ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 221 ดวงตาแห่งคำสาป(1)
บทที่ 221: ดวงตาแห่งคำสาป(1)
“เดี๋ยวครับ… ได้โปรด !!” ไป๋อี้ชานร้องออกมาอย่างน่าสังเวชทันทีที่ฝนลูกธนูถูกยิงออกมา ก่อนที่เขาจะเอาแต่หมอบตัวหลบอยู่ด้านหลังของป้ายหลุมศพอย่างหวาดกลัวและสิ้นหวัง
แต่ไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่าลูกธนูพวกนั้นไม่ได้พุ่งมาที่เขาเลยสักนิด
กลับกัน มันพุ่งไปทางฉินเย่ !
“พวกคุณกล้ามากนะถึงมาสร้างปัญหาใกล้กับผม ช่างกล้าดีจริง ๆ” ฉินเย่แค่นหัวเราะออกมาและเหวี่ยงกระบี่ปีศาจในมือตนอย่างรวดเร็ว ปัดป้องลูกธนูทุกดอกที่พุ่งมาที่ตน !
ตู้ม !
เกิดประกายแสงไฟขึ้นกลางอากาศเมื่อลูกธนูทั้งหมดระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ ติดต่อกัน
ลำแสงของใบมีดพุ่งผ่านม่านลูกธนู ทำลายพวกมันและพุ่งเข้าหาคาโม่ทาดายูกิอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มถอยหลังออกมาอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดเลยว่าฝนธนูจะไม่สามารถใช้กับฉินเย่ได้ ทว่าก่อนที่เขาจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ เสียงหลายเสียงก็พลันดังขึ้น “คุ้มกันนายท่าน !!”
ทหารเท็งงุจำนวนมากกลับหลังหัน เผยให้เห็นโล่ที่พวกเขาสวมอยู่ มันไม่ชัดเจนว่าวัสดุที่ใช้สร้างโล่พวกนั้นมาคืออะไร แต่พวกมันถูกวาดเป็นรูปใบหน้าของมนุษย์ที่แตกต่างกันไป ด้วยเสียงร้องที่เร่งรีบของพวกเขา คนทั้งหมดพุ่งไปที่ทาดายูกิอย่างบ้าคลั่ง ล้อมรอบชายหนุ่มไว้และก่อตัวเป็นค่ายกลป้องกันที่เป็นระเบียบในชั่วพริบตา
และในวินาทีต่อมา ลำแสงจากใบมีดของฉินเย่ก็ปะทะเข้ากับค่ายกลป้องกันโดยตรง พร้อมกับเสียงกระแทกและเสียงกรีดร้องอย่างน่าสังเวช ค่ายกลป้องกันทั้งหมดพังทลายในทันที !
ร่างจำนวนมากประเด็นไปด้านหลังราวกับว่าวที่เชือกขาด เผยให้เห็นใบหน้ามึนงงของทาดายูกิท่ามกลางคนทั้งหมด กลุ่มพลังปราณที่สามารถมองเห็นได้ก่อตัวล้อมรอบมือทั้งสองข้างของเขา ทว่าเขาก็ยังไม่มีโอกาสให้ปลดปล่อยการโจมตีอันทรงพลังของตนได้ พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นอีกครั้ง ร่างของเขาหายไปในกลุ่มหมอกเขา รอยแยกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนพื้น ส่งผลให้ป้ายหลุมศพหลายป้ายพังทลายลง
“คุณไม่ได้อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณ !” เขาตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล “ไม่เช่นนั้น มันก็ไม่มีทางที่กองกำลังเท็งงุของผมจะไม่สามารถต้านการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้ !”
ความแข็งแกร่งนี้… อยู่เหนือกว่าความรู้เรื่องขั้นพลังของเขาอย่างสิ้นเชิง !
“อ่าา…” ฉินเย่ใช้นิ้วแคะหูของตนและเหวี่ยงกระบี่ของตนอีกครั้ง “แล้วคุณจะเอายังไง ?”
แสงสะท้อนของใบมีดตัดผ่านบรรยากาศที่หนาวเย็น ทาดายูกิยื่นหน้าออกมามองจากด้านหลังของป้ายหลุมศพ พร้อมกับเสียงร้องน่าสังเวชที่ดังขึ้นอีกครั้ง หลุมศพที่อยู่โดยรอบต่างกลายเป็นเสี่ยง ๆ ในขณะที่ร่างของทาดายูกิหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หืม ? ฉินเย่กะพริบตาปริบๆขณะที่มองไปยังป้ายหลุมศพที่อยู่รอบ ๆ ขณะพึมพำกับตัวเอง “นี่มัน… คาถาแยกเงาพันร่าง ?” [1]
น่าสนใจ… เด็กหนุ่มเหวี่ยงกระบี่อีกครั้ง และครั้งนี้มันก็เร็วกว่าครั้งที่แล้ว ดวงตาของทาดายูกิเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว เขาเห็นว่าการโจมตีของฉินเย่ในเวลานั้นเต็มไปด้วยพลังแห่งความมืด มันแทบจะเหมือนกับว่าเด็กหนุ่มได้ปลดผนึกและกำลังใช้พลังของเหล่าวิญญาณอยู่ไม่มีผิด ลำแสงจากใบมีดพร้อมกับออร่าพลังหยินที่หนาแน่นจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ป้ายหลุมศพจะถูกผ่าออกเป็นครึ่ง ราวกับถูกตัดโดยเครื่องจักร
เป็นไปได้อย่างไร… มีผู้ฝึกตนแบบนี้อยู่ได้อย่างไรกัน ?
“ให้ตายเถอะ !” เขากัดฟันแน่นและรีบประสานอินภายในพริบตา แต่… มันก็ยังไม่เพียงพอ !
เขาไม่มีเวลาพอ
การโจมตีนั้นเร็วเกินไป ฉินเย่ลอบใช้พลังขั้นยมทูตขาวดำของตนเอง เพราะอย่างไรแล้วเขาก็ไม่คิดที่จะเจรจาซ้ำซากหากเขาสามารถบังคับอีกฝ่ายได้ด้วยกำลังที่เหนือกว่า นอกจากนี้ มีเพียงหลังจากที่เขาใช้พลังขั้นยมทูตขาวดำเท่านั้น เขาถึงตระหนักได้ว่าความแตกต่างระหว่างขั้นยมทูตขาวดำและขั้นนักล่าวิญญาณนั้น …มีมากเพียงใด !
เขาเคยถูกทำให้ต้องอับอายโดยหลินฮั่น แต่ตอนนี้…
มาสิ ! เข้ามาพร้อมกันสิบคนเลยก็ได้ !
“โง่เอ้ย !!” ทาดายูกิร้องออกมาอย่างไม่พอใจขณะที่ร่างของเขาหายไปในกลุ่มหมอกขาว ชายหนุ่มปรากฏขึ้นอีกครั้งที่ด้านหลังของป้ายหลุมศพอีกแผ่นหนึ่ง ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้หายใจ ลำแสงใบมีดก็พุ่งมาที่เขาอย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณ… เขาไม่มีทางอยู่ขั้นนักล่าวิญญาณแน่นอน ! เขามาจากที่ไหนกัน ?!
ทว่าน่าเสียดาย ชายหนุ่มไม่ได้มีเวลามากพอให้ครุ่นคิดถึงเรื่องพวกนี้ เขารีบประสานอินและร่างของเขาก็หายไปเป็นครั้งที่สาม
ฉินเย่ค่อนข้างเพลิดเพลินกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ฟันหนึ่งครั้ง หายไปหนึ่งครั้ง และพอเขาฟันอีกครั้ง อีกฝ่ายก็หายไปอีกครั้ง
สิ่งนี้ช่วยให้นึกถึงอะไรน่ะหรือ ?
เกมตีตัวตุ่นไงล่ะ !
อันที่จริง มันเป็นเหมือนกับเกมตีตัวตุ่นที่ตัวตุ่นอยู่ขั้นนักล่าวิญญาณ ฉินเย่รู้ว่าโอกาสแบบนี้นั้นมีน้อยมาก ดังนั้นเขาจึงเล่นสนุก ฟันหนึ่งครั้ง ป้ายหลุมศพพังลงหนึ่งป้าย ระเบิดกลุ่มหมอกสีขาว และก็ฟันอีกหนึ่งครั้ง… วนไปเรื่อย ๆ
ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็ได้หมกมุ่นไปกับเกมตีตัวตุ่นและเพลิดเพลินกับการทำลายทรัพย์สินสาธารณะ
ตู้ม ! ในที่สุด หลังจากแผ่นป้ายหลุมศพนับสิบป้ายได้พังไป ทาดายูกิก็พบว่าร่างของเขาในเวลาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ชายหนุ่มกัดฟันแน่นและประสานอินอีกครั้ง
น่าอัปยศยิ่งนัก…
นี่คือความอัปยศที่จะคงอยู่กับตระกูลคาโม่ไปตลอดชีวิต !
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดถึงเรื่องพวกนี้อีกต่อไป เขาประสานมือ ทว่าทันใดนั้นเขาก็ต้องตกตะลึงก่อนที่จะได้ใช้คาถาของตัวเอง
มันไม่มีป้ายหลุมศพเหลืออีกแล้ว…
หลุมทั้งหมดถูกทำลายหมดแล้ว… ในเวลาเดียวกัน ฉินเย่ก็เริ่มขมวดคิ้วกับภาพที่เห็น – ทำไมมันถึงเหลือแผ่นป้ายหลุมศพอยู่นิดเดียว ?
ทันใดนั้นเอง บริเวณอกของทาดายูกิก็พองขึ้นอย่างน่าแปลกประหลาด เขาอ้าปากและเป่าสิ่งที่ดูราวกับภาพวาดทิศทัศน์ออกมา มันเริ่มต้นจากภาพที่ถูกด้วยน้ำหมึก จากนั้นเมื่อคลี่ออกมันก็กลายเป็นภาพอูกิโยะ [2] ซึ่งเป็นภาพของท้องทะเลอันกว้างใหญ่และมีปีศาจนับพันร่ายรำอยู่บนท้องฟ้าเหนือทะเลผืนนั้น
นี่คือไพ่ตายสุดท้ายของทาดายูกิ และมันก็ทำให้ฉินเย่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง กว่าเขาจะกลับมาได้สติอีกครั้ง ทาดายูกิก็หายไปจากบริเวณนั้นเสียแล้ว และแผ่นยันต์สีทองประกายม่วงก็ค่อย ๆ ร่วงลงมาจากฟ้า
“คาโม่ ?” ฉินเย่ขยับมือเล็กน้อยและยันต์แผ่นดังกล่าวก็ลอยมาอยู่ในมือของเขา เด็กหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง “ใช่คาโม่นั่นหรือเปล่า ? นานมากแล้วจริง ๆ ที่ไม่ได้ยินชื่อนี้…”
บริเวณสุสานเงียบลง หลังจากรวบรวมสติและความคิดทั้งหมดของตนอยู่ครู่ใหญ่ ฉินเย่ก็หันไปมองไป๋อี้ชายที่ยังคงนั่งตัวสั่นอยู่ห่างออกไป
เวลานี้ แววตาของไป๋อี้ชานแสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อน รวมถึงความยินดีและความกลัว และทันใดนั้นเขาก็คลานราวกับสุนัขและจับขากางเกงของฉินเย่เอาไว้ “คะ คุณฉิน… ขอบคุณครับ… ขอบ—…”
“คุณไป๋ ดูเหมือนว่าคุณจะปิดบังอะไรหลาย ๆ อย่างจากผมอยู่ใช่ไหม ?” ฉินเย่เอ่ยแทรกขึ้นพร้อมกับเชยคางอีกฝ่ายให้สบตากับตน
“อะ เอ่อ… เอ่อ !” ไป๋อี้ชานโบกมืออย่างบ้าคลั่ง ราวกับเขาต้องการจะหาคำอธิบายให้ตัวเอง ฉินเย่พึมพำ “ผมให้เวลาคุณ 30 นาที หากคุณไม่อธิบายออกมา ผมจะมัดคุณและทิ้งคุณไว้ที่นี่ ผมเชื่อ… ว่าโมริรันมารุยังอยู่แถวนี้ เพราะฉะนั้นบอกมา… ว่าคุณทำอะไรกับถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีกันแน่ ?”
เด็กหนุ่มปล่อยมือ และชายหนุ่มก็ล้มลงกับพื้น หอบหายใจอย่างรุนแรง ชายอีกคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ก็รีบวิ่งมาช่วยพยุงไป๋อี้ชานให้ลุกขึ้น [3] ฉินเย่กลับหลังหันอย่างไม่สนใจ “ที่นี่ไม่ปลอดภัย ตามผมมา”
เขาไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อยว่าคนพวกนี้จะวิ่งหนีจากไป เพราะอย่างไรแล้วไป๋อี้ชานก็จะกลายเป็นขนมของโม่ริรันมารุทันทีที่อีกฝ่ายหนีไป ฉินเย่ส่งข้อความไปบอกหลินฮั่นให้ไปเจอกันในอีกครึ่งชั่วโมง จากนั้นเขาก็หาที่เงียบ ๆ เพื่อคุยธุระของตน
“พูด” ฉินเย่เอนตัวพิงกับป้ายหลุมศพและเชยคางไป๋อี้ชานตัวจริงขึ้น “ผมสามารถช่วยให้คุณปลอดภัยได้หากคุณยอมพูดความจริง จากนั้นคุณก็จะได้กลับไปที่เมืองเยียนจิงอย่างปลอดภัยและเป็นรองหัวหน้าของหอประมูลเจียเต๋อต่อไป”
ไป๋อี้ชานได้ตัดสินใจเอาไว้แล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของเขา ดังนั้นเขาจึงถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทางและหลับตาลง “ที่จริง… เรื่องมันยาวมาก….”
“สมาชิกส่วนใหญ่ของโรงประมูลเจียเต๋อนั้นเป็นเหมือนผม ติดอยู่ในขั้นยมเทพที่ไม่สามารถทะลุคอขวดเป็นขั้นนักล่าวิญญาณได้ โปรดยกโทษในความขี้ขลาดของเรา แต่มันไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเผชิญหน้ากับสิ่งน่ากลัวพวกนั้นด้วยความมั่นใจระดับเดียวกับคุณ… พวกเราจึงเลือกที่จะทิ้งชีวิตของตัวเองไว้ข้างหลัง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังต้องหาแหล่งทำมาหากิน ด้วยพลังปราณ พวกเราสามารถตรวจจับร่องรอยของวัตถุโบราณได้ และนั่นทำให้เราสามารถบอกได้ว่าของชิ้นนั้นเป็นของแท้หรือของปลอม นี่เป็นจุดเริ่มต้นของโรงประมูลเจียเต๋อ”
เขานั่งลงบนราวบันได นวดคลึงหว่างคิ้วของตัวเองเหมือนกับว่าการอธิบายนี้ทำให้พลังที่เหลืออยู่ของเขาหมดลง เขายังคงเอ่ยต่อด้วยเสียงแหบพร่า “ตั้งแต่ที่มันก่อตั้งขึ้น ผู้ฝึกตนจำนวนมากก็มาสมัครและเข้าร่วมกับเรา ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของผมเช่นกัน และผมก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าโรงประมูล รองลงมาจากหัวหน้าใหญ่เพียงคนเดียวเท่านั้น พนักงานส่วนใหญ่ของเราต่างเป็นผู้ฝึกตนที่ยังไม่ถึงขั้นยมเทพเลยด้วยซ้ำ….”
ฉินเย่ทุบป้ายหลุมศพอย่างหมดความอดทน “รีบเข้าเรื่องได้แล้ว ผมไม่มีเวลาหรือความอดทนมาฟังคุณพล่ามถึงความทรงจำของตัวเองหรอกนะ”
“ครับ” ร่างของไป๋อี้ชานสั่นเทาเล็กน้อยและเขาก็เผลอเอนตัวเข้าหาฉินเย่ด้วยความกลัวโดยไม่รู้ตัว “ในความเป็นจริงแล้ว… ตอนที่ขุดขึ้นมา… ถ้วยใบนี้ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์…”
ฉินเย่ตกตะลึง “สมบูรณ์เหรอ ?”
เขานึกถึงภาพของถ้วยที่ตนได้รับจากโรงประมูลเจียเต๋อก่อนหน้านี้… มันมีอยู่แค่ครึ่งใบเท่านั้น
“ครับ…” ไป๋อี้ชานเอามือโอบรอบตัวเอง ร่างของเขาสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ มันเหมือนกับว่าเขายอมจำนนกับความหนาวเย็นในช่วงค่ำคืน “อันที่จริง… ตอนที่เราขุดมันขึ้นมา ถ้วยใบนั้นถูกมันจับเอาไว้แน่น”
เขาหันหน้าไปมองศพคนญี่ปุ่นที่ยืนอยู่ที่มุม ๆ หนึ่ง “พวกเราเจอศพนี้นอนอยู่ในโลง… มันไม่ใช่สิ่งที่ทางเราเก็บรักษาไว้ให้คงสภาพ แต่มัน… มีสภาพแบบนี้ตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน !”
“เราไม่รู้ว่ามันเป็นศพของใคร ตอนที่เราขุดโลงศพขึ้นมา ไม่มีใครกล้าแตะต้องกับถ้วยเลยแม้แต่น้อยเนื่องจากกลัวว่าถ้วยใบนี้จะเป็นวัตถุตรึงวิญญาณ ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกผมมาเพื่อปิดทวารทั้งเจ็ดของศพก่อนจะนำถ้วยออกมา ตะ แต่… ทันทีที่พวกเราแกะถ้วยออกมา มะ มะ มันก็ตื่นขึ้น !”
ไป๋อี้ชานเริ่มตะโกนด้วยเสียงที่แหบพร่า “มันตื่นขึ้น… มันตื่นขึ้นมา ! คุณเชื่อไหม ?! ศพอายุหลายร้อยปีที่ถูกปิดทวารทั้งเจ็ดเอาไว้แต่จู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมานั่งนน่ะ และมันก็กำลังตามล่าพวกเราทุกคนที่ปลุกการนอนหลับของมัน !”
ไป๋อี้ชานสางผมของตนไปด้านหลังและกำมันจนแน่น “ผมจำได้ไม่ชัดนัก.. .สิ่งเดียวที่จำได้ก็คือตอนนั้นผมกลัวมาก ตะ ตอนนั้น… ถ้วยนั่นอยู่ในมือของผม และด้วยความหวาดกลัว ผะ ผม… ผม…”
เขาตัวสั่นเทาและพยายามหลับตา “ทำมันตกพื้นแล้วก็แตก….”
“แม้แต่ในตอนกลางวัน… พวกที่มีส่วนร่วมในงานขุดค้นในวันนั้นก็เริ่มตายไปทีละคน ผมอยากจะทิ้งมันไป… และผมก็ทำแล้ว !” รูม่านตาของเขาขยายออกและร่างก็เริ่มสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ “แต่ไม่ว่าผมจะทำยังไง… ถ้วยใบนั้นก็จะกลับมาวางอยู่บนโต๊ะทำงานของผมในวันถัดไปอยู่ดี ลวดลายบนมันดูเหมือนกับดวงตา… และพวกมันก็จ้องเขม็งมาที่ผม เยอะเย้ยกับการกระทำของผม ! ผมเคยพยายามทุบให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้ว แต่… มันก็ไม่เป็นอะไรเลย !”
“มัน… มีชีวิตของมันเอง” ไป๋อี้ชานลืมตาขึ้นและจ้องหน้าฉินเย่ “ผมไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่… แต่ผมได้ยินเสียงของมันเรียกชื่อผมทุกวัน กรีดร้อง… กรีดร้องใส่ผมไม่หยุด ! มันมีทั้งเสียงของผู้ชายและผู้หญิง… และยังมีเสียงพูดอื่น ๆ ที่เป็นภาษาญี่ปุ่นที่ผมไม่เข้าใจอีก เมื่อผมลองไปหาดู ผมก็พบว่ามันคือ… กวีโบราณ !”
“โนบูนางะกำลังตามล่าผม… เขาตามมาเอาถ้วยใบนี้ ! มันมาแล้ว ! เขาอยู่ที่นี่แล้ว !” ไป๋อี้ชานลุกขึ้นยืนและจับแขนของฉินเย่อย่างแรง แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างของเขาก็สั่นสะท้าน เขากอดแขนฉินเย่จนแน่นและไม่มีวี่แววที่จะปล่อย นอกจากนั้นเขายังเริ่มที่จะสะอื้นไห้ออกมาเบาๆ
“ช่วยผมด้วย…” เขามองด้วยสายตาอ้อนวอน “ช่วยผม ได้โปรด… ผมยังไม่อยากตาย”
“ตอนแรก ผมหวังว่าตัวเองจะสามารถกำจัดมันในงานประมูลได้ ผมยอมรับ… ว่าตัวเองโลภมาก แต่ผมก็หวังว่าตัวเองจะสามารถพบเจอกับคนที่สามารถหาทางออกให้กับเรื่องนี้ได้เช่นกัน ! ดังนั้นผมจึงบอกทางญี่ปุ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่… ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่ามันคือถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี พวกเขาก็ไม่กล้ามา แถมพวกเขายังส่งข้อความมาบอกผม… ว่าผมจะต้องตายแน่ พวกเขาบอกว่ามันคือ ‘ดวงตาแห่งคำสาป’ และผู้ใดก็ตามที่ถูกมันมองจะต้องตาย…”
“ผมตกใจมากจริง ๆ ที่ลูกค้าชาวญี่ปุ่นของผมยกเลิกงานประมูลนี้ และมันก็เป็นตอนที่ผมได้รู้จักคุณพอดี ผมรู้… ว่าใครก็ตามที่อยู่ที่นี่ ภายในเมืองเป่าอัน จะต้องรู้วิธีจัดการกับเรื่องน่ากลัวนี้แน่ !”
“เพราะอย่างไรแล้ว ทะ ที่นี่ก็คือฐานที่มั่นแห่งแรกของผู้ฝึกตนแห่งแผ่นดินจีน…”
[1] คาถาที่นารูโตะใช้เพื่อสร้างร่างแยกของตนออกมา
[2] ภาพศิลปะของญี่ปุ่นในยุคเอโดะ แสดงความเกี่ยวเนื่องกับชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนชั้นกลางในยุคนั้น
[3] หมายถึงชายที่สวมหน้ากากซุนหงอคงที่เป็นไป๋อี้ชานตัวปลอมก่อนหน้านี้