ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 156: การบรรยายของมือใหม่ (1)
บทที่ 156: การบรรยายของมือใหม่ (1)
ห้องบรรยายเงียบกริบราวกับไร้ร้างผู้คนไปแล้ว
ในความเป็นจริง นักเรียนของสาขาการต่อสู้ทุกคนล้วนนั่งรอการเปิดบรรยายอย่างตื่นเต้นอยู่ก่อนแล้ว นอกจากนี้พวกเขาทั้งหมดยังนั่งอยู่แถวหน้าเสียด้วย แตกต่างจากนักศึกษาทั่วไปที่มักจะชอบที่จะนั่งด้านหลังเพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถนั่งเล่นโทรศัพท์หรือเล่นเกมในแล็ปท็อปของตัวเองได้
และที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพวกเขารู้ดีว่าสถานการณ์ของตัวเองตัวเองตอนนี้ไม่เหมือนกับนักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วไป ที่สามารถเที่ยวเล่นอย่างสบายใจโดยไม่ต้องคิดอะไรก็ได้ตลอดสี่ปี พอเรียนจบก็หางานสบาย ๆ ทำ ใช่ น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้มีชีวิตที่หรูหราขนาดนั้น
หากพวกเขาไม่พยายามอย่างหนักในตอนนี้ พวกเขาอาจจะต้องจ่ายมันภายหลังด้วยเลือด หยาดเหงื่อ และน้ำตา…หรือแม้แต่ชีวิตของพวกเขาเอง!
ดังนั้น สายตาอยากรู้และมุ่งมั่นหลายสิบคู่จึงจับจ้องไปที่ร่างของฉินเย่ขณะที่เด็กหนุ่มเดินไปอีกฝั่งหนึ่งของห้อง บรรยากาศยังคงเงียบสงบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ใครสักคนจะเริ่มปรบมือ และในตอนนั้นเอง เสียงปรบมือก็ดังประจายขึ้นทั่วทั้งห้องบรรยาย และเสียงปรบมือของคนกว่า 200 คนก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
“สวัสดีครับอาจารย์!”
“สวัสดีครับอาจารย์ฉิน!”
“อาจารย์ฉินครับ อีกสองปีหลังจากนี้เราขอฝากความหวังไปที่คุณ! กรุณาดูแลพวกเราด้วย!”
“คุณจะต้องสอนถึงวิธีการบรรลุสู่ขั้นนักล่าวิญญาณได้อย่างรวดเร็วให้พวกเราบ้าง! ครอบครัวผมจะต้องเป็นบ้าแน่หากผมจบออกไปด้วยขั้นของนักล่าวิญญาณได้!”
เสียงตะโกนดังขึ้นในขณะที่เสียงปรบมือยังคงดำเนินไปอย่างไม่หยุดหย่อน
ฉินเย่สูดหายใจเข้าลึก ๆ และประสานมือคารวะคนในห้องประชุมทั้งหมด
วันนี้ถือเป็นวันที่ควรค่าแก่การจดจำ!
ในที่สุดฮัสกี้ก็ได้มายืนอยู่ต่อหน้าของหมาป่าทั้งฝูง! อีกทั้งมันยังได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการให้ความรู้กับเหล่าหมาป่ารุ่นถัดไปอีกด้วย!
เขาก้มหน้าดูโทรศัพท์ของตัวเอง…ยังเหลือเวลาอีกประมาณสิบนาที เนื้อหาทั้งหมดถูกบรรจุไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ของห้องบรรยายตั้งแต่เมื่อคืนนี้ เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ จากนั้นจึงหลับตาลงเพื่อพักผ่อน เวลาดำเนินไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้น ดิ้ง ด่องงงง! เมื่อเข็มนาฬิกาตีบอกเวลาเก้าโมงตรง ฉินเย่ก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ทั่วทั้งห้องบรรยายเงียบเสียงลงอีกครั้งภายในเสี้ยววินาที เหล่านักเรียนเริ่มเปิดสมุดของตนและเปิดแม้กระทั่งตั้งกล้องถ่ายวิดีโอ บางคนถึงขนาดที่พกเครื่องบันทึกเสียงมาด้วย ในขณะที่คนอื่น ๆ รีบเปิดโทรศัพท์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังหลายคู่จับจ้องไปที่นักล่าวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้า
หนึ่งวินาทีต่อมา คลื่นพลังอ่อน ๆ ที่ถูกปลอมเป็นพลังปราณก็แผ่ออกมาจากที่โต๊ะบรรยายและกระจายเต็มไปทั่วทุกมุมห้อง นักเรียนทั้งหมดต่างตกตะลึง แต่ความตกใจนั้นก็เปลี่ยนเป็นความสุขและความอิ่มเอมใจอย่างรวดเร็ว! เสียงร้องและพึมพำอย่างตื่นเต้นดังก้องไปทั่วขณะที่เหล่านักเรียนต่างมองหน้ากันและกันอย่างตกตะลึง
ขั้นนักล่าวิญญาณ
มันคือพลังของขั้นนักล่าวิญญาณอย่างแท้จริง!
นักเรียนหลายคนยังคงติดอยู่ที่คอขวด ไม่สามารถบรรลุเป็นผู้ฝึกตนขั้นยมเทพได้ แต่อาจารย์ของพวกเขากลับก้าวเข้าสู่ขั้นนักล่าวิญญาณแล้ว!
“เฮ้อ….” เย่ซิงเฉินหลับตาลงและสัมผัสถึงพลังปราณของฉินเย่ เปลือกตาของเขาสั่นระริกอย่างตื่นเต้น “ก่อนที่จะมาที่นี่ ฉันได้ยินข่าวลือมาว่าอาจารย์ฉินคือนักล่าวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง ความรู้สึกที่ได้สัมผัสและเห็นมันด้วยตาของตัวเองนั้นมันคนละเรื่องกันเลยจริง ๆ…”
“นักล่าวิญญาณที่อายุแค่ 18 ปี…นั่นเด็กกว่าฉันเสียอีก….” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีนิสัยเรียบง่ายและซื่อตรงหลับตาลงและส่ายศีรษะพร้อมกับเอ่ยออกมา “มันเป็นเรื่องจริง…ข้อมูลที่ทางสำนักส่งมาให้เราไม่ใช่เรื่องโกหก…มันมีอัจฉริยะอยู่ในโลกนี้จริง ๆ ด้วย…”
ราวกับคลื่นในทะเล เสียงพึมพำและพูดคุยดังขึ้นและค่อย ๆ เบาลง
เสียงกระซิบนั้นเป็นเหมือนกับเปลวไฟที่ลุกโชนและแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วราวสายลม ไม่กี่วินาทีต่อมา นักเรียนทั้งหมดก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้แววตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยประกายไฟที่ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
ฉินเย่เอ่ยขึ้นในที่สุด “ก่อนที่ผมจะเริ่มการบรรยาย ผมมีหนึ่งคำถามที่จะถามพวกคุณทุกคน”
เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างใจเย็นขณะที่เสียงพูดของเขาดังก้องไปทั่วห้องบรรยาย “นักเรียนที่รัก สิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อเผชิญหน้ากับวิญญาณคืออะไร? แถวแรกคนที่สามจากทางซ้าย คุณคิดว่ามันคืออะไร?”
หวังเฉิงห่าวลุกยืนขึ้น
สีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนเป็นไปทันที
นี่ล้อเล่นหรือเปล่า…อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้? ไม่แปลกใจเลยที่เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายดูหน้าคุ้น ๆ! ที่แท้ก็ไอ้เด็กนี่เอง!
ขอร้องล่ะ นายช่วยให้คำตอบที่ปกติกับฉันสักครั้งได้หรือเปล่า?!
“ความกล้าหาญครับ!” ราวกับได้ยินเสียงโอดครวญในใจของฉินเย่ หวังเฉิงห่าวตอบภายใต้การจ้องเขม็งของฉินเย่ “ผมอยากเรียนรู้วิธีในการเผชิญหน้ากับสิ่งแปลก ๆ เหล่านั้น ปราบปรามมัน และแม้แต่…กำจัดมัน”
ไม่เลว…
ฉินเย่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาดใจและพยักหน้าเบา ๆ “นั่นเป็นส่วนหนึ่ง ผู้ที่จบการศึกษาจากสำนักฝึกตนแห่งแรกจะสามารถยืนอยู่แนวหน้าของกองกำลังต่อต้านการรุกรานของวิญญาณ ความกล้าหาญนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ไม่ใช่ทั้งหมด แถวที่สอง คนที่สี่จากทางขวา แล้วคุณล่ะ?”
“ความแข็งแกร่งค่ะ สิ่งนี้รวมถึงทักษะที่จำเป็นทั้งหมด เช่น พื้นฐานในศาสตร์และวิชาของเจ้าตัว ตลอดจนรากฐานการฝึกฝนที่เพียงพอ” เด็กสาวผมสั้นที่มีใบหน้าเย็นชาลุกขึ้นยืนและตอบ
“นั่นก็ถูก แต่ผมอยากได้อะไรที่มันครอบคลุมกว่านี้ แถวที่สาม….”
หลังจากถามนักเรียนอีก 4-5 คน เขาก็หยุดเรียกอีกฝ่ายให้ตอบคำถามและเอ่ยต่อ “ทุกสิ่งที่พวกคุณได้ตอบมานั้นล้วนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…การเอาชีวิตรอด”
“วิญญาณนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกคุณคิด เมื่อพวกคุณเข้าไปในเขตไล่ล่าที่วิญญาณสามารถซ่อนตัวได้ ต่อให้นั่นเป็นเพียงบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง ก็ไม่แน่ว่าในนั้นอาจจะมีวิญญาณสิงอยู่เป็นร้อยก็ได้”
“ทั้งสมุด ปากกา กระจก เสื้อผ้า…ทั้งหมดนี้สามารถถูกใช้เป็นที่สิงสู่ของวิญญาณได้ทั้งนั้น หากคุณไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งใดอันตรายและสิ่งใดไม่อันตราย คุณก็จะอยู่ในจุดที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที”
“และจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่คุณค้นพบการมีอยู่ของวิญญาณ? คุณจะต้องเชื่อมโยงวิญญาณตนนั้นกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในสถานที่แห่งนั้นให้ได้โดยเร็วที่สุด นอกจากนี้คุณยังต้องประเมินระดับภัยคุกคามของวิญญาณตนนั้นด้วย ว่ามันคือวิญญาณเร่ร่อน? วิญญาณอาฆาต? วิญญาณร้าย? หรืออาจจะเป็น…ภูตผีคลุ้มคลั่ง? และที่นั่นมีวิญญาณทั้งหมดอยู่กี่ตน? มันเป็นรังของวิญญาณหรือเปล่า?”
“คุณต้องมีชีวิตรอดเท่านั้น เมื่อคุณมีชีวิตรอดคุณก็จะสามารถกำจัดกับวิญญาณร้ายได้ ดังนั้น หัวข้อการบรรยายของผมในวันนี้คือ….”
เขาดีดนิ้วของตัวเอง และหน้าจอ LED ขนาด 10*6 เมตรก็ค่อย ๆ เลื่อนลงมาด้านหลังของเด็กหนุ่ม นี่คือหน้าจอ LED ที่กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในตอนนี้ ทั้งหมดที่เขาต้องทำมีเพียงกดพอนย์เตอร์ไปที่หน้าจอเพื่อคุมสไลด์เท่านั้น
แผนการสอนของเขาปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
มันเป็นเพียงตัวอักษรสีดำที่เรียบง่าย แต่กลับทำให้แววตาของผู้ที่นั่งฟังเป็นประกายขึ้นทันที
“วิญญาณ – ชนิด ความสามารถ และมาตรการรับมือ”
พรึ่บ! สายตาของคนทั้งหมดลุกโชนขึ้นพร้อมกัน
นี่เป็นมันน่าทึ่งมาก
หัวข้อของฉินเย่นั้นตรงไปตรงมา แต่เนื้อหาของมัน…สอนให้พวกเขารู้ว่าควรเอาไปใช้อย่างไร!
ทันใดนั้น เด็กนักเรียนคนหนึ่งก็ยกมือขึ้น ฉินเย่ชี้ไปที่อีกฝ่าย ก่อนที่เด็กหนุ่มจะลุกขึ้นยืนและถามอย่างสงสัย “อาจารย์ฉินครับ….”
ทว่าก่อนที่เขาจะได้ถามอะไร ประตูหลังของห้องบรรยายก็ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน
กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเอกสารในมือ ผู้ที่เดินนำหน้าคนทั้งหมดมานั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้อำนวยการสวี่อันกั๋ว ตามมาด้วยโจวเซียนหลง เถาหราน และพวกระดับสูงของสำนักวิชาการ สำนักงานกิจการภายใน ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และฝ่ายข้อมูล รวมทั้งสิ้นสิบคน อาจารย์อีกสี่คนของสาขาการต่อสู้เองก็เดินเข้ามาในห้องบรรยายตามหลังเหล่าผู้สังเกตการณ์ผู้มีชื่อเสียง ตามมาด้วยบุคลากรจำนวนหนึ่งที่สวมชุดสูทสีดำที่ถือทั้งกล้องทั้งแล็ปท็อป
เสียงของพวกเขาไม่ได้ดังมาก แต่มันก็เพียงพอที่จะดึงความสนใจของเหล่านักเรียนออกจากบทเรียนที่กำลังเรียนอยู่ สวี่อันกั๋วทำท่าบอกให้นักเรียนทั้งหมดเงียบเสียงลงและชี้ไปที่โต๊ะบรรยายเพื่อให้พวกเขากลับไปสนใจที่ด้านหน้าของห้องบรรยายอีกครั้งขณะที่เชิญให้คนอื่น ๆ นั่งลงอย่างเงียบ ๆ จากนั้นเขาก็ทำท่าเชิญให้ฉินเย่เอ่ยต่อจากสิ่งที่ค้างเอาไว้
ฉินเย่พยักหน้า ในที่สุดพวกเขาก็มา…เหล่านักเรียนอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่เขาสังเกตมันได้ทันที
สวี่อันกั๋ว ผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำระดับสูง นั่งอยู่ที่จุดกึ่งกลางของคนทั้งหมด!
เขาสามารถมองเห็นพลังปราณที่ลอยไปมาราวกับหมอกหนาในฤดูหนาวของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ด้านหลังของผู้อำนวยการสำนัก โจวเซียนหลงวางถ้วยชาในมือของตนอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ พลังปราณของเขาเป็นเหมือนกับทะเลหมอกที่ปกคลุมเทือกเขาหวงซาน โจวเซียนหลงนั่งลงข้าง ๆ อยู่ท่ามกลางสายหมอกราวกับอสูรที่ยิ่งใหญ่
ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกระดับสูง!
ต่อให้เขามองลงไปในส่วนลึกของยมโลกแห่งเดิม ผู้ที่อยู่ขั้นตุลาการนรกอย่างอีกฝ่ายก็จะต้องได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าและรับผิดชอบในเรื่องการเกิดและตายของผู้คนนับสิบล้านอย่างไม่ต้องสงสัย
สายตาของฉินเย่ยังคงไล่ตามองพวกระดับสูงทั้งหมด ผู้อำนวยการสำนักวิชาการ โจวหรู่ผิง ผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำระดับกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการภายใน หม่าช่างหลง ขั้นยมทูตขาวดำระดับต้น ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล จูโย่วเต๋อ ขั้นยมทูตขาวดำระดับสูง ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูล หลงฉิน ขั้นยมทูตขาวดำระดับสูง ผู้อำนวยการฝ่ายบุคคล กั้วเจิ้งซยง ขั้นยมทูตขาวดำระดับกลาง …
คณะผู้ประเมินประกอบไปด้วยระดับสูงของสถาบันสิบคน 9 ใน 10 คือผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำ และอีกคนหนึ่งคือขั้นตุลาการนรก ทั้งหมดเปิดสมุดของตนออกอย่างพร้อมเพรียงกัน การกระทำของพวกเขาไม่ส่งเสียงใดออกมา แต่พลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของคนทั้งหมดนั้นราวกับกำแพงหมอกหนาที่กระเพื่อมขึ้นลงราวกับกระแสน้ำ ความเข้มข้นของพลังหยางนั้นหนาแน่นเป็นอย่างมาก!
นอกเหนือจากนั้น ฉินเย่ยังเห็นด้วยว่าชายสี่คนที่สวมชุดสูทสีดำนั้นไม่มีตราของหน่วยสอบสวนพิเศษประดับอยู่ที่อก แต่…มันคือตราของศูนย์วิจัย SRC!
ช่างเป็นการรวมตัวที่ยิ่งใหญ่และน่าประทับใจจริง ๆ …สีหน้าของฉินเย่ฉายแววไม่ชอบใจออกมาเล็กน้อย เขาจะต้องบรรยายภายใต้การสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดของผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำเก้าคนและขั้นตุลาการนรกอีกหนึ่งคน มันคงจะเป็นการโกหกหากเขาบอกว่าตัวเองไม่รู้สึกกดดันเลยแม้แต่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้น–
มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะวิตกกังวล เขาจำเป็นจะต้องกล้าหาญเมื่อสิ่งต่าง ๆ มาถึง
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือฮัสกี้ที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่าอยู่แล้ว เขาก็เคยคาดการณ์ไว้แล้วว่าวันแบบนี้จะมาถึงในไม่ช้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
เมื่อทุกคนนั่งประจำที่ของตัวเอง ฉินเย่ก็พยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อทำให้จิตใจของเขาสงบลง เขาหันกลับไปมองนักเรียนคนที่ถามคำถามแล้วพยักหน้า “เชิญถามต่อ”
นักเรียนคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง ผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเห็นกันได้ง่าย ๆ แต่ในสำนักผู้ฝึกตนแห่งแรกกลับมีพวกเขาอยู่ถึงสิบคน! นักเรียนที่ลุกขึ้นถามก่อนหน้านี้หน้าแดงก่ำและถามออกไปทันที “เอ่อ…อาจารย์ฉินครับ…ทะ ทำไมถึงไม่มี…วิธีการจำแนกวิญญาณและการโจมตีล่ะครับ?”
ฉินเย่ยิ้ม “เพื่อนร่วมชั้นคนนี้ถามได้ดีมาก ในความเข้าใจของพวกคุณตอนนี้อาจจะมีวิญญาณอยู่เพียงไม่กี่ชนิด แต่ในความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น วิญญาณบางชนิดนั้นแปลกประหลาดจนพวกเขาไม่สามารถเรียกมันว่าเป็นวิญญาณได้ด้วยซ้ำ แม้ว่าพวกมันจะยืนอยู่ตรงหน้าพวกคุณก็ตาม”
“ผมไม่ได้บอกว่าฐานข้อมูลที่เรามีตอนนี้นั้นไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันมีวิญญาณบางชนิดที่มีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น และพวกมันก็สามารถหลอกลวงสายตาของมนุษย์มาได้จนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นในวันนี้ผมจะสอนพวกคุณถึงวิธีการระบุและแยกชนิดของวิญญาณ”
ณ แถวหลังของห้องบรรยาย สมาชิกของศูนย์วิจัย SRC ที่เพิ่งตั้งค่ากล้องของเขาเสร็จชะงักไป สวี่อันกั๋วเหลือบตาไปมองอีกฝ่าย “คุณคิดว่าอย่างไร?”
ชายทั้งสี่เปิดกล้องของตนและนั่งลงด้านหลังของสวี่อันกั๋ว ชายคนนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว “เขากำลังกล่าวหาว่าฐานข้อมูลของศูนย์วิจัย SRC และหน่วยสอบส่วนพิเศษมีปัญหา”
“เขาไม่ได้กล่าวหา เขาเพียงแต่กำลังขัดเกลามัน” โจวเซียนหลงตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง “นอกจากนี้ หากมันมีข้อผิดพลาดอยู่จริง ๆ คุณก็แค่แก้ไขมัน หรือต่อให้มันไม่มีอยู่จริง ๆ คุณก็ไม่มีอะไรต้องสูญเสียเลยสักนิด เขายังไม่ได้เริ่มอธิบายอย่างละเอียด ด้วยซ้ำ พวกคุณก็วางยาพิษในบ่อน้ำ*เสียแล้วเหรอ? คนของทางศูนย์วิจัย SRC มาที่นี่ก็เพื่อสังเกตการณ์เท่านั้น โปรดอย่าเพิ่งรีบด่วนสรุป”
(*หมายถึง กล่าวหา)
เห็นได้ชัดว่าอิทธิพลและความชั่วร้ายของโจวเซียนหลงไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในแอปโม่โม่เท่านั้น ชายในชุดสูทสีดำไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก และเขาก็รีบเปิดสมุดของตัวเองอย่างเชื่อฟังเงียบ ๆ
“ดูเหมือนว่าคุณจะค่อนข้างปกป้องเขามากเลยนะ” สวี่อันกั๋วมองฉินเย่อย่างสนใจขณะที่เอ่ยเบา ๆ ให้โจวเซียนหลงได้ยิน
แน่นอนว่าฉินเย่เห็นการกระซิบคุยกันของชายสูงวัยทั้งสอง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรในเรื่องนั้น เด็กหนุ่มเพียงเจาะลึกลงสู่ส่วนแรกของการบรรยาย
“นี่คือนักล่าวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ อนาคตของเขานั้นไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงเท่านี้แน่ครับ ดังนั้นมันมีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่ปกป้องเขากันล่ะ?” โจวเซียนหลงเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ
“ผมไม่มีทางทำอะไรที่จะทำให้พันธมิตรของเราสิ้นสุดลงเพราะความพึงพอใจของศัตรูอยู่แล้ว”
สวี่อันกั๋วเคาะนิ้วบนโต๊ะเบาๆ จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “คุณคิดอย่างไรกับหัวข้อบรรยายของเขา?”
“น่าสนใจมาก” โจวเซียนหลงตอบอย่างเฉยเมย “การแยกชนิดของวิญญาณและความสามารถของมันเป็นหัวข้อที่ควรได้รับความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะอย่างไรแล้วมีเพียงรู้เขารู้เราเท่านั้น คุณถึงจะได้รับชัยชนะในทุกการต่อสู้”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของสวี่อันกั๋วยังคงราบเรียบและไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใด ๆ ขณะที่เขาถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมมันถึงยังไม่มีการสร้างแผนกที่เกี่ยวข้องจนถึงตอนนี้ล่ะ?”