สึกดีใจอย่างอธิบายไม่ถูกที่เขาไม่รู้สึกอย่างนั้นสักนิด
เส้นเลือดที่หัวของเขาฉินเย่เต้นตุบ ๆ เขาเลือกที่จะไม่สนใจอีกฝ่ายอีกต่อไป เขาควงปากกาในมือโดยไม่รู้ตัว ด้านหน้าของเขาเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษมากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นภาพวาดของอาคารมากมายของนรก เขากำลังวาดทุกอย่างด้วยความสามารถในการวาดรูปที่มีจำกัด
นี้ก็ผ่านมาห้าวันแล้ว
ผ่านมาห้าวันแล้วตั้งแต่ที่เขาได้ดูแผนที่ภาพรวมของนรกอย่างละเอียด ตลอดหลายคืนที่ผ่านมา นอกจากเก็บเวลา 3-4 ชั่วโมงไว้นอน ฉินเย่ก็นึกและบันทึกข้อมูลสำคัญของอาคารและโครงสร้างต่าง ๆ ที่เขาเห็นในหมู่บ้านของนรกแห่งเดิม ถุงใต้ตาของเขาบวมเป่งจนไม่ต่างอะไรกับหมีแพนด้า
แบบร่างที่เขากำลังทำอยู่คือหนึ่งในสิ่งก่อสร้างพื้นฐานและสำคัญที่สุดของนรก มันมีห้องใต้หลังคาที่มีลักษณะคล้ายกับศาลาโบราณ แต่ละมุมที่ยื่นออกมาของศาลาถูกผูกไว้ด้วยเชือกเหรียญทองแดงที่ห้อยอยู่ตามด้ายสีแดง ด้านหน้าของตัวอาคารดูแปลกเล็กน้อย แต่ภายในกลับถูกสลักด้วยตัวอักษรลูกอ๊อด[1] และยิ่งเห็นได้ชัดบริเวณกึ่งกลางของโครงสร้าง ที่ตัวอักษรลูกอ๊อดมาบรรจบกันเป็นช่องว่าที่มีความกว้างประมาณหนึ่งเมตร
ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณ
นี่คือทางเข้าที่สำคัญที่สุดของนรก มันมีจุดประสงค์สองประการ หนึ่ง เมื่อวิญญาณมาถึงนรก พวกเขาจะลืมทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นในแดนมนุษย์ และตระหนักถึงความจริงที่ว่าพวกเขาได้ตายไปแล้ว และยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความเคารพต่ออำนาจของนรก
หากปราศจากสิ่งนี้ มันก็ไม่สามารถบอกได้เลยว่าเหล่ายมทูตจะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคมากมายเพียงใดเมื่อพวกเขาไปนำเหล่าวิญญาณมายังนรกในอนาคต มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เต็มใจจะจากแดนมนุษย์ด้วยความต้องการของตัวเอง โดยเฉพาะในตอนที่พวกเขาเพิ่งตายใหม่ ๆ
เพราะอย่างไรแล้ว จะมีคนสติดีคนไหนที่เต็มใจที่จะถูกมัดด้วยเชือกและนำมาที่นรกราวกับฝูงมดกัน? หากมีวิญญาณดวงใดจบลงด้วยการหลบหนี หรือหากยมทูตมาถึงไม่ทันเวลา ผลที่ตามมานั้นอาจจะเลวร้ายอย่างคาดไม่ถึง
สองศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณ ทำให้นรกสามารถดึงดูดดวงวิญญาณพิเศษได้
ดวงวิญญาณบางดวง เช่นดวงวิญญาณของผู้ฝึกตน พวกเขาจะมีพลังมากขึ้นหลังจากเสียชีวิตและจะสามารถคงอยู่ในแดนมนุษย์ได้เป็นเวลานาน หรือแม้กระทั่งตื่นจากอาการมึนงงและฟื้นคืนสติทันทีที่พวกเขามาถึงทางเข้าสู่นรก วิญญาณพวกนี้อาจจะมีความคิดว่าพวกเขาไม่ควรลงไปที่นรก เมื่อใดก็ตามที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณ จะถูกเปิดใช้งานเพื่อลากดวงวิญญาณเหล่านี้ลงไปที่นรก
ตลกจริง ๆ…ยมโลกไม่ต้องการผู้ที่มีพรสวรรค์แล้วอย่างนั้นหรือ? หรือว่านรกไม่จำเป็นจะต้องได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่แล้ว? เกิดอะไรขึ้นกับแนวคิดของนโยบายสี่ทันสมัยกัน?
“และสิ่งที่ทำให้เราปวดหัวก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณได้พลังของมันมาจากกงล้อแห่งสังสารวัฏ มันแทบจะเหมือนกับว่ากงล้อแห่งสังสารวัฏคือฟันเฟืองหลัก ในขณะที่ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณคือส่วนที่แยกย่อยออกมาจากมันอีกที แม้ว่ามันจะมาพร้อมกับระบบการทำงานบางอย่างที่คล้ายกับฟันเฟืองหลัก แต่ไม่สามารถเทียบกันได้เลยสักนิด”
ฉินเย่เกือบจะหักปลายปากกาของเขาด้วยความหงุดหงิด “ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณสมควรที่จะสามารถสะกดความทรงจำของวิญญาณได้จนกว่าพวกเขาจะไปถึงที่สะพานแห่งความจนใจ แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้…อย่างดีที่สุด พลังของมันก็น่าจะคงอยู่ได้เพียงแค่หนึ่งวันเต็มเท่านั้น…”
และนั่นคือจุดที่ปัญหาจะเกิดขึ้น
หรือว่าเราควรจะสร้างศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณในรูปแบบที่อ่อนพลังลง?
ฉินเย่สะกิดหลินฮั่น “ผมขอถามอะไรอย่างได้หรือเปล่า?”
“อืม?” หลินฮั่นเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมราวกับกำลังตั้งใจเรียนในชั้นเรียนอยู่
“ถ้า…ผมหมายถึงถ้านะ…ถ้าคุณอยากมีลูก แต่คุณยังไม่ได้อยากมีเขาในตอนนี้ คุณกับแฟนของคุณจะซื้อชุดป้องกันและจัดการกับมันด้วยวิธีนั้น หรือว่าคุณจะหยุดทำไปเฉย ๆ?”
หลินฮั่นมองฉินเย่ราวกับว่าเขาเห็นผี ทว่ามันก็ยังมีสีหน้าประมาณ ‘ฉันเข้าใจแล้ว’ เขียนอยู่บนใบหน้า “ไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนที่มีความคิดที่โบราณขนาดนี้…..”
ฉินเย่รู้สึกว่าเส้นเลือดในขมับของเขากำลังเต้นตุบ ๆ ทำไมทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาถึงมีแต่พวกความคิดประหลาด ๆ กันนะ?
“ผมบอกว่า ‘ถ้า’! คุณไม่รู้หรือว่าคำว่า ‘ถ้า’ แปลว่าอะไร?”
“ผมเข้าใจ” หลินฮั่นตอบด้วยสีหน้าซับซ้อน “มันเคยมีช่วงที่ผมรู้สึกอายกับเรื่องแบบนี้เหมือนกัน และผมเองก็เคยเกริ่นด้วยวลีเดียวกันกับคุณเลยด้วย…เหมือนกับคุณ ผมจะพูดคำว่า ‘ถ้า’ ซ้ำ ๆ จากนั้นก็ถามมันออกไปราวกับว่ามันเป็นเพียงเรื่องสมมติเท่านั้น แต่นี่มันยิ่งเป็นการเน้นย้ำอย่างชัดเจนว่าคุณตั้งใจจะปกปิดมัน…เอาล่ะ วางปากกาลงแล้วมาคุยเรื่องนี้กันดีกว่า….”
เขากระแอมออกมาเล็กน้อย “ถึงแม้ว่าผมจะไม่แน่ใจว่าเป็นนักเรียนหญิงคนไหน พวกเราก็เหมือนเป็นตัวแทนของกฎในโรงเรียน มีลูกกับนักเรียนหญิงในโรงเรียนถือว่าเป็นการไม่รับผิดชอบต่อเธอ พวกเราจะทำเป็นไม่รู้จักกฎเกณฑ์ไม่ได้…เฮ้ย! คุณไปหยิบกระบี่มาจากที่ไหนกัน? วางลงเดี๋ยวนี้นะ! เรามาพูดกันดี ๆ เถอะนะ….”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้นมา “แยกไว้ไหม? เอาไข่ที่ปฏิสนธิแล้วออกมาแล้วก็แช่แข็งเอาไว้ จากนั้นคุณก็ค่อยเอามันกลับมาฝังใหม่ในอนาคต?”
ฉินเย่รู้สึกรำคาญมากกับท่าทีของคนตรงหน้าจนรู้สึกคันเท้ายิก ๆ เขาน่าจะรู้ดีว่าไม่ควรเจาะประเด็นด้วยการเปรียบเทียบที่งี่เง่าแบบนี้ เด็กหนุ่มแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “ทำไมคุณไม่ทำหมันซะล่ะ?”
“มันจะเจ็บขนาดไหนเชียว?!” หลินฮั่นมองฉินเย่ด้วยสายตาหวาดกลัว “ทำไมคุณต้องหาเรื่องทำให้ตัวเองเจ็บตัว ในเมื่อคุณสามารถให้คนอื่นทำแทนได้?”
นี่คุณผ่านการสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ของหน่วยสอบสวนพิเศษมาได้ยังไงกัน?
“….ด้วยคำตอบที่เถรตรงแบบนั้น….ผมเชื่อเลยว่าคุณไม่มีทางสามารถหาแฟนได้แน่นอน…”
เห็นได้ใช้ว่าพวกเขากำลังคุยกันคนละเรื่องอยู่ ดังนั้นฉินเย่จึงล้มเลิกความคิดที่จะถามหลินฮั่น สายตาของเขากลับมาสนใจหนังสือแบบฝึกหัดตรงหน้า หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ถามหายใจออกมาอีกครั้ง และกากบาทภาพวาดของอาคาร 2 ใน 3 ภาพออกไป
ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณ และภาชนะรองรับของเซ่น
ภาชนะรองรับของเซ่นคือสิ่งที่ช่วยให้เครื่องเซ่นไหว้ที่ถูกเซ่นในช่วงเทศกาลวิญญาณทั้งสามผ่านเข้าสู่นรกโดยตรง แต่พึงรู้เอาไว้ว่าของเซ่นทั้งหมดจะถูกส่งตรงไปที่รัฐบาลของโลกใต้พิภพ และไม่ได้อยู่ในความครอบครองของดวงวิญญาณที่พวกเขาตั้งใจจะส่งให้เลยสักนิด!
หากพูดกันง่าย ๆ ก็คือนี่เป็นเงินที่จะส่งเสริมคลังสมบัติของนรกให้เพิ่มพูนมากขึ้น ในแต่ละเมืองและแต่ละมณฑลจะมีภาชนะรองรับของเซ่นแต่ละสาขาตั้งอยู่ และภาชนะรองรับของเซ่นใหญ่ที่สุดก็ถูกตั้งอยู่ที่จุดกึ่งกลางของนรกวิญญาณ เมื่อใดก็ตามที่แดนมนุษย์มีการเฉลิมฉลองเทศกาลทั้งสามและเผาเงินกระดาษ รถกระดาษ ม้ากระดาษ ตลอดจนสิ่งประดิษฐ์แปลก ๆ เช่น รถลีมูซีนหรือตุ๊กตาเป่าลม ทั้งหมดนั้นจะถูกส่งไปยังคลังสมบัติของนรกผ่านภาชนะรองรับของเซ่นที่อยู่รอบ ๆ หลังจากนั้น ของเซ่นพวกนี้ก็จะถูกคิดภาษีของเซ่น 10% ก่อนที่ของเซ่นไหว้ดังกล่าวจะถูกส่งให้วิญญาณแต่ละดวง
ไม่น่าพอใจเลยสักนิด
10% นั้นมากเพียงใดน่ะหรือ? หากวัดจากสถิติของอาร์ทิสที่เคยทำงานนี้มาประมาณ 200 ปี นางได้ใช้สมบัติที่นางสะสมเอาไว้ในการสร้างพระราชวังมาตั้งอยู่ที่ภูเขาเทียนหลงซึ่งเป็นจุดชมวิวระดับห้าดาวในเมืองเฟิ่งเฉิงได้…
พึงทราบไว้ว่านี่เป็นพระราชวังที่ใช้เงินมูลค่ามหาศาลมากในการสร้างขึ้นมา เต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังมากมาย นอกจากนั้นยังมีคำบอกเล่าว่าประตูทางเข้าหลักของพระราชวังในนรกนั้นถูกเคลือบไปด้วยทอง และกระเบื้องก็เป็นกระเบื้องเคลือบที่ถูกทำขึ้นด้วยมือซึ่งเป็นศิลปะที่สูญหายไปเป็นเวลานานมากแล้ว…
แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่แน่ใจว่าโครงสร้างระบบภาษีของนรกเป็นอย่างไร แต่ความคิดที่จะตัดสินใจยอมปล่อยให้เงินจำนวนมากขนาดนั้นหลุดหายไปก็ทำให้มือของเขาใจสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้
“ข้าขอยอมรับความฉลาดของพวกท่านในการหาประโยชน์จากคนตายจริง ๆ….” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายขณะที่หันไปยังแบบวาดสิ่งก่อสร้างสุดท้าย
แท่นตรวจสอบวิญญาณ
สิ่งก่อสร้างนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์เดียว….และนั่นก็คือเพื่อตรวจจับความเป็นไปได้ในการกลายพันธุ์ของวิญญาณแต่ละดวง!
ทันทีที่ตรวจพบความเป็นไปได้ในการกลายพันธุ์ เขาจะสามารถส่งกลุ่มยมทูตเพื่อไปจัดการปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ทันท่วงที!
มันคือเรดาร์ของนรก
แต่หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดอยู่นานกว่าสามนาที เขาก็ยังเลือกที่จะกากบาทมันทิ้งอยู่ดี
“ตอนนี้เมืองเป่าอันกำลังปลอดภัยสุด ๆ และมันก็ยังไม่จำเป็นจะต้องมีสิ่งนี้ในเวลานี้ เราค่อยสร้างมันขึ้นมาตอนเราพัฒนานครในนรกแห่งต่อไปก็ยังไม่สาย สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือการมุ่งเน้นไปที่การตั้งถิ่นฐานของประชากรวิญญาณและมอบหมายบางสิ่งให้พวกเขาทำ การก่อตั้งสังคมเล็ก ๆ ขึ้นมาจะเป็นเหมือนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ส่วนเรื่องอื่น ๆ…ยังสามารถปล่อยไว้ก่อนได้”
เมื่อเสียงจบคลาสดังขึ้น ฉินเย่ก็มองหนังสือตรงหน้าของตนและถอนหายใจออกมา
โครงการสร้างใหม่ของนรกนั้นเป็นงานที่ใหญ่แค่ไหนกัน? มันสามารถเอ่ยได้ว่านี่เป็นหนึ่งในโครงการที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกด้วยซ้ำ! อันที่จริงนี่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถแบ่งเขตพื้นที่อย่างชัดเจนได้ทั้งหมด แต่เขารู้ว่ามันจำเป็นเพราะนี่คือแผนการระยะยาวเผื่อไว้สำหรับในอนาคต
โครงสร้างของอาคารและสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ในยมโลก จึงจำเป็นอย่างมาก เหมือนกับว่าเขากำลังเหยียบลงไปบนแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ ในความมืด ทว่าในวินาทีที่แสงสว่างส่องมาถึง มันจะคล้ายเป็นสายลมยามเช้าของฤดูใบไม้ร่วงที่พัดพาหมอกควันให้ออกไป!
ต้องสร้างไม่สร้างอะไร จะทำตามแผนที่วางไว้อย่างไรและจะไม่ทำตามแผนอย่างไร หลังจากเวลาห้าวันแห่งความเพียรพยายามผ่านไป ในที่สุดเขาก็สามารถเรียบเรียงข้อมูลทั้งหมดและสรุปได้ว่าตัวเองควรจะเริ่มต้นที่ตรงไหน
“ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว สิ่งเดียวที่พวกเราต้องการในตอนนี้ก็คือรอให้สายลมตะวันออกพัดมาทางเราเท่านั้น” เด็กหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และคลื่นแห่งความเหนื่อยล้าก็ถาโถมเข้ามาทันที เขารู้สึกว่าในที่สุดร่างของเขาก็ผ่อนคลายหลังจากที่ตึงเครียดมานาน และเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายก็เริ่มผ่อนคลายเช่นกัน
เขาไม่แม้แต่จะกลับไปที่ห้อง และเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราทั้ง ๆ ที่กำลังอยู่ในห้องบรรยายแทน
“อักษรจีนของเรามีประวัติยาวนานถึง 5,000 ปีและจะเป็นที่รู้จักของคนทั้งโลก…,” [2] เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น ฉินเย่ขยี้ดวงตาแดงก่ำของตนเอง อ้าปากหาวออกมาเสียงดังและรับโทรศัพท์โดยที่ไม่ดูด้วยซ้ำว่าผู้ที่โทรเข้ามาคือใคร “ครับ?”
“สวัสดีครับคุณฉิน ผมโทรมาจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เถิงหลงนะครับ ผมเป็นเลขานุการของหัวหน้าซุน คุณจะเรียกผมว่าเลขาอู๋ก็ได้ครับ”
ความง่วงงุนของฉินเย่หายไปราวกับกลุ่มควัน เขายกมือลูบหน้าของตนเอง “คุณจัดการเรื่องอุปกรณ์ก่อสร้างเรียบร้อยแล้วเหรอครับ?”
หากบอกว่าการเตรียมการทั้งหมดสำหรับงานก่อสร้างในยมโลกนั้นเสร็จสิ้นหมดแล้ว และสิ่งเดียวที่เขารออยู่ก็คือให้สายลมตะวันออกพัดมา ถ้าเช่นนั้น สายเรียกเข้าสายนี้ก็คือสายลมตะวันออกที่เขารออยู่!
“ครับ คุณอยากจะมาตรวจสอบสินค้าตอนนี้เลยหรือเปล่าครับ? ตอนนี้ของทั้งหมดอยู่ที่บ้านเลขที่ 231- 4 ถนนชิงเฉวียน ที่ตั้งของโรงงานผลิตสายเคเบิลในอดีต”
“ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้!”
มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด ก่อนหน้านี้ตอนที่เขายังไม่มีเป้าหมายในการใช้ชีวิต ฉินเย่นั้นเป็นคนเชื่องช้าและขี้เกียจจนใครต่อใครต่างก็เอือมระอา แต่ทันทีที่เขามีเป้าหมาย เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองมันขยับไปเองอย่างน่าเหลือเชื่อ
เขามองไปยังหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองและสังเกตเห็นว่ามันเป็นเวลา 3 ทุ่มแล้ว เด็กหนุ่มรีบเรียกแท็กซี่และมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางทันที ทว่าหลังจากขึ้นมาบนรถแท็กซี่แล้ว เขาถึงตระหนักได้ว่าปลายทางนั้นอยู่บริเวณชานเมืองที่อยู่ห่างไกลออกไป มันเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครแวะมาเลยสักนิด เนื่องจากมันอยู่ไกลจากสถานที่อื่น ๆ มากเกินไป
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดเขาก็มาถึงที่ประตูทางเข้าของโรงงาน ชายหนุ่มในวัยยี่สิบปียืนรอเขาอยู่ด้านหน้าพร้อมกับคนกว่าสิบคนยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว และทันทีที่อีกฝ่ายเห็นการมาถึงของฉินเย่ เขาก็ยื่นมือออกมาด้านหน้าและเอ่ยอย่างสุภาพว่า “คุณฉิน คุณซุนได้สั่งให้พวกเรามาคอยอำนวยความสะดวกให้คุณครับ เราจึงระดมคนและตัวแทนจากบริษัทต่าง ๆ มาเพื่ออธิบายทุกอย่างให้คุณฟังครับ”
ฉินเย่ไม่ได้สนใจกับความสุภาพของคนตรงหน้านัก เขาอยากจะเห็นพิธีการเปิดนรกเต็มแก่อยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากที่จัดการเสร็จสิ้น เขาก็เดินไปที่อาคารด้านหลังทันที อดีตโรงงานผลิตสายเคเบิลถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูง ทว่าประตูเหล็กที่สูงสามเมตรได้เปิดรออยู่ก่อนแล้ว และสิ่งที่อยู่ด้านในก็เปิดเผยสู่สายตาทุกคน
สถานที่แห่งนี้ได้ถูกทิ้งร้างมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และโครงสร้างของโรงงานก็ถูกรื้อถอนไปแล้วเช่นกัน แต่มันกลับเห็นได้ชัดว่าอาคารอื่น ๆ ที่เหลือยังคงได้รับการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอโดยใครบางคน
พื้นที่เขาเหยียบอยู่นั้นเรียบสนิท และไม่มีร่องรอยการแตกของเศษกระเบื้องเลยสักนิด พื้นที่ของมันมีประมาณหนึ่งสนามฟุตบอล และอุปกรณ์ทางวิศวกรรมขนาดใหญ่หลายชิ้นถูกจัดวางอยู่ด้านในอย่างเป็นระเบียบ วัสดุก่อสร้างจำนวนมากถูกวางเรียงอยู่ข้าง ๆ อุปกรณ์ทั้งหมด แสงสว่างจากโคมไฟทำให้อุปกรณ์ทั้งหมดดูเหมือนกับป่าเหล็กที่ส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงของดวงอาทิตย์
อุตสาหกรรมหนักจ้าว อุตสาหกรรมหนักไท่โจว อุตสาหกรรมเหล็กหลันเจียง สายตาของเขากวาดไปทั่วกองเหล็กที่กองสูงตรงหน้า หัวใจของเด็กหนุ่มลุกโชนไปด้วยเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่นขณะที่มองดูรายชื่อบริษัทอุตสาหกรรมหนักตรงหน้า เขาเคยได้ยินชื่อของบริษัทพวกนี้มาก่อน
ในที่สุด…
เขาเดินทางมาไกลมาก จากการปฏิเสธไปสู่การยอมรับ และเขาในตอนนี้ก็อยู่ในขั้นของการริเริ่ม ตอนนี้มันได้กลายเป็นเป้าหมายของชีวิตเขาไปแล้วด้วยซ้ำ! มันอาจต้องใช้เวลาหลายเดือน และอาจจะมีอีกหลายสิ่งหลายที่ต้องทำ แต่ปลายทางของการสร้างใหม่ในครั้งนี้ก็คือความรุ่งโรจน์เฉกเช่นเดียวกับในอดีต!
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น และแม้ว่านี่จะไม่ได้ยิ่งใหญ่นัก แต่มันก็แสดงถึงการเริ่มต้นอย่างไม่ต้องสงสัย
มันคือการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด!
มันคือบทนำสู่ยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์สมัยใหม่ที่ทำให้ทั้งแผ่นดินจีนจะต้องสั่นสะเทือน!
[1] นี่คือตัวอักษรจีนโบราณ ชื่อของมันมาจากลักษณะคล้ายกับลูกอ๊อดซึ่งทั้งส่วนหัวและหางนั้นมีขนาดใหญ่ ตัวอักษรนี้ปรากฏขึ้นหลังจากสมัยราชวงศ์ฮั่น (202 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 8) และค่อยๆหายไปหลังจากราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 – ค.ศ. 907)
[2] เนื้อเพลงจากเพลง 生僻字 (ซึ่งแปลได้ว่า ‘คำที่ไม่คุ้น’) ที่ถูกประพันธ์ขึ้นโดย 陈柯宇 (เฉินเคออวี่)