ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 211 ส่งเล่มวิจัยครั้งที่หนึ่ง (2)
บทที่ 211: ส่งเล่มวิจัยครั้งที่หนึ่ง (2)
“ตั้งใจทำต่อไป” เมื่อเอ่ยจบ โจวเซียนหลงและเถาหรานก็จากไป
“ตั้งใจทำต่อ!” หลินฮั่นตบหน้าตัวเองและถูมือไปมา “มา! ทำต่อกันเถอะ! ผมคงรู้สึกว่าตัวเองทำให้ทางสถาบันผิดหวังแน่ ๆ หากไม่สามารถทำตามความคาดหวังของพวกเขาได้”
“ไม่เป็นไรหรอก ไปพักก่อนเถอะ คุณไม่ได้นอนมาทั้งคืน หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป คุณอาจจะตายอยู่หน้าแล็ปท็อปได้”
“ใช่ผมไม่ได้รีบขนาดนั้น ไปพักก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ไม่อย่างนั้นคุณอาจประสาทกินได้”
และกว่าที่พวกเขาจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งมันก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว
ทันทีที่ทั้งสามอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย หวังเฉิงห่าวก็เดินเข้ามาพร้อมกับถังดีบุกในมือ เด็กหนุ่มคือคนที่คอยดูแลเรื่องอาหารและเครื่องดื่มให้พวกเขาตลอดหลายวันที่ผ่านมานอกเหนือจากหน้าที่ที่ต้องอ่านข้อมูลทั้งหมดภายในห้องเอกสาร ทั้งสามเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายก่อนจะหันหน้ากลับมาสู่ทะเลข้อมูลที่กำลังรอพวกตนอยู่
ฉินเย่มองมือของตัวเอง ตอนนี้หน้ากระดาษตรงหน้าเต็มไปด้วยข้อความมากมาย และสิ่งที่ต้องพูดถึงก็ได้รับการพูดถึงจนเกือบหมดแล้ว มันยังเหลืออีกประมาณ 300-400 คำ กว่าที่บทความนี้จะร่างเสร็จสมบูรณ์
ในช่วงที่ได้ทำวิทยานิพนธ์ ความคิดของเขาก็ไหลลื่นมากขึ้น และทักษะการพิมพ์ของเขาก็ลื่นไหลมากขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนคำที่เขาสามารถพิมพ์ได้ในแต่ละวันเองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ฉบับล่าสุดเพิ่งมาถึงเมื่อคืนนี้ พวกเขาวิเคราะห์แนวโน้มทั้งหมดจนถึงปัจจุบันและสรุปได้ว่าหน้าสุดท้ายของผู้ฝึกตนรายสัปดาห์นั้นไม่ได้ถูกครอบครองด้วยงานวิจัยเพียงอย่างเดียว พื้นที่ทั้งหมดถูกแบ่งให้กับการโฆษณาสินค้า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์หรืออาวุธ ทั้งสองสิ่งนี้จะใช้พื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นที่จัดสรรทั้งหมด เนื้อหางานวิจัยก็ต้องไม่เกิน 3,000 คำเช่นกัน เนื่องจากมันต้องเหลือพื้นที่ด้านล่างไว้สำหรับการแสดงความคิดเห็นบางส่วนด้วย
แต่ถ้ามันเป็นวิจัยสำคัญที่มีผลกระทบในวงกว้าง งานวิจัยนั้นก็จะได้รับพื้นที่ทั้งหมดของหน้านั้นไป แต่มันก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากและเกิดขึ้นเพียงไตรมาสละครั้งเท่านั้น นอกจากนี้ งานวิจัยส่วนใหญ่พวกนี้ก็มักจะได้รับการตีพิมพ์ร่วมกันจากวารสารหลายฉบับ
พวกเขารู้ดีว่าตัวเองเป็นมือใหม่ในแวดวงวิชาการของการบ่มเพาะ และพวกเขาก็รู้ดีว่าตัวเองยังขาดประสบการณ์อีกมาก หากเทียบกับผู้เขียนชั้นนำในสาขาพวกนี้ แต่ด้วยเกียรติที่มาพร้อมกับการตีพิมพ์ลงในผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ ทำไมพวกเขาจะต้องยอมหันหลังกลับตอนนี้ด้วยล่ะ?
หลังจากที่ลงแรงกับการค้นคว้าไปมาก มันก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะอยากเห็นว่าผลลัพธ์ที่ออกมานั้นจะอยู่ในระดับใด
อย่างน้อยที่สุด…พวกเขาก็ดีรู้ว่างานวิจัยของพวกตนจะสร้างกระแสที่สั่นสะเทือนไปทั่วโลกแห่งการบ่มเพาะทันทีที่มันได้รับการตรวจสอบ!
นี่คือความพยายามของพวกเขาทั้งหมด!
วันนี้ไม่มีใครออกไปจากห้อง ทั้งหลินฮั่นและซู่เฟิงต่างยืนอยู่ข้าง ๆ ฉินเย่ เฝ้าดูเด็กหนุ่มพิมพ์ร่างส่วนที่เหลืออย่างเงียบ ๆ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้ามันก็ถึงเวลาเที่ยงวัน ฉินเย่เขียนเกี่ยวกับข้อสนับสนุนสุดท้ายของเขาเสร็จพร้อมกับตอนที่เข็มนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงตรงอย่างพอดิบพอดี
ไม่มีใครเอ่ยอะไร หลินฮั่นและซู่เฟิงยังคงมองดูและรอไปอีกครึ่งชั่วโมงจนกระทั่งฉินเย่พิมพ์สรุป “หลักฐานทั้งหมดนี้ล้วนสนับสนุนสมมติฐานที่ว่าวิญญาณนั้น ไม่เพียงแต่กลายพันธุ์เท่านั้น เช่นเดียวกับการวิวัฒนาการของมนุษย์ วิญญาณเองก็เช่นกัน…ทางเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการทุกท่าน” ทันทีที่พิมพ์ประโยคนี้เสร็จ ทั้งสามก็ถอนหายใจออกมาอย่างพึงพอใจและกลับไปนั่งที่ของตนราวกับเป็นอัมพาตโดยสมบูรณ์
“สุดยอดไปเลย!!” หลายวินาทีต่อมาหลินฮั่นก็ตะโกนออกมาอย่างดีใจและลุกพรวดขึ้นราวกับหมาบ้า “มา! ไปกินบาร์บีคิวกัน! ผมเลี้ยงเอง!”
“ในที่สุดก็เสร็จ…” ซู่เฟิงไม่ได้ตอบออกมาทันที กลับกัน เขาเพียงแหงนหน้ามองหลังคาอย่างเหม่อลอย “ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน… และนี่ยังเป็นแค่ร่างแรกเท่านั้น…เป็น 300 คะแนนที่ได้มายากจริง ๆ…”
ฉินเย่เองก็จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขาอย่างเหม่อลอย ร่างของเขารู้สึกไร้เรี่ยวแรง แต่ส่วนที่เสียไปก็ดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ
“เป็นไง?” หลินฮั่นข่มความตื่นเต้นที่พลุ่งพล่านในใจขณะที่กอดไหล่เพื่อนอีกสองคน “คุณคิดว่าพวกเราจะได้ตีพิมพ์ไหม?”
“ผมเกลียดจริง ๆ ที่ต้องพูดอะไรแบบนี้ แต่ตัวอย่างที่เสี่ยวฉินยกมามันตรงประเด็นมาก! One shot, one kill! มันสนับสนุนสิ่งที่เราเขียนไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ! ไม่มีคำอื่นให้พูดนอกจากคำว่าสุดยอดแล้ว!”
“ผมเห็นด้วย” ซู่เฟิงปรับแว่นตาของตัวเองและเลียริมฝีปากที่แห้งและแตกของตน เขายกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้งและยกนิ้วโป้งให้กับฉินเย่ “คุณเก่งมาจริง ๆ ถึงขนาดที่สามารถเลือกคดีที่เหมาะสมที่สุดจากคดีนับพันคดีที่ไม่มีใครสามารถหาเจอ! คุณช่วยพวกเราย่นระยะเวลาได้เยอะมากเลย!”
ฉินเย่คลึงขมับตัวเอง เขาเผยรอยยิ้มที่ทั้งจริงใจและดีใจ “พวกคุณเองก็ช่วยได้มากเหมือนกัน”
“มันไม่เหมือนกัน” หน้าอกของซู่เฟิงกระเพื่อมขึ้นลงอย่างถี่รัว “มันเป็นเรื่องง่ายที่จะรวบรวมความคิดและคิดหาข้อสนับสนุนที่เหมาะสม แต่ความยากที่แท้จริงอยู่ที่การพิสูจน์สมมติฐานที่ตั้งขึ้นมาด้วยหลักฐานที่เหมาะสมและไม่สามารถโต้แย้งได้”
“เอกสารทางวิชาการที่ดีส่วนใหญ่จะต้องใช้เวลาหลายเดือนในหาข้อสนับสนุน หากไม่ใช่เพราะการค้นคว้าและการรวบรวมข้อมูลมาเป็นเวลาหลายปี แล้วจะรวมข้อมูลทั้งหมดเป็นคำไม่กี่พันคำ ตอนแรกที่ผมตอบตกลง ผมได้เตรียมใจไว้แล้วที่จะใช้เวลาครึ่งหนึ่งของภาคการศึกษาไปกับการนั่งอ่านงานวิจัย แต่ใครจะไปคิด…” เขามองฉินเย่อย่างลึกซึ้ง “หลักฐานและคดีทั้งหมดที่คุณเลือกมานั้นเหมาะสมจนผมสามารถพนันได้เลยว่าแม้แต่ศาสตราจารย์เถาก็ไม่สามารถหาช่องโหว่ในนั้นได้!”
นั่นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ฉินเย่ยิ้มบาง ด้วยประสบการณ์อันมากมายของอาร์ทิส มันย่อมหมายความว่านางนั้นเหนือกว่านักวิชาการทุกคนในแดนมนุษย์ พวกเขาไม่ได้สู้อยู่ในสนามเดียวกันด้วยซ้ำ เขากำลังยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาลอกเลียนทุกอย่างมาจากยมโลกแห่งเก่า เพราะสุดท้ายแล้ว ยมโลกก็ไม่ได้มีมุมมองในเรื่องนี้เหมือนกับที่เขามี
สภาพแวดล้อมที่แตกต่างและวัฒนธรรมที่แตกต่าง ย่อมก่อให้เกิดวิญญาณที่แตกต่างกัน วิญญาณในสังคมสมัยใหญ่จะวิวัฒนาการต่อไปอย่างไร?
ฉินเย่เริ่มต้นด้วยการเขียนแบบร่างมากมายลงกระดาษ แต่เมื่อเวลาผ่านไปและแนวคิดอื่น ๆ เพิ่มขึ้น เขาก็เริ่มสอดแทรกและปรับปรุงทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนาของวิญญาณของตัวเอง มอบมุมมองที่ล้ำลึกแก่งานวิจัยของเขา นี่ไม่ใช่แค่การคัดลอกทั่ว ๆ ไป
เขาสมควรที่จะได้รับตำแหน่งผู้เขียนหลังของงานวิจัยเล่มนี้อย่างแท้จริง
“พวกคุณไปกันเถอะ” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็หยิบแล็ปท็อปของตนและลุกขึ้น “ผมขอแก้อะไรอีกเล็กน้อย และผมจะบอกพวกคุณก่อนจะนำมันไปส่งตรวจ”
จากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่ห้องก่อนที่ทั้งสองจะได้เอ่ยถามอะไรต่อ
“เสร็จแล้วหรือ?” อาร์ทิสถามโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง
“ขอบคุณ” ฉินเย่เดินตรงไปที่ห้องน้ำเพื่อที่จะอาบน้ำ มีเพียงตอนที่เขียนร่างวิจัยเสร็จเท่านั้นเขาถึงตระหนักได้ว่าตัวเองตัวเหม็นแค่ไหน เด็กหนุ่มเอ่ยขอบคุณอาร์ทิสขณะที่เดินไปเข้าห้องน้ำ
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ” อาร์ทิสตอบ “เจ้าคือว่าที่จ้าวนรก และทั้งหมดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของงานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรของเจ้าอยู่แล้ว ดังนั้นมีเหตุผลอะไรที่จะต้องขอบคุณข้า? เจ้าจะนำมันไปส่งหรือยัง?”
เสียงน้ำไหลดังขึ้นขัดคำถามของนาง หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ฉินเย่ก็ก้าวออกมาจากห้องน้ำและเช็ดผมของตนอย่างขี้เกียจ “ข้าจะยังไม่ส่งมันตอนนี้”
อาร์ทิสละมือจากแป้นพิมพ์ตรงหน้าและถามอีกฝ่าย “เช่นนั้นเจ้าวางแผนจะทำอย่างไรต่อ? มันไม่ใช่ว่าข้าดูถูกเจ้าหรืออย่างไร แต่เมื่อพิจารณาจากขีดจำกัดของเจ้าในตอนนี้ มันนับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากแล้วที่เจ้าสามารถสร้างผลงานชิ้นนั้นขึ้นมาได้”
“แต่สำหรับตอนนี้ ข้ายังไม่มั่นใจว่ามันจะได้รับการตีพิมพ์ลงใจผู้ฝึกตนรายสัปดาห์!” ฉินเย่แขวนผ้าเช็ดตัวของตนด้วยแววตาที่เป็นประกาย “มันยังมีจุดที่ต้องปรับแก้อีก! หากข้าสามารถทำให้มันดีขึ้นได้ ข้าก็จะทำทุกวิถีทาง!”
“ก่อนหน้านี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้เขาตรวจสอบทุกย่อหน้าที่ข้าเขียน แต่ตอนนี้แบบร่างฉบับแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว…”
เขาแย้มยิ้มชั่วร้ายและอาร์ทิสก็เข้าใจในทันที “กู่ชิง?”
ฉินเย่พยักหน้า
บทความวิจัยต้องการเพียงหัวข้อวิทยานิพนธ์ใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานที่ไม่สามารถหาข้อโต้แย้งได้เท่านั้น เขาแทบจะมั่นใจเลยว่าบทความนี้จะต้องได้รับการปฏิเสธจากเถาหรานครั้งแล้วครั้งเล่า และโดยธรรมชาติแล้วเขาก็ไม่ควรให้อีกฝ่ายอ่านและแก้งานของเขาทุกวัน
แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เวลาผ่านไปมากกว่านี้ได้ เขาจำเป็นจะต้องเหลือเวลาอย่างน้อยสามสัปดาห์เพื่อการส่งต้นฉบับ การตีพิมพ์ และระยะเวลาสำหรับจดหมายเชิญจะถูกส่งมาถึง หากเขาพลาดโอกาสในครั้งนี้ไป ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีก็จะหายไปจากเขาตลอดกาล และที่แย่กว่านั้นก็คือเส้นทางการค้าทองคำในการขายไม้ฮวงหัวลี่ของเขาก็จะต้องรอไปจนถึงเดือนกันยายน ด้านหนึ่งคือแม่ทัพที่เขาสามารถฝากกองกำลังยมโลกไว้ด้วยได้ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งหมายความว่าในที่สุดความพยายามในการสร้างนรกขึ้นมาใหม่ก็จะได้เริ่มขึ้น ฉินเย่ไม่ต้องการจะพลาดโอกาสพวกนี้ไป!
ความล่าช้าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ยมโลกแห่งใหม่ยังอยู่ในช่วงแรกเริ่ม และฉินเย่ก็ต้องคว้าโอกาสทุกโอกาสเพื่อที่จะทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขาพยายามผ่อนคลายความคิดทั้งหมดของตัวเอง สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงเริ่มพึมพำกับตัวเอง
ภาษาที่เหมาะสม ความไหลลื่นของตรรกะ และการใช้คำศัพท์เชิงวิชาการล้วนเป็นปัจจัยที่สามารถเพิ่มความลึกล้ำในบทความของเขาได้อย่างดี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งที่พวกเขาเพิ่งทำกับแบบร่างแรกนั้นเป็นเหมือนกับการเพาะเลี้ยงต้นไม้จนมันเริ่มงอกงามด้วยใบที่เขียวชอุ่ม และตอนนี้มันก็เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญในการบ่มเพาะมันให้ไปสู่อีกระดับเพื่อที่มันจะได้สามารถบานสะพรั่งไปด้วยดอกที่สวยงามและโดดเด่นท่ามกลางหมู่มวลไม้ในป่าใหญ่
เขารีบล็อกประตูและแขวนป้าย ‘ห้ามรบกวน’ ของตัวเอง จากนั้นจึงถ่ายเทพลังของตนใส่เศษตราจ้าวนรกและกลับลงไปที่ยมโลกอีกครั้ง
การตามหาตัวกู่ชิงนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายแสนง่าย วิญญาณในยมโลกทั้งหมดในตอนนี้ล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของชายสูงวัยทั้งสิ้น ดังนั้นทันทีที่เขาถามหากู่ชิง วิญญาณตนหนึ่งก็รีบเดินนำเขามาหาอีกฝ่ายทันที
“ท่านฉิน ท่านมาได้ทันเวลาพอดี” กู่ชิงแย้มยิ้มกว้าง “ก่อนหน้านี้ผมได้สำรวจพื้นที่ทั้งหมดของยมโลกเสร็จเรียบร้อยแล้ว และในที่สุดผมก็ร่างแผนที่สำหรับการก่อสร้างเสร็จแล้วเช่นกัน ท่านอยากจะลองตรวจดูหรือไม่…”
“พักเรื่องพวกนั้นไปก่อน” ฉินเย่เดินนำกู่ชิงมาที่ห้องโถงย่อย นั่งลงและหยิบร่างบทความสำหรับวิทยานิพนธ์ที่ตนได้ปรินต์ออกมาก่อนหน้านี้ออกมา “ข้าอยากให้ท่านช่วยตรวจดูสิ่งนี้และดูว่ามีส่วนใดบ้างที่สามารถแก้ไขและปรับปรุงได้”
กู่ชิงอ่านเนื้อหาทั้งหมดเป็นเวลากว่า 20 นาทีก่อนที่เขาจะหยุดและถอนหายใจออกมา “นี่เป็นเรื่องเร่งด่วนมากหรือไม่?”
“ค่อนข้างมากทีเดียว” ฉินเย่ตอบอย่างจริงจัง “ข้าจำเป็นจะต้องส่งสิ่งนี้ให้กับกองบรรณาธิการก่อนวันที่ 1 มิถุนายน เพื่อที่พวกเขาจะได้มีเวลา 15 วันในการตรวจสอบ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย…ด้วยบทความวิจัยที่สามารถสร้างกระแสไปทั่วแดนมนุษย์ บอกกับข้อเท็จจริงที่ว่านี่จะเป็นการตีพิมพ์ครั้งแรกของสำนักฝึกตนแห่งแรกบนหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ ข้าค่อนข้างแน่ใจว่าเราจะสามารถออกไปข้างนอกเมืองได้อย่างแน่นอน”
กู่ชิงพยักหน้า “เมืองเป่าอัน…การออกจากเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ยากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับท่านในตอนนี้”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ “ในปลายเดือนมิถุนาจะมีงานประมูลใหญ่จัดขึ้นที่ตงไห่ ทุกคนที่เข้าร่วมจะต้องเป็นบุคคลสำคัญอย่างแน่นอน ตราบใดที่ข้าสามารถตีพิมพ์วิทยานิพนธ์นี้ได้ ข้าก็จะได้รับโอกาสในการเดินทางไปยังเมืองชายฝั่ง ไม่ว่าจะตงไห่หรือจูเจียง นั่นคือที่ซึ่งความหวังในการเข้าร่วมงานประมูลที่ตงไห่ของข้าจะเริ่มต้นขึ้น! ข้าจะพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อที่จะเลือกโครงการแลกเปลี่ยนหรืองานสัมมนาในพื้นที่นั้น ๆ และเมื่อพวกเราสามารถสร้างเส้นทางการค้าไม้ฮวงหัวลี่ได้….”
เขากวาดสายตาไปมองใบไม้สีแดงที่ปรากฏให้เห็นในทั่วทุกมุมของยมโลก ซึ่งบดบังเครื่องจักรขนาดใหญ่ได้จนเกือบมิด ก่อนจะแย้มยิ้มและเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ยมโลกของข้า…ก็จะสามารถพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้เสียที”
“ผมเองก็หวังเช่นนั้น” กู่ชิงเข้าใจถึงความเร่งด่วนของเรื่องนี้ทันที “เช่นนั้นผมเองก็จะขอพูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน ท่านฉิน บทความวิจัยของท่านแผ่นนี้ยังช่องโหว่อยู่”
ฉินเย่ไม่ได้สนใจอะไร เขาพยักหน้า “ท่านสามารถพูดอย่างตรงไปตรงมากับข้าได้ หากพูดกันตามความจริง ข้าไม่เพียงต้องการให้บทความนี้ถูกตีพิมพ์บนผู้ฝึกตนรายสัปดาห์เพียงอย่างเดียว แต่ข้าต้องพื้นที่ทั้งหน้ากระดาษเพื่อตีแผ่มัน! ยิ่งคุณภาพของบทความสูงมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งมั่นใจมากเท่านั้น!”
เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันมีเพียงตอนที่คุณภาพของวิจัยมีมากถึงระดับหนึ่งแล้วเท่านั้นเขาถึงจะสามารถดึงดูดคำเชิญจากสถาบันใหญ่ ๆ ที่อยู่โดยรอบได้ และจากนั้นเขาจึงจะสามารถเลือกรับคำเชิญพวกนั้นได้ ไม่เช่นนั้น เขาก็คงไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่าจะมีคำเชิญที่ส่งมาจากทางตงไห่และจูเจียงหรือไม่
และหากเขาไม่ได้รับคำเชิญจากพื้นที่เหล่านั้น เขาก็จะไม่สามารถออกไปจากเมืองเป่าอันได้ แล้วเขาจะหน้าหนาพอเข้าร่วมสัมมนาในเมืองทางชายฝั่งได้อีกหรือ?
ต่อให้เขาเต็มใจ แต่ทางสำนักก็คงไม่ยอมอยู่ดี สำนักฝึกตนแห่งชาติจะไม่มีวันก้มหัวและร้องขอโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง
“ผมคงไม่สามารถออกความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อโต้แย้งและหลักฐานที่ท่านอ้างอิงได้ แต่สิ่งที่ผมสามารถออกความคิดเห็นได้ ก็คือทิศทางและความไหลลื่นของชิ้นงาน ความลื่นไหลของตรรกะนั้นยังค่อนข้างไม่เป็นธรรมชาติในบางส่วน และมันก็มีบางส่วนที่ดูค่อนข้างคลุมเครือเช่นกัน มันไม่ใช่ว่าข้อโต้แย้งและหลักฐานนั้นไม่หนักแน่นพอ แต่บทความนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ามันยังขาดความเข้มงวดอยู่”
“ความเข้มงวดนั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเขียนบทความทางวิชาการ มันยังเป็นคำชมที่ดีที่สุดสำหรับบทความอีกด้วย มีข้อความหลายประโยคที่ยังคงไม่ชัดเจน การเว้นวรรคและการใช้คำศัพท์เฉพาะทาง นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการจัดย่อหน้าและการเรียงลำดับข้อมูลในบางจุดอีกด้วย อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กองเนินเล็ก ๆ จำนวนมาก เมื่อนำมารวมกันก็สามารถกองเป็นภูเขาลูกใหญ่ได้เช่นกัน…”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “โดยรวมแล้วมันไม่มีปัญหาอะไร แต่มันแค่ไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้อ่าน ท่านเข้าใจที่ผมต้องการจะสื่อไหม?”
ฉินเย่พยักหน้า
มันก็เหมือนกับการวาดรูปที่ทุกองค์ประกอบถูกวาดออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่เมื่อมองโดยรวมแล้วมันกลับดูไม่เป็นธรรมชาติและไม่เป็นหนึ่งอันหนึ่งอันเดียวกัน
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ‘ความเชื่อมโยง’ ของมันยังไม่มากพอ และความขัดแย้งก็ปรากฏให้เป็นไปทั่วทั้งกระดาษ ผู้ที่มักจะใช้ทักษะคัดลอกและวางย่อมรู้ได้ทันทีว่ารอยแยกพวกนี้มาจากที่ใด…
“เช่นนั้นเราควรเปลี่ยนมันอย่างไร?”
“มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะแก้ปัญหาพวกนี้ แต่พวกการปรับแต่งรูปประโยคอาจต้องใช้เวลาพอสมควร…” กู่ชิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ห้าวัน”
“ตลอดห้าวันหลังจากนี้ พวกเราจะช่วยกันแก้ไขและทำให้บทความนี้ไปสู่มาตรฐานที่สูงที่สุดที่พวกเราสามารถทำได้”