ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 143: จะให้ข้าทำอย่างไรกับสินบนของเหล่าผู้สูงอายุ? ยื่นหนังสือร้องเรียนเหรอ?
- Home
- ฉันนี่แหละจ้าวนรก
- บทที่ 143: จะให้ข้าทำอย่างไรกับสินบนของเหล่าผู้สูงอายุ? ยื่นหนังสือร้องเรียนเหรอ?
บทที่ 143: จะให้ข้าทำอย่างไรกับสินบนของเหล่าผู้สูงอายุ? ยื่นหนังสือร้องเรียนเหรอ?
“จบการประชุมไว้เท่านี้ก่อน” ฉินเย่ปิดหน้าสมุดลงก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ทุกท่าน การก่อสร้างนรกขึ้นมาใหม่นั้นเป็นโครงการพันปีและเราก็ไม่สามารถหยุดพักได้ ตอนนี้พวกเราเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เส้นทางเบื้องหน้ายังอีกยาวไกลและยังต้องลำบากอีกมาก”
ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น คำพูดของอาร์ทิสทำให้พวกเขาจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนรกแห่งเก่า
มันคือภาพสะท้อนของแดนมนุษย์ ทุกสิ่งที่มีอยู่ในแดนมนุษย์ย่อมต้องมีอยู่ในยมโลก!
ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ อาหารรสเลิศ ที่อยู่อาศัย การคมนาคม ช่องทางการสื่อสาร และหน่วยงานหลักของรัฐที่มีให้เห็นในแดนมนุษย์ หรืออาคาร สิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่ประกอบการที่มีลักษณะเฉพาะของนรก รวมถึงกงล้อแห่งสังสารวัฏ ขุมนรกทั้ง 18 ขุม สะพานไน่เหอ หินสามชาติภพ
และมันยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างพวกไฟฟ้าและโทรคมนาคม… นี่…มัน….เหมือนกับการพัฒนาอารยธรรมต้องเกิดขึ้นมาใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้น!
พวกเขาต้องสร้างบ้านขึ้นมาด้วยมือเปล่า ถ้าพวกเขายืนอยู่บนไหล่ของยักษ์* เรื่องมันจะยังยากแบบนี้อยู่ไหมนะ?
(*หมายถึงผู้มีอำนาจ)
หลังจากที่คนทั้งหมดจากไป ฉินเย่ก็ยกมือขึ้นนวดขมับของตนเองและกระแอมเบา ๆ “เชิญพวกเขาเข้ามา”
ทำไมเขารู้สึกเหมือนว่า…จ้าวนรกในอนาคตกำลังประชุมเรื่องแย่งซื้อของจากเหล่ามนุษย์ ป้าอยู่กันได้นะ…รู้สึกจนชะมัด….
กลุ่มของวิญญาณทั้งห้าถูกนำทางมาที่ห้องโถงย่อยในเวลาไม่นาน ผู้ที่นำคนทั้งหมดมาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวงเลี่ยงชวน ถึงแม้ว่าชายผู้นี้จะร่ำรวยถึงขนาดที่สามารถบีบบังคับฉินเย่ได้ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตัวเป็นเหมือนกับนกกระทาตัวน้อยเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าของฉินเย่ในตอนนี้
เพราะใครจะสามารถลืมการแสดงพลังที่เยือกเย็น ในการกำจัดวิญญาณนับพันตนของฉินเย่ครั้งก่อนหน้านี้ได้?
“นายท่าน ผมมีนามว่าหวงเลี่ยงชวน” หวงเลี่ยงชวนเอ่ยขณะกุมมือคารวะอย่างเคารพ “ในขณะที่ผมยังมีชีวิตอยู่ ผู้คนมักจะเรียกผมว่าเจ้าสัวแห่งอุตสาหกรรมกระจก แต่ไม่ว่ายังไงตอนนี้ผมก็เป็นเพียงพลเมืองที่อยู่ภายใต้คำสั่งของท่านแล้ว หากท่านต้องการสิ่งใดโปรดอย่าลังเลที่จะเอ่ยมันออกมา”
ฉินเย่เดินเข้าไปหาวิญญาณที่ยืนอยู่ตรงหน้าของตนอย่างช้า ๆ คิดในใจ ดูเขาจะมีหัวคิดไม่เลว
ไม่มีวิญญาณตนใดกล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาฉินเย่เลยสักตน พวกเขาทั้งหมดต่างยืนตัวตรง ไม่มีใครกล้าทำตัวเย่อหยิ่ง พวกเขาแทบจะคุกเข่าลงก่อนที่ใครจะบอกด้วยซ้ำ พวกเขาอาจจะเป็นผู้ที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลในโลกมนุษย์ด้านบน แต่ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในนรก พวกเขาเป็นเพียงวิญญาณตนหนึ่งเท่านั้น
อาร์ทิสเคยเอ่ยเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าบริษัทและองค์กรต่าง ๆ จะเติบโตและเฟื่องฟูไปพร้อมกับการขยายตัวของนรก แต่การที่เหล่านักธุรกิจที่มีฝีมือจากแดนมนุษย์จะสามารถแสดงความสามารถและชื่อเสียงของตนในยมโลกได้หรือไม่นั้นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“เจ้าต้องการจะพบข้าด้วยเรื่องอันใด?” ฉินเย่ถามอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่แม้แต่จะเชิญให้อีกฝ่ายนั่งด้วยซ้ำ
สมกับเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่มานานและมีประสบการณ์มากมาย ใบหน้าหวงเลี่ยงชวนในเวลานี้ไม่เผยให้เห็นถึงแววไม่พอใจกับการสำแดงอำนาจของฉินเย่เลยแม้แต่น้อย กลับกันเขาเพียงยิ้มกว้างกว่าเดิม นักธุรกิจพันล้านแห่งแดนมนุษย์ประสานมือเข้าด้วยกันและโค้งคารวะคนตรงหน้าอย่างเคารพ ราวกับพระสงฆ์ที่กำลังต้อนรับแขกของตน “พวกเราทั้งหมดสมควรตายที่ต้องทำให้ท่านเจ้านรกผู้ยิ่งใหญ่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ แต่ชายแก่ผู้นี้ก็ได้เสี่ยงชีวิตของตนและสหายเพื่อประโยชน์ในการสร้างยมโลก หวังว่าท่านผู้ทรงอำนาจจะไม่เก็บเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ”
ฉินเย่ยิ้ม
“แค่ครั้งนี้เท่านั้น มันจะไม่มีครั้งต่อไปอีก” ฉินเย่เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้และเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบนิ่ง “หากเจ้ากระทำการสิ่งใดที่เป็นการท้าทายอำนาจของนรกอีกครั้ง เจ้า…ก็คงต้องเตรียมตัวที่จะเดินตามรอยเท้าของเกาต้าหูไป ตอนนี้ยังเป็นช่วงเวลาสำคัญของยมโลก ทุกอย่างจะต้องเข้มงวดและจริงจังที่สุด”
“ข้ารับรองได้ว่ามันจะไม่มีครั้งต่อไป” หวงเลี่ยงชวนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ภายในใจของเขาผ่อนคลายลงในที่สุด
ก่อนจะมาที่นี่ พวกเขาต่างรู้สึกว่าเจ้านรกของพวกตนนั้นเอาแต่ใจและอารมณ์แปรปรวนเป็นอย่างมาก เมื่อวันก่อนเขาเพิ่งกำจัดเกาต้าหูไปโดยไม่กะพริบตา และพอมาวันนี้เขามาสร้างฝันชีวิตในอุดมคติให้กับทุกคนในแดนนรก…
พวกเขาไม่สามารถอ่านคนตรงหน้าออกได้เลย
แม้แต่เมื่อครู่นี้ ตอนที่ฉินเย่เอ่ยนิ่ง ๆ พวกเขากลับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
“เชิญ” ฉินเย่ผายมือเชิญคนทั้งหมด ทว่ากลับไม่มีใครกล้าที่จะนั่งลงเลยสักนิด
หวงเลี่ยงชวนก้าวมาด้านหน้าก้าวหนึ่งและโค้งคำนับ 90 องศา “นายท่าน เรื่องมีอยู่ว่า พวกข้านั้นพอจะมีทรัพย์สินเล็กน้อยอยู่บนแดนมนุษย์ แต่ก็อย่างที่ท่านรู้ เราไม่สามารถนำสิ่งของพวกนั้นมาที่ยมโลกได้”
ฉินเย่พยักหน้า “ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าพวกเจ้าจะจัดการกับข้อเสนอที่จะมอบเงินสิบล้านหยวนให้พวกเราอย่างไร”
หวงเลี่ยงชวนที่ได้ยินเช่นนั้นจึงอธิบายด้วยน้ำเสียงสุภาพ “นั่นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพื่อนของผมที่อยู่ตรงนี้เองก็มาจากตระกูลที่มีทรัพย์สินมูลค่าหลายสิบล้านบนแดนมนุษย์ หรือบางคนอาจจะมากกว่านั้น และพวกเราทั้งหมด….ต่างก็มีงานอดิเรกที่แตกต่างกันไป”
เขาเป็นชายผู้มีอิทธิพลและอำนาจในแดนมนุษย์ และมันจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะเว้นช่วงในการพูดและทิ้งคำใบ้ไว้อย่างเชิญชวน “อย่างเช่นงานอดิเรกของผม…คือสะสมของโบราณ”
แววตาของฉินเย่วาวขึ้น วินาทีนี้เขาพอจะเข้าใจทุกอย่างแล้ว
แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย หวงเลี่ยงชวนยังคงเอ่ยต่อ “นี่คือคุณโม่ เขาทำกิจการเกี่ยวกับอาหารและชื่นชอบพวกหยกเป็นพิเศษ”
“นี่คือคุณเชียว เขาเองก็ชื่นชอบหยกเช่นกัน”
“นี่คือ….”
หลังจากแนะนำคนทั้งหมด เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “พวกเราทั้งหมดต่างมีของสะสมส่วนตัวเป็นของตนเอง โชคร้ายที่ความตายได้มาหาเราทั้งหมดอย่างเป็นกะทันหันเกินไป และเราก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะบอกลูกหลานของตนเองเกี่ยวกับของสะสมเหล่านี้เลยสักนิด ผมเกรงว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตกว่าที่พวกเขาจะค้นพบของสะสมพวกนั้นของเรา ด้วยเหตุนี้ ท่านเพียงต้องหาสิ่งเหล่านี้ให้เจอก่อนที่พวกเขาจะพบมัน ผมอาจจะไม่สามารถรับประกันแทนเพื่อนของผมได้ แต่ผมมั่นใจเลยว่าของสะสมของผม…มีแต่ของดี ๆ ทั้งสิ้น”
ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นขณะที่เงียบไปอย่างเจตนา ฉินเย่ยิ้มออกมาเล็กน้อย และวินาทีถัดมา พลังหยินที่อยู่ภายในร่างของเขาก็ระเบิดออกมา
หวงเลี่ยงชวนและสหายต่างไม่ทันได้ตั้งตัว และพวกเขาก็ต้องอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ขาทั้งสองข้างของพวกเขาสั่นเทาและทรุดลงกับพื้นทันที
เสียงที่เอ่ยออกมาของฉินเย่ในเวลานี้เหมือนกับเสียงของปีศาจร้าย “ในครั้งที่ยังมีชีวิต พวกเจ้าทั้งหมดต่างก็อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจและอิทธิพล…แต่พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาเกลียดที่สุดเกี่ยวกับผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาคือสิ่งใด?”
ไม่มีใครตอบ
หน้าผากของหวงเลี่ยงชวนเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ เขาแทบอยากจะตบหน้าตัวเองขึ้นมาทันที ทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ คำพูดออกเมื่อครู่นั้นถูกกลั่นกรองมาจากไหวพริบที่สั่งสมมาตลอดหลายสิบปี แต่ท่าทีใจดีของฉินเย่เมื่อครู่ทำให้เขาวางใจ และก็เผลอกลับไปใช้วิธีพูดเหมือนกับที่พูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ฉินเย่เหลือบสายตามมองหน้าคนทั้งหมดอย่างเย็นยะเยือกขณะเอ่ยต่อ “สิ่งที่ข้าผู้นี้เกลียดที่สุด…ก็คือตอนที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าทำตัวเหมือนคนฉลาดและปกปิดเจตนาบางอย่างอยู่เบื้องหลัง”
“อย่าปกปิดอะไรข้า หากเจ้าอยากจะเจรจาอะไร ก็รีบเอ่ยมันออกมาให้หมด ข้าไม่มีเวลามาเล่นเกมใบ้คำกับพวกเจ้า”
ความเงียบปกคลุมไปทั่ว
ไม่กี่วินาทีต่อมา หวงเลี่ยงชวนประสานมือกันโค้งคำนับและตอบด้วยเสียงแหบแห้ง “ขออภัยนายท่าน ทุกอย่างเป็นความผิดของผมเอง มันจะไม่มีครั้งต่อไปอีกแน่นอน”
“เจ้าควรจะจำมันไว้ให้ดี” ฉินเย่เอ่ย “พวกเจ้าไม่ได้มีความสำคัญใด ๆ กับยมโลกถึงเพียงนั้น ดังนั้นจงอย่าคิดว่าชื่อเสียงที่เคยมีในครั้งที่ยังเป็นมนุษย์จะทำให้พวกเจ้าพิเศษกว่าวิญญาณตนอื่น”
“ดวงวิญญาณของพ่อค้าหมวกแดง หูเสวี่ยหยานเคยมาเยือนที่แห่งนี้ [1]”
“ดวงวิญญาณของนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ เสิ่นว่านซานเคยมาเยือนที่แห่งนี้[2]”
“และแม้แต่ดวงวิญญาณของนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่อย่างลฺหวี่ ปู้เหวย์เองก็เคยมาเยือนที่นี่เช่นกัน[3]”
“แม้แต่ผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินจีนทุกคนต่างก็เคยมาเยือนที่แห่งนี้ทั้งสิ้น! แม้แต่ฉือฉงและหวังข่ายผู้ชอบอวดรวยเองก็เคยมายืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ [4]”
รองเท้าหนังสีเข้มปรากฏขึ้นตรงหน้าธารสายตาของหวงเลี่ยงชวน ภายในศีรษะของชายสูงวัยชาไปชั่วขณะ ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเทาอย่างรุนแรง มันราวกับว่าจิตวิญญาณของเขาหดตัวลงด้วยความหวาดกลัว
วินาทีนั้น เขาเข้าใจเหตุผลของการแยกหยินและหยางออกจากกันอย่างถ่องแท้
มันไม่ใช่เพียงแยกชีวิต แต่มันยังรวมไปถึงการแยกตัวตนด้วย
น้ำเสียงนิ่งเรียบของฉินเย่ดังขึ้นเหนือศีรษะ “เจ้าคิดว่า…ตัวเองเทียบกับคนเหล่านั้นได้หรือไม่?”
“ขะ ข้า…ข้าน้อยมิกล้า…” ชายสูงวัยเอ่ยตอบด้วยเสียงสั่นเทา
ฟึ่บ…รองเท้าตรงหน้าหันหลังกลับไปอีกทาง และฉินเย่ก็นั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งว่า “ถ้าเช่นนั้นก็จงพูดออกมาได้แล้ว เวลาของข้ามีค่า ไม่มีเวลามาเสียเวลากับพวกเจ้า เงยหน้าขึ้น”
“รับทราบ” วิญญาณทั้งห้าตนปาดหยาดเหงื่อที่เกาะอยู่บริเวณหน้าผากของตน และหวงเลี่ยงชวนก็หัวเราะแห้ง ๆ ครั้งนี้เขาเอ่ยต่ออย่างตรงไปตรงมา “นายท่าน ตัวกระผมนั้นมีคฤหาสน์หลังเก่าอยู่ในกู่โม่ สถานที่ที่ผมซ่อนสมบัติสี่ชิ้นเอาไว้ สมบัติที่มีค่ามากที่สุดก็คือเครื่องปั้นดินเผาจากสมัยราชวงศ์ถังของแท้”
เขาหายใจออกเพื่อบรรเทาความกดดันภายในใจขณะเอ่ยต่อว่า “เครื่องปั้นดินเผาจากสมัยราชวงศ์ถังนั้นเปรียบเสมือนกับจอกศักดิ์สิทธิ์ในหมู่ผู้สะสมของเก่า ผมจำได้ว่าราคาประมูลของเครื่องปั้นดินเผาม้าสองตัวที่ถูกทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ถังนั้นอยู่ที่ 4.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 28 ล้านหยวน! นอกจากนี้ผมยังมีเครื่องปั้นดินเผาสมัยราชวงศ์ถัง…ลายมังกรหงส์!”
แววตาของฉินเย่วูบไหว เขาแทบจะลุกขึ้นยืน
ลายมังกรหงส์….แม้แต่เจ้าชายยังไม่สามารถใช้ของพวกนี้ได้เลย ซึ่งก็หมายความว่า….ของสิ่งนี้มีเพียงฮ่องเต้และฮองเฮาเท่านั้นที่สามารถใช้ได้!
เครื่องปั้นดินเผาลายมังกรหงส์ของราชวงศ์ถังของแท้…ฉินเย่รีบถามกลับทันทีว่า “เจ้าคิดว่าสิ่งของพวกนี้จะมีราคาประมาณเท่าไหร่?”
“6 ล้านเป็นอย่างต่ำ และแน่นอนว่าในสกุลเงินเป็นดอลลาร์สหรัฐ” ราวกับต้องการแก้ตัวเรื่องความผิดก่อนหน้า เขารีบตอบออกไปทันที “สมบัติชิ้นอื่น ๆ เองก็ไม่ได้แย่นัก สมบัติแต่ละชิ้นล้วนมีค่าอย่างน้อยหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของสะสมส่วนตัวของผม พวกมันมีค่าอย่างน้อย 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และหากคิดจากอัตราการแลกเปลี่ยนสกุลเงินของโลกในเวลานี้ ผมคาดว่าสิ่งของพวกนี้น่าจะมีมูลค่าประมาณ 60 ล้านหยวน!”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าลึก ๆ
60 ล้าน…ไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายถูกเรียกว่าเจ้าสัวแห่งอุตสาหกรรมกระจก แม้แต่ของสะสมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังมีมูลค่ามหาศาล!
ด้วยสิ่งนี้ เขาไม่จำเป็นจะต้องกังวลเกี่ยวกับเงินทุนจนกว่างานก่อสร้างระยะแรกของนรกจะสิ้นสุดลง!
“นายท่าน” วิญญาณตนอื่นเองก็รีบเอ่ยขึ้นเช่นกัน “ของสะสมของพวกเราอาจจะไม่ได้ดีเท่าเขา แต่ผมก็มีหยกจักรพรรดิอยู่ในชุดของสะสมของผมเอง มันจะต้องมีค่าอย่างแน่นอน!”
“ข้ามีตราประทับหงส์ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ตัวตราถูกสลักขึ้นจากหยกเหอเถียน มาจากแหล่งหยกตู๋ซาน หนึ่งในสี่แหล่งผลิตหยกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของจีน ตราประทับนี้จะต้องมีมูลค่าอย่างน้อยห้าล้านหยวนแน่ ๆ!”
ฉินเย่จดจำรายละเอียดของสิ่งของทั้งหมดไว้ในหัว และในที่สุดเขาก็มาถึงจุดสำคัญของปัญหา “แล้วข้าจะสามารถได้สมบัติพวกนี้มาได้อย่างไร? ข้าจะขายมันอย่างไร? แล้วพวกเจ้าต้องการสิ่งใดเป็นการแลกเปลี่ยน?”
ชายทั้งห้องมองหน้ากันและตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันราวกับซ้อมมา “นี่คือการมีส่วนร่วมของพวกเราในการสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่ พวกเราไม่กล้าขออะไรมากนัก แค่ที่อยู่อาศัยที่เรียบง่ายสักแห่งก็เพียงพอแล้ว”
ฉลาดมาก
ฉินเย่ยิ้มบาง ๆ เขาไม่ได้ใส่ใจอะไร
หากพวกเขาขอเกินตัว พวกเขาก็จะไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับฉินเย่ได้อีกต่อไป มันจะเป็นการดีกว่าหากพวกเขารอเวลาที่ดีกว่าและค่อยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกครั้งในภายภาคหน้า
“มันคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับท่านในการที่จะได้สิ่งเหล่านี้มา” หวงเลี่ยงชวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กุญแจคฤหาสน์ของผมซ่อนอยู่ใต้ดอกกุหลาบดอกที่สามบริเวณทางเข้า ของอยู่ภายในตู้นิรภัยที่ซ่อนอยู่ใต้เตียง รหัสผ่านคือ 432REW มันแคบและเล็กเกินกว่าที่จะสามารถทำความสะอาดได้ ดังนั้นท่านสามารถมั่นใจได้เลยว่าไม่มีผู้อื่นรู้เรื่องรหัสผ่านพวกนี้อย่างแน่นอน”
ทันใดนั้นชายอีกคนหนึ่งก็พูดขึ้น “และการจะขายของพวกนี้ก็ง่ายยิ่งกว่า พวกคนรวยต่างมีแวดวงของตนเอง และการประมูลสิ่งของพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มันก็แค่คนเดินถนนธรรมดาไม่รับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ก็เท่านั้น ท่านจำเป็นจะต้องได้คำเชิญให้เข้าร่วมการประมูล รวมถึงต้องได้รับการยืนยันคุณสมบัติโดยผู้จัดงาน คนพวกนี้ต่างเชื่อถือได้ พวกเขาจะไม่เผยข้อมูลส่วนตัวของท่านให้ผู้อื่นรับรู้อย่างแน่นอน”
งานประมูล? ฉินเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยสรุปเสียงเข้ม “เจตนาอันดีของพวกเจ้าได้ถูกยอมรับแล้ว ไม่ต้องกังวลไป ข้าเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับความยุติธรรม และทุกการกระทำของข้าเองเช่นกัน การเสียสละของพวกเจ้าในวันนี้จะไม่ถูกลืมเลือนอย่างแน่นอน”
ทุกคนต่างถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
คำพูดของคนตรงหน้านั้นเพียงพอที่จะบรรเทาความกังวลของพวกเขา
เมื่อคนทั้งหมดเดินจากไป ฉินเย่ก็จมอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
เขามีเงินทุนสำหรับงานต่อ ๆ ไปแล้ว แต่…นี่ก็เพียงพอแค่สำหรับงานบางส่วนเท่านั้น
100 ล้านหยวน…เขาไม่ได้แน่ใจเสียทีเดียวว่าจำนวนเงินเท่านั้นจะเพียงพอสำหรับการก่อสร้างทั้งหมดหรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้วเขายังไม่ได้คิดเรื่องแรงงานเลย ไหนจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากงานก่อสร้างเหมือนอย่างในแดนมนุษย์ด้วย
แต่…แม้ว่าเงินทุนจะเพียงพอสำหรับโครงการปัจจุบัน แล้วสำหรับโครงการต่อไปล่ะ?
และโครงการต่อไปก็น่าจะคือย่านชุมชนทั้งหมด
โครงการปัจจุบันของพวกเขาตอนนี้เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย สิ่งจำเป็นที่ประชากรวิญญาณเต็มใจที่จะลงทุน แต่ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณหรืออาคารของรัฐบาลนรกล่ะ? พวกเขาจะยังเต็มใจที่จะลงทุนกับโครงการพวกนั้นอยู่หรือไม่?
นอกจากนี้ มันยังมีคำถามอีกว่าเขาจะสามารถไปเจอคนรวย ๆ พวกนี้ได้อย่างไร!
สาเหตุที่ยมโลกในตอนนี้มีวิญญาณอยู่มากมายก็เพราะว่าเหล่าวิญญาณที่อยู่บริเวณใกล้เคียงรับรู้ถึงการถือกำเนิดใหม่อีกครั้งของนรก ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะเจอวิญญาณจากตระกูลที่ร่ำรวยในอนาคตนั้นจึงยิ่งยากขึ้นไปอีก นอกจากนี้ มันไม่สามารถเป็นวิญญาณของเศรษฐีตนใดก็ได้ แต่มันจะต้องเป็นวิญญาณของเศรษฐีที่ยังสามารถเข้าถึงสมบัติของพวกเขาได้ด้วย!
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถเข้าถึงความมั่งคั่งของพวกเขาได้อีกต่อไปหลังจากที่เสียชีวิต เนื่องจากพวกเขาย่อมทิ้งทุกอย่างไว้ให้ลูกหลานของตนหรือไม่ก็ทิ้งมันไป
“เราควรจะหาแหล่งเงินทุนที่ยั่งยืนกว่านี้…และทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ก็คือการทำการค้ากับแดนมนุษย์ รวมถึงการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน แต่…ข้าจะเอาอะไรไปขายให้กับแดนมนุษย์ล่ะ? ใบหน้าอันหล่อเหลาของตัวเองหรืออย่างไร?”
[1] นักธุรกิจชาวจีนที่มีชื่อเสียงในปี 1800 เขาคือผู้เดียวในชนชั้นพ่อค้าที่ได้รับรางวัลหมวกแดงในสมัยราชวงศ์ฉิง
[2] นักธุรกิจชาวจีนที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งในสมัยราชวงศ์หมิงที่มีฝีมือเป็นอย่างมากและถูกเนรเทศโดยองค์จักรพรรดิ แต่ถึงจะถูกเนรเทศ แต่เครือข่ายและอิทธิพลของเขาก็ก่อให้เกิดพื้นในการพัฒนาเส้นทางการขนส่งและค้าขายของจีน
[3] เขาคือนักธุรกิจชาวจีนในช่วงราชวงศ์ฉินในช่วงสงครามระหว่างรัฐ (291-235 ปีก่อนคริสตกาล) ที่เปลี่ยนจากนักธุรกิจไปเป็นนักการเมือง
[4] ทั้งสองคือบุคคลผู้ร่ำรวยที่เกลียดชังกันและกัน และมักจะพยายามเอาชนะการแสดงออกที่มั่งคั่งและฟุ่มเฟือยของอีกฝ่าย