ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 235 วัดฮนโน
บทที่ 235: วัดฮนโน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ฉินเย่เช็คเอาท์ออกจากห้องของตนและย้ายไปยังห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของหัวหน้าใหญ่ชู จากนั้นเขาก็สั่งทางโรงประมูลเจียเต๋อว่าห้ามผู้ใดเข้ามาในห้องของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาด
ดังนั้น แม้แต่หัวหน้าใหญ่ชูเองก็ไม่รู้ว่าห้องของฉินเย่นั้นมืดสนิท หน้าต่างและผ้าม่านถูกปิดสนิท และแม้แต่หลอดไฟเองก็ถูกปิดเช่นกัน นอกจากนี้ยังมียันต์แปะไปทั่วห้อง
ไม่เหมือนกับแผ่นยันต์ที่ถูกแปะอยู่ที่ตู้โดยสาร ยันต์ที่อยู่ภายในห้องของฉินเย่นั้นถูกเขียนด้วยอักขระที่ให้ความรู้สึกลึกล้ำและลึกซ้ำ แทบจะเหมือนกับว่าพวกเขาอาจตกอยู่ในภวังค์ได้หากจ้องมันเป็นเวลานาน อันที่จริงมันคงจะไม่เป็นการพูดจริงเลยหากบอกว่ายันต์พวกนี้… ดูราวกับว่ามันมีชีวิตเป็นของตัวเอง !
กล่องสี่เหลี่ยมสีดำถูกวางแน่นิ่งไว้บนเตียง ล้อมรอบโดยแผ่นยันต์สีม่วงที่ถูกไว้กับด้ายสีแดง ฉินเย่กำลังเดินไปเดินมาราวกับผึ้งงาน ติดตั้งเครื่องป้องกันต่าง ๆ มากมายภายในห้องของตน หมิงชีหยินลอยไปมาเป็นครั้งคราว มองดูทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด “มันจำเป็นจริง ๆ น่ะหรือ ?”
“แน่นอน” ฉินเย่ยืดหลังตรงและลูบเอวของตัวเองขณะที่มองหมิงชีหยินด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร “อาณาเขตเวทสยบวิญญาณ… อาร์ทิสได้เตรียมยันต์พวกนี้และสอนวิธีการติดตั้งมันให้กับข้าตลอดจนวิธีการเปิดใช้งาน ทันทีที่มันถูกเปิดใช้ ทุกคนที่อยู่นอกอาณาเขตเวทจะไม่มีทางรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นแม้ว่าเราจะทำเสียงดังมากแค่ไหนก็ตาม มันเหมือนกับอาณาเขตเวทที่ยมทูตนอกอาณาเขตใช้ตอนที่พวกเราพยายามแย่งชิงดวงวิญญาณของกู่ชิง นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าท่าน ในฐานะของผู้ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของยมโลก ควรจะทำตัวมีประโยชน์เมื่อเห็นว่าที่จ้าวนรกองค์ต่อไปกำลังวิ่งวุ่นเพื่อติดตั้งอาณาเขตเวทหรอกหรือ ?”
หมิงชีหมิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยว่า “แต่… ข้าไม่มีแขนที่จะเอาไว้ช่วยเจ้า และข้าก็ได้ให้กำลังใจเจ้าอยู่ข้าง ๆ แล้ว… เดี๋ยวก่อนนะ ! เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าเริ่มเคารพข้าน้อยลงทุกทีกัน ? เจ้าอยากโดนข้าต่อว่าอีกหรืออย่างไร ?!”
ช่างเป็นเหตุผลที่น่าขนลุกจริง ๆ …ฉินเย่พูดอะไรไม่ออก
เขามองอีกฝ่ายครู่หนึ่งแล้วจึงเดินไปติดตั้งอาณาเขตเวทต่อด้วยตนเอง หมิงชีหยินที่เห็นเช่นนั้นก็เริ่มลอยไปลอยมารอบ ๆ เด็กหนุ่มราวกับผีเสื้อ “นอกจากนี้ ข้าก็ไม่ได้ถามด้วยว่ามันจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องติดตั้งอาณาเขตเวท สิ่งที่ข้าถามก็คือเหตุใดเจ้าถึงต้องอวดอ้างความสามารถของตนเองเพื่อให้พวกเขายอมมอบความไว้วางใจให้กับเจ้าในการเก็บรักษาถ้วยไว้ด้วย ? เจ้าทำตัวราวกับพวกนกยูงตัวผู้ที่มักจะแพนขนออกมาในช่วงฤดูผสมพันธุ์ตั้งแต่ที่เราอยู่ที่สถานีรถไฟแล้ว เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าท่าทางของเจ้ามันกำลังทำให้ชื่อเสียงของจ้าวนรกต้องเสื่อมเสีย ?!”
ฉินเย่ชะงักไปก่อนจะหันไปมองกระจกโบราณด้วยสายตาอาฆาต “เอาล่ะ ข้าขอโทษก็แล้วกัน ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านไปเอาความคิดพวกนี้มาจากที่ไหน ! บางที ท่านควรจะเพลา ๆ การอ่านนิยายในอินเทอร์เน็ตลงบ้างเพื่อที่สมองของท่านจะได้ไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องไร้สาระพวกนี้ !”
เขาก้มหน้าลง กัดที่นิ้วหัวแม่มือของตัวเองและปาดเลือดของตนไปบนยันต์ ทันใดนั้น แผ่นยันต์ตรงหน้าก็เปล่งแสงสีม่วงออกมาก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านไม่เข้าใจจิตใจของมนุษย์เลยสักนิด” เขาติดยันต์อย่างระมัดระวังก่อนจะก้มหน้าลงและจัดตำแหน่งของยันต์แปดเหลี่ยมบนตักของตนและเอ่ยต่อ “กล่องเวทมนตร์คือไพ่ตายใบสุดท้ายของโรงประมูลเจียเต๋อ หากพวกเขาไม่มีมัน หัวหน้าใหญ่ชูก็คงจะตายไปแล้ว และด้วยความสำคัญของมัน ท่านคิดว่าพวกเขาจะยอมมอบมันให้กับข้าทันทีที่ข้าเสนอตัวในการรักษาความปลอดภัยให้ตั้งแต่ตอนแรกหรือ ?”
เขามองยันต์แปดเหลี่ยมและปรับตำแหน่งของยันต์อีกครั้ง “หัวหน้าใหญ่ชูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าเป็นใคร ดังนั้นเขาจะไว้ใจข้าได้อย่างไร ? หากมีเขาอยู่ ไป๋อี้ชานสามารถทำได้เพียงขยายระยะเวลาในการตัดสินใจของเขาเท่านั้น มันคงไม่เหมาะหากข้าจะแย่งมันมาด้วยกำลังเช่นกัน เว้นแต่ว่าข้าจะเต็มใจที่จะนำตำแหน่งของตัวเองในสำนักฝึกตนแห่งแรกมาเสี่ยง ดังนั้น….” ฉินเย่ก้าวถอยหลังออกมาและมองดูงานของตน “มันจึงเป็นการดีกว่าที่จะให้พวกเขาขอความช่วยเหลือจากข้าด้วยความต้องการของพวกเขาเอง”
เขาปัดฝุ่นที่เปื้อนกางเกงของตนเอง เก็บยันต์แปดเหลี่ยมและลุกยืนขึ้น “แล้วนั่นยังเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงบอกคำใบ้ให้พวกเขาเป็นครั้งคราว ประกาศให้พวกเขารู้ว่าข้าคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้ และย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาสินค้า และด้วยสภาพจิตใจที่ตึงเครียดของหัวหน้าใหญ่ชูในตอนนี้ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามแผนที่ข้าได้วางไว้อย่างแน่นอน ท่านเห็นหรือไม่ ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นสมบูรณ์แบบ เหตุใดต้องทำให้ทุกอย่างลำบากในเมื่อมันสามารถจัดการได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ?”
หมิงชีหยินเงียบไป
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง กระจกโบราณก็เอ่ยขึ้นว่า “นี่คือสิ่งที่เรียกว่าปรัชญาของผู้รอดชีวิตอย่างนั้นหรือ ? พอคิดว่าแผนการที่แยบยลเช่นนี้เกิดจากการกระทำอันเรียบง่ายของเจ้า… ดูเหมือนว่าครั้งนี้ข้าจะเป็นฝ่ายแพ้จริง ๆ”
ฉินเย่ดัดคอของตัวเองและชื่นชมงานศิลปะของตนด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นรอยยิ้มของเขาก็หายไป และเด็กหนุ่มก็หันไปมองหมิงชีหยินอีกครั้ง “ท่านหมิง ข้า… ควรเริ่มได้หรือยัง ?”
น้ำเสียงของหมิงชีหยินเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น “เจ้า… คิดแล้วหรือว่าจะพูดอะไร ?”
“อีกฝ่ายหนึ่งคือโอดะโนบูนางะ ข้าอาจจะสามารถอัญเชิญวิญญาณของเขามาได้ แต่ด้วยนิสัยของเขาแล้ว ข้าเกรงว่าเจ้าจะมีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว”
“ไม่ต้องห่วง” ฉินเย่ก้มหน้าลงและสูดหายใจเข้าช้า ๆ จากนั้นมือของเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
ด้วยจังหวะที่เป็นเอกลักษณ์ เขาเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มเกิดเป็นเพียงภาพติดตาที่เหลือค้างอยู่ของก่อนหน้า จากนั้นพร้อมกับการประกบฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แผ่นยันต์ภายในห้องกระพืออย่างรุนแรง สุดท้าย พร้อมกับเสียงฟึ่บเบา ๆ แผ่นยันต์ทั้งหมดเริ่มเปล่งแสงสีม่วงหม่นออกมา
“เริ่มกันเลย !!”
โดยไม่มีการลังเลใด ๆ ลำแสงสีดำพุ่งออกมาจากพื้นผิวกระจกของหมิงชีหยินและตรงไปที่กล่องเวทมนตร์ทันที
เงียบสนิท
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา
ฉินเย่ไม่ได้มีท่าทีเฉื่อยชาเหมือนที่เป็นตามปกติ เขารู้ดีว่าการเจรจาครั้งนี้คงไม่ง่ายไปกว่าการต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่ง เพราะอย่างไรแล้ว หลังจากการล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลกของจีน ยมโลกแห่งอื่น ๆ ก็คงจะสามารถเสนอเงื่อนไขที่ดีให้กับโนบูนางะได้ดีกว่าพวกเขา และช่องว่างระหว่างยมโลกก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถก้าวข้ามได้ในระยะเวลาเพียงสิบหรือร้อยปี แต่ถึงกระนั้น ฉินเย่ก็จะไม่ยอมปล่อยโอกาสในการแย่งชิงดวงวิญญาณของผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นผู้นี้ไป
เพราะอย่างไรแล้ว ในฝั่งตะวันออกก็มีผู้ที่มีพรสวรรค์ให้เลือกอยู่ไม่มากนัก…
ลำแสงสีดำพุ่งเข้าไปในกล่องเวทมนตร์ราวกับหยดน้ำในมหาสมุทร แทบจะไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมใด ๆ แต่ฉินเย่ก็ไม่ได้กังวลใจนัก เขายังคงรออย่างอดทน ห้านาที… สิบนาที… และจากนั้น หลังจากผ่านไป 15 นาที แผ่นยันต์ภายในห้องก็เริ่มกระพืออย่างรุนแรง ! มันเป็นปรากฏการณ์ที่ผิดธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง !
พรึ่บ ! ลูกไฟสีเขียวหยกที่น่าขนลุกจำนวนมากปรากฏขึ้นภายในห้อง ทำให้มันดูไม่ต่างอะไรกับยมโลก ! ในขณะเดียวกัน คลื่นพลังหยินที่ทรงพลังก็เริ่มพุ่งออกมาจากกล่อง ในขณะที่ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีที่อยู่ภายในกล่องสั่นเทาจนเกิดเสียงที่ได้ยินมาถึงด้านนอก
และจากนั้น หลาย ๆ อย่างก็เริ่มปรากฏขึ้น ฟึ่บ ! ฟึ่บ ! ฟึ่บ ! ขณะที่คลื่นพลังหยินลูกแรกเริ่มจางหายไป พลังงานหยินที่แตกต่างกันอีกหลายสิบกลุ่มก็เริ่มพุ่งออกมาจากกล่องราวกับรอยแยกของนรกได้ถูกเปิดออก ! เสียงกรีดร้องและคร่ำครวญของผู้คนมากมายดังขึ้นสลับกับเสียงแตกของไม้ที่ถูกเผา !
“มาแล้ว… มาแล้ว !” หมิงชีหยินตะโกนเสียงดัง “ทำจิตให้สงบ ที่นี่มีวิญญาณมากกว่าหนึ่งตน ! ทุกผู้ทุกตนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ที่วัดฮนโนต่างติดอยู่ในนี้ ! ไม่… เดี๋ยวก่อน… เจ้าหนู ! ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้…”
แต่มันสายเกินไปแล้ว
ลมพายุอันรุนแรงได้ระเบิดออกมาจากกล่องสีดำและทำให้เสื้อผ้าที่ฉินเย่สวมอยู่กระพืออย่างบ้าคลั่ง จากนั้น เพียงเสี้ยววินาที ประกายแสงสีแดงก็ปะทุออกมาจากกล่องพร้อมกับพลังงานมหาศาล ฉินเย่ทำได้เพียงหลับตาลงเมื่อแสงตรงหน้าสว่างขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้ง และเขาก็ต้องตกตะลึง….
เขาไม่ได้อยู่ภายในห้องของตัวเองอีกต่อไป
ภาพท้องฟ้าที่ดำมืดปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ แต่มันกลับไม่มีภาพของดวงดาวหรือดวงจันทร์อย่างที่ควรจะเป็น กลับกัน บนท้องฟ้ากลับปรากฏรอยแยกที่เปล่งแสงสีน้ำเงินเข้มออกมา เบื้องหน้าของเขาในตอนนี้คือวัดขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีตตามแบบฉบับของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีตะเกียงไฟสีแดงถูกแขวนอยู่ทั้งสองฝั่งของประตู แกว่งไกวไปมาตามแรงลมที่พัดผ่าน ทั้งสองฝั่งของวัดเรียงรายไปด้วยต้นไม้เขียวขจี นอกจากนี้ยังมีต้นทับทิมและดอกมันดาลาอยู่รอบ ๆ วัดอีกด้วย เมื่อมองแวบแรก วัดตรงหน้านี้ให้บรรยากาศที่เงียบสงบเป็นอย่างมาก
ฟิ้ว…. สายลมยามค่ำคืนส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของธูปฟุ้งกระจายไปทั่ว ตัวของวัดถูกสร้างขึ้นตามแบบของนิกายเซนทั่วไป กระเบื้องหลังคาสีดำและกำแพงสีขาว ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 100 ตารางเมตร ตะเกียงไฟโบราณสองดวงที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกสีเขียวหยกถูกแขวนไว้ที่ทางเข้าของวัน แผ่นโลหะที่ถูกติดอยู่เหนือทางเข้าปรากฏคำเพียงไม่กี่คำ วัดฮนโน !
“วัดฮนโน ?” ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และมองไปรอบ ๆ เขาเห็นนักรบญี่ปุ่นที่ไว้ผมทรงซามูไรจำนวนมากยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกของวัดราวกับรูปปั้นหิน และจำนวนทั้งหมดก็น่าจะเกินร้อยคน !
นอกจากนี้ ถัดไปจากจุดที่นักรบญี่ปุ่นยืนอยู่ ทหารราบและพลธนูจำนวนมากเองก็กำลังเฝ้าระวังรอบวัดอยู่เช่นกัน และจำนวนของทหารทั้งหมดก็น่าจะมากกว่า 2,000 นาย !
เต้งงงงง… เสียงระฆังที่ดังก้องไปทั่วไม่ได้ทำให้รู้สึกสงบใจเลยสักนิด แต่มันกลับฟังดูเหมือนกับเสียงระฆังแห่งความตายที่ดังขึ้นเพื่อบ่งบอกถึงการมาเยือนของเทพแห่งความตายมากกว่า
“กลิ่นไหม้” ฉินเย่เอ่ยขึ้นหลังจากสูดหายใจเข้า วัดฮนโนตั้งอยู่เบื้องหน้าของเขา แต่มันกลับส่งกลิ่นเหม็นไหม้ของเนื้อที่ไหม้เกรียมออกมาอย่างไม่สามารถปกปิดได้
นี่ไม่มีทางเป็นวัดสำหรับคนเป็น
แต่มันคือสถานที่สำหรับคนตาย
“มิติที่เกิดขึ้นเอง…” เสียงของหมิงชีหยินดังขึ้นเบา ๆ ในหูของฉินเย่ขณะที่มองไปรอบๆ “พวกเราคิดผิด ไม่คิดเลยว่าถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีจะกักเก็บดวงวิญญาณไว้มากมายขนาดนี้… เราไม่ได้พูดถึงดวงวิญญาณแค่หนึ่งหยิบมือหรือไม่กี่สิบดวง แต่นี่คือกลุ่มคนที่ถูกสังหารไปพร้อมกับโอดะโนบูนางะในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือทหารส่วนตัวของเขา หากพูดกันตามตรง แม้แต่เหล่าทหารที่ปิดล้อมวัดในตอนนั้นก็ถูกดึงเข้ามาในถ้วยด้วยเช่นกัน !”
“อย่างไรก็ตาม มิตินี้ค่อนข้างไม่เสถียรนัก และมันก็อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงไม่สามารถรักษาช่องทางการเข้าถึงระหว่างสถานที่แห่งนี้และแดนมนุษย์ได้ เจ้าลองดูนั่น รอยแยกบนท้องฟ้าคือทางเดียวที่จะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ แต่ขนาดของมัน…. อย่างมากที่สุดก็เพียงพอให้วิญญาณตนหนึ่งเข้ามาและออกไปเท่านั้น”
ทันใดนั้นเอง ประตูวัดก็เปิดออก
ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ยืนเรียงต่อกันเป็นแถวสองแถวค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกมา หากลองสังเกตดูดี ๆ จะพบว่าไม่มีใครเลยที่เท้าสัมผัสกับพื้น กลุ่มก้อนพลังหยินสีดำแผ่ออกมาจากส่วนครึ่งล่างของกระโปรงยาว ทั้งหมดแต่งกายแบบดั้งเดิม ทาหน้าด้วยแป้งหนาสีขาวและคิ้วที่สะดุดตา อย่างไรก็ตาม ฟันของพวกนางดำสนิทราวกับสีน้ำหมึก และพวกนางก็ดูไม่ต่างอะไรกับภูตผีในตำนานโบราณเลยสักนิด
ฟึ่บ… ไม่นาน ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดกิโมโนแสนสวยพร้อมกับผมความยาวประบ่าก็เดินออกมาจากวัด ยื่นเงินกระดาษให้กับหญิงสาวทั้งหมด
นางเดินออกมาด้วยท่าทางที่สง่างามราวกับได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เยาว์วัย ร่างของนางยังคงตั้งตรงแม้ในขณะที่เดินอยู่ก็ตาม แทบจะไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งเลยแม้แต่น้อย ศีรษะของนางค้อมต่ำ ดูอ่อนน้อมและบริสุทธิ์ ขณะที่มือทั้งสองข้างที่ยื่นออกมาจากแขนเสื้อถูกกุมไว้ด้วยกันอย่างสง่างามขณะที่เดินมาหยุดลงตรงหน้าของฉินเย่
“โนฮิเมะคารวะท่านผู้ทรงอำนาจ” น้ำเสียงของนางค่อนข้างแปลก นางมีบรรยากาศของความสูงศักดิ์อยู่รอบตัวและท่าทางที่สง่างาม แต่เสียงที่เอ่ยออกมากลับไม่ต่างอะไรกับเสียงเครื่องเป่าลมที่หัก …แหบและแห้ง !
โนฮิเมะ…
ฉินเย่มองหญิงสาวที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้าตน “โนบูนางะส่งเจ้ามาอย่างนั้นหรือ ?”
“ท่านโนบูนางะกำลังรอท่านอยู่ด้านใน” โนฮิเมะตอบ “ท่านบอกว่า… ท่านต้องเข้าไปในนั้นเพียงลำพัง เพราะอย่างไรแล้ว…”
นางหันไปมองหมิงชีหยินที่กำลังลอยอยู่ในอากาศ “ความยิ่งใหญ่ของท่านเปานั้นมากเกินกว่าที่เราจะรับไหว”
ฉินเย่ไม่ได้ตอบออกไปทันที กลับกันเขาเพียงจ้องไปที่โนฮิเมะขณะที่ถามขึ้นว่า “ที่เจ้าไม่เงยหน้าขึ้นมานั่นเป็นเพราะเจ้ากลัวที่จะมองหน้าข้าอย่างนั้นหรือ ?”
“หามิได้ แต่ตัวข้านั้นน่าเกลียดเกินไป ข้าเกรงว่ามันจะทำให้ดวงตาของท่านต้องแปดเปื้อน”
“ไม่เป็นไร” ฉินเย่แย้มยิ้มบาง “เจ้าเงยหน้าขึ้นเถอะ”
โนฮิเมะโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อมก่อนจะเงยหน้าขึ้น
และฉินเย่ก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
นางงดงามมาก
นางมีคิ้วที่เรียวงามและดวงตารูปเมล็ดอัลมอนด์ที่ดูเหมือนจะทำให้ผู้ที่จ้องมองตกอยู่ในความลุ่มหลง ผิวของนางดูเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม ในขณะที่ใบหน้าเรียวซีดขาวราวกับกระดาษ ทว่าดวงตาคู่งานกลับแดงก่ำ และมันยังมีรอยแผลลึกที่เกิดจากมีดอยู่ที่คออีกด้วย
นี่มันแผลจากการฮาราคีรี !! [1]
รอยแผลจากมีดไม่ได้จางหายไปเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันดูเหมือนจะติดตรึงอยู่ที่คอของนาง นอกจากนี้มันยังถูกกรีดลึกมากจนดูราวกับว่าคอของนางแทบจะถูกตัดขาดอย่างสมบูรณ์ เขาสามารถมองเห็นเนื้อสีแดงที่ปลิ้นออกมาด้านนอกเล็กน้อย ด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดและดวงตาที่แดงก่ำ มันทำให้ผู้หญิงตรงหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างแท้จริง
[1] เซ็ปปุกุ หรือฮาราคีรีเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างสำหรับชาวต่างชาติว่าฮาราคีรีนั้นถูกแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ โดยในนิยายเรื่องนี้ โนฮิเมะได้ทำการฮาราคีรีในรูปแบบของจิไก ซึ่งเป็นพิธีการจบชีวิตของภรรยาของซามูไรที่กระทำเซ็ปปุกุหรือผู้หญิงที่ทำความอับอายให้แก่วงศ์ตระกูลเพื่อรักษาเกียรติของตนเอาไว้ยามที่กองทัพใกล้จะพ่ายแพ้หรือเพื่อป้องกันการถูกขมขืน ผู้กระทำจะทำการมัดเข่าของตนไว้ด้วยกันเพื่อป้องกันการกระตุกหลังจากเสียชีวิตและทำให้ศพอยู่ในสภาพที่สง่างาม จากนั้นจึงใช้มีดตัดเส้นเลือดใหญ่บริเวณลำคอของตนด้วยมีดภายในครั้งเดียว