ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 216 โมริ รัมมารุ
บทที่ 216: โมริ รัมมารุ
ฉินเย่ขมวดคิ้วขณะที่ถามกลับไปว่า “พวกเราจะเจอกันได้ยังไง?”
ไร้ซึ่งคำตอบ
สามวินาทีต่อมา หน้าจอของเขาก็ปรากฏกรอบสีฟ้า ในขณะที่ข้อความของหัวหน้าไป๋เปลี่ยนเป็นสีแดง “พวกเราได้เปิดใช้โหมดนี้เพื่อทำให้แน่ใจว่าบทสนทนาของเราจะไม่ถูกตรวจสอบโดยใครก็ตาม โปรดอภัยในความไม่สะดวกนี้ด้วยครับ แต่ผมรับรองเลยว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับเราทั้งสองฝ่าย”
“ตลาดไสยเวทของเมืองเป่าอัน”
“กรุณาระบุวันและเวลาที่คุณสะดวก ตลาดไสยเวทจะตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง ถัดจากภูเขาเหล่าจุน เมื่อคุณไปถึงจะมีคนเดินเข้าไปหาคุณเองครับ”
ภูเขาเหล่าจุน?
ฉินเย่จำได้ว่านั่นคือจุดที่สุสานของเมืองเป่าอันตั้งอยู่ และถนนของผู้ล่วงลับเองก็อยู่แถว ๆ นั้น มันค่อนข้างเหมาะสมที่เดียวที่ตลาดไสยเวทจะถูกจัดขึ้นที่แน่ แต่…
มันตั้งอยู่นอกเมือง
มันอยู่ไม่ไกลจากสำนักฝึกตนแห่งแรก การเดินทางไปที่นั่นด้วยรถน่าจะใช้เวลาแค่ 20 นาทีเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น ทุกทางเข้าออกจากสำนักฝึกตนแห่งแรกนั้นถูกติดตั้งด้วยกล้องวงจรปิดที่ล้ำสมัยซึ่งสามารถจับภาพจากทุกมุมมองและไม่ทิ้งจุดบอดใด ๆ ไว้เลย มันยังมีแม้กระทั่งทีมลาดตระเวนอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน
“ตอนนี้ทางรัฐบาลรับหน้าที่ดูแลตลาดไสยเวทเรียบร้อยแล้ว และตลาดไสยเวททุกแห่งก็ได้มีการลาดตระเวนอย่างเข้มงวด” ฉินเย่พิมพ์ตอบกลับไปโดยยังไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย “บางทีคุณอาจจะต้องเข้ามาในเมืองเป่าอันแทน มันเป็นเรื่องยากมากที่ผมจะออกไปไหนในเวลานี้”
หัวหน้าไป๋ตอบกลับมาแทบจะในทันที “คุณฉินครับ ผมคงต้องขอเตือนคุณอีกครั้งว่าไม่ว่าคุณจะมีชื่อเสียงมากเพียงใด หากสมบัติของคุณไม่ได้รับการประเมินอย่างครบถ้วนจากผู้ประเมินของเรา สมบัติชิ้นนั้นก็ไม่สามารถเข้าร่วมการประมูลได้ หากคุณตัดสินใจได้แล้ว โปรดดำเนินการโดยเร็วที่สุด สินค้าทั้งหมดที่จะถูกแสดงในงานประมูลจะต้องได้รับการประกาศภายในวันที่ 1 มิถุนายน ในอีกความหมายหนึ่งก็คือพวกเราเหลือเวลาอีกแค่ 8 วันเท่านั้น ที่จะเดินทางไปประเมินสมบัติของคุณได้”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพิมพ์เสริมว่า “หากคุณช้าไปกว่านี้ คุณอาจจะพลาดการประมูลใหญ่ที่กำลังจะมาถึงนี้ได้ครับ”
“เข้าใจแล้ว” ฉินเย่ปิดกล่องข้อความ ปิดกั้นการตอบกลับเพิ่มเติมของอีกฝ่าย จากนั้นจึงยกมือนวดขมับของตัวเองและพึมพำออกมาเบา ๆ “เขากำลังร้อนใจ”
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันจะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้แน่…อย่างไรก็ตามมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคาดเดาไปเรื่อยเช่นนี้ อย่างน้อยข้าก็ควรจะลองพยายามเดินทางไปเจอเขาดู แต่…ข้าจะทำได้อย่างไรล่ะ?”
“ฝ่าบาททรงลืมอะไรไปหรือเปล่าเพคะ?” มือที่เนียนนุ่มสองข้างยื่นมือคลึงขมับให้เขาอย่างอ่อนโยน และน้ำเสียงที่นุ่มนวลและมีเสน่ห์ก็ดังจากมาข้างหลัง “ตอนนี้นางสนมของพระองค์กำลังอยู่บนเตียงเพียงคนเดียว อยู่ภายในพระราชวังแห่งเกียรติยศอย่างเปล่าเปลี่ยวและอ้างว้าง ปรารถนาเพียงความอบอุ่นจากอ้อมกอดและความห่วงใยของพระองค์เท่านั้น”
ฉินเย่รู้สึกขนลุกไปทั่วร่างทันที อ่าาา…ในที่สุดเนื้อเรื่องใหม่ก็ปลดล็อกออกมา…นางเลื่อนขั้นจากการเป็นผู้เล่นมือใหม่ ไปสู่ผู้เสพติดการดูซีรีส์ขั้นสูงสุดแล้วสินะ…ถึงขนาดที่เริ่มแสดงบทบาทเป็นสนมวังหลังแล้วด้วยเนี่ย…
“ท่านคิดอะไรได้อย่างนั้นหรือ?” เสียงของฉินเย่แผ่วเบา
“แน่นอนสิเพคะ” อาร์ทิสหมุนตัวฉินเย่ให้หันกลับมา ทาบมือทั้งสองข้างที่แก้มของอีกฝ่ายและสบตากันก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ว่า “จุดประสงค์ของการมีอยู่ของข้าก็เพื่อทำให้เตียงของท่านอบอุ่นขึ้น ด้วยวิธีนี้ ข้าจะได้รับความโปรดปรานจากยมโลกและได้รับพรให้มีสุขภาพที่ดีและอายุยืนสืบไป”
“…ข้าขอภาษามนุษย์”
อาร์ทิสหัวเราะออกมา “ในเมื่อมันยากนักสำหรับเจ้า เหตุใดจึงไม่…ฝากฝังความไว้วางใจให้กับข้า และปล่อยให้ข้านำสมบัติทั้งหมดไปที่ตลาดไสยเวทในนามของเจ้าแทนล่ะ? จากนั้น เจ้าก็แค่มาขอร้องให้ข้ายอมรับของกำนัลแทนคำขอบคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ และข้าจะรับตราประทับหยกสีเลือดลายนกพญาหงส์ไปด้วยความเต็มใจ…เจ้าลองพิจารณาข้อเสนอของข้าและบอกให้ข้ารู้หากเจ้าตกลง…”
ที่รัก! มันคือสุสาน! สุสาน!
ท่านคิดว่ามันสมควรหรืออย่างไรที่ตุ๊กตายากจะไปเดินเล่นอยู่แถว ๆ สุสานในตอนกลางดึกน่ะ? แถมยังตั้งใจจะเจรจาต่อรองการค้ากับมนุษย์อีกด้วย? ท่านแน่ใจหรือว่าตัวเองไม่ได้กำลังคิดแผนฆาตกรรมแทน? ท่านจะต้องทำให้ทุกคนที่นั่นหัวใจวายแน่ ๆ!
ความหวังที่ฉินเย่จะขอความช่วยเหลือจากอาร์ทิสนั้น ถูกตัดออกไปก่อนที่มันจะผุดขึ้นมาเสียอีก แววตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย “แต่ข้ากลับมีข้อเสนออีกแบบหนึ่ง…เหตุใดท่านจึงไม่นำมันไปที่นั่นและกลับมาโดยไม่ได้อะไรเป็นของกำนัลแทนล่ะ?”
มันมีเหตุผลว่าทำไมแอลกอฮอล์ถึงมักถูกเรียกว่าน้ำแห่งความกล้า
อาร์ทิสยิ้มบาง
วินาทีต่อมา เสียงอะไรบางอย่างที่ดังออกมาจากห้องพักของอาจารย์ผู้สอนท่านหนึ่งก็ทำให้เหล่านักเรียนที่หลับสนิทอยู่ตกใจตื่น พวกเขาลุกขึ้นนั่งและขยี้ตาของตัวเอง “เกิดอะไรขึ้น?” “รวมพลด่วนหรือ?” “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
………………………………..
ในเวลาเดียวกัน ณ เมืองเยียนจิง หัวหน้าไป๋ปิดหน้าเว็บไซต์และหลับตาลง
ในฐานะของรองหัวหน้าของโรงประมูลเจียเต๋อ เขาถูกคาดหวังว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเรียบร้อย แต่ตอนนี้ ใต้ตาของเขาดำคล้ำและผมเผ้าของเขาก็ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ใบหน้าส่วนที่เหลือถูกปิดด้วยหน้ากาก ในขณะที่ร่างทั้งร่างถูกซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมหนา
นอกจากนี้ เขาก็กำลังอยู่ที่สนามบิน
ข้าง ๆ เขายังมีชายอีกสองคน คนหนึ่งสวมหน้ากากและแว่นกันแดดจนมองไม่เห็นใบหน้าทั้งหมด ในขณะที่อีกคนหนึ่งตัวสูงและนิ่งเงียบ ทั้งสองยืนขนาบข้างหัวหน้าไป๋ ราวกับว่ากำลังปกป้องเขา
“เหลือเวลาอีกนานเท่าไหร่กว่าเครื่องจะขึ้น…” หัวหน้าไป๋ถาม เสียงของเขาแหบพร่าและอ่อนแรง ร่างของเขาสั่นเทาเล็กน้อย พยายามหาความสบายใจและความปลอดภัยจากการคุ้มครองของชายทั้งสอง
ชายตัวสูงไม่ได้เอ่ยตอบ แต่ผู้ที่ตอบกลับเป็นชายสวมหน้ากากที่ก้มลงมาและกระซิบเบา ๆ ว่า “อีกสิบนาทีเราถึงจะสามารถขึ้นเครื่องได้ครับ หัวหน้าไป๋ คุณไม่ต้องเป็นกังวลไป…จะไม่มีใครสามารถจับตัวคุณได้ที่นี่”
หัวหน้าไป๋ไม่ได้รู้สึกวางใจเลยสักนิด เขาใช้มือสางผมของตัวเองอย่างสิ้นหวัง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำขณะที่กัดฟันกรอด “ผมไม่ควร…ไม่ควรเลยจริง ๆ…แต่มันก็ไม่มีทางที่ผมจะอยู่ที่นี่ต่อได้! ถ้วยนั่น…ถ้วยนั่นมันมีปีศาจ…”
“ไม่มีใครเต็มใจจะเอามันออกไปจากผม ในขณะที่หน่วยสอบสวนพิเศษไม่สามารถตรวจจับสิ่งผิดปกติจากมันได้เลย…มีแค่ผม…มีแค่ผมเท่านั้นที่รู้…เมื่อใดก็ตามที่ผมลดการป้องกันลง มันจะปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ ผมราวกับเงาตามตัว! และผมก็รู้ดีว่ามันกำลังรอโอกาสที่จะเชือดคอของผม…”
เขาค้อมตัวลงโดยไม่รู้ตัว ผู้คนมากมายภายในสนามบินไม่ได้ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นเลยแม้แต่น้อย เขาท้าวศอกบนต้นขาและฝั่งหน้าของตนลงกับฝ่ามือทั้งสองข้างที่สั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ทันใดนั้น ร่างของเขาก็สั่นเทาอย่างรุนแรง ปากอ้ากว้าง และจากนั้นร่างทั้งร่างของเขาก็สั่นไหวราวกับใบไม้ที่ร่วงหล่นเพราะสายลมฤดูใบไม้ร่วง
กึก กึก กึก กึก…ฟันของเขาเริ่มกระทบกันไม่หยุด และจู่ ๆ ทุกอย่างรอบตัวเขาก็เงียบเสียงไป
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ…
เสียงของผู้คน รถยนต์ และการรายงานทางโทรทัศน์ทั้งหมดเงียบหลายไปอย่างกะทันหัน ความรู้สึกเย็นยะเยือกไหลไปตามกระดูกสันหลัง แผ่ซ่านไปทั่วร่างและเกาะกุมหัวใจของเขา
มันเป็นความกลัวที่อึดอัดจนหายใจไม่ออก และจิตสังหารที่รุนแรง
“แฮ่ก…แฮ่ก…” เขาดูเหมือนแก่ขึ้นอีกสิบปีในทันที เส้นเลือดมากมายปรากฏขึ้นในม่านตาของเขาจนกระทั่งมันแดงก่ำไปทั้งดวงตา ปากของเขาอ้าค้าง ลำคอแห้งผาก และวิญญาณของเขาดูเหมือนจะถูกดึงออกจากร่าง
มันมาแล้ว… มันมาแล้ว!
มันอยู่ที่นี่แล้ว… ทั้ง ๆ ที่เขาหลบหนีมาที่สนามบินแล้วแท้ ๆ มันตามเขามาได้อย่างไรกัน?!
แก๊ก… แก๊ก…นี่เป็นเสียงที่ทำให้เขาแทบเสียสติตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เสียงที่ทั้งสั้นและฟังดูธรรมดา ทว่ากลับทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกหูอื้อไปชั่วขณะ ขนบนร่างของหัวหน้าไป๋ลุกชัน ด้วยร่างที่โค้งงอของเขา ทั้ง ๆ ที่ชายสองคนที่ยืนขนาบข้างเขาอยู่ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง แต่ในขณะที่เขา…กลับร่างกายสั่นเทาอย่างผิดปกติ และไม่แม้แต่จะสามารถเงยหน้าขึ้นมาได้
แก๊ก… แก๊ก…เสียงนั้นก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ มันชัดเจนว่าเสียงดังกล่าวกำลังมุ่งหน้ามาหาเขา ตอนนี้รอบข้างมีผู้คนเต็มไปหมด แต่เขากลับรู้สึกแปลกแยกจากโลกนี้อย่างไม่น่าเชื่อ ความรู้สึกโดดเดี่ยวเข้าเกาะกุมหัวใจ จากนั้น ในที่สุดเขาก็ระงับความกดดันนั้นเอาไว้และเอ่ยด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก “ช่วยด้วย…ช่วยด้วย!”
“ใครก็ได้ช่วยด้วย…ผมยังไม่อยากตาย…ช่วยด้วย!!!”
เขากรีดร้องออกมาสุดเสียง แต่ทันใดนั้น… แก๊ก…เสียงนั้นก็ดังขึ้นเบา ๆ เท้าที่สวมเกี๊ยะคู่หนึ่งก็มาหยุดลงตรงด้านหลังเขา
เกี๊ยะคือรองเท้าไม้ชนิดหนึ่งของญี่ปุ่น หนึ่งในลักษณะเด่นที่แยกเกี๊ยะออกจากรองเท้าไม้ทั่วไปก็คือมันมีขาเดียวอยู่ตรงกลาง คล้ายกับไม้ต่อขาของจีนโบราณ
“ฟึ่บ…อึก….” มันเหมือนกับว่ารอยแยกของนรกได้เปิดออกที่ด้านหลังเขานี่เอง ชายหนุ่มสามารถได้ยินเสียงกรีดร้องที่น่าขนลุกดังใกล้เข้ามา แต่เขาก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาแดงก่ำและร่างทั้งร่างก็สั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ จากนั้น ไม่กี่วินาทีต่อมา ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงและเขาก็ลุกขึ้นยืนตรงพร้อมกับกรีดร้องออกมาเสียงดัง!
พื้นกระเบื้องของสนามบินที่เมืองเยียนจิงนั้นสะอาดมาก อันที่จริง มันถูกขัดเงาอย่างดีจนเขาสามารถมองเห็นเงาสะท้อนของแสงที่อยู่เหนือพื้นได้
แต่แทนที่มันจะเป็นแสงจากหลอดไฟ หัวหน้าไป๋กลับเห็น…ใบหน้าที่อยู่ตรงพื้นด้านหน้าซึ่งก็คือเงาสะท้อนของตัวเขาเอง และใบหน้าขาวซีดอีกดวงหนึ่ง สายตาที่น่าสยดสยองจ้องมองลอดผ่านกลุ่มผมสีดำที่กระเซอะกระเซิงนั่นของมัน ตัวตนของมันแทบจะเหมือนกับศพเน่า ๆ ที่คลานออกมาจากหลุม และกำลังชะโงกหน้ามองมาผ่านลาดไหล่เขา! จนเกิดเป็นเงาสะท้อนที่น่าสะพรึงกลัวบนพื้น
มันอยู่ด้านหลังของเขา! และมันก็เอนตัวพิงกับร่างของเขาอยู่ด้วย!
“อะ…อ๊าาาาา!!!” เขาพยายามกรีดร้องออกมาสุดเสียงราวกับคนเสียสติ แต่เสียงที่ออกมากลับเบาราวกับมีใครบางคนกำลังบีบหลอดลมของเขาอยู่
และตอนนี้ใบหน้าที่อยู่ด้านหลังของเขาเมื่อครู่นี้ก็ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว!
กึก กึก กึก กึก…ฟันของชายหนุ่มกระทบกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ลูกกระเดือกของเขาสั่นอย่างรุนแรง และตัวของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ภายในสนามบินยังคงอัดแน่นไปด้วยเหล่านักเดินทางในยามราตรี แต่เขากลับรู้สึกแปลกแยกจากคนทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ และสิ่งเดียวที่อยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้ก็คือ…วิญญาณร้าย
เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นเพื่อดูให้ชัดเจน หางตาของหัวหน้าไป๋ยังคงเห็นเกี๊ยะญี่ปุ่นโบราณอยู่ใกล้ ๆ ตัวไม้ที่ใช้ทำดูผุพังเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามันมีอายุอย่างต่ำหลายร้อยปี สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาสวมชุดฮาโอริสีดำ และร่างทั้งร่างขาวซีดราวหิมะ แทบจะเหมือนกับว่าอีกฝ่ายถูกทาด้วยผงแป้งสีขาว นอกจากนี้เส้นผมสีดำสนิทยังตกลงมาจนถึงช่วยเอว และภาพตั้งแต่ช่วงเอวลงไปกลับดูน่าพิศวงอย่างไม่น่าเชื่อ
ชิ้ง~…เสียงที่แผ่วเบาดังขึ้น ชายหนุ่มรู้ดีว่านี่คือเสียงของดาบคาตานะถูกชักออกจากฝักอย่างไม่ต้องสงสัย ภายในหัวของเขาอื้ออึงไปหมด และเขาก็คิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อย หัวหน้าไป๋หลับตาลงและรอความตายของตนอย่างเงียบ ๆ
แต่ทันใดนั้น–!
ตุบ! เสียงของบางอย่างก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ และมันก็ทำให้เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าดูพร่าเลือนไปหมด ท่ามกลางโลกที่ปรากศจากเสียงใด เขาเห็นชายคนหนึ่งสวมหน้ากากและแว่นกันแดด ที่ดูเหมือนจะกำลังตะโกนมาที่เขา
“เกิดอะไรขึ้นกับผม?” ครู่ต่อมา เขากลับมาได้สติ และก็พบว่าตัวเองล้มลงกับพื้นตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบได้ เหงื่อออกไปทั่วทั้งร่าง และตอนนี้เขาก็กำลังถูกพยุงให้ลุกขึ้นนั่งโดยชายสวมหน้ากาก
“จู่ ๆ คุณก็ล้มลงไป! พวกเราเรียกก็ไม่ตอบ ไม่ว่าเราจะตะโกนเสียงดังขนาดไหนก็ตาม เราเกือบจะโทรเรียกรถพยาบาลอยู่แล้ว” อีกฝ่ายถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นจึงถามอย่างเป็นกังวล “มีอะไรครับ? เกิดอะไรขึ้น?”
หัวหน้าไป๋ไม่ได้ตอบอะไรออกมา เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาเพิ่งเห็นนั้นไม่ใช่ภาพลวงตาเลยสักนิด วิญญาณร้ายจากญี่ปุ่น…ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อมาตามหาเขา!
และมันก็ไม่จำเป็นต้องถามเลยว่าผีตนนี้ตามมาเพราะอะไร
“ไปเถอะ…” ทันใดนั้น เสียงประกาศบอกผู้โดยสารว่าเที่ยวบินพร้อมขึ้นแล้วก็ดังขึ้น หัวหน้าไป๋รวบรวมแรงทั้งหมดและลุกยืนขึ้น “พวกเราจะออกไปจากเมืองเยียนจิงและไปที่เมืองเป่าอันเดี๋ยวนี้ วิญญาณร้ายทุกตนจะต้องตาย!”
เขารีบนำตั๋วเครื่องบินให้เจ้าหน้าที่ตรวจและรีบขึ้นเครื่องบินทันที ขณะที่เดินผ่านทางเดิน หัวหน้าไป๋มองไปก็เหลือบสายตาไปมองท้องฟ้าที่ปกคลุมอยู่เหนือเมืองเยียนจิง ในที่สุดเขาก็ได้ออกไปจากที่นี่…แต่ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็กรีดร้องออกมาและคว้าชายที่อยู่ข้างตนแน่น
มันยังอยู่ตรงนั้น…และเขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่มองเห็นมัน! วิญญาณร้ายตนนั้นยืนอยู่ด้านหลังของเขาในกลุ่มคนจำนวนมาก แต่งตัวด้วยชุดโบราณที่ขาดรุ่งริ่ง และมันก็กำลังเดินตามเขามาอย่างเงียบ ๆ!
เขาวิ่งไปที่เครื่องบินราวกับคนบ้า หาที่นั่งของตัวเองและงอตัวราวกับลูกบอลอย่างหวาดหวั่นสะพรึงกลัว เขาสอดมือทั้งสองข้างของตนเข้าไปในกระเป๋าเสื้อทั้งสองฝั่ง และวินาทีนั้นเอง เขาก็เจออะไรบางอย่าง
มันคือกระดาษแผ่นหนึ่ง
ไม่ ถ้าจะพูดให้ถูก มันคือยันต์แผ่นหนึ่ง
เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันถูกวาดอะไรไว้ด้านหน้า แต่เขาสามารถมองเห็นตัวอักษรสีแดงที่ถูกเขียนอยู่ด้านหลังได้อย่างชัดเจน
“อย่าหันกลับไปมอง นั่นคือโมริรันมารุ [1] และเขาอยู่ข้างหลังคุณ ถ้าหันกลับไปตอนนี้ คุณตายแน่ เราจะช่วยถ่วงเวลาเขาไว้ให้เอง”
ใคร… ใครเป็นคนช่วยเขาก่อนหน้านี้?
เขาไม่กล้าคิดอะไรไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มทำเพียงขดตัวอยู่ที่ที่นั่งของตน แต่มันก็เป็นเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นผู้ชายผิวซีดที่นั่งอยู่ด้านหลังของเขาไปเพียงแค่แถวเดียว และกำลังมองเขาด้วยแววตาไม่พอใจ
“นั่นเขาหรือ?” ชายคนนั้นเอ่ยด้วยภาษาญี่ปุ่น จากนั้นชายร่างกำยำที่นั่งข้าง ๆ ก็โน้มหน้าลงมากระซิบตอบว่า “ใช่ เราได้รับการยืนยันแล้วว่าตอนนี้ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีอยู่กับเขา”
“โง่ชะมัด…” ชายผิวซีดหรี่ตาลง “เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ…ว่ามันกำลังพานรกแบบไหนมาสู่ตัวเอง…”
“พวกมนุษย์อย่างมันจะรู้ซึ่งถึงความยิ่งใหญ่ของราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 ได้อย่างไรเล่า?”
[1] หนึ่งในผู้รับใช้ของโนบูนางะ รันมารุและน้องชายของเขาร่วมกันปกป้องโนบูนางะในระหว่างเหตุการณ์กบฏที่วัดฮนโนจิ และฆ่าตัวตายโดยการคว้านท้องตัวเอง จากนั้นพวกเขาก็จุดไฟเผาวัดทั้งวัด สถานที่ซึ่งพวกเขาขังตัวเองเอาไว้และฆ่าทุกคนที่อยู่ภายใน