ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 152: นี่มันอะไร?
บทที่ 152: นี่มันอะไร?
“ชะ ช่วยด้วย…” เขาร้องตะโกนร้องด้วยเสียงที่แหบแห้ง ดวงตาแดงก่ำตรงหน้ายังคงจ้องมา ขนทุกเส้นของเขาพลันลุกชัน แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยจนจบ ร่างตรงหน้าก็พูดขึ้น “น่าอร่อย…”
“พวกมนุษย์เอง…ก็ดูจะอร่อยไม่เลวเลย…”
หัวใจของเขาหยุดเต้นไปอย่างกะทันหัน
ความรู้สึกเย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปตามกระดูกสันหลัง
เขาเคยประสบกับสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่า…วิญญาณร้ายตนนี้ได้มายืนอยู่ด้านหลังของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่เขาหันหลังกลับไป เขาก็จะเผชิญหน้ากับมันตรง ๆ
เขาได้รับการสั่งสอนถึงวิธีที่จะใช้รับมือกับวิญญาณพวกนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริง ๆ เขากลับพบว่าตัวเองหาได้มีความกล้าหรือพละกำลังที่จะใช้กระบี่ของตัวเองเลยสักนิด
กึก…กึก กึก กึก….ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง และฟันของเขาก็เริ่มกระทบกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือจู่ ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งจับลงมาบริเวณเอวของเขาก่อนจะล้วงเข้าไปในกางเกงชั้นในและเล่นกับมันเบา ๆ
“ไม่เลวเลย…ข้าอยากจะขอยืมอะไรบางอย่างจากเจ้า…” เสียงหัวเราะคิกคักเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง
คลื่นความสุขที่ไม่สามารถบรรยายได้ทำให้ดวงตาของเขาพร่ามัวเล็กน้อยในขณะที่เสียงพูดที่หวานราวน้ำผึ้งยังคงดังขึ้นข้างหู “ข้าคงไม่กล้าฆ่าเจ้า…การฆ่าใครสักคนในที่แห่งนี้ดูเป็นเรื่องที่เด่นเกินไปเจ้าว่าไม่ล่ะ…เหตุใดเจ้าไม่ให้ข้ายืมพลังหยางบางส่วนของเจ้าเพื่อที่ข้าจะได้หลบซ่อนตัวอยู่ในนี้ได้ต่อไปดี…หืม?”
มันรู้สึกดีมาก….กระดูกเชิงกรานของเขาเริ่มชา และเย่ซิงเฉิงก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างจูบที่ริมฝีปากของเขาเบา ๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลง และหมดสติไปในที่สุด
……………………………………………..
สนามด้านล่าง โจวเซียนหลงกำลังโมโหเป็นอย่างมาก
“ดูตัวเองซะ!” นักเรียนของสาขาการต่อสู้มากกว่าร้อยคน มีทั้งชายและหญิงปะปนกัน ต่างยืนอยู่ที่สนามด้านล่างโดยที่เสื้อผ้าและผมเผ้ายุ่งเหยิง
หลายคนยังติดกระดุมเสื้อไม่ตรงด้วยซ้ำ มีบางคนที่ไม่ใส่แม้กระทั่งรองเท้า บางคนยังคงถือกางเกงของตัวเองอยู่ในมือ บางคนไม่ได้สวมถุงเท้า บางคนรีบสวมรองเท้าถึงขนาดที่ยังไม่ได้ดึงส้นรองเท้าขึ้นด้วซ้ำ…สภาพของคนทั้งหมดเรียกได้ว่ายุ่งเหยิงอย่างถึงที่สุด
ความหวังเพียงอย่างเดียวที่ทำให้โจวเซียนหลงพึงพอใจก็คืออาจารย์ทั้งห้าท่านที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา ทั้งห้าคนคือกลุ่มแรกที่มารายงานตัว และทั้งหมดก็สวมเสื้อผ้าอย่างเรียบร้อยแล้ว
“สาขาการต่อสู้คือกันชนด่านแรกในการเผชิญหน้ากับเหล่าวิญญาณ! พวกคุณคิดว่าพวกภูตผีจะให้เวลาคุณพักผ่อนอย่างนั้นเหรอ?! ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมีวิญญาณปรากฏขึ้นเมื่อครู่? หากพวกมันใช้ประโยชน์จากการหลับลึกของพวกคุณเพื่อเข้ายึดร่าง พวกคุณจะทำยังไง?”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นชัดเจนและดังกึกก้อง และมันก็ทำให้เสียงพูดคุยของเหล่านักเรียนเงียบลงในทันที ทั้งหมดก้มหน้าต่ำ และใบหน้าของพวกเขาก็แดงก่ำขณะที่อดไม่ได้ที่จะก่นด่าในใจ เจ้าโง่ที่นี่มันเป็นคนเสนอความคิดพวกนี้กัน?!
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอับอายมากที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าหอพักของสถาบันนั้นตั้งอยู่ที่ด้านหลังของพวกเขาเท่านั้น และไฟในห้องพักของนักเรียนสาขาอื่นเองก็ถูกเปิดขึ้นเช่นกัน และคนพวกนั้นก็กำลังมองดูการชุมนุมที่วุ่นวายด้วยสีหน้าน่าเกลียด เสียงหัวเราะของคนทั้งหมดคล้ายกับแส้ที่ฟาดลงที่แผ่นหลังของนักเรียนของสาขาการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง
แต่โจวเซียนหลงกลับไม่ได้สนใจเลยสักนิด เจ้าหน้าที่ขั้นตุลาการนรกไม่จำเป็นต้องนอน เขาพูดต่อว่า “ผมรับรองได้เลยว่าหากมีการลอบโจมตีเกิดขึ้นเมื่อครู่ 1 ใน 10 ของพวกคุณคงไม่รอดแน่ ๆ”
“พวกคุณทุกคนล้วนมาจากนิกายซ่อนเร้นที่ใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดจากทั่วทั้งประเทศ ซ้ำร้าย พวกคุณบางคนยังมาจากสามลัทธิหลักของชาติ นี่คือสิ่งที่เหล่าผู้อาวุโสในนิกายสอนพวกคุณอย่างนี้เหรอ? คำสอนของพวกเขาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาหายไปไหนหมด? หากเป็นเช่นนี้ เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น ความระแวดระวังและความตื่นตัวของพวกคุณจะหายไปหรือเปล่า?”
“สำนักฝึกตนแห่งแรกไม่ใช่สถานที่ที่พวกคุณจะมาเที่ยวเล่นสนุกไปวัน ๆ เป้าหมายของสำนักคือการทำให้พวกคุณทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาของตัวเอง พวกคุณไม่อยากจะเป็นกองกำลังหลักในนิกายและตระกูลของตัวเองกันหรือไง? ไม่ใช่ว่านั่นคือความหวังที่อาจารย์ของพวกคุณมีเมื่อพวกเขาส่งคุณมาที่นี่เพื่อเข้ารับการศึกษาอย่างนั้นหรือ? และไม่ต้องมาแก้ตัวกับผมว่าคุณยังเด็กและไร้ประสบการณ์ อาจารย์ S9527 อาจจะอายุไม่เท่าพวกคุณบางคนที่นี่ด้วยซ้ำ แต่เขากลับสามารถทำลายเขตไล่ล่าเก้าเขตได้ด้วยตัวคนเดียวภายในชั่วข้ามคืน! และเขตไล่ล่าพวกนี้ก็ล้วนเป็นเขตไล่ล่าขั้นยมเทพทั้งสิ้น! ผมกล้าพูดเลยว่าตอนนี้พวกคุณทั้งหมดกำลังชีวิตอย่างสุขสบายเกินไปแล้ว!”
“การฝึกตนไม่ใช่เพียงแค่การฝึกฝนศิลปะการต่อสู้และท่องจำตำราเท่านั้น แต่การฝึกตนคือสิ่งที่คุณจะต้องขัดเกลาอย่างต่อเนื่องจากการผลักดันตัวเองให้ไปอยู่เส้นระหว่างความเป็นและความตาย หากพวกคุณยังคงยึดมั่นในความคิดที่ตัวเองมีอยู่ตอนนี้ ผมขอเสนอให้คุณรีบเก็บกระเป๋ากลับบ้านโดยเร็วที่สุดก่อนที่มันจะสายเกินไป นี่เป็นเพียงการเรียกรวมพลด่วนครั้งแรกเท่านั้น และผมก็ขอประกาศให้ทุกคนทราบว่าหากเรื่องแบบนี้ยังเกิดขึ้นอีกครั้ง พวกคุณจะโดยหักคะแนนทางวินัย 10 คะแนน และหากมันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สาม ผมคงต้องเชิญให้พวกคุณออกไปจากที่นี่”
“ซึ่งมันก็หมายความว่าพวกคุณไม่เหมาะสำหรับเส้นทางสายนี้”
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา ดวงตาของเหล่านักเรียนใหม่ต่างเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง อัปยศอดสู และความไม่พอใจ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาทั้งหมดก็ยังคงก้มหน้าลงราวกับลูกนกตัวน้อยที่แสนเชื่อฟัง
“หืม?” ทันใดนั้นเอง แววตาของฉินเย่ก็เปลี่ยนไป
ตอนนี้พวกเขากำลังหันหน้าเข้าหาหอพักของสาขาการต่อสู้ แต่เมื่อครู่นี้…เขากลับสัมผัสได้ถึงร่องรอยของพลังหยิน
มันเบาบางมาก และหายไปอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนกับมันไม่เคยปรากฏมาก่อน
“คิดไปเองงั้นเหรอ?” เขาสงสัยในความรู้สึกของตนเอง นี่คือเมืองเป่าอัน ป้อมปราการหลังของจีนในการต่อสู้กับกองกำลังจากโลกใต้พิภพ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีตุลาการนรก ยมทูตขาวดำ และนักล่าวิญญาณระดับ S กว่าสองร้อยคน ภูตผีตนไหนจะกล้าที่จะบุกเข้ามาที่นี่?
ยิ่งกว่านั้น…
เขาเหลือบตาไปมองโจวเซียนหลงที่ยังคงปกติและไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกันกับเขา
แม้แต่ผู้ที่อยู่ขั้นตุลาการนรกก็ไม่สามารถสัมผัสได้?
เขาคงจะคิดไปเองสินะ?
ทว่าทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นบานหน้าต่างที่ถูกปิดลงอย่างเงียบเชียบจากจุดที่เขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยพลังหยิน
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งและเหลือบไปมองโจวเซียนหลงอีกครั้ง นี่เขาคิดไปเองแน่เหรอ?
เสียงของชายสูงวัยเบาลงแล้ว เขารู้ดีถึงความจริงในการดูแลคนหมู่มาก ดังนั้นเขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรมากกว่าเดิม “โดยธรรมชาติแล้ว นี่เป็นผลพ่วงมาจากความจริงที่ว่าพวกคุณไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้เลย พวกคุณจะคิดเสียว่านี่เป็นการเตือนก็แล้วกัน ในอีกสองปีต่อจากนี้ พวกคุณจะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากเหล่าอาจารย์ที่ยืนอยู่ที่นี่ รวมถึงวิธีการรับมือกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงและการเสริมจิตวิญญาณของตัวเองอีกด้วย จงเชื่อมั่นในสำนักของเรา และเมื่อคุณก้าวออกไปจากที่ แม้แต่เศษเหล็กที่หยาบที่สุดก็สามารถหลอมให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้…”
“ไปเตือนขั้นตุลาการนรกเดี๋ยวนี้!” ทันใดนั้น เสียงกระซิบก็ดังขึ้นในหูของฉินเย่อย่างเร่งรีบ “มีบางอย่าง…เกิดขึ้นที่นี่!”
เสียงอาร์ทิสดังขึ้น
ฉินเย่ไม่สนแล้วว่าอาร์ทิสสามารถทำแบบนี้ได้อย่างไร แต่เขาเชื่อใจอีกฝ่าย โดยไม่พิจารณาอะไรไปมากกว่านี้ เขารีบก้าวไปหาโจวเซียนหลงและกระซิบบางอย่าง ดวงตาของชายสูงวัยลุกโชนขึ้น เขากวาดสายตาไปมองนักเรียนทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
“157…158…ในสาขาของเรามีนักเรียนอยู่ทั้งหมด 159 คน มีนักเรียนหายไปหนึ่งคน” สีหน้าของเขายังเหมือนเดิมขณะที่เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและยิ่งใหญ่ “อาจารย์ซู่ คุณอยู่เฝ้าพวกเขาเอาไว้ เพื่อเป็นการลงโทษ ให้พวกเขาจะยืนอยู่ตรงนี้เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เราไปตรวจดูภายในอาคารกัน”
ขณะที่เขาเดินผ่านฉินเย่ เขาก็มองอีกฝ่ายอย่างสื่อความนัย ฉินเย่รีบเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างเข้าใจทันที
“คุณแน่ใจหรือเปล่า?” โจวเซียนหลงถามขึ้นอย่างเคร่งเครียดทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามาในอาคาร ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะส่ายศีรษะและขมวดคิ้วเข้าหากัน “ผมไม่แน่ใจนัก แต่…นักเรียนของเราหายไปหนึ่งคน และเมื่อครู่นี้ ผมก็สัมผัสได้ถึงร่องรอยของพลังหยินที่เบาบางด้วย…”
ชายสูงวัยและฉินเย่รีบเดินขึ้นไปด้านบนทันที “บอกตำแหน่งของมันมา แล้วจากที่คุณสัมผัสได้ มันคือพลังหยินของวิญญาณขั้นไหน?”
คิ้วของเด็กหนุ่มย่นเข้าหากันมากกว่าเดิม “ชั้น 3 ห้อง 315 ครับ…ส่วนพลังหยิน ผมไม่แน่ใจนัก มันแปลกมาก เพราะมันแทบจะเหมือนกับ…มันไม่สอดคล้องกับขั้นไหนเลย….”
สิ่งที่ฉินเย่ไม่รู้ก็คือเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ในขณะที่อาร์ทิสที่กำลังเล่นวิดีโอเกมอยู่ จู่ ๆ นางก็ชะงักไป แม้แต่หมิงชีหยินเองก็ลอยไปหานางแทบจะทันที
สองวินาที่ต่อมา อาร์ทิสลุกขึ้นยืน และดวงตาของนางพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ทันใดนั้น มันเหมือนกับนางได้ตรวจดูทุกซอกทุกมุมของสำนักฝึกตนแห่งแรก หลังจากนั้นนางจึงเอ่ยว่า “ท่านหมิง ปลดปล่อยความสามารถของท่านเดี๋ยวนี้!”
โดยไม่ถามอะไรไปมากกว่านี้ ประกายแสงสีดำบริสุทธิ์ก็สว่างวาบขึ้นที่พื้นผิวของกระจกส่องกรรม และภาพของห้องพักจำนวนนับไม่ถ้วนในบริเวณโดยรอบก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว และในที่สุด มันก็หยุดลงที่ห้อง 315
ร่างขาวราวหิมะปรากฏขึ้นบนหน้ากระจก ร่างดังกล่าวถูกทับอยู่ด้วยร่างของชายคนหนึ่ง ราวกับว่านางกำลังดูดอะไรบางอย่าง ภาพตรงหน้าดูลามกเป็นอย่างมาก และร่างของชายตรงหน้าก็กระตุกบ้างเป็นครั้งคราว
แต่ก่อนที่ภาพบนกระจกจะฉายให้เห็นอะไรมากกว่านี้ ฝ่ายตรงข้ามเองก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงการสอดส่องของกระจกเช่นกัน พร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างรุนแรง แสงสีทองส่องออกมาจากบริเวณอกและร่างของมันก็หายไปทันที
“มันสามารถหนีไปจากการสอดส่องของข้าได้อย่างนั้นหรือ?” บรรทัดข้อความปรากฏขึ้นบนผิวของกระจกส่องกรรม “นั่น…รูปแบบสมบูรณ์ของต้นแบบวัตถุหยินอย่างนั้นหรือ?
“ช่างกล้าดีจริง ๆ….” เสื้อผ้าที่สวมอยู่ของอาร์ทิสเริ่มกระพืออย่างรุนแรง “เจ้าคิดว่าไม่มีผู้ใดเหลืออยู่ในยมโลกแล้วอย่างนั้นหรือ?!”
ฟิ้ว~….สายลมโดยรอบเริ่มแปรปรวน ในขณะที่พื้นดินเริ่มลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกสีเขียวหยกที่ร้อนระอุราวกับมันมีชีวิตของมันเอง หมิงชีหยินรีบเอ่ยออกมาอย่างสยดสยองพร้อมกับแถวข้อความที่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว “นี่เจ้ากำลังทำอะไร! หยุดเดี๋ยวนี้!! นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?! เจ้ากำลังอยู่ที่สำนักฝึกตนแห่งแรก! และมันก็มีผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกอยู่ที่นี่! หากเจ้าเผยตัวออกมาตอนนี้ เด็กนั่นจะต้องหลบไปอยู่ในหุบเหวของนรกชั่วนิรันดร์เป็นแน่! และแผนการเกี่ยวกับการสร้างยมโลกให้กับสู้ยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์อีกครั้งก็จะพังทลายลง! ให้ตายเถอะ เจ้าช่วยคิดเรื่องพวกนี้บ้างไม่ได้เลยหรือ?!”
อาร์ทิสหลับตาลงและสูดหายใจเข้าช้าๆอยู่หลายครั้งก่อนที่ความเย็นยะเยือกในอากาศจะค่อย ๆ จางหายไป นางมองไปยังทิศที่ตั้งของห้อง 315 และเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “มันมาเร็วเกินไป…แต่เพราะเหตุใดล่ะ? เหตุใดพวกมันถึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่?”
“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน” บนหน้ากระจกปรากฏข้อความขึ้นอีกบรรทัดหนึ่ง ราวกับว่ามันมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “ข้ารู้เพียงว่า…แม้แต่ราชาผีทั้งสามก็ยังไม่สามารถป้องกันการโจมตีของพวกมันได้ แผ่นดินจีนในยามนี้…เป็นเหมือนกับตะแกรงที่ช้อนพวกขอทานและตัวปัญหามาไว้ด้วยกัน แม้แต่ขยะเหล่านี้เองก็กล้าก้าวเท้าเข้ามาในที่แห่งนี้…”
“แล้วเจ้าจะรอช้าอยู่ใย? รีบไปบอกเด็กน้อยของเจ้าเดี๋ยวนี้!”
และนั่นก็คือตอนที่อาร์ทิสส่งกระแสจิตไปหาฉินเย่และบอกเด็กหนุ่มเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ในขณะนั้นเอง ประตูห้อง 315 ถูกเปิดออกเสียงดัง โจวเซียนหลงคือบุคคลแรกที่เข้าถึงที่เกิดเหตุ ด้วยประตูที่ถูกเปิดออก เขาพุ่งตัวเข้าไปในห้องโดยห่อหุ้มร่างด้วยพลังปราณสีขาวบริสุทธิ์
“นี่มัน…” ฉินเย่ตามเข้าไปติด ๆ แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้เขาตกตะลึง
เย่ซิงเฉินนอนอยู่บนพื้นโดยที่สวมกางเกงชั้นในตัวหนึ่ง ร่างของเขายังคงกระตุกเกร็ง ในขณะที่กางเกงชั้นในเปียกเล็กน้อย ชายสูงวัยมองไปรอบก่อนจะหัวเราะเสียงเย็น “การดูดกลืนพลังหยาง”
“พลังหยางของเด็กคนนี้ถูกดูดกลืนไป รีบใช้ผ้าห่มห่อตัวเขาไว้ซะ สิ่งแปลกปลอมตนนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะฆ่าเขา ไม่เช่นนั้นมันถึงดูดพลังหยางที่อยู่ในร่างของเขาทั้งหมดไปแล้ว พรุ่งนี้เช้า เขาจะจำอะไรไม่ได้อีก”
ขณะที่ฉินเย่แบกร่างของเย่ซิงเฉินกลับไปที่เตียง โจวเซียนหลงก็เดินไปที่กลางห้อง รูทวารทั้งเจ็ดของเขามีกลุ่มควันสีขาวไหลออกมาก่อนจะก่อตัวเป็นพลังปราณที่หนาแน่น ตอนนี้ ชายสูงวัยดูเหมือนกับเทพเจ้าที่กำลังจุติลงมาจากสรวงสวรรค์ไม่มีผิด
“ช่างกล้าดีจริง ๆ…” เขาเอ่ยขึ้น “ข้าให้เวลาเจ้าห้าวินาที ปรากฏตัวออกมา และข้าจะทำให้เจ้าได้ตายอย่างรวดเร็วและไม่ทรมาน”
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
ฉินเย่เอนหลังพิงกับเตียง เขาสามารถบอกได้ว่าโจวเซียนหลงกำลังจะระเบิดออกมาเต็มทนแล้ว
การเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในสำนักฝึกคนแห่งแรกนั้นไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าของพวกเขาอย่างจัง
“สี่ สาม สอง หนึ่ง… ดี!!”
ทันทีที่เขานับเสร็จ คลื่นพลังปราณที่รุนแรงก็ปะทุออกมาจากร่างของชายสูงวัย มันเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายว่ามันคือวรยุทธใด แต่ถึงกระนั้น ในเสี้ยววินาทีที่มันเกิดขึ้น ทั่วทั้งสำนักฝึกตนแห่งแรกก็รู้สึกราวกับมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่พวกเขาอย่างลึกลับ
“ดวงตาเห็นธรรม” กลับไปที่ห้องของฉินเย่ อาร์ทิสมองมองดูคลื่นพลังที่แปรปรวนและพึมพำกับตัวเอง “มันไม่ได้ผล สิ่งพวกนี้…มีเพียงยมโลกเท่านั้นที่สามารถใช้มันได้ แม้แต่ผู้ฝึกตนมนุษย์ขั้นฝู่จวินเองก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้…”
“เพราะอย่างไรแล้ว เจ้าพวกนั้น…ก็ยังติดอันดับของเหล่าวิญญาณที่สกปรกที่สุดในหมู่วิญญาณทั้งหมดที่อยู่ด้านนอกนั่น…ข้าไม่อยากจะบอกเรื่องนี้กับเจ้าเด็กนั่นมาก่อน ผู้ใดจะไปคิดว่าพวกมันจะมีความกล้าถึงขนาดที่ลอบเข้ามาในใจกลางของสำนัก”
Talk: ในสาขาการต่อสู้จะมีอาจารย์รับนักเรียนไปดูแลจำนวนต่างกันนะคะ ของฉินเย่รับนักเรียน 40 กว่าคน รวมกับของท่านอื่นเลยรวมเป็นร้อยคน