ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 198 งานประมูลใหญ่
บทที่ 198: งานประมูลใหญ่
ฉินเย่กะพริบตาปริบขณะที่พยายามหาอะไรบางอย่าง
“เจ้าทำอะไร?” อาร์ทิสถาม
“ข้าคิดว่าจะสัก…ท่านคิดว่าข้าจะสามารถเพิ่มพลังโจมตีของตัวเองโดยการสักพิมพ์เขียวของสำนักไว้บนร่างได้หรือไม่[1]?”
อาร์ทิสตกตะลึง “พลังโจมตี? นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน…บางทีมันอาจจะทำให้ออร่าของเจ้าเพิ่มขึ้นมหาศาลก็เป็นได้….”
หากคุณทำบางสิ่งบางอย่างด้วยความเหนื่อยล้า มันไม่มีทางออกมาดีอย่างแน่นอน ตอนนี้เป็นเวลาตี 2 แล้ว ฉินเย่พลิกตัวไปมาอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราอย่างรวดเร็ว
แดนมนุษย์และยมโลกเป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีทางมาบรรจบกัน และการทำการค้าระหว่างทั้งสองโลกย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเทียบกับปัญหาในการซื้อขายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว ปัญหาของเขาเกี่ยวกับไม้ฮวงหัวลี่นั้นดูเล็กน้อยและดูหมดความสำคัญไปเลย
ในความเป็นจริง นี่คือปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยความใจร้อน เช่นเดียวกับเรื่องชายโง่ย้ายภูเขา [2] มีเพียงหลังจากผ่านช่วงเวลาและงานที่ยากลำบากแล้วเท่านั้น ยมโลก จึงจะสามารถฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ในอดีตได้อีกครั้ง
การทำงานอย่างไม่ลืมหูลืมตาหรือมากเกินไปจะทำให้เสียแรงเปล่า จิตใจที่ชัดเจนและความคิดที่เฉียบคมนั้นเป็นรากฐานสำหรับการบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นฉินเย่จึงหลับสนิทตลอดทั้งคืนจนกระทั่งตื่นมาอีกทีในเวลา 8 โมงตรง เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็ได้รับข้อความแจ้งเตือนจำนวนมากจากแอปโม่โม่
ยิ้มกว้างเหมือนมหาสมุทร: “อาจารย์ผู้สอนของสาขาการต่อสู้ทุกท่านกรุณาเตรียมพร้อมสำหรับการย้ายหอพักใหม่ หัวหน้าสาขาโจวได้สั่งให้ทุกคนย้ายไปที่หอพัก 6 ที่ตั้งอยู่ที่ห้องปฏิบัติการทางฝั่งตะวันออกติดกับแม่น้ำเทียม แต่ละสาขาจะถูกจัดให้พักอยู่ในหอพักเดียวกัน และหอพักสุดท้ายก็จะเป็นที่พักของฝ่ายบริหารของสำนัก นอกจากนี้ ทุกชั้นจะต้องมีอาจารย์อยู่อย่างน้อยหนึ่งท่าน ศาสตราจารย์ของแต่ละสาขาจะเป็นผู้ตรวจดูการย้ายหอพักด้วยตัวเองในเวลา 6 โมงเย็นของวันนี้”
เป็นวินาทีนั้นเองที่ฉินเย่ตระหนักได้ว่า ตั้งแต่ที่เขาล้มเลิกความตั้งใจที่เว้นระยะห่างจากผู้คน เขาก็มักจะถูกดึงเข้าสู่สังคมโดยไร้เหตุผลมาโดยตลอด
ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มแชทของสาขาการต่อสู้ที่ไม่มีโจวเซียนหลงอยู่
และมันยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า ‘อันธพาลท้องถิ่นและผองเพื่อน’ ที่ส่งเสียงแจ้งเตือนอยู่ทุกนาที
มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาถูกดึงเข้ากลุ่มบ้านี่!
ทันทีที่ข้อความของซู่เฟิงถูกส่งมา หลินฮั่นก็ส่งข้อความไปหาฉินเย่ผ่านทางแชทส่วนตัวทันที “ผมย้ายเสร็จแล้ว เมื่อไหร่คุณจะย้ายเสร็จ? ไปหาอะไรทานที่โรงอาหารกันไหม?”
ฉินเย่: “ทำไมเร็วขนาดนั้น?”
หลินฮั่น: ใช้นักเรียนของคุณสิ! พวกเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่เก็บของไปจนถึงขนย้ายของ! คุณคิดจริง ๆ หรือว่างานศิลปะล้ำค่าอย่างผมจะทำอะไรแบบนี้ด้วยตัวเอง?
…คุณน่ะหรืองานศิลปะล้ำค่า….แม้ว่าฉินเย่จะคิดเช่นนั้น แต่เขาก็คิดว่าคำแนะนำของหลินฮั่นก็ไม่เลวเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงรีบพิมพ์ตอบไปว่า “คุณช่วยส่งคนที่ค่อนข้างแข็งแรงมาช่วยผมทีได้ไหม?”
ทันใดนั้น ขณะที่เขากำลังจะกดส่ง จู่ ๆ เข้าก็นึกถึงเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้และทำให้เด็กหนุ่มรีบลบทุกอย่างที่ตนพึ่งพิมพ์ไปทิ้งทันที สายตาค่อย ๆ เหลือบตามองตุ๊กตายางที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับโลกอินเทอร์เน็ตด้วยสายตาอาฆาต
เขาเป็นเหมือนกับเด็กผู้ชายที่มีโครงกระดูกขนาดใหญ่อยู่ในตู้เสื้อผ้า! จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกนักเรียนมาช่วยเขาเก็บของ?
เขาสามารถจินตนาการถึงสิ่งที่จะตามมาได้เลย
ภาพในความคิดฉินเย่
นักเรียนเอกระซิบเสียงเบา “นายจำได้ไหม? อาจารย์ฉินน่ะ อาจารย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นขั้นนักล่าวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ วันนี้เขาเอา ‘แฟนสาว’ ของตัวเองมาตากด้วย! นี่เป็นความลับที่ฉันบอกนายแค่คนเดียวนะ อย่าเอาไปบอกใครต่อล่ะ!”
นักเรียนบี พยักหน้าอย่างหนักแน่นก่อนจะหันไปหานักเรียนซีและเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบา “นี่ ฉันจะบอกความลับบางอย่างให้นายฟัง แล้วอย่าเอาไปบอกคนอื่นล่ะ เมื่อคืนนี้ อาจารย์ฉินใช้ ‘แฟนสาว’ ของเขาและไม่ทำความสะอาดมันให้เรียบร้อย แถมเขายังนำมันออกมาแขวนตากไว้ข้างนอกอีกต่างหาก”
นักเรียนซี “นายรู้อะไรไหม? เมื่อคืนนี้อาจารย์ฉินทำ ‘แฟนสาว’ ของเขาพังถึงสามตัว และตอนนี้พวกมันก็ถูกนำไปแขวนอยู่ที่ระเบียงห้องของเขาเพื่อตากแห้ง!”
นี่มันเป็นภาพที่อยู่เหนือจินตนาการของเขาไปแล้ว
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ฉินเย่ก็มายืนอยู่ที่ทางเข้าพร้อมกับกล่องลังขนาดใหญ่หลายกล่อง เขากัดฟันแน่นขณะส่งข้อความไปหาเหล่านักเรียนว่า “มีนักเรียนที่น่ารักคนไหนที่เต็มใจจะช่วยผมขนย้ายสัมภาระบ้างหรือเปล่า?”
“แน่นอนครับ!” “อาจารย์ฉินหรือครับ? ผมจะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ” “ขอเวลาหนึ่งนาที ผมอยู่ด้านล่างแล้ว!”
สิบนาทีต่อมา หวังเฉิงห่าว เย่ซิงเฉินและนักเรียนอีกจำนวนหนึ่งก็มายืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า พวกเขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเองพร้อมหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน หวังเฉิงห่าวมองดูกล่องขนาดใหญ่ที่วางอยู่ด้านข้างของฉินเย่และชะงักไป “อาจารย์ฉิน คุณน่าจะเรียกให้เรามาช่วยเก็บของให้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องลำบากเก็บของทั้งหมดด้วยตัวเองเลย….“
ฉินเย่มองท้องฟ้าที่อยู่ข้างไกลออกไปเงียบ ๆ นอกเหนือจากเสียงหัวเราะที่หลุดออกมาแล้ว ใบหน้าของเขาก็แทบจะไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใด ๆ เลยสักนิดเดียว
ก่อนหน้านี้ ขณะที่ตุ๊กตายางตนหนึ่งคิดจะต่อต้านการยัดตัวเองลงไปในกล่อง นางเกาะติดกับแล็ปท็อปของตนของอย่างแน่หนา โดยอ้างว่านางต้องการเล่นเกมให้จบเสียก่อน และบ่นว่ากล่องที่มีผ้าห่มวางเอาไว้เพื่อความสะดวกสบายนั้นมืดเกินไป มีเพียงหลังจากที่ฉินเย่หย่อนโทรศัพท์ตัวเองลงไปในกล่องแล้วเท่านั้น นางถึงจะยอมแพ้และเงียบไปได้ในที่สุด และตอนนี้นางก็คงจะเล่นเกมรถแข่งอยู่ในกล่องเป็นแน่
หลังจากผ่านความยากลำบากมากมาย ในที่สุดฉินเย่ก็สามารถย้ายมาที่หอพักแห่งใหม่ของเขาได้สำเร็จ มันตั้งอยู่ที่ปลายสุดของชั้นสาม เหล่านักเรียนที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ ต่างดีใจเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่าเขาอยู่ชั้นนี้ และทั้งหมดก็รีบมาทักทายเขาทันทีที่มาถึง กว่าที่เด็กหนุ่มจะเก็บข้าวของทั้งหมดให้เข้าทีมันก็เป็นเวลา 11 โมงแล้ว
ฉินเย่เดินไปที่โรงอาหารเพื่อทานอาหารเที่ยง ก่อนจะกลับมาที่ห้องและปิดประตูลงอย่างแรง จากนั้นเขาก็เปิดไวไฟและเริ่มพิมพ์หาบางลงไปในแถบค้นหาอย่างรวดเร็ว
เมืองเป่าอันในตอนนี้ยังอยู่ในช่วงปิดเมือง แต่การสนับสนุนทางเทคโนโลยีในการรองรับการเชื่อมต่อของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่น่าประทับใจ นอกจากนี้ยังมีคำบางคำที่สามารถใช้เป็นตัวกรองในการค้นหา และทำให้ประชากรในเมืองสามารถหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโลกภายนอกได้ทันที เว้นแต่ข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณหรือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ อันที่จริง เว็บข่าวนั้นสะอาดหมดจดจนราวกับว่าประเทศจีนไม่เคยประสบกับการระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมาก่อนเลยสักนิด
และในขณะที่พวกเขาสามารถเล่นเกมออนไลน์ได้ พวกเขาจะไม่สามารถเข้าสู่โปรแกรมแชทใด ๆ ได้เลย นอกจากนี้ ตราบใดที่มีใครต้องการจะโพสต์หรือแสดงความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติลงในเว็บไซต์หรือกระทู้ใด ๆ โพสต์และความคิดเห็นนั้น ๆ จะถูกบล็อกในทันที ฉินเย่เองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทั้งหมดนี้ทำงานอย่างไรกันแน่
อย่างไรก็ตาม ฉินเย่รู้สึกขอบคุณที่เขายังสามารถหาและรับข้อมูลจากส่วนอื่น ๆ ของโลกได้
“นั่นแหละ” ฉินเย่กดเข้าไป และหน้าเว็บไซต์ของโรงประมูลเจียเต๋อก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอของแล็ปท็อปเครื่องใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อมา
หน้าเว็บเป็นแบบย้อนยุค กรอบหน้าดูเหมือนจะเป็นประตูไม้มะฮอกกานีแกะสลัก และคำว่า ‘โรงประมูลเจียเต๋อ’ ก็ถูกเขียนด้วยตัวหนังสือสวยงามอยู่ที่กึ่งกลางของหน้าเว็บ มันยังมีแถบค้นหาทั่วไปอยู่ที่ด้านบนสุดแยกออกมาจากข้อมูลติดต่อและการทำรายการอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม พื้นที่ส่วนใหญ่ของหน้าเว็บแสดงของที่พวกเขากำลังทำการประมูล รวมถึงราคาประมูลเริ่มต้นที่น่าตกตะลึงของสิ่งของพวกนี้ด้วย
บนหน้าเว็บมีของจัดแสดงอยู่สามชิ้น
ชิ้นแรกคือแจกันลายครามที่มีลวดลายภูมิทัศน์ที่น่าตกตะลึง ฉินเย่ ผู้ที่ไร้ซึ่งสุนทรียภาพต่อสิ่งเหล่านี้เลื่อนลงมาด้านล่างและดูราคาของมัน
‘แจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวน [3] 30 ล้าน!!’
“เหอะ!” อาร์ทิส “…เงินขนาดนี้เอาไปซื้อสกินได้ตั้งเท่าไหร่?!”
ฉินเย่แทบจะสบถออกมาเสียงดัง…เขาเมินเฉยต่ออาการเสพติดของตุ๊กตายางข้าง ๆ และเลื่อนลงมาดูสินค้าชิ้นต่อไป
มันคือตราประทับโบราณ และราคาของมันก็คือ…100 ล้าน!!
ของชิ้นที่สามนั้นมีคุณภาพต่ำกว่ามาก มันเป็นเพียงชิ้นงานประดิษฐ์ตัวอักษรที่เริ่มประมูลในราคา 12 ล้านหยวน
“เจ้าดูของพวกนี้ไปเพื่ออะไร?” อาร์ทิสถามอย่างงงงัน
ฉินเย่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างครุ่นคิด ผ่านไปสักพักหนึ่งเขาก็ตอบออกมาในที่สุด “มันคือการแสดงอำนาจ”
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับการประมูล แต่สิ่งหนึ่งที่ข้ารู้ก็คือมีปัจจัยอยู่สองอย่างที่เป็นตัวบ่งบอกว่าโรงประมูลจะไปได้ดีหรือไม่ ปัจจัยแรกก็คือคุณภาพของสินค้า และปัจจัยที่สองก็คือจำนวนของพวกเศรษฐีที่พร้อมที่จะประมูลสินค้าพวกนี้”
“แจกันลายครามจากสมัยราชวงศ์หยวน…” หางตาของฉินเย่กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ขณะที่เขาเอ่ยทวนอีกครั้ง “ข้ายังจำได้ดีว่าวันนั้นที่ข้าเก็บแจกันเก่า ๆ ใบหนึ่งขึ้นมา…เหตุการณ์แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น…และจากนั้นข้าก็เห็นภาพชายแก่คนหนึ่งก็คุกเข่าลงตรงหน้าของข้า ร้องไห้คร่ำครวญและยืนยันว่าจะสู้กับข้าให้ถึงที่สุด…ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นสิ่งที่หายากที่สุดในหมู่แจกันลายครามด้วยกัน…”
อาร์ทิสกะพริบตาปริบ ๆ อยู่หลายครั้ง ขณะที่นางพยายามจับต้นชนปลายสิ่งที่ฉินเย่เพิ่งพูดออกมา “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเจ้ามองข้ามอะไรหลาย ๆ อย่างไปกันนะ? หากมันมีสิ่งที่เจ้าไม่พอใจ เหตุใดจึงไม่พูดมันออกมา? ข้าจะได้มีความสุขในความทรมานของเจ้า จะว่าไป เหตุใดเจ้าถึงได้ยากจนนักทั้ง ๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่มานานถึงเพียงนี้? หรือเจ้ามีสายสัมพันธ์กับความยากจนกัน….”
“นั่นไม่ใช่ประเด็น!” ฉินเย่รู้สึกว่าเส้นเลือดบริเวณขมับของเขากำลังเต้นตุบ ๆ ไม่หยุด ขณะที่เขากัดฟันกรอด “สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าโรงประมูลเลือกที่จะประมูลสินค้าอย่างแจกันลายครามของราชวงศ์หยวน ย่อมหมายความว่าแจกันใบนี้จะต้องมีผลประโยชน์อะไรบางอย่างจากมัน ราคาขายของมันเองก็ไม่ได้ต่ำจนเกินไป ดูเหมือนว่าสถานที่ที่กู่ชิงแนะนำมาจะไม่เลวเลย”
เขาเลื่อนกลับขึ้นไปที่ด้านบนสุดของหน้าเว็บและมองไปที่รายการต่าง ๆ มันมีอยู่ทั้งหมดสี่ตัวเลือก ‘ประวัติของโรงประมูลเจียเต๋อ’ ‘คำถามเกี่ยวกับกระบวนการทั้งหมด’ ‘ฉันต้องการประมูล’ และ ‘ติดต่อเรา’
เขาไม่ได้รีบกดลงทะเบียน แต่กลับกดไปที่ตัวเลือก ‘คำถามเกี่ยวกับกระบวนการทั้งหมด’ แทน
เขาจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับทุกอย่าง เขาจะต้องเข้าร่วมการประมูลให้ได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว…บุคคลภายนอกก็ไม่สามารถเข้ามาในเมืองเป่าอันได้ ต่อให้เขาสามารถติดต่อกับพวกพ่อค้าระดับสูงในอุตสาหกรรมค้าไม้และของตกแต่งบ้านได้ คนพวกนี้ก็คงไม่สามารถเข้ามาเจรจาในเมืองเป่าอันได้อยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะต้องไปเข้าร่วม แต่เขายังต้องทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภายในหนึ่งสัปดาห์อีกด้วย เวลาทุกนาทีมีค่า และฉินเย่ก็ต้องการลดตัวแปรอื่น ๆ ที่อาจจะทำให้เขาเสียเวลาลงให้ได้มากที่สุด
เขานั่งอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนทั้งหมดเป็นเวลากว่า 20 นาทีเต็ม ก่อนจะที่หลับตาลงเพื่อจัดระเบียบความคิดของตัวเองในท้ายที่สุด
โรงประมูลเจียเต๋อจัดงานประมูลขึ้น 12 ครั้งต่อปี งานประมูลเล็ก 8 ครั้งและงานประมูลใหญ่ 4 ครั้ง
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ นอกเหนือจากงานประมูลใหญ่ที่ถูกจัดขึ้นในวันสุดท้ายของทุก ๆ 3 เดือนแล้ว ทั้งหมดที่เหลือเป็นเพียงงานประมูลเล็ก ๆ เท่านั้น และสำหรับงานประมูลเล็ก คุณภาพของแขกที่เข้าให้ความสนใจสิ่งของที่จะถูกประมูล และราคาประมูลนั้นไม่สามารถเทียบได้กับ 4 งานประมูลใหญ่ได้เลย
และรายการสิ่งของที่เขียนไว้ในเว็บไซต์ตอนนี้ก็คือของที่ถูกประมูลไปจากงานประมูลใหญ่ครั้งแรกของปี มันสามารถพูดได้เลยว่าโรงประมูลเจียเต๋อสามารถดึงความสนใจของผู้คนจำนวนมากได้อย่างดีเยี่ยม นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงแสดงรายการของประมูลที่มีมูลค่าร้อยล้านหยวนลงบนหน้าเว็บไซต์
ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังดำเนินการประมูลพร้อมกันทุกสาขา ซึ่งนั้นรวมถึงสาขาในเมืองใหญ่ทั้ง 4 แห่งของแผ่นดินจีนด้วย
เมืองเยียนจิง เมืองตงไห่ เมืองหลงฉวน และเมืองจูโจว
สามเมืองขั้นหนึ่งและเขตพิเศษที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ พื้นที่ทั้งหมดล้วนเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าผู้ประกอบการจำนวนมาก และมีอำนาจในการใช้จ่ายที่น่าตกตะลึง!
สถานที่จัดงานประมูลตั้งอยู่อีกที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากโรงประมูลออกไป หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คืองานประมูลจะไม่ถูกจัดที่สำนักงานหลักของโรงประมูลนั่นเอง
และสำหรับสถานที่ประมูลที่แท้จริง…ฉินเย่ก็ไม่สามารถหารายละเอียดของมันได้เช่นกัน เพราะมันถูกเก็บเป็นความลับ
ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันตั้งอยู่ที่ไหน และมันก็ไม่เคยถูกพูดถึงในหน้าอื่น ๆ ของเว็บไซต์เช่นกัน
“เจ้าจะทำอย่างไร?” อาร์ทิสถาม
ฉินเย่คลึงขมับของตนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา “หากข้าเข้าร่วมงานประมูลเล็กในเดือนหน้าล่ะ?”
“นั่นจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างแน่นอน” แม้ว่าอาร์ทิสจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับการประมูลในสมัยใหม่ แต่นางก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องสมบัติล้ำค่า
นางเอ่ยต่อหลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง “สิ่งที่เจ้ามีอยู่ในครอบครองตอนนี้ล้วนเป็นสมบัติหายากและเป็นที่ต้องการของคนจำนวนมาก มันคงไม่ใช่เรื่องยากหากเจ้าจะตั้งราคาที่ 30 ล้านหรือมากกว่านั้นสำหรับสินค้าแต่ละชิ้นของเจ้า แต่พวกเขาไม่มีทางนำพวกมันมาประมูลในงานประมูลเล็กอย่างแน่นอน”
“เจ้ากำลังพยายามจะให้ผู้คนพุ่งความสนใจมาที่ตัวเจ้าอยู่มิใช่หรือ? จากประสบการณ์ของข้า ในงานประมูลใหญ่คุณภาพของผู้เข้าร่วมประมูลจะสูงขึ้นและราคาประมูลเองก็เช่นกัน เรากำลังพูดถึงความแตกต่างกว่า 10% เจ้าได้คิดบ้างหรือไม่ว่าเงินจำนวนนี้มีความสำคัญกับเรามากเพียงใด?”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมายาวเหยียด ขณะที่นวดคลึงขมับของตนต่อไป
ทำไมเขาถึงไม่คิดเรื่องนั้นนะ?
เส้นทางสู่ทองคำโดยไม้ฮวงหัวลี่ของเขาสามารถทำกำไรได้มหาศาล แต่เขาก็ควรตระหนักได้ว่ามีบริษัทอยู่เพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น ที่จะสามารถจ่ายเงินพันล้านหยวนได้ภายในคราวเดียว ต่อให้เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในมณฑลก็สามารถจ่ายเงินได้ไม่กี่พันล้านหยวนเท่านั้น และมันก็จะยิ่งเป็นไปได้ยากสำหรับอุตสาหกรรมไม้และของตกแต่งบ้าน
ในการหาคนที่สามารถจ่ายเงิน 100-200 ล้านหยวนในคราวเดียวยังเป็นเรื่องยาก และที่ทำให้แน่ลงไปอีกก็คือ เงินพวกนั้นไม่สามารถปล่อยออกได้ในทันทีเช่นกัน มันจะต้องผ่านการประชุมกับพวกคณะกรรมการบริหาร ตามคำแนะนำจากแผนกต่าง ๆ กระบวนการทั้งหมดจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน
เขาไม่สามารถอดทนรอได้นานขนาดนั้น
วิญญาณกว่าแสนตนกำลังเดินไปมาอยู่ในยมโลก และมันก็เป็นเหมือนกับระเบิดที่รอการถูกจุดด้วยประกายไฟเพียงเล็กน้อย งานก่อสร้างในยมโลกถูกหยุดมาเป็นเวลานานมากแล้ว และมันก็มีความเป็นไปได้สูงที่อะไรบางอย่างกำลังจะสิ้นสุดลง
เงินที่ได้มาจากการปล่อยสมบัติ จะสามารถช่วยให้เขาจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดของยมโลกไปได้จนกว่าการขายไม้ฮวงหัวลี่จะผ่านไป
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมันคือรถดับเพลิงที่มุ่งหน้าไปที่เปลวไฟที่กำลังโหมกระหน่ำ และเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
[1] อ้างอิงมาจากซีรีส์เรื่อง Prison Break ที่ตัวเอกของเรื่องสักพิมพ์เขียวของคุกไว้บนร่าง
[2] หมายถึง ความมานะพยายาม และความมุ่งมั่นทำให้เกิดความสำเร็จ
[3] ช่วงปีค.ศ. 1206-1368