ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 200 สิ่งล่อใจ
บทที่ 200: สิ่งล่อใจ
ให้ตายเถอะ! นี่ผมอายุมากจนจะเป็นพ่อคุณได้แล้วนะ!
ฉินเย่หัวเสียเป็นอย่างมากเมื่อเดินออกมาจากห้องทำงานของโจวเซียนหลง
“เราน่าจะรู้ว่าเขาไม่มีทางยอมเรื่องนี้!” เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดและสบถออกมาเบา ๆ เขาเดินไปที่ห้องทำงานของอาจารย์ผู้สอนและศาสตราจารย์คนอื่น ๆ ขณะที่เดินไป เขาก็มองหัวข้อของหนังสือพิมพ์? “ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์…”
“มีอะไรแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” แต่เขาก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจที่จะดูเนื้อหาภายในเลยสักนิด สิ่งเดียวที่ยังคงติดอยู่ภายในหัวของเขาตอนนี้ก็คือโรงประมูล ผู้ใดจะไปคิดว่าโรงประมูลเจียเต๋อมีเบื้องลึกเบื้องหลังถึงขนาดสามารถจัดการประมูลขึ้นบนเกาะในทะเลหลวงเพียงเพื่อที่ขายสินค้าที่ไม่สามารถวางขายในประเทศได้! และดูเหมือนว่าที่นั่งทั้งหมด 100 ที่นั่งของพวกเขาก็จะเต็มทุกครั้งเสียด้วย! การประมูลเช่นนี้จะต้องทำให้เขาสามารถขายของได้ในราคาที่สูงลิบลิ่วอย่างแน่นอน!
และเงินทั้งหมดนี้ก็จะสามารถช่วยยืดเวลาไปอีกสองสามเดือน ก่อนที่เงินจากการขายไม้ฮวงหัวลี่ล็อตแรกจะมาถึง
ตอนนี้ เขาไม่สามารถแม้แต่จะก้าวข้ามโจวเซียนหลงได้ แล้วนับประสาอะไรกับสวี่อันกั๋วและหลี่เทา
ใจเย็น ๆ…ใจเย็น ๆ…อดทนไว้…เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อควบคุมความรู้สึกของตนเอง และเมื่อเขาเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานของเถาหราน ใบหน้าของเขาก็ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอีกครั้ง
“เอาหนังสือพิมพ์มาส่งหรือ?” เถาหรานกำลังตรวจดูเอกสารบางอย่างอยู่ ใบหน้าของชายสูงวัยดูเป็นมิตร และไม่ต่างอะไรกับคุณตาข้างบ้านคนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม มันไม่มีนักเรียนคนไหนเลยที่ได้เห็นความโกรธของเขาในคืนนั้นที่คิดแบบนั้น
ฉินเย่วางกองหนังสือลง เถาหรานรินชาให้อีกฝ่ายและเด็กหนุ่มก็ดื่มมันอึกใหญ่ก่อนจะถามว่า “ศาสตราจารย์เถา คุณคิดว่ามันพอจะมีทางไหนที่ทำให้ผมสามารถออกไปข้างนอกสักพักหนึ่งได้บ้างไหมครับ? มันเป็นงานครบรอบวันตายของคุณปู่ของผม ผมเลยอยากจะลาหยุดสักอาทิตย์หนึ่ง”
“นั่นเป็นไปไม่ได้หรอกนะครับ” เถาหรานแย้มยิ้มบางขณะที่พลิกหน้ากระดาษ “สำนักฝึกตนแห่งแรกดำเนินทุกอย่างในรูปแบบของทหาร ไม่มีใครสมควรได้รับสิทธิพิเศษใด ๆ ทั้งนั้น”
ฉินเย่กลืนน้ำลายของตนและหัวเราะแห้ง ๆ “แต่กฎก็ถูกเขียนขึ้นโดยมนุษย์ไม่ใช่หรือ…”
“นี่คุณไปเรียนคำพูดพวกนี้มาจากที่ไหนกัน?” ชายสูงวัยวางงานในมือของตนลงและมองเขาอย่างไม่พอใจนัก “จริง ๆ แล้ว คุณพูดถูก แต่น่าเสียดาย ที่มันผิดเวลา”
“คุณลองคิดดู สำนักเพิ่งเริ่มเปิดมาได้นานเท่าไหร่? หนึ่งเดือน? และเมืองเป่าอันตกอยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลกลางมานานแค่ไหนแล้ว? ไม่กี่เดือนเท่านั้น คุณสามารถบอกได้ว่าเลยว่าการวางเมืองเป่าอันไว้ภายใต้การบริหารจัดการเช่นนี้ ก็เพื่อให้สำนักฝึกตนแห่งแรกสามารถเติบโต และพัฒนาเป็นฐานที่มั่นแห่งแรกในสงครามระหว่างจีนกับกองกำลังจากโลกใต้พิภพ และทำไมต้องจำกัดการเข้าถึงทางอินเทอร์เน็ต? ไม่ใช่ว่ามันเพื่อช่วยให้พวกคุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับโลกภายนอกมากเกินไปหรอกหรือ?”
“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้ใดก็ตามที่เผยตัวตนในฐานะตัวแทนของสำนักฝึกตนแห่งแรกนอกเมืองเป่าอันจะถูกปฏิบัติราวกับเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้ทุกเมืองต่างกำลังจับตามองมาที่เมืองเป่าอัน คุณรู้หรือไม่ว่าประชาชนภายนอกพูดถึงการบริหารงานโดยตรงของรัฐบาลที่เมืองเป่าอันว่าอย่างไร? ต่อให้ประชาชนธรรมดาคนหนึ่งก้าวเท้าออกไปนอกเมืองเวลานี้ก็จะดึงดูดสายตาของผู้คนมากมาย นับประสาอะไรกับตัวแทนของสำนักผู้ฝึกตนแห่งแรก ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ คุณคิดจริง ๆ หรือว่าทางสำนักจะยอมปล่อยใครออกไปข้างนอกง่าย ๆ?”
เถาหรานยกถ้วยน้ำชาของตนขึ้นจิบก่อนจะเริ่มเกลี้ยกล่อมฉินเย่ต่อ “ลองคิดดู หากคุณมีธุระบางอย่างต้องทำ แล้วอาจารย์คนอื่น ๆ เขาไม่มีหรือ? มีอาจารย์คนไหนในสำนักบ้างที่ไม่มีสิ่งที่ตัวเองอยากทำ? เมื่อคุณได้ออกไปแล้ว มันก็จะเป็นการสร้างแบบอย่างไว้ใช้คนอื่นเช่นกัน ทางรัฐบาลไม่สามารถเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองเป่าอันได้จนกว่าจะถึงเวลาที่สมควร ผมจะบอกอะไรให้นะ เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง จะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกไปเดินเตร็ดเตร่นอกสำนักก่อนภาคการศึกษาต่อไปจะเริ่มขึ้นทั้งสิ้น”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้สูงตั้งแต่แรก
การออกไปข้างนอกไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากก็คือเมื่อเขาออกไปมันจะแสดงถึงอะไรบ้าง นี่คือจุดเปลี่ยนของชาติ เสียงพูดคุยมากมายของผู้คน ทั้งหมดต่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น และรัฐบาลก็กำลังถูกกดดันเป็นอย่างมาก ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ใครจะอนุญาตให้เขาลาหยุดเพียงเพื่อที่จะเดินทางออกจากเมืองแห่งนี้กัน?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกิดขึ้นกับเขา คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแยกไม่ออกกับสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเมืองเป่าอัน
เถาหรานสบตากับเด็กหนุ่มตรงหน้าและถามว่า “ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจถึงความยากลำบากของเราเช่นกัน…ว่าแต่คุณจะไปที่ไหนล่ะ?”
“ตงไห่ครับ…” ฉินเย่ตอบอย่างไม่แน่ใจนัก และสิ่งที่ได้กลับมาก็คือแววตาสงสัยจากเถาหราน
“ครบรอบวันตายของปู่? ไม่ใช่นครฉิงกวง [1] แต่เป็นตงไห่อย่างนั้นหรือ?”
“…ที่นั่นคือบ้านเกิดของบรรพบุรุษของปู่ผม!” ฉินเย่เอ่ยเสียงห้วน
ผมล่ะอยากจะชมในความหนาของใบหน้าของคุณจริง ๆ…เถาหรานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับความดื้อรั้นของฉินเย่ ก่อนจะวางกระดาษลง “นอกจากนี้แล้ว คุณดูนี่สิ”
เขาชี้ไปบนกระดาษ และเมื่อฉินเย่มองมัน เขาก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
“เรื่องราวของเหตุการณ์ที่ตงไห่”
นี่คือเรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหว เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้อยู่ทางตะวันออกของจีนใกล้กับปูซานและคิวชู
ในอีกความหมายก็คือ…มันคือจุดเดียวกันกับที่งานประมูลใหญ่ครั้งต่อไปของโรงประมูลเจียเต๋อจะถูกจัดขึ้น
“ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมามีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้น 5 ครั้งที่ทะเลตะวันออกของจีน เรือ 5 ลำรวมทั้งเรือสำราญ และเรือบรรทุกสินค้ากลายเป็นเรือร้างภายในชั่วข้ามคืน และพวกเขาก็กำลังลอยอยู่ในทะเลอย่างไร้จุดหมาย” เขาอ่านมันออกมาเสียงดัง จากนั้นก็ขมวดคิ้วยุ่งขณะที่มองภาพข่าว
เขาไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นคนถ่ายภาพ แต่บนเรือกลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยของการต่อสู้…มันเหมือนกับว่าทุกคนเพียงหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
แม้แต่อาหารและน้ำดื่มที่พวกเขาทานกันก็ยังอยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ ราวกับว่าพวกเขาได้ท่านมันเพียงแค่หนึ่งวินาทีก่อนจะหายตัวไปพร้อมกัน
ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์นั้นแตกต่างจากหนังสือพิมพ์ปกติทั่วไป พวกเขาไม่ได้รายงานข่าวด้วยคำพูดที่ยิ่งใหญ่เพื่อดึงความสนใจ กลับกัน พวกเขาเพียงรายงานข้อเท็จจริงและสิ่งต่าง ๆ ตามที่เป็น
“ตรวจไม่พบร่องรอยของพลังหยิน แต่นี่ไม่มาทางเกิดขึ้นโดยฝีมือของมนุษย์ มันถูกจัดให้เป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติระดับ D จนถึงตอนนี้การตรวจสอบ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรมากนัก….”
“พื้นที่แถบตงไห่มักจะเกิดเรื่องอยู่ตลอดเวลา และการจัดให้เป็นภารกิจระดับ D นั้นก็เพื่อสร้างความสบายใจให้กับผู้ฝึกตนในพื้นที่เท่านั้น แต่ปัญหาจริง ๆ ของเรื่องนี้…” เถาหรานเปิดฝาถ้วยชาของตนและเอ่ยต่อ “เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา หน่วยสอบสวนพิเศษสาขาตงไห่ได้ส่งคำร้องขอความช่วยเหลือมา โดยที่ระดับภารกิจที่แท้จริงคือ…ระดับ A”
“สถานการณ์ตอนนี้อยู่เหนือการควบคุม ตงไห่คือหนึ่งในหัวสะพานเชิงกลยุทธ์ของจีนเนื่องจากมันทอดยาวออกสู่ทะเลตะวันออก และเรือหลายลำที่ออกทะเลไปก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ดังนั้นคุณห้ามไปพื้นที่บริเวณนั้นโดยเด็ดขาด”
ให้ตายเถอะ…นี่จะบังเอิญมากเกินไปแล้ว!
ฉินเย่รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที จากนั้นเขาจึงเอ่ยลาเถาหรานและออกมาจากห้องทำงานของอีกฝ่าย และเขาก็ไม่คิดที่จะเดินทางไปที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการเพื่อทำให้ตัวเองดูโง่เช่นกัน
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ เด็กหนุ่มก็กลับไปที่ห้องของตนอีกครั้ง อาร์ทิสเงยหน้าจากจอเกม อย่างที่พบเห็นไม่บ่อยครั้งนักก่อนจะเอ่ยว่า “เหตุใดเจ้าจึงดูไม่ต่างกับซากศพเช่นนี้?”
“ทุกอย่างอาจจะซับซ้อนกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากนัก” ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง ขณะที่เข้าดูปฏิทินในโทรศัพท์ของตัวเอง “บางที…ข้าอาจจะต้องอดทนรอจนกว่าจะถึงภาคการศึกษาหน้า”
อาร์ทิสหยุดเกมของตัวเองและมองฉินเย่ พร้อมขมวดคิ้วเข้าหากัน นางไม่ได้เอ่ยคัดค้านใดๆ แต่กลับเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมตัวสำหรับความยากลำบากในอีกสองสามเดือนหลังจากนี้ได้เลย”
ฉินเย่แค่นหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น นางไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก เพราะเมื่อตอนที่สวนจี้ชั่งถูกประกาศให้วิญญาณทุกตนในยมโลกได้รับรู้เป็นครั้งแรก จำนวนวิญญาณที่ลงชื่อเข้าร่วมบริษัทก่อสร้างหยินนั้นทะลุเกิน 1 หมื่นตนอย่างรวดเร็ว แต่ผ่านไปแค่ไม่กี่เดือน สิ่งเดียวที่พวกเขาเห็นก็คือเครื่องจักรจำนวนหนึ่งส่งเสียงดังก้องไปทั่วดินแดนที่ว่างเปล่า เปลวไฟในใจของวิญญาณทั้งหมดแทบจะดับมอดลง พวกเขาเริ่มเซื่องซึมและเฉื่อยชาอีกครั้ง ราวกับว่าพวกเขากลับไปสู่การใช้ชีวิตเดิม ๆ ของตนเองอีกครั้ง
นี่มันไม่ต่างอะไรกับกองดินปืนเลยสักนิด!
มันไม่เป็นไรหากไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทันทีที่บางอย่างเกิดขึ้น…
ฉินเย่สะบัดศีรษะไปมาเพื่อไล่ความคิดทั้งหมดของตัวเอง เขาไม่กล้าที่จะคิดต่อไปมากกว่านี้
“การตัดสินใจและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป หรือต่อให้เรายอมทิ้งโอกาสนี้ เราก็ยังสามารถหาเงินจากการประมูลได้อยู่ดี” ฉินเย่ปิดประตูอย่างระแวดระวัง ก่อนจะดึงกระเป๋าที่ถูกปิดสนิทใบหนึ่งออกมาจากใต้เตียง หลังจากหายใจเข้าลึก ๆ เขาก็สวมถุงมือสีขาวและเปิดกระเป๋าอย่างระมัดระวัง
มันแตกต่างจากกระเป๋าเดินทางใบอื่น ๆ อย่างมาก ด้านในของมันมีช่องอยู่สี่ช่อง และแต่ละช่องล้วนได้รับการปกป้องอย่างสมบูรณ์ โดยพลาสติกกันกระแทกชนิดพิเศษ ในขณะที่ฐานของมันถูกหุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงซีด ซึ่งถูกบุด้วยผ้าฝ้ายหนาและโฟมด้านล่าง และสมบัติโบราณสี่ชิ้นถูกบรรจุอยู่ในแต่ละช่อง
สมบัติชิ้นแรกที่ดึงดูดสายตาของเขา คือถ้วยที่มีความยาวประมาณครึ่งฟุต
มันไม่ใช่ถ้วยธรรมดา แต่เป็นถ้วยหัวเสือที่ไม่มีก้นถ้วย!
ถ้วยทั้งใบโค้งเหมือนกับแตรโบราณ ฉินเย่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันถูกทำมาจากวัสดุอะไร แต่ด้านบนของถ้วยถูกทำมาจากหยกเคลือบและชุบด้วยทองซึ่งดูหรูหราเป็นอย่างมาก โซ่หยกเชื่อมส่วนหัวของเสือที่อยู่ปลายสุดของถ้วยถึงปากถ้วย มันดูเหมือนกับผลงานศิลปะมากกว่าแก้วไวน์ทั่วไปเสียอีก
“นั่นของดีเลยนะ” อาร์ทิสเอ่ย “มันน่าจะเป็นของที่มอบให้กับแม่ทัพคนหนึ่ง เพราะตราสัญลักษณ์เสือก็มักจะถูกใช้ในกองทัพ หากเป็นของราชวงศ์ รูปแบบของมันจะมีลักษณ์คล้ายกับมังกร ในความเป็นจริงแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยเจอถ้วยหัวนางพญาหงส์ใบหนึ่ง น่าเสียดาย…ข้าไม่รู้ว่าไอ้โง่ที่ไหนได้มันไป”
“แน่นอนว่ามันจะต้องไม่ธรรมดา…” ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายระยิบระยับ และกลืนน้ำลายอย่างละโมบ “ถ้วยอาเกตหัวสัตว์ฝังด้วยทองคำ…คือชื่อของพี่ชายของมันซึ่งถูกระบุไว้ว่าเป็นหนึ่งในสิบวัตถุโบราณที่มีราคาแพงมากที่สุดในจีน มันถูกแกะสลักมาจากหินอาเกตสีแดง และเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวของสมัยราชวงศ์ถังที่ถูกทำขึ้นมาจากหยก มันแสดงให้เห็นถึงผลงานแกะสลักที่วิจิตรงดงามที่สุดในสมัยนั้น ถึงแม้ว่านี่จะไม่เหมือนกัน แต่มูลค่าของมันก็น่าจะสูงอยู่ดี อย่างน้อยก็น่าจะสิบล้าน”
เขาไล่นิ้วไปตามถ้วยก่อนจะดูของชิ้นถัดไป
ถัดจากถ้วยหัวเสือคือพลอยดิบขนาดหนึ่งฝ่ามือ ครึ่งหนึ่งของมันถูกเปิดออกและเผยให้เห็นประกายแสงสีเขียวสดใสด้านใน เมื่อมองใต้แสงจันทร์ พลอยสีเขียวมรกตดูสวยงามและไร้ที่ติ
มันก็ไม่ได้ใสจนดูโปร่งใส แต่มันดูราวกับใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่ยื่นออกมาจากกลุ่มหมอกหนาในตอนเช้า มันดูใสแต่ก็โปร่งแสงจนไม่สามารถมองผ่านไปได้
ละเอียดอ่อนทว่าห่างไกล ล้ำลึกทว่าอบอุ่น
การไล่ระดับสีของมันแสดงให้เห็นว่านี่คือแร่มรกตชั้นยอดของมหาจักรพรรดิ
“ข้าจำได้ว่าพลอยดิบพวกนี้ มักจะถูกขายในราคาอย่างน้อย 1 ล้านหยวนต่อ 10 กรัม และมรกตชิ้นนี้ก็น่าจะมีน้ำหนักหลายสิบกรัมอย่างแน่นอน…มูลค่าของมันน่าจะเทียบได้กับปั้นจั่นที่มีน้ำหนัก 20 ตันสามตัวที่ถูกนำเข้ามาจากเยอรมัน…มันมีมูลค่าสูงมาก…” ฉินเย่ลูบพลอยตรงหน้าอย่างตื่นเต้น ก่อนจะเคาะมันเบา ๆ จนเกิดเสียงที่คล้ายกับจักจั่นร้องดังขึ้นเบา ๆ
ดวงตาของอาร์ทิสเป็นประกายสดใสทันที
“เดี๋ยวก่อน…เจ้านำสมบัติพวกนี้กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วเหตุใดถึงปกปิดมันจากข้า? เกิดอะไรขึ้นกับความเชื่อใจระหว่างเรา?” อาร์ทิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจพร้อมกับยื่นมือของตนออกมาข้างหน้า “ขอให้ข้าตรวจสอบคุณภาพของมันใกล้ ๆ….”
แต่ความพยายามของนางก็ถูกห้ามปรามไปโดยฉินเย่
ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ฉินเย่ตะคอกเสียงดัง “แค่การข่มความคิดชั่วร้ายที่จะหนีไปพร้อมสมบัติล้ำค่าพวกนี้ของข้าเพียงคนเดียวมันก็ยากมากพอแล้ว ท่านช่วยอย่าทำให้เรื่องมันยากขึ้นกว่าเดิมไม่ได้หรือ?”
อาร์ทิสหัวเราะแห้งและหดแขนกลับไป
นี่เจ้าเป็นมนุษย์แบบไหนกันถึงพูดจาว่าร้ายข้าทุกครั้งแบบนี้?
ฉินเย่ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอและหันกลับไปมองสมบัติชิ้นถัดไป
มันคือตราประทับขนาดเล็กสีขาวนวลราวน้ำนมทว่าดูเรียบหรู เนียนนุ่มและน่าสัมผัสและถูกสลักเป็นรูปของพญาหงส์
และสิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดของคือข้อเท็จจริงที่ว่าส่วนหาง ปลายปีก และมงกุฎมีสีแดงเข้มแต้มอยู่! และนั่นก็ทำให้รูปสลักหงส์ดูคล้ายกับมีชีวิตขึ้นมาทันที!
นี่คือหยกสีเลือดจากเหอเถียนไม่ผิดแน่!
และข้อเท็จจริงที่ว่ามันถูกสลักเป็นรูปพญาหงส์ก็หมายความว่าเป็นของใช้ของราชวงศ์ และมันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นของราชินีในสมัยก่อน! ตราประทับขนาดเล็กนี่จะต้องมีราคาสูงกว่าถ้วยหัวเสืออย่างแน่นอน!!
และสมบัติชิ้นสุดท้ายก็คือเครื่องปั้นดินเผาในสมัยราชวงศ์ถังคู่หนึ่งซึ่งมีความยาวประมาณหนึ่งฟุต
มังกรและพญาหงส์คู่หนึ่งในสภาพสมบูรณ์ นี้เป็นสมบัติที่หายากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!! เครื่องปั้นดินเผาส่วนใหญ่ในสมัยราชวงศ์ถังส่วนใหญ่ จะถูกออกแบบมาในรูปของม้า และมันก็เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่งที่จะพบมันในรูปร่างของคนหรือสัตว์ในตำนาน ของชิ้นนี้ถูกขโมยมาโดยโจรปล้นสุสาน และหวงเลี่ยงชวนก็ใช้เงินหลายสิบล้านเพื่อให้ได้มันมาไว้ในครอบครองในท้ายที่สุด!
“สมบัติ ทั้งหมดนี้มีค่ามากมายมหาศาล!” ฉินเย่ถ่ายวิดีโอของสมบัติทั้งหมดอย่างระมัดระวังด้วยโทรศัพท์ของตนเองและส่งวิดีโอทั้งหมดไปที่แล็ปท็อปของตนเอง จากนั้นเขาก็เข้าไปยังเว็บไซต์ของโรงประมูลเจียเต๋ออีกครั้ง
ครั้งนี้หัวหน้าไป๋ ที่เป็นผู้ดูแลเขาด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นตอบเขา
“ผมอยากจะส่งของไปประมูล” ฉินเย่พิมพ์
“ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกรุณาถ่ายภาพของสินค้าที่คุณอยากจะขายและส่งมาให้เรา หรือจะถ่ายเป็นวิดีโอก็ได้เช่นกัน ทางเราจะทำการประเมินราคาเบื้องต้นของมันทันที หากมันเป็นสมบัติล้ำค่าจริง…” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพิมพ์ตอบอย่างตื่นเต้น “หลังจากผ่านไป 3 วัน ทางเราจะส่งผู้ประเมินไปที่เมืองที่คุณอยู่ เพื่อทำการประเมินสินค้าที่คุณต้องการส่งมาประมูลอย่างละเอียดอีกที!”
[1] สถานที่เกิดของฉินเย่ตามในฐานข้อมูล