ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 217 ตลาดไสยเวท
บทที่ 217: ตลาดไสยเวท
ในช่วงบ่ายของวันต่อมา เมื่อหลินฮั่นเห็นฉินเย่ลูบหลังของตนขณะที่เดินมาที่โรงอาหาร เขาก็เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “เมื่อคืนนี้ หลังจากที่ดื่มกับเสร็จ…คุณได้ไปทำผิดอะไรมาหรือเปล่า?”
ฉินเย่กัดฟันกรอด ใครก็ตามที่ตบหน้าเขาแบบนี้จะไม่มีทางได้รอดออกไปเฉย ๆ แน่
เขามองหลินฮั่นและกระดิกนิ้วเรียกอีกฝ่าย หลินฮั่นกะพริบตาราวกับต้องการจะบอกว่า – ผมไม่สามารถช่วยคนที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองไม่ได้หรอกนะ…เว้นแต่ว่าคุณจะเรียกผมว่าปะป๊าเสียก่อน
ฉินเย่จึงตอบความคาดหวังของอีกฝ่ายอย่างเมตตาเล็กน้อยผ่านทางสายตาว่า – ผมจะให้โอกาสคุณได้แก้ตัวอีกที
ฉินเย่กระชากคอคนตัวโตลงมาและกระซิบ “ผมขอถามอะไรคุณสักอย่าง…”
“ผมไม่ให้ยืม!” หลินฮั่นตอบทันที
“ให้ตายเถอะ…” ฉินเย่แทบจะข่มความต้องการที่จะเตะคนโง่ตรงหน้าแทบไม่ไหว “คุณช่วยตั้งใจฟังดี ๆ สักครั้งได้ไหม?!”
“โอเค” หลินฮั่นกะพริบตาปริบ ๆ ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ “ผม…”
“ผมไม่มี!”
ลิ้มรสกระบี่ของฉันสักหน่อยไหม ไอ้หนู
ไม่ฉันก็นายจะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเดินไปที่อาคารเรียนได้ในวันนี้ เตรียมตัวไว้ให้ดี!
ภายใต้สายตาที่ดุดันของฉินเย่ หลินฮั่นจึงกระแอมออกมาเบา ๆ และเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้จะมาขอยืมเงินหรืออะไรจากผม…เอาล่ะ คุณพูดมาเถอะ”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เขาจะไม่โกรธ…อย่าถือสาคนโง่…ยังไงเขาก็ต้องการความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย…
เขาจิ้มซี่โครงชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากจาน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ผมว่าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย”
“คุณบ้าไปแล้วเหรอ?!” หลินฮั่นอ้าปากค้างและรีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว มองไปรอบ ๆ ขณะที่เอ่ยเบา ๆ “พวกเรากำลังขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้วนะ ทุกอย่างจะจบลงทันทีที่ทางสำนักรู้เรื่องนี้! แต่เดี๋ยวนะ…ทำไมคุณถึงเลือกที่จะมาขอความช่วยเหลือจากผมกัน?”
ฉินเย่สบตาอีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยว่า “คุณเป็นอันธพาลท้องถิ่นของเมืองเป่าอันไม่ใช่เหรอ?”
ใบหน้าของหลินฮั่นนิ่งไป “อันธพาลท้องถิ่นของเมืองไดซานกลายเป็นอันธพาลท้องถิ่นของเมืองเป่าอันไปตั้งแต่เมื่อไหร่? คุณช่วยอธิบายให้ผมฟังทีได้ไหม?”
ฉินเย่หุบยิ้มและพลิกซี่โครงในจากด้วยส้อมของตน “เพราะว่า…ผมอ่านประวัติของคุณ ทั้งคุณและซู่เฟิงต่างเป็นผู้ฝึกตนของมณฑลอันฮุ่ย ดังนั้นคุณน่าจะเดินทางไปทำงานในเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ในมณฑลอันฮุ่ยภายใต้ชื่อของศูนย์วิจัย SRC มาแล้วแน่นอน ผู้อำนวยการอาจจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ แต่พวกคุณทั้งคู่ต่างอยู่ระดับต้น ๆ ในแง่ของการเผชิญหน้ากับวิญญาณโดยตรง นอกจากนี้มันก็ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าคุณเคยมาทำงานในวิทยาเขตสาขาของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยมาก่อน และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด…ผมเชื่อใจคุณ”
หลินฮั่นรู้สึกดีขึ้นมาทันที เขาถามขึ้นว่า “คุณยังไม่ได้ไปขอใครเลยจริง ๆ ใช่ไหม?”
ฉินเย่ลูบหลังของตัวเองและเงียบไป
แน่นอนว่าฉันขอแล้ว…แต่นายคิดจริง ๆ หรือว่ามันไม่เจ็บตอนที่ถูกตุ๊กตายางอัดซะอ่วมน่ะ?!
การเจรจานั้นยากเกินไป ความแตกต่างระหว่างมิตรภาพและศัตรูนั้นมีอยู่เพียง 1 มิลลิเมตรเท่านั้น
“คุณนี่มีเพื่อนน้อยจริง ๆ นะ” หลินฮั่นมองอีกฝ่าย จากนั้นจึงมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง “คุณคิดจะทำมันจริง ๆ น่ะหรือ?”
แววตาของฉินเย่วูบไหว ก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักแน่น
คนตรงหน้ามีวิธี!
“คุณจะต้องไปจริง ๆ น่ะหรือ?”
“ใช่ ผมมีความจำเป็นที่จะต้องไปที่ตลาดไสยเวทให้ได้” ฉินเย่จ้องลึกเข้าไปในตาของอีกฝ่ายขณะเอ่ยตอบ “คุณพอจะมีวิธีออกไปข้างนอกบ้างไหม? แล้วมันปลอดภัยหรือเปล่า?”
“แน่นอน! คุณคิดว่าผมได้ชื่ออันธพาลท้องถิ่นแห่งเมืองปะ…ช่างชื่อบ้านั่นไปเถอะ!” หลินฮั่นมองอีกฝ่ายอย่างรำคาญ หลังจากผ่านไปประมาณสามวินาที เขาก็กลอกตาและหยิบโทรศัพท์ของตนออกมา “ให้ตายเถอะ ผมติดหนี้คุณอยู่ใช่ไหม?! ถือเสียว่านี่เป็นค่าตอบแทนสำหรับน้ำใจที่คุณยื่นมาให้เรื่องงานวิจัยก็แล้วกัน”
หลังจากจ้องหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองเป็นเวลาสามนาทีเต็ม ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมาและกระซิบเสียงเบา “คืนนี้ เวลา 00.30 น. ไปเจอกันที่ประตูทางตะวันออก อย่างน้อยคุณก็ต้องรอจนกระทั่งดับไฟก่อนถ้าอยากออกไปข้างนอก ตลาดไสยเวทปิดตอนตี 5 พวกเขาเปิดแค่คืนละห้าชั่วโมงเท่านั้น”
“ขอบใจ” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก สำเร็จ…ในที่สุดจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายก็เข้าที่
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและฉินเย่ก็ได้พักผ่อนอย่างสบายใจ
…………………………
ตกกลางคืน 00.30 น.
ฉินเย่แอบออกมาจากห้องและเดินไปยังบริเวณด้านนอกของโรงอาหารที่สอง จุดที่พวกเขานัดกันเอาไว้ เขาถือกล่องขนาดใหญ่ที่ใส่สมบัติที่จะใช้ประมูลเอาไว้ โรงอาหารที่สองเป็นโรงอาหารที่ถูกใช้โดยเหล่านักศึกษาของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยเท่านั้น และตอนนี้มันก็ถูกทิ้งร้างเอาไว้ อย่างไรก็ตามมันยังคงอยู่ในสภาพที่ดีอยู่ และที่สำคัญที่สุด…มันอยู่ไม่ไกลจากประตูทางทิศตะวันออกของสำนักมากนัก และเขาก็สามารถเดินตามทางจากประตูตะวันออกไปจนสุดของเขตเมืองเป่าอัน
เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ วิทยาเขตสาขาของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยถูกสร้างขึ้นในเขตชานเมือง
เพราะมันราคาถูกและคุ้มค่าที่จะเปิด
“คุณจะต้องกลับมาที่นี่ภายในเวลาตี 5” หลินฮั่นรออยู่ก่อนแล้ว และเขาก็ยื่นถุงบางอย่างให้กับฉินเย่ “ผมไม่รู้ว่าคุณเคยไปตลาดไสยเวทมาก่อนหรือเปล่า แต่คุณจะต้องจำสามสิ่งนี้ให้ขึ้นใจ”
“ข้อแรก อย่าประหลาดใจ มันจะไม่ได้มีแค่มนุษย์เท่านั้นที่เดินอยู่ในตลาดไสยเวท บางสิ่งที่คุณเห็นที่นั่นอาจไม่ใช่มนุษย์ ตลาดไสยเวทคือสถานที่ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาคร่อมพื้นที่สีเทา มันจะปรากฏขึ้นหลังเที่ยงคืนเท่านั้น ระยะเวลาและตำแหน่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน หากไม่ได้เดินบนเส้นทางเดียวกัน มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะได้พบเห็นตลาดไสยเวทเข้า”
“ข้อที่สอง อย่าพูดอะไรทั้งนั้น ทันทีที่มนุษย์อ้าปาก พลังหยางของเขาจะเล็ดลอดออกมา ทุกตนต่างรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณดึงดูดความสนใจจากสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ จงปลอมตัวด้วยของที่ผมเพิ่งมอบให้ไป แน่นอนว่าคุณห้ามเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองภายในตลาดแห่งนั้น”
ฉินเย่พยักหน้า ตลาดไสยเวทคือสิ่งที่เขาเคยได้ยินเพียงแค่ชื่อของมันเท่านั้น เขาเคยคิดที่จะไปที่นั่นตอนอยู่ที่เมืองชิงซี แต่น่าเสียดายที่แผนนั้นถูกพับเก็บไปเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมัจจุราชแห่งยมโลก นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้คลายความอยากรู้ของตัวเอง
เขาเปิดสิ่งที่หลินฮั่นมอบให้ตน แต่แล้วก็ตกตะลึงไปทันที
“ช่วยอธิบายทีได้ไหมว่านี่มันคืออะไร?” การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างกะทันหันทำให้เขามึนงงเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มหยิบสิ่งที่เหมือนกับผ้าไหมสีดำออกมา “ทำไมมันถึงดูเหมือนกับถุงน่องแบบนี้?”
“ก็เพราะว่ามันคือถุงน่องน่ะสิ! และมันก็เป็นถุงน่องของลั่งชา (Langsha) เสียด้วย! [1] ของแบบนี้ทำให้ผมรอดตายมานับร้อยครั้งแล้ว” หลินฮั่นเริ่มเอาถุงน่องมาสวมเข้าที่ศีรษะของตนอย่างเป็นธรรมชาติ ชั้นแรก…จากนั้นก็ชั้นต่อไป…มันน่าอายจนฉินเย่ต้องรีบดึงมันออกอย่างแรง จากนั้นก็กัดฟันกรอด “เปลี่ยนมันเดี๋ยวนี้!!”
“ทำไม?” คนที่ถูกเรียกว่าโง่มีท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย “มันเพราะคุณเลยนะที่ทำให้ผมต้องไปซื้อสิ่งนี้มา! ไม่อย่างนั้นผมคงแค่เจาะรูสองรูที่ถุงขยะไปแล้ว มันง่ายแต่ใช้งานได้จริง…เฮ้! นี่คุณเตะผมเหรอ?”
ฉินเย่หดขาของตนกลับมาและมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอาฆาต “ผมไม่สน…ไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้! จะเป็นอะไรก็ได้! จะเป็นถุงขยะก็ได้! ไปเดี๋ยวนี้! เร็ว! เร็วเข้า!!”
ชายทั้งสองมาเจอกันอีกครั้งหลังจากผ่านไปสิบนาที ความไม่พอใจของหลินฮั่นพุ่งสูงขึ้นจนเปลี่ยนเป็นความคับแค้นใจ “โอนเงินมาด้วย 230 หยวน ห้ามขาดแม้แต่นิดเดียว! ของดี ๆ ทั้งนั้น…ผมล่ะไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมคุณถึงไม่ยอมสวม…”
ฉินเย่โอนเงินให้อีกฝ่าย 250 หยวน [2] ทันที จากนั้นเขาก็คลุมหน้าของตัวเองด้วยผ้าสีดำเรียบ ๆ ก่อนจะเดินตามหลินฮั่นออกไป
เขามีความรู้สึกเหมือนกับว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ค่อยราบรื่นนัก…อีกฝ่ายนับว่ามีความสามารถมากทีเดียว ที่สามารถทำให้การปลอมตัวธรรมดา ๆ กลายเป็นโจรได้…
อาณาเขตเวทมากมายถูกเขียนไว้ที่ประตูตะวันออก และยังมีผู้ฝึกตนที่คอยเฝ้าคุ้มกันอยู่ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน นอกจากนี้มันยังมีแม้กระทั่งกล้องวงจรปิดที่ถูกติดไว้แทบจะทุกซอกทุกมุม เขาสามารถบอกได้เลยว่าที่นี่มีการป้องกันที่แน่นหนามาก หลินฮั่นไม่ได้ใช้ประตูหน้า กลับกันเขาเข้าจากพุ่มไม้ที่อยู่ห่างจากประตูหลักออกมาประมาณ 200 เมตรแทน ชายหนุ่มรีบพุ่งเข้าไปพร้อมกับยกแขนปิดรอบศีรษะของตนเอาไว้ ท่าทางเขาเหมือนผีญี่ปุ่นที่ถูกฝูงแตนไล่ตามไม่มีผิด
อ่าาา…ลางสังหรณ์ของเขาเป็นจริง…ฉินเย่มองพุ่งไม้ตรงหน้า เขาสามารถบอกได้จากรูปลักษณ์ที่สวยงามและหนามที่แหลมคมพวกนี้…มันคือพุ่มดอกกุหลาบ…
มีรูเล็ก ๆ ปรากฏอยู่ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของพุ่มดอกกุหลาบซึ่งดูเหมือนกับทางของสุนัข มุมปากของเขากระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ “นี่คือทางที่คุณบอกเหรอ?”
แม้ว่าหลินฮั่นจะตัวใหญ่แต่เขาก็ว่องไวราวกับหนูตัวใหญ่ในพุ่มไม้หนาม เขาตอบออกมาโดยที่ไม่หันกลับไปมอง “ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง แต่เส้นทางนี้อย่างไรก็เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์อยู่ดีแหละหน่า…คุณจะมาหรือเปล่า?! ผมปิดกล้องวงจรปิดด้วยหมากฝรั่งเอาไว้แล้ว ถ้าช้ากว่านี้พวกเราได้ถูกเจอตัวแน่!”
เขาเชื่อแล้วว่าคนบางคนมีพรสวรรค์ ในการดึงด้านที่มืดมิดที่สุดของผู้อื่นออกมา จนถึงตอนนี้ ฉินเย่กลับรู้สึกอยากฆ่าอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ
เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนและวิ่งลอดเข้าไปในพุ่มดอกกุหลาบตรงหน้า หลังจากคลานไปประมาณสิบนาที ทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของพุ่มไม้
พวกเขาสามารถมองเห็นทางหลวงที่ทอดยาวออกมาจากในเมือง แสงไฟลาดตระเวนของเหล่าผู้ฝึกตนยังคงสว่างให้เห็นจากจุดที่ไกลออกไป ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะเริ่มไหลเวียนพลังปราณของตัวเองและพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
ฟึ่บ…สายลมพัดผ่านใบหน้าขณะที่พวกเขาพุ่งออกไป สิบนาที…20 นาที…และในท้ายที่สุด หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ภูเขาที่สว่างไสวก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของพวกเขา
อาคารโบราณหลายหลังตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาของภูเขาเหล่าจุนในความมืด แทบจะเหมือนกับว่าพวกมันคือสุสานขนาดใหญ่ สายลมยามราตรีพัดผ่านถนนที่ว่างเปล่าจนเกิดเป็นเสียงแผ่วเบา ราวกับท่วงทำนองแห่งวิญญาณที่ถูกเป่าโดยขลุ่ยกระดูกมนุษย์ ธงวิญญาณสีขาวและเงินกระดาษสีเหลืองกระจัดกระจายเต็มพื้น ราวกับถูกโปรยด้วยมือที่มองไม่เห็น
บ้านบางหลังถึงขนาดมีม้ากระดาษ และคนใช้กระดาษวางอยู่ตรงหน้าต่าง มันจะมีอะไรแปลกไปมากกว่านี้อีก…ภาพที่ดูน่าขบขันในตอนกลางวันกลับดูมืดมนและน่าขนลุกในยามราตรีจนทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่าง
ราวกับว่า…ทันทีที่เขาละสายตาจากบานหน้าต่าง ตุ๊กตากระดาษพวกนี้จะลืมตาขึ้นและจ้องมองเขาเงียบ ๆ จากด้านหลัง
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเย่ได้มาที่ตลาดไสยเวท สุสานที่ควรจะเงียบสงบกลับสว่างไสว ทางเดินทอดยาวจากที่เชิงเขาไปจนถึงยอด และมันยังมีตะเกียงไฟสีขาวซีดแขวนเรียงรายอยู่ ซึ่งน่าจะห่างกันประมาณสิบเมตร คำคำหนึ่งถูกเขียนไว้บนตะเกียงไฟทั้งหมดด้วยตัวอักษรสีแดงเลือดว่า “สินค้า”
ด้านบนของภูเขานั้นลมแรงมาก และตะเกียงไฟทั้งหมดก็แกว่งไปมาอย่างรุนแรง ทำให้แสงสว่างที่ส่องมานั้นวูบไหวไม่หยุด มันดูราวกับว่าผู้ตายกำลังกะพริบตาให้พวกเขา
“คำบนตะเกียงไฟแสดงถึงกฎข้อบังคับที่ควบคุมตลาดแห่งนี้ มันหมายความว่าคุณสามารถทำได้เพียงแลกเปลี่ยนสินค้าเท่านั้น พวกเขาจะไม่รับเงินหรือหินวิญญาณ ตลาดไสยเวทแต่ละแห่งมีกฎของมันเอง ยกตัวอย่างเช่นตอนที่ผมไปที่ตลาดไสยเวทในจูโจว พวกเขาจะรับแค่หินวิญญาณเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้คำที่ถูกเขียนบนตะเกียงไฟจะเป็นความว่า ‘วิญญาณ’ แทน และหากพวกเขารับเฉพาะเงินตรา มันก็จะถูกเขียนว่า ‘เงินตรา’” หลินฮั่นอธิบาย
ฉินเย่พยักหน้า และเขาก็หรี่ตาลงขณะที่ชี้ไปยังจุดที่ใกล้กับยอดเขา “นั่นอะไรน่ะ?”
คนธรรมดาจะไม่มีทางมาที่สุสานในเวลากลางดึกเช่นนี้ แต่เวลานี้ บริเวณที่เขาชี้กลับไม่ได้มีเพียงมนุษย์เท่านั้น แต่ยังดูเหมือนว่าจะมากันหลายคนเสียด้วย
บางคนสวมหมวกที่มีผ้าคลุมยาวคลุมลงมาปิดใบหน้า บางคนสวมหน้ากาก ในขณะที่คนอื่น ๆ สวมหมวกคลุมศีรษะ มีทั้งคนที่สะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่หรือถือกล่องขนาดใหญ่ มีบางคนที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างจากการรวมตัวของกลุ่มมดอีกด้วย และคนทุกคนก็แออัดกันเดินขึ้นไปตามบันไดหิน
มันมีแม้กระทั่งคนที่สวมชุดคลุมสีดำโบราณ สวมหน้ากากและถือตะเกียงไฟสีแดงสด และเมื่อใดก็ตามที่ชายเสื้อคลุมของพวกเขาปลิวไปตามอากาศ ฉินเย่ก็พบว่าพวกเขาไม่ได้เดินโดยที่เท้าติดอยู่กับพื้น แต่มันมีกลุ่มก้อนพลังหยินที่ปล่อยออกมาจากใต้เสื้อคลุมของทั้งหมดขณะพวกเขาลอยไปพร้อมกับฝูงชน
วิญญาณ!
“นั่นคือวิญญาณที่ได้รับการอนุมัติจากทางรัฐบาลแล้ว” หลินฮั่นเหลือบมองผู้เป็นเพื่อนของตนและอธิบาย “เหมือนกับ A32 ในขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ บางตนเป็นเทพประจำตระกูล ในขณะที่ตนอื่น ๆ สามารถถือได้ว่าเป็นวิญญาณผสาน แต่มันก็มีวิญญาณพิเศษที่ไม่เคยก่อคดีเหนือธรรมชาติและสัญญาว่าจะเป็นพันธมิตรกับหน่วยสอบสวนพิเศษเช่นกัน ทางรัฐบาลจะมอใบรับรองพิเศษให้กับพวกเขา…อย่างเช่นนี่ รับไป”
เขายื่นตราประจำตัวสองตราให้กับฉินเย่ เด็กหนุ่มมองมัน ด้านบนของมันถูกเขียนไว้ว่า “เฉินฉี วันเกิด: 2/6/1964 วันตาย: 21/8/2009 วันที่ออกใบอนุญาต: 2/6/2018 หมดอายุ: 2/6/2028”
รายละเอียดอื่น ๆ นั้นเหมือนกับบัตรประชาชนทั่วไป ความแตกต่างเดียวก็คือตราสัญลักษณ์ประจำชาติที่ถูกเปลี่ยนเป็นพ่วงหรีดแทน
แยบยลมาก!
ฉินเย่เก็บมันไปและกระซิบเสียงเบา “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมตามหา”
“คุณได้กลิ่นอะไรไหม?” เขาหลับตาลงและสูดกลิ่นที่ลอยมาตามอากาศ “มันมีกลิ่นศพอยู่บนเขาตอนนี้”
หลินฮั่นมึนงงกับคำพูดของอีกฝ่าย “แน่นอนว่ามันต้องมีกลิ่นศพ พวกเขาทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ต่างตายหมดแล้ว! บางทีกลิ่นที่คุณได้กลิ่นอาจจะเป็นกลิ่นจากประทัดก็ได้…”
“ไม่…” ฉินเย่ลืมตาขึ้นและจ้องไปบนเขา “มันเป็นกลิ่นของศพที่เดินไปมา…นอกจากนี้…มันยังมีกลิ่นที่ไม่เหมือนกับคนจีนอยู่ด้วย…ผมเหมือนเคยได้กลิ่นพวกนี้มาจากที่ไหนกัน?”
[1] ลั่งชา(Langsha) คือแบรนด์สินค้าของจีนที่ผลิตทั้งถุงน่องและชุดชั้นใน
[2] ในภาษาจีน คำว่า 二百五 มีความหมายว่าสองอย่างคือ 250 และโง่ ที่ฉินเย่โอนให้อีกฝ่าย 250 นั้นเป็นการหลอกว่าอีกฝ่ายทางอ้อม